ในขณะเดียวกันกับที่ผดากำลังเพลิดเพลินอยู่กับความคิดคำนึงของหล่อนนั้น ไกลออกไป ในห้องนอนอันกว้างขวางของพลินทร์ พงศ์ราช ได้พำนักอยู่ ณ คุ้มไศล เจ้าของห้องก็กำลังตกอยู่ในอาการที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนักเหมือนกัน
นั่นคือผู้หญิงที่พัจนาจะแต่งงานด้วย หล่อนช่างมีวาจาทีแสนจะเชือดเฉือนใจคนเสียนี่กระไร คำพูดแต่ละคำของหล่อนนั้นช่างร้ายกาจนัก ดวงตาของหล่อนคอยเฝ้าแต่จะจับจ้องมองดูเขาอย่างเกลียดชังเยาะเย้ยดูถูกเขาสารพัด หล่อนจงใจที่จะว่ากระทบเขาหลายครั้งหลายหน แม้แต่เรื่องเครื่องบิน เขารู้ดีว่าหล่อนตั้งใจจะว่าเขาขี้ขลาดเห็นแก่ตัว เขาให้พัจนามาทางเครื่องบินจนกระทั่งต้องประสบอุบัติเหตุ แต่ตัวเขาเองสิกลับมาทางรถไฟ เขาเป็นไอ้หน้าขี้ขลาดกลัวตาย พลินทร์ พงศ์ราช เป็นไอ้หน้าขี้ขลาด กลัวตาย เห็นแก่ตัว โอ หล่อนช่างร้ายกาจนัก
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ และเสียงจ้าวศรีฟ้าร้องถามเข้ามาว่า
“พลินทร์ คุณนอนแล้วหรือ”
“ยัง” พลินทร์ร้องตอบพร้อมกับเดินไปเปิดประตู จ้าวหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ผมนอนไม่หลับ ถ้าจะไม่ได้พูดกับคุณในคืนนี้” จ้าวศรีฟ้าบอก เขาหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในหมู่ที่ตั้งไว้อีกด้านหนึ่งของห้องตรงข้ามกับเตียง พลินทร์นั่งลงด้วย เอื้อมมือหยิบกล่องบุหรี่บนโต๊ะยืนไปทางสหาย บอกว่า “สูบบุหรี่ซีจ้าว”
จ้าวศรีฟ้าหยิบเอาไปตัวหนึ่ง พลินทร์จุดให้เพื่อนและของตัวเอง หลังจากที่ได้พ่นควันกลุ่มแรกออกมาแล้ว เขาก็มองดูหน้าเพื่อนตรงๆ กล่าวว่า “ผมรู้ว่าจ้าวต้องการจะพูดถึงเรื่องอะไร เรื่องแม่ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”
“ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องคุณผดา” จ้าวศรีฟ้าตอบ สีหน้าเต็มไปด้วยคามหมกมุ่น
“คุณผดา จ้าวช่างเรียกเสียอย่างเพราะพริ้งทะนุถนอมเหลือเกิน จ้าวชอบผู้หญิงคนนี้หรือ”
เขาถามออกไปตรงๆ และจ้าวศรีฟ้าก็ตอบออกมาในทันทีว่า “ผมชอบ”
“ชอบถึงขนาดที่จะแต่งงานด้วยเทียวรึ” พลินทร์ชะโงกกายเข้าไปหา เมื่อถามประโยคนี้ จ้าวศรีฟ้ามองตอบเขาอย่างพิศวงและลังเล นิ่งคิดอยู่เป็นครู่ก่อนที่จะตอบว่า
“ถ้าผมรู้สึกชอบผู้หญิงคนไหนขึ้นมาจริงๆ ผมก็ต้องอยากจะแต่งงานกับเขาแน่นอน”
“แต่จ้าวไม่คิดบ้าง หรือว่ามันรวดเร็วเกินไปที่จ้าวจะชอบผู้หญิงคนนี้ถึงกับคิดจะแต่งงานด้วย”
“ทำไมล่ะพลินทร์ ผมรู้สึกชอบเธอตั้งแต่แรกเห็นทีเดียว”
“แต่จ้าวเพิ่งพบกับหล่อนเพียงสามครั้งเท่านั้นนะ อย่าลืม ครั้งแรกที่สถานีรถไป ครั้งที่สองที่ตลาด และครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม”
“โอ ผมจำได้ดีหรอกน่า” จ้าวศรีฟ้าพูดพลางหัวเราะน้อยๆ “แต่ก็จะแปลกอะไร ถ้าเธอจะยังอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน ผมก็จะต้องได้พบกับเธออีกหลายสิบครั้ง”
พลินทร์หัวเราะ บอกว่า “ขอให้จ้าวได้มีโอกาสที่จะได้พบกับหล่อนอีกหลายสิบครั้งจริงๆ อย่างที่จ้าวคิดเถอะ แต่ผมเกรงใจว่าจ้าวจะเสียท่าหล่อนเสียก่อนน่ะซี”
“พลินทร์” จ้าวศรีฟ้าร้อง มองดูอย่างตกตะลึง”
“จะต้องให้ผมบอกด้วยรึว่าผู้หญิงคนนี้กำลังวางบ่วงจะมัดตัวจ้าวอยู่ พลินทร์พูดต่อไปด้วยเสียงดุดัน” ถูกละ หล่อนเป็นคนสวย ผมยอมรับ แต่หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่ผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายอย่างจ้าวจะแต่งงานด้วย ไม่ใช่ผู้หญิงที่ควรจะถูกยกย่องว่าเป็นภรรยาของใคร”
“พลินทร์” เจ้าของบ้านหนุ่มเรียกซ้ำพลางลุกขึ้นยืน ดวงหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ “ถึงแม้คุณจะเป็นทั้งญาติและเพื่อนที่ผมสนิทสนมด้วยมาตั้งแต่เด็กก็ตาม แต่ผมต้องบอกตามตรงว่า ผมไม่อยากได้ยินคุณพูดถึงสุภาพสตรีด้วยถ้อยคำที่น่าเกลียดอย่างนี้”
“พูดไม่ได้พูดถึงสุภาพสตรี” พลินทร์ลุกขึ้นยืน มองตอบเพื่อนหนุ่มด้วยสายตาที่เคร่งขรึมและจริงจัง “ผมกำลังพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ในสมองเต็มไปด้วยแผนการที่จะจับผู้รวยๆ ให้ได้สักคน ผมไม่ต้องการให้คนที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนที่รักของผมต้องตกไปเป็นเหยื่อของหล่อนอีกคนหนึ่ง”
“อีกคนหนึ่ง” จ้าวศรีฟ้าทวนคำ “นี่หมายความว่ามีญาติและเพื่อนของคุณเคย... เคยเกี่ยวข้องกับคุณผดามาก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ”
เมื่อพลินทร์ก้มศีรษะเป็นการตอบรับ จ้าวหนุ่มก็ถามต่อไปโดยเร็วอย่างร้อนใจว่า “ใครหรือ..บอกผมได้ไหม”
“ผมกำลังจะบอกจ้าวอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ผู้ชายคนนั้นคือพัจนานี่เอง”
“พัจนา” จ้าวศรีฟ้าทวนคำพร้อมกับทรุดนั่งลงอย่างไม่รู้ตัว พลินทร์จึงกลับนั่งลงด้วย
“ถูกแล้ว พัจนา” เขาเน้นด้วยเสียงที่หนักแน่น “ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสีย ป่านนี้เขาก็คงจะแต่งงานกันไปแล้ว พัจนาหลงเสน่ห์หล่อนมากทีเดียวถึงกับไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของพี่น้องเลย นี่เพราะหล่อนคิดว่าพัจนาตายไปแล้วน่ะซี หล่อนจึงต้องแสวงหาเหยื่อใหม่”
“คุณผดาเป็นคู่หมั้นของพัจนา” จ้าวศรีฟ้ากล่าวทวนคล้ายจะพูดกับตัวเอง “จริงหรือพลินทร์ ก็เมื่อคุณผดาเป็นคู่หมั้นของพัจนา ทำไมเมื่อวันที่ผมไปรับคุณที่สถานีรถไฟ คุณถึงได้..”
“ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร” พลินทร์ช่วยต่อประโยคนั้นให้จบ “ก็ผมไม่รู้จริงๆในขณะนั้นว่าหล่อนเป็นใคร ผมและญาติพี่น้องเคยได้ยินแต่ชื่อของหล่อนกับอิทธิพลที่หล่อนมีต่อพัจนาเท่านั้น”
“เพียงแค่นั้นน่ะยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะปรักปรำว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างที่คุณว่านั่นหรอกนะ” จ้าวศรีฟ้าค้านเสียงอ่อนลง “นี่ถ้าเป็นคนอื่นพูดแล้ว ผมคงจะไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง”
“ขอบใจมากที่จ้าวยังคงให้เกียรติผมอยู่เสมอ แต่ว่าแปลกด้วยรึจ้าว” เขามองหน้าเพื่อนยิ้มๆ แล้วพูดต่อไปว่า “แต่มันก็น่าแปลกอยู่หรอก ผมเองก็ยังแทบจะไม่เชื่อหูเมื่อจ้าวแนะนำชื่อของหล่อน ไม่นึกว่าหล่อนจะพลิกตัวได้เร็วถึงขนาดนี้ คิดดูซิ พัจนาประสบอุบัติเหตุเพียงไม่กี่วัน ยังไม่ทันจะรู้แน่ว่าเป็นหรือตายด้วยซ้ำ หล่อนก็ออกเดินทางแสวงหาเหยื่อเสียแล้ว”
“พลินทร์” จ้าวศรีฟ้าเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “ผมยังไม่อยากให้คุณด่วนประณามคุณผดาถึงเพียงนั้น เรายังไม่มีข้อพิสูจน์อะไรเลยว่าเธอจะมาแสวงหาเหยื่ออย่างที่คุณว่า”
“แต่หล่อนก็ยอมให้จ้าวพาลงไปเดินชมสวนได้ง่ายๆ เพียงการพบกันเป็นครั้งที่สองเท่านั้น”
“พลินทร์ น้องศรีชลาเป็นคนคะยั้นคะยอให้คุณผดาลงไปกับผมเอง” แล้วก็ถึงแม้ว่าคุณผดา จะเป็นคู่หมั้นของพัจนาจริงๆ “มันก็ไม่แปลกไม่ใช่รึ ที่เราจะทำความรู้จักสนิทสนมกับเธอ”
“อือ” พลินทร์ทำเสียงเหมือนคราง มองดูจ้าวศรีฟ้าอย่างสงสารและกลุ้มใจปนกัน “นี่ผมจะทำยังไงดีจึงจะทำให้จ้าวเข้าใจ เห็นเจตนาของผู้หญิงคนนี้ได้ เอายังงี้เถอะ ผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างหล่อนและพัจนาให้จ้าวฟัง แล้วจ้าวก็คิดดูเองก็แล้วกันว่าหล่อนเป็นคนอย่างไร”
“แต่คุณจะเล่าได้ยังไง” จ้าวศรีฟ้าแสดงความสงสัย “ในเมื่อคุณเองก็ไม่รู้จักหล่อน คุณเพิ่งจะมารู้ว่าหล่อนเป็นใครก็ต่อเมื่อผมแนะนำขึ้นมาเท่านั้น”
“ผมไม่รู้จักตัวหล่อนน่ะจริงละ” พลินทร์ว่า “แต่สำหรับเรื่องราวที่เกี่ยวกับหล่อนนั้น มันเต็มอยู่สองข้างหูของผมทีเดียว จ้าวคงจำได้นะว่าเมื่อประมาณปีหนึ่งมานี้ พัจนาได้ขับรถไปชนกับรถคันหนึ่ง และเจ้าของรถคันนั้นตาย”
“ผมจำได้ ศรีธรเล่ามาในจดหมาย แต่เรื่องมันก็เงียบไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“เงียบไปในความเข้าใจของพวกเราน่ะซี” พลินทร์พูดพลางหัวเราะคล้ายจะเยาะใครสักคนหนึ่ง “แต่หารู้ไม่หรอกว่าที่แท้นายพัจนาเขาไม่ยอมปล่อยปละละทิ้งเรื่องนี้ เขาเทียวไปเทียวมาเพื่อจะแสดงความเสียอกเสียใจ ขอโทษขอโพยอยู่ตลอดเวลา ผมเองก็ไม่รู้จนกระทั่งพัจนามาบอกกับผมว่า เขาจะแต่งงาน และใครจะเป็นเจ้าสาวของเขารู้ไหม” พลินทร์หยุดพูด ยิ้มเหมือนเยาะมองดูสหาย “ผมจะบอกให้ ก็แม่ลูกสาวของนายคนที่พัจนาขับรถไปชนด้วยนั่นยังไงล่ะ”
“คุณผดา”
“ครับ ถูกแล้ว” พลินทร์ก้มหัวรับ “นางสาวผดา ศาสตรวิจัยคนนี้แหละ มันน่าแปลกไหมล่ะ แต่งงานกับผู้ชายที่ขับรถชนพ่อของตนเองตาย แทนที่จะเจ็บแค้นกลับยอมแต่งงานด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพัจนาเป็นพงศ์ราชแล้ว จ้าวจะให้ผมเข้าใจว่ากระไร”
จ้าวศรีฟ้าถอนใจอย่างหนักหน่วง มิได้ตอบว่าอะไร พลินทร์จึงพูดต่อไปว่า “ผมยอมรับว่าหล่อนเป็นคนสวย และนอกจากนั้นหล่อนยังเป็นคนฉลาดที่รู้จักทำให้ความสวยของหล่อนมีค่าขึ้นมา หล่อนรู้ว่าถึงจะไม่มีพัจนา ก็ยังมีผู้ชายอื่นอีกหลายคนที่เต็มใจยอมเป็นทาสของหล่อน”
“มันจะไม่เป็นการปรักปรำเธอมากไปสักหน่อยหรือพลินทร์ ผมดูๆแล้วก็รู้สึกว่า เธอไม่มีท่าทางว่าจะเป็นคนอย่างที่คุณว่าเลย”
“แต่ผมมีเหตุผลพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีแผนการที่จะจับผู้ชายรวยๆสักคนหนึ่งจริงๆ ฐานะของหล่อนกำลังแย่ ขณะที่กำลังจะแต่งงานกับพัจนานั้น ผมรู้มาว่าหล่อนกำลังจะขายบ้าน เมื่อไม่มีพัจนาเสียแล้วหล่อนก็จำเป็นที่จะคว้าหลักใหม่”
จ้าวศรีฟ้าลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่าทางเงื่องหงอยเต็มไปด้วยความครุ่นคิด พลินทร์ลุกตาม เขาเดินเข้ามาหาญาติหนุ่ม ยกมือขึ้นตบบ่าเบาๆ บอกว่า
“ผมเสียใจที่เอาเรื่องไม่ค่อยน่าฟังมาเล่าให้จ้าวฟัง และเชื่อว่าจ้าวคงจะเล็งเห็นในเจตนาที่แท้จริงของผม ผู้หญิงคนนี้เป็นอันตรายที่ร้ายกาจที่สุด จงอย่าเข้าใกล้หล่อน เชื่อผมเถอะ”
จ้าวศรีฟ้ามิได้ตอบว่ากระไร นอกจากเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ พลินทร์มองตามไปอย่างเห็นใจ ถึงแม้ว่าจ้าวศรีฟ้าจะต้องผิดหวังสักเพียงไรก็ตาม เขาก็คิดว่ายอมให้ผิดหวังเสียในตอนนี้ จะดีกว่าที่จะต้องตกเป็นเหยื่อของพรานสาวคนนั้น ผดา ศาสตรวิจัย หล่อนช่างมีเล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งนัก แต่ตราบใดที่ยังมีพลินทร์ พงศ์ราช เขาก็จะไม่ยอมให้หล่อนมาจูงจมูกคนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติหรือมิตรที่สนิทของเขาไม่ได้อีกเป็นอันขาด
คืนนั้นพลินทร์หลับลงไปในขณะที่ความคิดยังคงหมกมุ่นอยู่ด้วยเรื่องที่เกี่ยวพันกันระหว่างญาติของเขา ตัวเขา โดยมีนางสาวผดา ศาสตรวิจัยนั้นเป็นสื่อเกี่ยวโยงอันสำคัญ ภาพสำนึกครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะหลับลงไป ดูเหมือนจะเป็นดวงตาดำขลับที่เปล่งกระกายเคียดแค้นชิงชังและดูถูกคู่นั้น เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของหล่อนดูเหมือนจะตามเข้าไปรบกวนแม้กระทั่งในความฝัน เสียงนั้นแหลมสูง เหยียดหยามเสียดแทงใจยิ่งนัก
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อลงมาถึงห้องนั่งเล่นข้างล่าง พลินทร์ก็ได้พบจ้าวศรีชลายืนจัดดอกไม้อยู่ที่โต๊ะสูงริมหน้าต่างบานหนึ่ง ใบหน้าของหญิงสาวบอกถึงความไม่สบายใจ ขณะที่เธอกล่าวคำสวัสดีกับเขา
“วันนี้คุณพลินทร์ลงมาสายนะคะ”
พลินทร์เดินเข้าไปยืนเกาะโต๊ะมองดูมือขาวๆที่จับต้องตามก้านใบดอกไม้อย่างชำนาญนั้น ตอบว่า “เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ผมเลยตื่นสาย จ้าวศรีฟ้าไปไหนล่ะครับ”
“จ้าวพี่อยู่ในห้องสมุดค่ะ” จ้าวศรีชลาตอบแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเข้า ดวงตาคู่สีน้ำตาลใสมีแววกังวลนัก “คุณพลินทร์คะ เมื่อเช้านี้จ้าวพี่เล่าให้ดิฉันฟังเรื่องที่คุยกับคุณเมื่อคืนนี้”
“อ๋อ เรื่องของนางสาวผดา ศาสตรวิจัย” พลินทร์พูดเรียบๆ
“ค่ะ เรื่องคุณผดา” หญิงสาวตอบรับ “คุณผดาเล่าให้ดิฉันฟังเหมือนกันว่า เธอกำลังลำบาก”
พลินทร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ถามว่า “อ้อ หล่อนเล่าด้วยหรือครับ แปลกดีนี่ ถ้างั้นก็นับว่าหล่อนใจป้ำมากที่กล้าบอกความจริง”
นั่นยังไม่เป็นเครื่องแสดงอีกหรือคะ ว่าเธอเป็นคนดี” จ้าวศรีชลาค้าน
พลินทร์หัวเราะ “ก็ทำไมจ้าวไม่คิดบ้างล่ะครับว่า เพราะเห็นว่าไม่อาจจะปิดบังความลับไว้ได้แล้ว หล่อนจึงได้ตัดสินใจบอกความจริงออกมาเสียเลย เผื่อบางทีอาจจะเรียกร้องความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจได้บ้างกระมัง”
“แหม คุณพลินทร์” จ้าวศรีชลาร้อง “ดูคุณช่างเกลียดชังคุณผดาเสียจริงๆ จังๆ เชียวนะคะ แต่ถึงอย่างไรดิฉันก็ยังเห็นใจคุณผดา การที่เราเป็นคนจนนั้น ไม่ควรจะถือเอาเป็นความผิดไม่ใช่หรือคะ แล้วก็ยิ่งจนแบบคุณผดา เป็นความจนที่ควรจะภาคภูมิใจมากๆ ทีเดียว คุณผดาจนก็เพราะว่าเธอมีคุณพ่อที่นึกถึงความก้าวหน้าของประเทศชาติ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนใหญ่ของรุ่นหลัง มากกว่าจะคิดถึงความสุขของตัวเอง”
พลินทร์มองดูผู้พูดอย่างขบขัน และประหลาดใจ แล้วก็พูดด้วยเสียงงหัวเราะว่า
“ผมสงสัยจริงว่าแม่ผู้หญิงคนนั้นเอานิทานอะไรมาเล่าให้จ้าวฟัง”
“ถ้าเป็นนิทานก็คงจะไม่มีข้อพิสูจน์ใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามพร้อมกับมองดูหน้าเขาอย่างจะคาดคั้นขอคำตอบ พลินทร์จึงก้มศีรษะรับบอกว่า
“ใช่ครับถ้าเป็นนิทานก็ไม่มีข้อพิสูจน์”
“แต่นี่คุณจะพิสูจน์ความจริงที่คุณผดาพูดได้โดยไม่ยากเลย” ศรีชลาพูดอย่างมีชัย “ถ้าเพียงแต่คุณจะลงไปกรุงเทพฯ ไปดูด้วยตาของคุณเองให้เห็นว่า มีหอทดลองวิทยาศาสตร์ที่รังสิตจริงหรือไม่เท่านั้น”
“หอทดลองวิทยาศาสตร์ที่รังสิต” พลินทร์อุทานออกมาอย่างลืมตัว ทันใดความคิดก็ประวัติไปถึงภาพอาคารที่มีลักษณะทรงกลมเหมือนกระบอกที่ตั้งสูงขึ้นไปในอากาศเห็นเด่นขึ้นมาเหนือแมกไม้ ส่วนยอดเว้าแหว่งราวกับถูกพายุพัดทำลาย เขานึกถึงแม้กระทั่งคำพูดที่เขากล่าวกับสิวิกาในวันนั้น หอทดลองวิทยาศาสตร์ที่รังสิตมาเกี่ยวข้องอะไรกับน้องสาว ผดา ศาสตรวิจัยคนนี้ เขาได้ยินเสียงหญิงสาวเล่าต่อไปว่า
“หอทดลองนั้นเป็นของคุณพ่อคุณผดาสร้างไว้ค่ะ แต่ยังไม่ทันเสร็จท่านก็เสียไปก่อน”
“พ่อเขาตายเพราะอะไรครับ” พลินทร์ได้ยินเสียงของตนเองถามออกไปเหมือนคนใจลอย
“เอ๊ะ คุณพลินทร์คะ” เสียงของจ้าวศรีชลาแสดงถึงความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ดูคุณใจลอยๆอย่างไรก็ไม่รู้ ก็คุณบอกจ้าวพี่เองไม่ใช่หรือคะว่าพัจนา...”
“อ้อ.. อ้อ..” พลินทร์รีบรับคำโดยเร็ว “ผมทราบแล้ว แล้วเขาบอกว่าเขาจะทำอย่างไรกับหอนั้นต่อไป”
“คุณผดาบอกว่า เธอจะต้องทำงานต่อจากคุณพ่อของเธอให้สำเร็จให้ได้ค่ะ คุณพลินทร์อยากทราบไปทำไมคะ”
จ้าวศรีชลาจัดดอกไม้เสร็จแล้ว แต่ยังมิได้เก็บรวบรวมก้านและใบที่เธอตัดทิ้งไว้นั้นเข้าด้วยกัน เพราะขณะนั้นเธอกำลังสนใจในเรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่ พลินทร์สบตาหญิงสาว พูดเรียบๆ และเคร่งขรึมว่า “ผมได้เห็นหอทดลองที่ว่านั่นแล้วครับจ้าว” เขาเห็นดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลงขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่เธอยังไม่ทันจะพูดว่าอะไร เพราะเขาได้พูดต่อไปเสียก่อนว่า “ยอดยังสร้างไม่เสร็จ ขณะนี้กำลังมีคนพยายามซื้อที่แปลงนั้นอยู่”
“คุณผดาคงไม่ยอมหรอกค่ะ” จ้าวศรีชลาพูดอย่างมั่นใจ
“แต่พวกพี่น้องของเขาล่ะ” พลินทร์แย้ง
จ้าวศรีชลาบอกว่า “ไม่ใช่พวกหรอกค่ะ คุณผดามีพี่ชายคนเดียว และพี่ชายของคุณผดาก็มีความคิดเหมือนน้องสาว คือไม่ยอมขายที่นี้แน่นอน เอ...” หญิง สาวหญิงลากเสียง มองหน้าเขาอย่างพิจารณา “ดูคุณพลินทร์สนใจเรื่องนี้มากนะคะ”
พลินทร์ทำเป็นไม่เอาใจใส่ในกิริยาอาการและน้ำเสียงนั้น ถามต่อไปว่า
“เขาบอกหรือเปล่าว่าพ่อของเขาชื่ออะไร” ศรีชลาสั่นศีรษะน้อยๆ ตอบว่า “ไม่ได้บอกหรอกค่ะ คุณผดาเล่าแต่ว่า คุณพ่อของเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงตัวเธอก็เป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์เหมือนกัน ที่ต้องออกจากมหาวิทยาลัยเสียกลางคันก็เพราะว่า....”
“พ่อตาย” พลินทร์ต่อ “ใช่ไหมครับ”
จ้าวศรีชลาไม่ทันจะตอบรับก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินดังก้องเข้ามา