พลินทร์ พงศ์ราช มาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง ตอนเย็นวันรุ่งขึ้นพร้อมด้วยเลขานุการและทนายความประจำตระกูลของเขาอย่างเงียบๆ ดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่เงียบและเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่เขาจะระลึกได้ ดูคล้ายกับว่ามันจะขาดอะไรไปสักอย่าง ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางที่เขามีความเคยชิน สิ่งนั้นอาจจะเป็นเสียงอึกทึกของการร่ำลา ระคนกับการสรรพยอกหยอกล้อ ด้วยการที่พลินทร์ พงศ์ราชจะเดินทางไปไหนสักแห่ง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ก็ช่างเป็นเรื่องสลักสำคัญเสียเหลือเกิน จนกระทั่งพวกพ้องเพื่อนฝูงจะรู้สึกว่าได้ขาดการปฏิบัติภาระกิจที่สมควรกระทำทีเดียวถ้าหากว่าจะไม่ได้ไปส่งพลินทร์ในการเดินทางแต่ละครั้ง
แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างเงียบกริบราวกับจะต้องถือเอาไว้เป็นความลับ ไม่มีใครได้รับรู้แม้แต่สิวิกา.. เขามีเหตุผลในการที่มิได้แจ้งให้หญิงผู้เป็นที่รับรู้กันแล้วว่าอยู่ในตำแหน่งคู่หมายที่กำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นในเร็วๆ นี้ ได้ทราบถึงการจากไปต่างจังหวัดครั้งนี้ เพราะสาวสวยอย่างสิวิกา เมื่อไปปรากฏร่างขึ้น ณ ที่ใด ก็ย่อมจะเป็นประดุจแม่เหล็กที่ดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้คนที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงนั้นให้มารวมอยู่ที่ตัวหล่อนเป็นจุดเดียวกัน และแน่ละ การเดินทางของเขาก็ย่อมจะเป็นการเดินทางที่เงียบอย่างเป็นการส่วนตัวหรือเป็นการภายในไปไม่ได้ ดังนั้นพลินทร์จึงจำใจต้องใช้วีธีนี้... เขาเชื่อว่าสิวิกาจะต้องเข้าใจดีเมื่อหล่อนได้รับช่อดอกไม้พร้อมด้วยจดหมายชี้แจงเหตุผลในวันรุ่งขึ้น สิวิกาไม่ได้เป็นหญิงที่เอาแต่อารมณ์ของตนเป็นใหญ่ หล่อนจะต้องเชื่อมั่นในเหตุผล หรือจะต้องหัดทำใจให้มีเหตุ สิวิการู้ดีว่าหล่อนจะต้องเป็นสุภาพสตรีคนที่สำคัญที่สุดแห่งสกุลพงศ์ราชที่ยิ่งใหญ่ในวันหนึ่งข้างหน้า มิได้เป็นแต่เพียง “ภรรยา” คนหนึ่งเท่านั้น
เครื่องแต่งกายชุดเดินทางสีน้ำตาลอ่อนเรียบๆ และแว่นตากันแดดสีชาแก่ ช่วยได้ไม่น้อยสำหรับความประสงค์ที่จะไม่ต้องตกเป็นที่สนใจของใครๆ พลินทร์เดินเรื่อยๆ โดยมีเลขานุการผู้เคร่งขรึมและทนายผู้สูงวัย ขนาบสองข้าง ตรงไปยังโบกี้ซึ่งที่นั่งของเขาถูกสำรองไว้ ชายหนุ่มและผู้ที่ติดตามมาส่งหยุดยืนอยู่ใกล้บันไดขึ้นลง
“เหลือเวลาอีก 15 นาทีครับ รถถึงจะออก” ชัช เลขานุการผู้ซึ่งดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะมองดูนาฬิกาแล้วกล่าวขึ้น “ผมจะเอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนรถก่อนนะครับ” ชัชพูดต่อ แล้วโดยไม่คอยฟังคำอนุญาต เขาก็พากระเป๋าเดินทางขนาดย่อมสองใบที่หิ้วมานั้นหายขึ้นไปในรถทันที
พลินทร์มองไปเบื้องหน้า ห่างไปจากที่เขายืนอยู่ประมาณสามสิบก้าว มีบุคคลกลุ่มหนึ่งยืนสนทนากันอยู่ บุคคลกลุ่มนั้นมีจำนวนสามคนด้วยกัน คนเดียวที่เป็นหญิงนั้นแต่งกายด้วยชุดเดินทางสีดำจุดขาว หล่อนตัดผมสั้นจนมองเห็นก้านคอที่เรียวระหง หน้าตาของหล่อนจะเป็นอย่างไรนั้นยากที่เขาจะบอกได้แน่ชัด เพราะว่าขณะนั้นหล่อนได้ปกปิดมันไว้เสียด้วยแว่นตาสีดำอันใหญ่จนไม่อาจจะเห็นดวงตาและช่วงคิ้วของหล่อนได้ แม้กระนั้น รูปร่างอันได้ส่วนสัดงดงามอย่างน่าทึ่ง และผิวเนื้อสีประหลาดของหล่อนก็ยังเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่อยู่ตามบริเวณนั้นมิใช่น้อย พลินทร์ได้ยินชายหนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเขาพูดว่า
“นี่ ใครช่วยไปทำให้แม่สาวคนนั้นแกถอดแว่นตาออกทีเถอะ อั๊วจะยอมเลี้ยงมื้อหนึ่ง อยากเห็นหน้าหล่อนให้เต็มๆ ตาสักหน่อยว่าจะไฉไลสักแค่ไหน”
“อาจจะตาเขก็ได้ ถึงต้องใส่แว่นอันเบ้อเร่อบังเข้าไว้” อีกเสียงออกความเห็น เกือบจะพร้อมกันกับที่อีกเสียงแซงขึ้นว่า
“แต่ที่รู้แน่ก็คือว่าเชพของหล่อนไฉไลแน่นอนที่สุด อย่างนี้ไปเข้าประกวดเทพีอะไรก็กินดิบไปเท่านั้นเอง ผ่าวะ”
คงจะเป็นเพราะคำพูดเหล่านี้เองที่ทำให้พลินทร์เกิดความรู้สึกสนใจในสตรีที่ถูกกล่าวขวัญถึงนั้นขึ้นมาเป็นพิเศษ จนทำให้ความสนใจนั้นแผ่ไปถึงบุรุษอีกสองนายที่ยืนอยู่กับหล่อนด้วย บุรุษหนึ่งแต่งกายแบบลำลองเหมือนชายหนุ่มทั่วไปนิยมแต่งกันโดยมาก คือกางเกงสีเข้มและเสื้อฮาวายลวดลายไม่ฉูดฉาดนัก ส่วนบุรุษอีกนายหนึ่งนั้นแต่งเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยศร้อยเอก หากแต่ว่าในขณะนั้น เขาได้ถอดหมวกออกมาหนีบไว้ที่ข้อใต้ศอกและกำลังพูดคุยกับคนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้นอย่างเพลิดเพลิน จากลักษณะที่เขายืนเอียงหันหน้ามาและรูปหน้าที่ได้เห็นแต่เพียงเสี้ยวนั้นทำให้พลินทร์รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ยังไม่สู้แน่ใจ เขาก้าวเดินเข้าไปใกล้บันไดรถอีกสองก้าว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่หญิงสาวผู้นั้นหันมาเห็นเขาเข้า แม้ว่าหล่อนจะสวมแว่นตาสีดำเข้มจนเขาไม่อาจมองเห็นดวงตาหล่อนได้เช่นนั้นก็ตาม แต่พลินทร์ก็รู้ว่าหล่อนต้องมองดูเขาแน่ เพราะเหตุว่าอีกครู่หนึ่งต่อมา หล่อนได้หันไปพูดอะไรกับชายทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ทั้งสองนั้นหันมามองดู และพลินทร์ก็จำชายที่สวมเครื่องแบบนายร้อยตำรวจเอกผู้นั้นได้ในทันที
“นั่นดูเหมือนจะเป็นลูกชายของคุณพระ”
เขาพูดเรื่อยๆ กับชายชราผู้ที่ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ ชำเลืองแต่หางตาไปทางชายหญิงกลุ่มนั้นและก็ได้เห็นว่าขณะนั้น หญิงสาวผู้นั้นได้หันมาจ้องมองดูเขาอย่างจริงจัง นายตำรวจหนุ่มผู้นั้นได้หันหน้ากลับไปทางโน้นเสียแล้ว คงมีแต่หญิงสาว ผู้นั้นแต่ผู้เดียวที่ยังหันหน้ามาทางเข้าอยู่ พลินทร์รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ หันข้างให้กับสายตาที่เพ่งมองผ่านกระจกสีดำมาทางเขานั้นเสีย
“ไหนครับ เจ้าลูกชายของผม” ทนายความถามพลางเหลียวมองดูโดยรอบ
“นั่นไงครับ” พลินทร์บอกโดยไม่หันหน้าไปมองผู้ที่เขาพูดถึง “ยืนอยู่กับผู้ชายที่ใส่เสื้อฮาวายและผู้หญิงที่สวมแว่นตาสีดำคนนั้น”
“ใช่คุณภิสัชลูกชายคุณพระจริงๆ แหละครับ” ชัชซึ่งลงมาจากรถยืนสำรวมอยู่ข้างหน้านายจ้างตามเดิม กล่าวคำสนับสนุนความเข้าใจของพลินทร์ พระนิตินัยฯ มองตามสายตาของชัชไป แล้วก็พยักหน้ายิ้มรับ
“ใช่จริงๆ นั่นแหละ เจ้าภิสัชของผมจริงๆ”
“คุณภิสัชมากับใครครับนั่น” ชัชถามขึ้นด้วยคำถามที่พลินทร์อยากจะกล่าวคำชมเชยออกมานัก เขาควรจะได้รู้บ้างมิใช่หรือว่าแม่คนที่จ้องมองดูเขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดคนนั้นเป็นใคร แต่ทนายของเขาส่ายหน้า ตอบยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดีตามเคยของท่านว่า
“คงจะเป็นเพื่อนฝูงของเขากระมัง เขามีเพื่อนฝูงมาก ผมจำได้ไม่หมดหรอก”
พลินทร์ถอนใจอย่างผิดหวัง
“เหลือเวลาอีกห้านาที รถจะออกครับ” ชัชทำหน้าที่ของเขาเรื่อยไปอย่างเที่ยงตรง “มีอะไรเกี่ยวกับทางสำนักงานอีกไหมครับ ที่คุณพลินทร์จะสั่งไว้ให้ปฏิบัติในระหว่างที่คุณไม่อยู่”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรแล้ว ตอนนี้ก็มีอยู่แต่เรื่องเหมืองที่เขาจะขายหุ้นเท่านั้น ถ้าเขาเรียกราคาไม่เกินกว่าที่ผมกะเอาไว้ละก็ คุณชัชตกลงซื้อไว้ได้เลย เรื่องสัญญาก็ปรึกษาคุณพระดู เสร็จแล้วค่อยโทรเลขไปบอกผมก็ได้ อ้อ แล้วก็ดอกไม้ที่จะส่งให้สิวิกาทุกเช้าวันอาทิตย์ด้วย อย่าลืมเสีย”
“ผมล่ะ” พระนิตินัยฯ กล่าวยิ้มๆ “คุณพลินทร์ไม่สั่งให้ทำอะไรบ้างหรือ”
“สำหรับคุณพระ ผมต้องขอรบกวนให้หมั่นไปเยี่ยมคุณแม่บ่อยๆ หน่อยครับ ผมเป็นห่วงท่านจริงๆ หมู่นี้รู้สึกว่าท่านไม่ค่อยจะสบายเลย”
อีกครู่เดียวต่อมาก็มีเสียงประกาศเตือนให้ผู้โดยสารขึ้นรถ พลินทร์ลาทนายความและเลขานุการของเขาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะก้าวขึ้นบันได แม้ว่าจะมิได้ตั้งใจมอง เขาก็ยังเห็นภาพที่หญิงสาวผู้นั้นก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดรถ และก้มลงพูดกับนายตำรวจหนุ่มผู้ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองหล่อนด้วยสายตาที่บอกชัดถึงความอาลัยอาวรณ์ หล่อนกำลังจะเดินทางไปโดยรถนี้เช่นกัน อยากรู้จริงว่าจุดหมายปลายทางของหล่อนอยู่ที่ไหน
การพักแรมในรถไฟไม่ใช่ของใหม่สำหรับพลินทร์ แต่กระนั้นเขาก็หลับลงได้โดยยาก น่าประหลาดเหลือเกินที่เจ้าภาพแว่นตาดำอันไม่เล็กนั้นช่างตามมาจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่มิได้ตั้งใจนึกถึงเลย
พลินทร์ ตื่นแต่เช้า หลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงไปที่รถเสบียง หลังจากที่เก็บตัวอยู่กับความคิดมาคนเดียวตลอดคืนแล้วออกมาพบความจอแจ และได้เห็นหน้าผู้คนเสียบ้างก็ออกจะเป็นการดีอยู่ไม่น้อย โชคดีที่ยังมีโต๊ะเหลืออีกโต๊ะหนึ่งพอดี พลินทร์นั่งลงและสั่งอาหารเช้าอย่างง่ายๆ มาสองสิ่ง
ในขณะที่พลินทร์กำลังใช้มีดและซ่อมของเขาอยู่กับอาหารในจาน ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ เยื้องไปทางเบื้องหลังว่า
“ขอประทานโทษครับ ท่าน”
เขาเหลือบมองไปก็เห็นพนักงานรับใช้กำลังยืนก้มตัวอย่างสุภาพอยู่ เมื่อพลินทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นคำถาม พนักงานผู้นั้นก็พูดต่อไปว่า
“ท่านคงจะไม่รังเกียจที่จะให้สุภาพสตรีนั่งร่วมโต๊ะด้วยสักคนนะครับ ไม่มีโต๊ะว่างเหลืออีกเลยจริงๆ”
ยังมิทันที่เขาจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ อีกเสียง ลึก ทุ้ม มีกังวานอันประหลาดก็ดังขึ้นมาว่า
“อย่าไปรบกวนท่านสุภาพบุรุษผู้นี้เลย ฉันยินดีที่จะเลื่อนเวลาอาหารของฉันออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งดีกว่าที่จะต้องรบกวนความสุขของท่าน”
พลินทร์ชะงักมือที่กำลังวุ่นวายอยู่กับมีดและซ่อมทันทีอย่างไม่รู้สึกตัว เขาหันไปทางเสียงนั้นเต็มที่ แล้วก็ได้ประสานกับดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมาสบตาเขา ดวงตาคู่ที่ไร้กระจกสีดำแผ่นใหญ่มาปิดบัง ทำให้พลินทร์ได้มองเห็นความเกลียดชัง เยาะเย้ย ดูถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามประมวลอยู่อย่างชัดแจ้ง กระไรเช่นนั้น มันถึงกับทำให้เขานึ่งขึงตะลึงไปด้วยความพิศวงอัศจรรย์ใจ และก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวถ้อยคำใดออกมา เจ้าของเสียงนั้นก็หมุนร่างกลับ เดินลัดหลีกผู้คนออกไปจากรถเสบียงโดยเร็ว
พลินทร์ยุติอาหารมื้อเช้าของเขาลงเพียงแค่นั้น ขณะที่เดินกลับมายังที่นั่ง เขาอดมิได้ที่จะชำเลืองหาร่างที่ปกคลุมด้วยเครื่องแต่งกายสีดำจุดขาวนั้น หูก็หวังจะได้ยินเสียงที่ลึกทุ้มประหลาดเสียงนั้นดังขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ภายในห้องโดยสารชั้นหนึ่งพิเศษตลอดเวลาก่อนที่จะถึงเชียงใหม่ พลินทร์นั่งลงเงียบขรึมอยู่ที่มุมเก้าอี้ตัวใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะได้ลืมนึกถึงสิ่งอื่นทั้งหมด นอกจากดวงตาคู่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเหยียดหยามคู่นั้นเท่านั้น !
รถด่วนสายเหนือขบวนนั้นแล่นเข้าสู่สถานีปลายทางตรงตามเวลาพอดีไม่ขาดไม่เกินสักนาทีเดียว พลินทร์ยืนอยู่ที่หน้าต่างพลางมองดูผู้คนที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั่นอย่างเบื่อๆ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องฝ่าเสียงอึกทึกจอแจทั้งหลายเข้ามากระทบหูว่า
“พลินทร์ พลินทร์ ผมอยู่ทางนี้”
พลินทร์มองไปตามเสียงเรียกนั้น ก็ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังโบกมือไปมาขณะที่เขาผู้นั้นเดินฝ่าฝูงคนเข้ามาหา อีกครู่เดียวต่อมา บุรุษทั้งสองก็ได้จับมือกันแน่น เป็นการแสดงถึงความสนิทสนมรักใคร่ในกันและกัน
“เป็นไงพลินทร์” สหายของเขากล่าวทักอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “มาคนเดียวหรือนี่ ยังคงเคร่งขรึมอยู่ตามเคยนะ คุณน่ะ”
“คราวนี้มาคนเดียว จ้าวน้องทั้งสองเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดี” เป็นคำตอบที่เขาได้รับ “น้องศรีชลาเข้าครัวทำกับข้าวไว้ต้อนรับคุณเองเทียวนะวันนี้”
“จ้าวศรีธรล่ะ”
“ศรีธรก็อยู่ ตอนนี้มหาวิทยาลัยปิดภาค เขาขึ้นมาทำตัวเป็นคุณหมอใหญ่อยู่ที่นี่ แล้วทางคุณล่ะ คุณป้าสบายดีหรือ”
“ก็อย่างเคยนั่นแหละ”
“แล้วก็คุณ... คุณอะไรนะ อ้อ.. คุณสิวิกาล่ะ เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่ากำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายกันในเร็วๆ นี้ไม่ใช่หรือ”
พลินทร์หัวเราะ “แหมข่าวช่างบินมาเร็วดีจริงนะ ว่าแต่เราจะยืนทักทายถามข่าวคราวกันอยู่บนรถนี่เองหรือจ้าว ลงไปกันสักทีจะดีกว่ากระมัง”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าจ้าวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี บอกว่า “นานๆ ได้พบกันทีมันก็เลยดีใจจนลืมตัวไป มาซี ลงก็ลงกัน”
เขาฉวยกระเป๋าของพลินทร์ขึ้นมาหิ้วไว้ใบหนึ่ง แล้วก้าวยาวๆ นำหน้าออกไปนอกห้อง พลินทร์ จึงหิ้วอีกใบหนึ่งตามออกมา แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่ตรงชานรถเหนือบันไดนั้นเอง เพราะสหายของเขาที่เดินนำหน้าลงไปก่อนนั้นได้หยุดยืนขวางทางขึ้นลงอยู่ และกำลังทักทายกับสตรีผู้หนึ่ง
พลินทร์ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า “มารับใครหรือจ๊ะ คำรส”
“มารับเพื่อนเจ้า” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงชาวเหนือที่ไพเราะหู หล่อนเหลือบของขึ้นมายังพลินทร์ซึ่งยังคงยืนอยู่บนบันได จึงทำให้ผู้ที่กำลังทักทายอยู่กับหล่อนนั้นหันมามองด้วย เขาก้าวหลีกทางไปพร้อมกับบอกว่า
“ลงมาซีพลินทร์” และเมื่อพลินทร์ก้าวลงมายืนอยู่บนพื้นชานชาลาเรียบร้อยแล้ว สหายของเขาก็กล่าวต่อไปว่า “พลินทร์คงยังไม่เคยรู้จักกับคำรส คำรสเป็นญาติของผมเช่นเดียวกับคุณเหมือนกัน แต่คำรสเป็นญาติทางจ้าวแม่... คำรสจ๊ะ นี่เพื่อนและญาติของฉัน เขาจะไปพักอยู่ที่คุ้มด้วยกัน”
พลินทร์ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทาย พร้อมๆ กับที่หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ด้วยท่าทางนุ่มนวลอันดูเหมือน จะเป็นคุณสมบัติของหญิงชาวเหนือทุกคน แล้วหล่อนก็หันไปทางสหายของเขา บอกว่า
“ขอประทานโทษนะคะจ้าว เพื่อนข้าเจ้าโผล่หน้าออกมามองหาอยู่โน่นแล้ว เดี๋ยวมองไม่เห็นข้าเจ้าเขาจะใจเสีย”
หล่อนหันมายิ้มอ่อนๆ กับเขา แทนการขอโทษด้วยวาจา แล้วก็รีบรุดจากไป พลินทร์เห็นสหายของเขามองยิ้มๆ ตามไปอย่างอารมณ์ดี ต่อมา ดูเหมือนรอยยิ้มจะค่อยเลือนหายไป ปรากฏรอยของความสนใจขึ้นมาแทนที่
พลินทร์อดมิได้ที่จะเหลียวมองตามสายตาของเขาไปด้วย เกือบจะสะดุ้งเมื่อได้ประสานกับสายตาคู่เดิมที่ได้จ้องมองดูเขาภายในรถเสบียงเมื่อตอนเช้า มันยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกชนิดเดียวกันนั้นอย่างเต็มบริบูรณ์