หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 8

พลินทร์ พงศ์ราช มาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง ตอนเย็นวันรุ่งขึ้นพร้อมด้วยเลขานุการและทนายความประจำตระกูลของเขาอย่างเงียบๆ   ดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่เงียบและเป็นส่วนตัวที่สุดเท่าที่เขาจะระลึกได้   ดูคล้ายกับว่ามันจะขาดอะไรไปสักอย่าง ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางที่เขามีความเคยชิน  สิ่งนั้นอาจจะเป็นเสียงอึกทึกของการร่ำลา ระคนกับการสรรพยอกหยอกล้อ   ด้วยการที่พลินทร์ พงศ์ราชจะเดินทางไปไหนสักแห่ง   ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล  ก็ช่างเป็นเรื่องสลักสำคัญเสียเหลือเกิน  จนกระทั่งพวกพ้องเพื่อนฝูงจะรู้สึกว่าได้ขาดการปฏิบัติภาระกิจที่สมควรกระทำทีเดียวถ้าหากว่าจะไม่ได้ไปส่งพลินทร์ในการเดินทางแต่ละครั้ง

แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างเงียบกริบราวกับจะต้องถือเอาไว้เป็นความลับ  ไม่มีใครได้รับรู้แม้แต่สิวิกา..     เขามีเหตุผลในการที่มิได้แจ้งให้หญิงผู้เป็นที่รับรู้กันแล้วว่าอยู่ในตำแหน่งคู่หมายที่กำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นในเร็วๆ นี้  ได้ทราบถึงการจากไปต่างจังหวัดครั้งนี้ เพราะสาวสวยอย่างสิวิกา   เมื่อไปปรากฏร่างขึ้น  ณ ที่ใด ก็ย่อมจะเป็นประดุจแม่เหล็กที่ดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้คนที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงนั้นให้มารวมอยู่ที่ตัวหล่อนเป็นจุดเดียวกัน และแน่ละ   การเดินทางของเขาก็ย่อมจะเป็นการเดินทางที่เงียบอย่างเป็นการส่วนตัวหรือเป็นการภายในไปไม่ได้   ดังนั้นพลินทร์จึงจำใจต้องใช้วีธีนี้...     เขาเชื่อว่าสิวิกาจะต้องเข้าใจดีเมื่อหล่อนได้รับช่อดอกไม้พร้อมด้วยจดหมายชี้แจงเหตุผลในวันรุ่งขึ้น สิวิกาไม่ได้เป็นหญิงที่เอาแต่อารมณ์ของตนเป็นใหญ่  หล่อนจะต้องเชื่อมั่นในเหตุผล   หรือจะต้องหัดทำใจให้มีเหตุ  สิวิการู้ดีว่าหล่อนจะต้องเป็นสุภาพสตรีคนที่สำคัญที่สุดแห่งสกุลพงศ์ราชที่ยิ่งใหญ่ในวันหนึ่งข้างหน้า   มิได้เป็นแต่เพียง  “ภรรยา”  คนหนึ่งเท่านั้น

เครื่องแต่งกายชุดเดินทางสีน้ำตาลอ่อนเรียบๆ และแว่นตากันแดดสีชาแก่  ช่วยได้ไม่น้อยสำหรับความประสงค์ที่จะไม่ต้องตกเป็นที่สนใจของใครๆ   พลินทร์เดินเรื่อยๆ โดยมีเลขานุการผู้เคร่งขรึมและทนายผู้สูงวัย  ขนาบสองข้าง  ตรงไปยังโบกี้ซึ่งที่นั่งของเขาถูกสำรองไว้ ชายหนุ่มและผู้ที่ติดตามมาส่งหยุดยืนอยู่ใกล้บันไดขึ้นลง

“เหลือเวลาอีก 15 นาทีครับ  รถถึงจะออก”     ชัช เลขานุการผู้ซึ่งดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะมองดูนาฬิกาแล้วกล่าวขึ้น     “ผมจะเอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนรถก่อนนะครับ”    ชัชพูดต่อ   แล้วโดยไม่คอยฟังคำอนุญาต   เขาก็พากระเป๋าเดินทางขนาดย่อมสองใบที่หิ้วมานั้นหายขึ้นไปในรถทันที

พลินทร์มองไปเบื้องหน้า   ห่างไปจากที่เขายืนอยู่ประมาณสามสิบก้าว  มีบุคคลกลุ่มหนึ่งยืนสนทนากันอยู่  บุคคลกลุ่มนั้นมีจำนวนสามคนด้วยกัน  คนเดียวที่เป็นหญิงนั้นแต่งกายด้วยชุดเดินทางสีดำจุดขาว   หล่อนตัดผมสั้นจนมองเห็นก้านคอที่เรียวระหง หน้าตาของหล่อนจะเป็นอย่างไรนั้นยากที่เขาจะบอกได้แน่ชัด   เพราะว่าขณะนั้นหล่อนได้ปกปิดมันไว้เสียด้วยแว่นตาสีดำอันใหญ่จนไม่อาจจะเห็นดวงตาและช่วงคิ้วของหล่อนได้ แม้กระนั้น รูปร่างอันได้ส่วนสัดงดงามอย่างน่าทึ่ง และผิวเนื้อสีประหลาดของหล่อนก็ยังเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่อยู่ตามบริเวณนั้นมิใช่น้อย   พลินทร์ได้ยินชายหนึ่งในกลุ่มคนที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเขาพูดว่า

“นี่ ใครช่วยไปทำให้แม่สาวคนนั้นแกถอดแว่นตาออกทีเถอะ  อั๊วจะยอมเลี้ยงมื้อหนึ่ง อยากเห็นหน้าหล่อนให้เต็มๆ  ตาสักหน่อยว่าจะไฉไลสักแค่ไหน”

“อาจจะตาเขก็ได้ ถึงต้องใส่แว่นอันเบ้อเร่อบังเข้าไว้”     อีกเสียงออกความเห็น เกือบจะพร้อมกันกับที่อีกเสียงแซงขึ้นว่า

“แต่ที่รู้แน่ก็คือว่าเชพของหล่อนไฉไลแน่นอนที่สุด   อย่างนี้ไปเข้าประกวดเทพีอะไรก็กินดิบไปเท่านั้นเอง ผ่าวะ”

คงจะเป็นเพราะคำพูดเหล่านี้เองที่ทำให้พลินทร์เกิดความรู้สึกสนใจในสตรีที่ถูกกล่าวขวัญถึงนั้นขึ้นมาเป็นพิเศษ   จนทำให้ความสนใจนั้นแผ่ไปถึงบุรุษอีกสองนายที่ยืนอยู่กับหล่อนด้วย บุรุษหนึ่งแต่งกายแบบลำลองเหมือนชายหนุ่มทั่วไปนิยมแต่งกันโดยมาก  คือกางเกงสีเข้มและเสื้อฮาวายลวดลายไม่ฉูดฉาดนัก   ส่วนบุรุษอีกนายหนึ่งนั้นแต่งเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยศร้อยเอก  หากแต่ว่าในขณะนั้น  เขาได้ถอดหมวกออกมาหนีบไว้ที่ข้อใต้ศอกและกำลังพูดคุยกับคนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้นอย่างเพลิดเพลิน   จากลักษณะที่เขายืนเอียงหันหน้ามาและรูปหน้าที่ได้เห็นแต่เพียงเสี้ยวนั้นทำให้พลินทร์รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ยังไม่สู้แน่ใจ เขาก้าวเดินเข้าไปใกล้บันไดรถอีกสองก้าว   ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่หญิงสาวผู้นั้นหันมาเห็นเขาเข้า   แม้ว่าหล่อนจะสวมแว่นตาสีดำเข้มจนเขาไม่อาจมองเห็นดวงตาหล่อนได้เช่นนั้นก็ตาม   แต่พลินทร์ก็รู้ว่าหล่อนต้องมองดูเขาแน่   เพราะเหตุว่าอีกครู่หนึ่งต่อมา  หล่อนได้หันไปพูดอะไรกับชายทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ทั้งสองนั้นหันมามองดู   และพลินทร์ก็จำชายที่สวมเครื่องแบบนายร้อยตำรวจเอกผู้นั้นได้ในทันที

“นั่นดูเหมือนจะเป็นลูกชายของคุณพระ”

เขาพูดเรื่อยๆ กับชายชราผู้ที่ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ  ชำเลืองแต่หางตาไปทางชายหญิงกลุ่มนั้นและก็ได้เห็นว่าขณะนั้น  หญิงสาวผู้นั้นได้หันมาจ้องมองดูเขาอย่างจริงจัง   นายตำรวจหนุ่มผู้นั้นได้หันหน้ากลับไปทางโน้นเสียแล้ว   คงมีแต่หญิงสาว  ผู้นั้นแต่ผู้เดียวที่ยังหันหน้ามาทางเข้าอยู่ พลินทร์รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก   เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ   หันข้างให้กับสายตาที่เพ่งมองผ่านกระจกสีดำมาทางเขานั้นเสีย

“ไหนครับ เจ้าลูกชายของผม”     ทนายความถามพลางเหลียวมองดูโดยรอบ

“นั่นไงครับ”    พลินทร์บอกโดยไม่หันหน้าไปมองผู้ที่เขาพูดถึง     “ยืนอยู่กับผู้ชายที่ใส่เสื้อฮาวายและผู้หญิงที่สวมแว่นตาสีดำคนนั้น”

“ใช่คุณภิสัชลูกชายคุณพระจริงๆ แหละครับ”     ชัชซึ่งลงมาจากรถยืนสำรวมอยู่ข้างหน้านายจ้างตามเดิม กล่าวคำสนับสนุนความเข้าใจของพลินทร์    พระนิตินัยฯ มองตามสายตาของชัชไป  แล้วก็พยักหน้ายิ้มรับ

“ใช่จริงๆ นั่นแหละ  เจ้าภิสัชของผมจริงๆ”

“คุณภิสัชมากับใครครับนั่น”     ชัชถามขึ้นด้วยคำถามที่พลินทร์อยากจะกล่าวคำชมเชยออกมานัก เขาควรจะได้รู้บ้างมิใช่หรือว่าแม่คนที่จ้องมองดูเขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดคนนั้นเป็นใคร   แต่ทนายของเขาส่ายหน้า  ตอบยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดีตามเคยของท่านว่า

“คงจะเป็นเพื่อนฝูงของเขากระมัง  เขามีเพื่อนฝูงมาก  ผมจำได้ไม่หมดหรอก”

พลินทร์ถอนใจอย่างผิดหวัง

“เหลือเวลาอีกห้านาที รถจะออกครับ”     ชัชทำหน้าที่ของเขาเรื่อยไปอย่างเที่ยงตรง    “มีอะไรเกี่ยวกับทางสำนักงานอีกไหมครับ   ที่คุณพลินทร์จะสั่งไว้ให้ปฏิบัติในระหว่างที่คุณไม่อยู่”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรแล้ว  ตอนนี้ก็มีอยู่แต่เรื่องเหมืองที่เขาจะขายหุ้นเท่านั้น  ถ้าเขาเรียกราคาไม่เกินกว่าที่ผมกะเอาไว้ละก็   คุณชัชตกลงซื้อไว้ได้เลย   เรื่องสัญญาก็ปรึกษาคุณพระดู   เสร็จแล้วค่อยโทรเลขไปบอกผมก็ได้   อ้อ   แล้วก็ดอกไม้ที่จะส่งให้สิวิกาทุกเช้าวันอาทิตย์ด้วย อย่าลืมเสีย”

“ผมล่ะ”    พระนิตินัยฯ กล่าวยิ้มๆ     “คุณพลินทร์ไม่สั่งให้ทำอะไรบ้างหรือ”

“สำหรับคุณพระ  ผมต้องขอรบกวนให้หมั่นไปเยี่ยมคุณแม่บ่อยๆ หน่อยครับ  ผมเป็นห่วงท่านจริงๆ   หมู่นี้รู้สึกว่าท่านไม่ค่อยจะสบายเลย”

อีกครู่เดียวต่อมาก็มีเสียงประกาศเตือนให้ผู้โดยสารขึ้นรถ   พลินทร์ลาทนายความและเลขานุการของเขาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะก้าวขึ้นบันได   แม้ว่าจะมิได้ตั้งใจมอง  เขาก็ยังเห็นภาพที่หญิงสาวผู้นั้นก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดรถ   และก้มลงพูดกับนายตำรวจหนุ่มผู้ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองหล่อนด้วยสายตาที่บอกชัดถึงความอาลัยอาวรณ์  หล่อนกำลังจะเดินทางไปโดยรถนี้เช่นกัน  อยากรู้จริงว่าจุดหมายปลายทางของหล่อนอยู่ที่ไหน

การพักแรมในรถไฟไม่ใช่ของใหม่สำหรับพลินทร์   แต่กระนั้นเขาก็หลับลงได้โดยยาก น่าประหลาดเหลือเกินที่เจ้าภาพแว่นตาดำอันไม่เล็กนั้นช่างตามมาจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่มิได้ตั้งใจนึกถึงเลย

พลินทร์ ตื่นแต่เช้า  หลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงไปที่รถเสบียง หลังจากที่เก็บตัวอยู่กับความคิดมาคนเดียวตลอดคืนแล้วออกมาพบความจอแจ และได้เห็นหน้าผู้คนเสียบ้างก็ออกจะเป็นการดีอยู่ไม่น้อย   โชคดีที่ยังมีโต๊ะเหลืออีกโต๊ะหนึ่งพอดี  พลินทร์นั่งลงและสั่งอาหารเช้าอย่างง่ายๆ มาสองสิ่ง

ในขณะที่พลินทร์กำลังใช้มีดและซ่อมของเขาอยู่กับอาหารในจาน  ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ   เยื้องไปทางเบื้องหลังว่า

“ขอประทานโทษครับ   ท่าน”

เขาเหลือบมองไปก็เห็นพนักงานรับใช้กำลังยืนก้มตัวอย่างสุภาพอยู่   เมื่อพลินทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นคำถาม  พนักงานผู้นั้นก็พูดต่อไปว่า

“ท่านคงจะไม่รังเกียจที่จะให้สุภาพสตรีนั่งร่วมโต๊ะด้วยสักคนนะครับ  ไม่มีโต๊ะว่างเหลืออีกเลยจริงๆ”

ยังมิทันที่เขาจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ  อีกเสียง  ลึก  ทุ้ม  มีกังวานอันประหลาดก็ดังขึ้นมาว่า

“อย่าไปรบกวนท่านสุภาพบุรุษผู้นี้เลย   ฉันยินดีที่จะเลื่อนเวลาอาหารของฉันออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งดีกว่าที่จะต้องรบกวนความสุขของท่าน”

พลินทร์ชะงักมือที่กำลังวุ่นวายอยู่กับมีดและซ่อมทันทีอย่างไม่รู้สึกตัว   เขาหันไปทางเสียงนั้นเต็มที่   แล้วก็ได้ประสานกับดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมาสบตาเขา  ดวงตาคู่ที่ไร้กระจกสีดำแผ่นใหญ่มาปิดบัง   ทำให้พลินทร์ได้มองเห็นความเกลียดชัง   เยาะเย้ย   ดูถูกดูหมิ่นและเหยียดหยามประมวลอยู่อย่างชัดแจ้ง กระไรเช่นนั้น   มันถึงกับทำให้เขานึ่งขึงตะลึงไปด้วยความพิศวงอัศจรรย์ใจ และก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวถ้อยคำใดออกมา   เจ้าของเสียงนั้นก็หมุนร่างกลับ เดินลัดหลีกผู้คนออกไปจากรถเสบียงโดยเร็ว

พลินทร์ยุติอาหารมื้อเช้าของเขาลงเพียงแค่นั้น   ขณะที่เดินกลับมายังที่นั่ง   เขาอดมิได้ที่จะชำเลืองหาร่างที่ปกคลุมด้วยเครื่องแต่งกายสีดำจุดขาวนั้น   หูก็หวังจะได้ยินเสียงที่ลึกทุ้มประหลาดเสียงนั้นดังขึ้น  ณ  ที่ใดที่หนึ่ง   ภายในห้องโดยสารชั้นหนึ่งพิเศษตลอดเวลาก่อนที่จะถึงเชียงใหม่   พลินทร์นั่งลงเงียบขรึมอยู่ที่มุมเก้าอี้ตัวใหญ่   ดูเหมือนว่าเขาจะได้ลืมนึกถึงสิ่งอื่นทั้งหมด   นอกจากดวงตาคู่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเหยียดหยามคู่นั้นเท่านั้น !

รถด่วนสายเหนือขบวนนั้นแล่นเข้าสู่สถานีปลายทางตรงตามเวลาพอดีไม่ขาดไม่เกินสักนาทีเดียว  พลินทร์ยืนอยู่ที่หน้าต่างพลางมองดูผู้คนที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั่นอย่างเบื่อๆ   จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องฝ่าเสียงอึกทึกจอแจทั้งหลายเข้ามากระทบหูว่า

“พลินทร์   พลินทร์   ผมอยู่ทางนี้”

พลินทร์มองไปตามเสียงเรียกนั้น  ก็ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังโบกมือไปมาขณะที่เขาผู้นั้นเดินฝ่าฝูงคนเข้ามาหา   อีกครู่เดียวต่อมา   บุรุษทั้งสองก็ได้จับมือกันแน่น   เป็นการแสดงถึงความสนิทสนมรักใคร่ในกันและกัน

“เป็นไงพลินทร์”     สหายของเขากล่าวทักอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส     “มาคนเดียวหรือนี่ ยังคงเคร่งขรึมอยู่ตามเคยนะ คุณน่ะ”

“คราวนี้มาคนเดียว     จ้าวน้องทั้งสองเป็นยังไงบ้าง”

“สบายดี”     เป็นคำตอบที่เขาได้รับ     “น้องศรีชลาเข้าครัวทำกับข้าวไว้ต้อนรับคุณเองเทียวนะวันนี้”

“จ้าวศรีธรล่ะ”

“ศรีธรก็อยู่ ตอนนี้มหาวิทยาลัยปิดภาค   เขาขึ้นมาทำตัวเป็นคุณหมอใหญ่อยู่ที่นี่ แล้วทางคุณล่ะ คุณป้าสบายดีหรือ”

“ก็อย่างเคยนั่นแหละ”

“แล้วก็คุณ...  คุณอะไรนะ   อ้อ..   คุณสิวิกาล่ะ เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่ากำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายกันในเร็วๆ นี้ไม่ใช่หรือ”

พลินทร์หัวเราะ     “แหมข่าวช่างบินมาเร็วดีจริงนะ   ว่าแต่เราจะยืนทักทายถามข่าวคราวกันอยู่บนรถนี่เองหรือจ้าว  ลงไปกันสักทีจะดีกว่ากระมัง”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าจ้าวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี บอกว่า     “นานๆ ได้พบกันทีมันก็เลยดีใจจนลืมตัวไป  มาซี  ลงก็ลงกัน”

เขาฉวยกระเป๋าของพลินทร์ขึ้นมาหิ้วไว้ใบหนึ่ง   แล้วก้าวยาวๆ  นำหน้าออกไปนอกห้อง พลินทร์ จึงหิ้วอีกใบหนึ่งตามออกมา  แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่ตรงชานรถเหนือบันไดนั้นเอง  เพราะสหายของเขาที่เดินนำหน้าลงไปก่อนนั้นได้หยุดยืนขวางทางขึ้นลงอยู่   และกำลังทักทายกับสตรีผู้หนึ่ง

พลินทร์ได้ยินเสียงเขากล่าวว่า    “มารับใครหรือจ๊ะ คำรส”

“มารับเพื่อนเจ้า”     หญิงสาวผู้นั้นกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงชาวเหนือที่ไพเราะหู หล่อนเหลือบของขึ้นมายังพลินทร์ซึ่งยังคงยืนอยู่บนบันได  จึงทำให้ผู้ที่กำลังทักทายอยู่กับหล่อนนั้นหันมามองด้วย เขาก้าวหลีกทางไปพร้อมกับบอกว่า

“ลงมาซีพลินทร์”     และเมื่อพลินทร์ก้าวลงมายืนอยู่บนพื้นชานชาลาเรียบร้อยแล้ว สหายของเขาก็กล่าวต่อไปว่า     “พลินทร์คงยังไม่เคยรู้จักกับคำรส  คำรสเป็นญาติของผมเช่นเดียวกับคุณเหมือนกัน  แต่คำรสเป็นญาติทางจ้าวแม่...   คำรสจ๊ะ   นี่เพื่อนและญาติของฉัน  เขาจะไปพักอยู่ที่คุ้มด้วยกัน”

พลินทร์ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทาย  พร้อมๆ กับที่หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ด้วยท่าทางนุ่มนวลอันดูเหมือน จะเป็นคุณสมบัติของหญิงชาวเหนือทุกคน   แล้วหล่อนก็หันไปทางสหายของเขา บอกว่า

“ขอประทานโทษนะคะจ้าว   เพื่อนข้าเจ้าโผล่หน้าออกมามองหาอยู่โน่นแล้ว  เดี๋ยวมองไม่เห็นข้าเจ้าเขาจะใจเสีย”

หล่อนหันมายิ้มอ่อนๆ กับเขา แทนการขอโทษด้วยวาจา   แล้วก็รีบรุดจากไป   พลินทร์เห็นสหายของเขามองยิ้มๆ ตามไปอย่างอารมณ์ดี   ต่อมา   ดูเหมือนรอยยิ้มจะค่อยเลือนหายไป  ปรากฏรอยของความสนใจขึ้นมาแทนที่

พลินทร์อดมิได้ที่จะเหลียวมองตามสายตาของเขาไปด้วย   เกือบจะสะดุ้งเมื่อได้ประสานกับสายตาคู่เดิมที่ได้จ้องมองดูเขาภายในรถเสบียงเมื่อตอนเช้า   มันยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกชนิดเดียวกันนั้นอย่างเต็มบริบูรณ์

จบบทที่ 8