“เป็นยังไง เงียบไปทีเดียวพลินทร์”
ญาติหนุ่มของเขาหันมาถามในขณะที่กำลังบังคับยานคันงามให้วิ่งขึ้นสู่ที่ลาดสูงไปสู่ที่ของเขา พลินทร์ยิ้มน้อยๆ รับคำทักทายโดยมิได้พูดว่ากระไร เขาจะบอกแก่ใครได้อย่างไรว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ พลินทร์ พงศ์ราช มีใจพะวงถึงสายตาของหญิงหนึ่งซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร ดูช่างน่าอับอายและเป็นเรื่องชวนหัวที่ไม่น่าขันเสียเลย
“คุณรู้จักไหม ผู้หญิงคนนั้น” ญาติของเขาถามขึ้นอีก แม้ว่าจะมิได้ระบุออกมาว่าเป็นใคร แต่พลินทร์ก็รู้ได้ในทันที ว่าคำถามนั้นมุ่งหมายถึงใคร แม้กระนั้น เขาก็ยังถามออกไปว่า
“ผู้หญิงคนไหน”
ผู้ถูกถามหันมามองหน้า หัวเราะแล้วพูดว่า “บา. คุณรู้ดีนี่นาว่าผมหมายถึงใคร ก็แม่ตาคมที่สถานีรถไฟในวันนี้นั่นซี เพื่อนของคำรสนั่นแหละ”
“ทำไมจ้าวถึงได้คิดว่าผมรู้จักล่ะ”
“อ้าว จะไปรู้รึ เห็นมารถขบวนเดียวกัน ก็เลยนึกเอาว่าคุณจะรู้จักบ้างน่ะซี”
“ผมไม่เคยรู้จักเลย”
“เอ แต่ดูท่าหล่อนจะรู้จักคุณดีนะ พลินทร์ ผมรู้สึกว่าหล่อนจ้องมองคุณตาเขม็งทีเดียว”
“งั้นหรือ” พลินทร์พูดเรื่อยๆ “จ้าวนี่ช่างสังเกตจริงนะ ท่าจะสนใจมากล่ะซี”
“อือ” ผู้ที่เขาเรียกว่าจ้าว รับอยู่ในคอ “รูปร่างของหล่อนสวยสะดุดตาทีเดียว ผิวก็แปลก ผมชอบผิวของผู้หญิงแบบนี้ ดูเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ อมชมพูยังไงไม่รู้ สวยแปลกดีจัง”
คราวนี้ พลินทร์ หัวเราะออกมาค่อนข้างดัง
“เออ ตั้งแต่รู้จักกันมา เพิ่งจะได้ยินจ้าวศรีฟ้าชมผู้หญิงวันนี้เอง สนใจก็จะเป็นไรไป หล่อนก็เป็นเพื่อนกับญาติของจ้าว คงจะพักอยู่ด้วยกัน ว่างๆ ก็หาโอกาสไปเยี่ยมญาติเสียที จะได้เลยถือโอกาสทำความรู้จักกับหล่อนเสียด้วย”
จ้าวศรีฟ้าหัวเราะรับคำหยอกล้อนั้น และรับเอาอย่างหน้าตาเฉยว่า “ก็คิดเอาไว้ว่าจะทำอย่างนั้นแหละ”
พลินทร์มองดูใบหน้าด้านข้างของญาติหนุ่มของเขา ได้แลเห็นส่วนลาดของหน้าผาก จมูกที่โด่งเรียวลงมาคล้ายจมูกของผู้หญิง ผิวหน้าที่สะอาดสะอ้านมีรอยเขียวอ่อนๆ ของหนวดและเคราที่โกนไว้ใหม่ๆ ประกอบกับสีหน้าอันอ่อนละมุนละไม บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีจิตใจอันอ่อนโยนและมีอารมณ์ดีอยู่เสมอนั้น ทำให้จ้าวศรีฟ้าเป็นชายหนุ่มที่น่าดูไม่น้อยดีเดียว
“จ้าวก็หล่อไม่เลว” เขาพูดขึ้นหลังจากที่ได้พิศดูอยู่ครู่หนึ่ง “แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมถึงได้ครองความเป็นโสดอยู่จนป่านนี้”
“ก็คุณล่ะ” จ้าวสีฟ้าย้อนพลางหัวเราะ “อย่าลืมว่าเราเกิดมาปีเดียวกัน เรียนหนังสือและโตมาด้วยกัน”
“จริงซี” พลินทร์หัวเราะบ้าง ดูเหมือนว่าเขาจะกล้าหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ก็เมื่อเวลาที่อยู่กับเพื่อนผู้เป็นทั้งญาติผู้นี้เท่านั้น “แต่คราวนี้จ้าวสีฟ้าท่าจะคิดถึงการสละความเป็นโสดเสียแล้วละกระมัง”
“จริงเสียด้วยนา” จ้าวสีฟ้ารับอย่างครึกครื้น “หมอดู ดูไว้เสียด้วยซีว่าผมจะต้องแต่งงานในปีนี้ เสียอย่างเดียวแหละที่มันดูว่าเนื้อคู่ของผมเป็นคนขาว”
“ไม่ยักจะดูว่าเป็นผิวสองสี” พลินทร์เสริมแล้วพูดต่อไปว่า “ไปเชื่ออะไรกับหมอดู ผมไม่เคยเชื่อหมอดูหรือโชคลางอะไรเลย ผมเชื่ออยู่อย่างเดียวเท่านั้นว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะมาบังคับตัว บังคับหัวใจเราได้ คนเราจะเป็นไปอย่างไรนั้นก็สุดแท้แต่เราจะจัดการกับตัวเราทั้งนั้น ชีวิตของเราอยู่ในกำมือของเรา ไม่ใช่อยู่ที่ผู้อื่น”
“จริง” จ้าวสีฟ้าพูด “ผมเชื่อว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ และคุณก็กำลังกำชีวิตของคุณไว้ได้จริงๆ แต่คนอื่นอาจจะทำอย่างคุณไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้” พลินทร์ทำเสียงและสีหน้าอย่างหนึ่งซึ่งจ้าวสีฟ้าเคยชินเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน จ้าวก็ยังคงจดจำกิริยาท่าทางนั้นได้ติดใจ และรู้สึกว่าทุกครั้งที่พลินทร์มีลักษณาการเช่นนั้น มันทำให้ความน่าดูในตัวเขาลดลงอย่างน่าเสียดาย แต่จ้าวสีฟ้าก็ได้แต่รู้สึกและคิดอยู่ในใจ เพราะโดยปรกติวิสัยเขาเป็นคนใจอ่อน และไม่มีความกล้าแข็งพอที่จะกล่าวหรือแสดงความรู้สึกอย่างใดที่จะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจออกมา
จ้าวศรีฟ้าจึงได้แต่นิ่งเสียเท่านั้น
อีกครู่หนึ่งต่อมา จ้าวศรีฟ้าก็พารถแล่นเข้าเทียบหน้าบันไดหินอันกว้างใหญ่ของตึกใหญ่ เขาเปิดประตูกระโดดลงไปอย่างรื่นเริง ทำท่าโค้งคำนับอยู่บนบันไดขั้นแรก บอกว่า
“คุ้มไศลขอต้อนรับคุณพลินทร์ พงศ์ราช ด้วยความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” แล้วก็หันหน้าเข้าไปสู่ตัวตึก ส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิม “น้อง น้องจ๋า แขกบ้านแขกเมืองมาแล้วจ้ะ”
พลินทร์ก้าวลงจากรถ ได้ยินเสียงรองเท้าแตะซอยถี่ๆ และในอึดใจเดียวก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นที่ประตู พอเห็น.. หล่อนก็ร้องออกมาอย่างดีใจว่า
“คุณพลินทร์”
ชายหนุ่มขึ้นถึงบันไดชั้นบน เกาะกุมมือทั้งสองที่ยื่นมาให้อย่างสนิทสนม จ้าวศรีชลาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขามีความสนิทสนมด้วยประดุจว่าหล่อนเป็นน้องสาวของเขาเอง
“จ้าวศรีชลา สบายดีหรือครับ”
“สบายดีค่ะ ทำไมมาคนเดียว ไม่พาคุณสิวิกามาด้วย พวกเราที่นี่อยากเห็นคุณสิวิกากันทั้งนั้น” หญิงสาวว่า ท่าทางของหล่อนชดช้อยอ่อนหวานน่าดูไปอีกแบบหนึ่ง
“เอาอีกคนละ” พลินทร์พูดพลางหัวเราะ ข่าวช่างมาเร็วเหลือเกินนะ ผมยังไม่ทันจะได้หมั้นกันเลย
“ก็อยากเป็นคนเด่นนี่นา” จ้าวศรีฟ้าสัพยอก แตะแขนของเพื่อนพาเดินเข้าสู่ห้องโถง “เป็นคนเด่นทำอะไรใครๆ ก็ต้องสนใจ ข่าวคุณพลินทร์ พงศ์ราช จะหมั้นนี่ มิทำให้ผู้หญิงอกหักไปตั้งครึ่งเมืองรึ”
“คงไม่มีใครเขานิยมยินดีในตัวผมมากมายอย่างจ้าวคิดหรอก” พลินทร์รู้สึกว่าเสียงของเขาแปร่งไปเมื่อพูดประโยคนั้น “คนที่ไม่ชอบหน้าผมก็คงมีไม่น้อยเหมือนกัน”
ราวกับว่า จ้าวศรีฟ้าจะมีใจตรงกันกับเขา เพราะในขณะนั้นเองจ้าวก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เออ น้องศรีชลา พี่พบคำรสที่สถานีรถไฟด้วย”
“หรือคะ คำรสหายหน้าไปน้านนานแล้ว เขาไปที่สถานีทำไมคะ”
“ไปรับเพื่อน” ศรีฟ้าตอบ “เออ พี่คิดว่าเราชวนคำรสมากินข้าวที่นี่กันสักวันดีไหมน้อง” เมื่อกล่าวประโยคนั้นจบแล้ว เขาก็หันมายิ้มและยักคิ้วกับพลินทร์ด้วยอาการของหนุ่มคะนอง ซึ่งเป็นเหตุให้น้องสาวต้องเบิกตาโต ร้องว่า
“ตายจริง วันนี้จ้าวพี่ทำท่าทางแปลกพิกลจังค่ะ เอ.. ชักสงสัยเสียแล้วซีว่าใครคนนั้นที่คำรสไปรับ คงจะมีความสำคัญสำหรับจ้าวพี่เสียแล้ว เขาคือใครคะ”
“คือใครก็ไม่ทราบน่ะซี พี่ถึงได้ถามน้องว่าเราชวนคำรสมากินข้าวที่นี่สักวันจะดีไหม”
ศรีชลา ยกมือขึ้นชี้หน้าพี่ชายเป็นเชิงล้อ “นั่นแน่ จ้าวพี่คงจะติดใจเพื่อนของคำรสละซีคะ เอ คงจะงามมาก พี่ชายของน้องถึงได้สนใจนัก เธอสวยไหมคะ คุณพลินทร์”
ประโยคหลังหล่อนหันไปถามพลินทร์ ผู้ถูกถามยิ้มขรึมๆ ตอบว่า “คงสวยกระมัง.. จ้าวพี่ของจ้าวเป็นคนชอบนี่นา จ้าวต้องถามความเห็นของจ้าวพี่เองซี”
“ดีละ” จ้าวศรีชลาทำท่างอน “ไม่บอกวันนี้วันหลังเราก็รู้เองนั่นแหละ”
“นี่จ้าวศรีธรไปไหนล่ะครับ” พลินทร์ถามพลางเหลียวมองไปรอบๆ ศรีชลาเลิกทำท่างอนและหันมาตอบเขาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า
“พ่อคนนั้นเขาเป็นหมอใหญ่ค่ะ ออกตระเวนไปหาคนเจ็บคนไข้รักษาวันยังค่ำ เอ้อ.. พาคุณพลินทร์ไปที่ห้องพักเสียทีได้ไหมจ๊ะ จ้าวพี่ คุณพลินทร์เดินทางมาเหนื่อยๆ คงจะอยากพักผ่อน”
“จริงซี” จ้าวศรีฟ้าเห็นด้วย เขาเป็นเพื่อนที่ว่าง่ายของเพื่อน และเป็นพี่ชายที่ว่าง่ายของน้องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาสอดมือเข้ากับแขนของพลินทร์ ออกแรงดึงเบาๆ ไปยังทางขึ้นบันได ชวนว่า “ไปขึ้นข้างบนกันเถอะ”
“ขึ้นไปกันก่อนนะคะ” ศรีชลาร้องตามหลัง “เดี๋ยวน้องจะให้เขาเอากะเป๋าตามขึ้นไปให้”
ห้องที่จ้าวศรีฟ้าพาพลินทร์เข้าไปนั้นเป็นห้องที่กว้างขวางเกือบจะพอๆ กับห้องส่วนตัวของเขาที่เทพสถิต แม้ว่าเครื่องแต่งห้องจะไม่งดงามเท่าของเขา แต่มันก็เป็นห้องที่น่าอยู่มากห้องหนึ่งทีเดียว
“เราเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดให้คุณ” จ้าวศรีฟ้าบอก ขณะที่เดินไปเปิดหน้าต่างออก และชักม่านขึ้นเสียเกือบจะทุกบาน “เรารู้ว่าคุณเคยอยู่ห้องกว้างๆ ให้อยู่ห้องแคบๆ กลัวจะอึดอัด”
“ขอบใจมาก จ้าวดีกับผมเสมอ แต่ความจริงไม่น่าจะต้องลำบากถึงกับจัดห้องใหม่ก็ได้นี่นา ห้องสำหรับแขกมาพักที่เคยมีอยู่นั้น ผมก็นอนได้ ทำยังกับว่าผมไม่เคยนอนห้องแคบๆ มาก่อนหรือยังไง ผมเคยต้องนอนห้องที่แคบกว่านี้หลายสิบเท่าทั้งแคบทั้งมืดผมยังนอนได้นี่นา”
“เอาอีกละ” จ้าวศรีฟ้าขัดขึ้น “กลับไปพูดถึงเมื่อสมัยเด็กอีกแล้วละซี ก็เมื่อก่อนกับตอนนี้ มันต่างกันไกลนี่นาคุณ รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้น่ะ ใครๆ เขาพูดกันว่า พลินทร์ พงศ์ราชนั้นมีลักษณะท่าทางและความเป็นอยู่ราวกับผู้ดีอังกฤษก็ไม่ปาน”
คำพูดของจ้าวศรีฟ้าทำให้พลินทร์อดที่จะยิ้มออกมามิได้ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งและจ้าวศรีฟ้าก็หย่อนร่างลงนั่งบนเตียงซึ่งมีผ้ากำมะหยี่ยกดอกเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้มคลุมอยู่
“แหม ชื่อเสียงผมโด่งดังมาถึงที่นี่หลายอย่างเทียวนะ”
“ก็บอกแล้วยังไงว่าอยากเป็นคนเด่น คนเขาก็ย่อมจะเอาใจใส่สนใจเป็นธรรมดา”
“จริง” พลินทร์รับคำด้วยเสียงต่ำๆ “เอาใจใส่สนใจ แต่ไม่ใช่ชมเชยสรรเสริญ ผมรู้นะจ้าว รู้ว่าพวกที่เขาเรียกผมว่าเพื่อนอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ ลึกลงไปในจิตใจของเขา เขามีความรู้สึกอย่างไรต่อผม”
คำพูดที่รุนแรงเฉือดเฉือนจิตใจของพรทิพย์ กลับมาดังก้องอยู่ในหูอีกครั้งหนึ่ง ดูทีหรือพรทิพย์เป็นใครมาจากไหนกันเล่า เป็นญาติสนิทของเขา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งของ พงศ์ราช แท้ๆ ยังมีความรู้สึกในตัวเขาเช่นนั้น ก็คนอื่นเล่า คนอื่นที่มิได้เป็นญาติ คนอื่นที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อน หัวเราะต่อกระซิกกับเขา พูดคุยและร่วมสนุกสนานรื่นเริงกับเขานั้น เมื่อยู่ลับหลัง จะกล่าวขวัญถึงเขาเช่นไร ความรู้สึกขมขื่นเกลียดชังพลุ่งขึ้นมาในใจอย่างสุดที่จะอธิบายได้ พลินทร์จึงปล่อยให้ความรู้สึกนั้นระบายออกมาอย่างเต็มที่ในถ้อยคำที่เขาพูดต่อไป
“เวลาที่เขาก้มหัวให้ผม ยกยอปอปั้นผม แต่ในใจของเขาสิกลับคิดริษยาผม กระหายที่จะได้เห็นความหายนะของผม ผมรู้ดีว่าถ้าผมพลาดพลั้งลงเมื่อใด เขาเหล่านั้นจะไม่รอช้าเลยที่จะซ้ำเติมจนสุดกำลังของเขา”
เจ้าศรีฟ้าซึ่งนั่งตะลึงอ้าปากค้างฟังอยู่นั้นร้องขึ้นมาอย่างตกใจว่า “พลินทร์ คุณเป็นอะไรไป ฟังเสียงดูรู้สึกว่าคุณขมขื่นเหลือเกิน เมื่อก่อนนี้ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นอย่างนี้เลยนี่นา”
พลินทร์หัวเราะเสียงขื่นๆ เมื่อบอกว่า “คงเป็นเพราะเมื่อก่อนนี้ผมยังไม่ได้พบเห็นอะไรมากมายอย่างเดี๋ยวนี้กระมัง แต่ผมไม่หวั่นหรอกจ้าว ผมไม่หวั่น ต่อให้รู้ว่าไม่มีคนชอบผมเลยทั้งโลก ผมก็จะยืนหยัดของผมอยู่คนเดียว ผมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมั่นใจว่าถูก โดยไม่หวั่นว่าใครจะคิดอย่างไร”
จ้าวศรีฟ้ามีท่าทางยุ่งยากใจอย่างบอกไม่ถูก “พลินทร์” เขากล่าวขึ้นด้วยอาการกึ่งปลอบโยนและกึ่งอธิบาย “คุณคงไม่ลืมเสียนะ ว่าอย่างน้อยพวกเราที่นี่ก็ไม่มีใครที่จะคิดหันหลังให้คุณเลย คุณเป็นญาติของ เราสายเลือดน่ะ ตัดกันไม่ขาดหรอกนะพลินทร์”
คำพูดของญาติหนุ่มดูเหมือนจะทำให้พลินทร์ รู้สึกตัวขึ้นมา เสียงของเขาอ่อนลงเมื่อพูดต่อไปว่า
“ผมต้องขอโทษจ้าว ที่พูดเมื่อกี้นี้น่ะ ไม่ทันนึกถึงที่นี่ เห็นจะเป็นเพราะผมนึกอยู่เสมอว่า นอกจากตัวของผมเองแล้ว ก็มีแต่ที่นี่เท่านั้นแหละ ที่ผมอาจพูดอะไรได้ตามใจนึก โดยไม่ต้องคิด แล้วคิดอีกว่าควรหรือไม่ควร”
“คุณทำให้ผมปลื้มใจ” จ้าวศรีฟ้ายิ้มออกมาได้ “แต่นี่ไม่น่าจะเป็นคำพูดออกมาจากปากของพลินทร์ พงศ์รราชเลย มีอย่างรึ พลินทร์ พงศ์ราชจะพูดราวกับไร้ญาติขาดมิตรเสียเต็มที ทั้งๆ ที่ญาติหรือมิตรก็มีออกพร้อมพรั่งบริบูรณ์”
พลินทร์ทำเสียงในคอคล้ายๆ เยาะ “แต่ว่าญาติบางคนของผมน่ะเขาไม่คิดอย่างที่จ้าวคิดหรอก”
“เขาคิดว่าอย่างไร” จ้าวศรีฟ้าซัก
“ก็คิดว่าสายเลือดตัดกันไม่ขาดน่ะซี ญาติบางคนเขาคิดถึงผลประโยชน์ของเขาก่อน เรื่องของสายเลือดมาทีหลัง หรืออาจไม่มาเลยก็ได้ ถ้าหากว่า เลือดนั้นไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่เขา”
“คำพูดของคุณทำให้ผมกระหายอยากรู้ พลินทร์” จ้าวศรีฟ้าพูดไปตามความรู้สึกในขณะนั้น “แต่ผมจะไม่เซ้าซี้ถามคุณหรอก ผมรู้ดีว่าคุณคงจะทรมานใจเต็มทีที่จะต้องพูดถึงใครคนหนึ่งในพงศ์ราชของคุณ ด้วยความละอายและผิดหวัง ผมรู้ว่าคุณผิดหวังและขมขื่นอยู่แล้วในเวลานี้”
“จ้าวเข้าใจผมดีเหลือเกิน” ดวงตาที่พลินทร์มองดูผู้ที่เขาพูดด้วย และน้ำเสียงที่เขาพูดออกมานั้น บ่งบอกถึงความซาบซึ้งอย่างจริงใจ อันเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในตัวของพลินทร์ พงศ์ราช มันจึงถึงกับทำให้จ้าวศรีฟ้าซาบซ่านไปด้วยความปิติ “จ้าวเข้าใจผมดีกว่าที่พวกพงศ์ราชด้วยกันจะเข้าใจผมเสียอีก”
“พลินทร์” จ้าวศรีฟ้า พูดด้วยเสียงหนักแน่น “ถึงแม้ผมจะไม่ใช่พงศ์ราช แต่ผมก็ยังเป็นญาติของคุณอยู่ เลือดในกายของเราต่างก็สืบต่อมาจากเลือดสายเดียวกัน เราเติบโตมาด้วยกัน และเราไม่ใช่แต่จะเป็นญาติกันเท่านั้นนะพลินทร์ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย”
“ผมไม่เคยลืมเลย จ้าว” พลินทร์พึมพำ “และจะไม่มีวันลืมเลย”
“ขอบใจ” ศรีฟ้าพูดยิ้มๆ “แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่คุณก็ไม่ควรลืมเหมือนกัน”
พลินทร์มองมาด้วยสายตาที่แสดงความพิศวง “ใครหรือ” เขาถาม
“คนที่สนิทกับคุณยิ่งกว่าผม” จ้าวศรีฟ้าตอบ “คนที่จะเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นอกเห็นใจคุณยิ่งไปกว่าผม และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“คนๆ นั้นคือใครกันหรือ” พลินทร์ซักอย่างร้อนใจและใคร่รู้ “บอกหน่อยได้ไหม”
“คุณแม่ของคุณไงล่ะ”
จ้าวศรีฟ้ารู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นญาติของเขาผลุดลุกขึ้นยืนในทันทีทันใดพร้อมกับหัวเราะออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา แต่เสียงหัวเราะนั้น ถ้าหูเขาไม่เชือนไป จ้าวหนุ่มแน่ใจว่า เขาได้ยินกังวานแห่งความขมขื่นเจือปนอยู่ด้วย อดมิได้จะต้องถามออกมาว่า
“คุณหัวเราะทำไมพลินทร์ ผมพูดผิดหรือ”
“จ้าวพูดไม่ผิดหรอก” พลินทร์พูดด้วยเสียงแกมหัวเราะ “ถูกละ คุณแม่จะสงสารผมอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ผมไม่ต้องการคนที่สงสารผมหรือรักผมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมต้องการคนที่เข้าใจผม... ผมต้องการคนที่เข้าใจผม... เข้าใจไหมจ้าว”
เสียงของเขารุนแรงและสั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึก จนกระทั่งจ้าวศรีฟ้าตกใจผลุดลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้สึกตัว พลินทร์เสียอีกกลับเป็นฝ่ายที่สังเกตเห็นอากัปกริยาของจ้าวหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านก่อน เขาฝืนหัวเราะออกมาบอกว่า “ผมทำให้จ้าวตกใจแล้วสินะ ช่างเป็นแขกที่เลวจริงๆ ผมนี่”
“บา... พลินทร์” จ้าวศรีฟ้าร้องพร้อมกับหัวเราะ “พบกันคราวนี้ดูอารมณ์คุณจะรุนแรงขึ้นมาก”
“จ้าวควรจะพูดว่า รุนแรงและขมขื่นจึงจะถูกต้อง” พลินทร์แย้ง “แต่ผมช่วยไม่ได้เลยจริงๆ พอเกิดเรื่องพัจนาขึ้น ผมก็ได้ความรู้และความรู้สึกอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ หลายอย่าง อย่างที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อนเลย”
“พัจนา” ศรีฟ้าครางอย่างนึกขึ้นมาได้ “เออ จริงสินะ พัจนาช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน ดูรึคนอื่นเขามาเครื่องบินกันออกโครมๆ ไม่เป็นอะไร พอพัจนามาบ้างเกิดเครื่องบินตกได้”
“เป็นความผิดของผมเองที่ส่งพัจนามา” พลินทร์พูดด้วยเสียงต่ำๆ เสียงแหลมๆ ของพรทิพย์ดังขึ้นมาในหูของเขาอีกแล้ว ศรีฟ้าซึ่งไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยรีบหัวเราะ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นญาติเริ่มจะเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาอีก รีบพูดคล้ายๆ ปลอบว่า
“อย่าโทษตัวเองเลยน่า พลินทร์ คิดมากไปได้ คุณรู้เมื่อไรล่ะว่าเครื่องบินจะตก”
ขณะนั้นคนใช้ผู้ชายคนหนึ่ง ได้หิ้วกระเป๋าเดินทางสองใบของพลินทร์เข้ามาในห้อง จ้าวศรีฟ้าจึงชี้มือให้วางลงบนโต๊ะตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ชิดฝาแล้วจึงหันมาหาพลินทร์ ตบบ่าเบาๆ บอกว่า
“คุณเดินทางมาเหนื่อยๆ พักผ่อนให้สบายเสียก่อนดีกว่า ร่างกายสบายขึ้นจิตใจจะได้ผ่องใสขึ้นด้วย ต้องถือว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณนะ ผมไปละ”
พลินทร์มองตามร่างของญาติที่เดินออกไปจากห้องโดยปิดประตูตามหลังให้อย่างเรียบร้อย เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่าง ทอดสายตาเหม่อมองลงไปยังภูมิภาพเบื้องล่างโดยที่มิได้แลเห็นอะไรเลย เพราะขณะนั้นทั้งจิตใจและสมองของเขากำลังหนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกนานัปการซึ่งยากที่จะอธิบายหรือแยกแยะได้ถูก เขารู้อยู่แต่เพียงอย่างเดียวว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสุขเจือปนอยู่ในความรู้สึกนั้นเลย
นี่หรือคือ พลินทร์ พงศ์ราช ที่คนทั้งหลายพากันคิดและเชื่อว่าช่างมีความสุขและรื่นรมย์ราวกับจ้าวชายคนหนึ่งทีเดียว อาช่างน่าหัวเราะนัก