พลินทร์ พงศ์ราช ค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ จริงดังที่พรทิพย์บอก เขามองเห็นสตรีสาวสองนางกำลังเดินออกมาหยุดที่ประตูห้องโถงซึ่งเปิดออกมาสู่ลานหินนี้ สตรีนางหนึ่งแต่งกายด้วยพัสตราภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ แสงไฟอันสว่างไสวที่สาดออกมาจากภายในส่องต้องอาภรณ์ที่หุ้มห่อร่างของหล่อนอยู่นั้น มองดูโปร่งใสและเบาบาง วับแวมไปทั้งตัวด้วยดิ้นและเลื่อม และในขณะที่หล่อนยืนเป็นสง่าอยู่ภายใต้ประตูโค้งบานมหึมาที่ประดับด้วยเกล็ดกระจกอย่างวิจิตรประณีต ซึ่งทำให้ภาพของหล่อนดูประดุจเจ้าหญิงในเทพนิยายปรัมปรามากกว่าที่จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อเหมือนอย่างหญิงสาวทั่วไป ความพิลาสพิไลของหล่อนนั้นช่างเลิศล้ำนัก เลิศล้ำพอที่จะข่มหญิงอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนเคียงข้างหล่อนอยู่นั้นให้ด้อยลงถนัดใจ
สตรีสาวผู้เลอโฉมหยุดยืนนิ่งอยู่เพียงอึดใจเดียวก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ อาการเคลื่อนไหวของหล่อนงดงามเป็นสง่า แต่ก็ดูคล่องแคล่วรวดเร็ว อาภรณ์อันบางเบาที่หล่อนสวมอยู่นั้นลู่ลงและบานออกทุกย่างก้าว ชายแพรอันโปร่งบางปลิวไสว และความรวดเร็วสม่ำเสมอของการเคลื่อนไหวทำให้มองดูราวกับว่าหล่อนได้เลื่อนลอยเข้ามาตามสายลมกระนั้น พลินทร์ แม้ว่าจะเพลิดเพลินอยู่กับการจ้องมองภาพนั้น ก็ยังไม่วายที่จะได้ยินเสียงถอนใจอันยาวลึกอยู่ในทรวงอกของผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา และล่วงรู้ถึงความรู้สึกของญาติของเขาได้ดี และก็ไม่ยอมละเลยที่จะซ้ำเติมความรู้สึกนั้นด้วยอาการยิ้มเยาะและคำพูดที่ว่า
“ถูกแล้วครับ นั่นสิวิกาแน่ทีเดียว ไม่มีผู้หญิงที่ไหนอีกแล้วที่จะมีบุคลิกลักษณะน่าดูเหมาะสมที่จะมาเป็นคุณผู้หญิงของ เทพสถิต ได้เท่าเธอจริงไหมครับ คุณพี่”
พรทิพย์ไม่ได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มหยันบนริมฝีปากของเขา หล่อนจึงไม่เกิดความคิดที่จะโต้ตอบถ้อยคำนั้น จนกระทั่งสตรีทั้งสองเดินมาถึง และมีเสียงทักที่แสนไพเราะดังขึ้นว่า
“โอ พลินทร์จริงๆ นั่นแหละ คุณหนีมาทำอะไรอยู่ที่นี่นะคะ อุ๊ยตาย” หล่อนหยุดชะงักนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อไปว่า “คุณพี่พรทิพย์ก็อยู่ด้วย ขอประทานโทษนะคะที่ดิฉันมองไม่เห็นในทีแรก”
“คุณใหญ่กับพี่ยืนคุยกันอยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ” พรทิพย์พูดขึ้นทันที่ด้วยเสียงของคนที่เจนจัดอยู่ในวงสังคมนับเป็นสิบๆ ปี “กำลังพูดถึงเธออยู่เทียวค่ะ คุณสิวิกาน้องรัก”
“พูดถึงดิฉันหรือคะ” หล่อนทวนคำ ยกพัดสีขาวเล่มน้อย แวววับไปด้วยเกล็ดเพชรที่ถือคลี่อยู่ในมือขึ้นแตะคาง เอียงคอน้อยๆ หันมาทางชายหนุ่ม ทำตาโตอย่างฉงนฉงายเมื่อถามว่า “กำลังนินทาอะไรดิฉันอยู่นะคะ พลินทร์”
ชายหนุ่มทำเสียงหัวเราะหึๆ อยู่ในคอ ในขณะที่พี่สาวของเขากุลีกุจอตอบเสียเองว่า
“นินทาหรือคะ โธ่เอ่ย ใครจะนินทาคนที่มีทั้งความสวยและความน่ารักอย่างคุณสิวิกาได้ลงคอ เรากำลังพูดถึงเรื่องที่คุณกับคุณใหญ่ตกลงจะหมั้นกันในวันที่ยี่สิบนี่หรอกค่ะ พี่เลยขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีเสียด้วย และขอบอกด้วยใจจริงว่า ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับคุณใหญ่เท่าเธออีกด้วยในโลกนี้”
คราวนี้พลินทร์ขัดขึ้นมาอย่างหน้าเฉย ตาเฉยว่า “มันออกจะเป็นคำพูดที่ยกย่องผมเกินไปสักหน่อยกระมังครับ ที่ถูกคุณพี่ควรจะพูดว่า ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกนี้อีกแล้วที่เหมาะสมแก่ตำแหน่งคุณผู้หญิงของเทพสถิตนี้เท่าสิวิกาต่างหาก”
“แหม นี่พูดอะไรกันไม่ทราบคะ ออกจะทำให้ดิฉันชักอายขึ้นมาเสียแล้วซี”
หญิงสาวบ่นเพราะไม่รู้นัยของคำพูดของชายผู้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นของหล่อนในเวลาอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า “แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ต้องกราบขอบพระคุณคุณพี่ค่ะ และเชื่อว่าเรา... คุณพลินทร์และดิฉันคงตัดสินใจไม่ผิดเป็นแน่ แต่เรายังไม่ได้บอกใครสักคนเดียวนะคะ คิดว่าจะส่งการ์ดเชิญเลี้ยงฉลองหมั้นก่อนวันงานสักสามวันเท่านั้น หวังว่าคงจะไม่มีใครบ่นกันใหญ่โตเรื่องไม่มีเสื้อจะใส่”
“โอ้ย ต้องบ่นกันวุ่นวายแน่ละค่ะ” พรทิพย์ต่ออย่างพลอยรู้สึกสนุกสนานไปด้วย “มีอย่างที่ไหน คุณพลินทร์ พงศ์ราช จะหมั้นกับคุณสิวิกา ราชเสนา ทั้งที แล้วจะไม่ให้โอกาส ญาติมิตรได้เตรียมตัวแสดงความยินดีด้วยอย่างเต็มที่ ใครๆ คงจะน้อยใจกันแย่ละ จริงไหมคะเธอ”
ประโยคสุดท้าย หล่อนหันไปพูดกับหญิงสาวซึ่งยืนอยู่เยื้องไปทางเบื้องหลังของสิวิกาเล็กน้อย ทำให้ผู้ที่ถูกถามซึ่งกำลังยืนฟังการสนทนาโต้ตอบอย่างเพลิดเพลินนั้นสะดุ้งขึ้นเกือบจะทั้งตัว ด้วยมิได้คาดหมายว่าจะมีคำถามวกมาลงที่ตัวอย่างทันทีทันใดเช่นนั้น เจ้าหล่อนมิได้ตอบประการใดนอกจากหัวเราะอายๆ
พรทิพย์พยายามเพ่งพินิจดูหน้าของหญิงสาวผู้นั้นอย่างละเอียดลออ แต่ทว่าที่ตรงนั้นไม่มีแสงสว่างมากพอที่จะทำให้หล่อนได้รับความพึงพอใจนัก หล่อนได้เห็นแต่ใบหน้าขาวเกลี้ยงๆ ลักษณะคล้ายรูปหัวใจซึ่งปราศจากสีสันของการประเทืองความงามให้เพิ่มขึ้น รูปทรงไม่สูงระหงโปร่งบางอย่างสิวิกา ออกจะค่อนข้างท้วมเล็กน้อย หล่อนสวมชุดราตรีที่ตัดด้วยแพรแข็งๆ มันๆ สีชมพูหม่นแบบเปิดคอกว้าง ทำให้มองเห็นแผ่นเนื้ออันอาบเต็มที่ช่วงบ่าและอกได้ถนัด
ช่างอวบอิ่มสมวัยสาวกำดัดแท้ พรทิพย์นึกอยู่ในใจ แล้วก็ลงความเห็นว่ายังอ่อนนัก อ่อนทั้งวัยและอ่อนทั้งการสังคม นี่น่ะหรือคือหญิงที่สิวิกาและพลินทร์ปรารถนาจะให้พัจนาเลือกเอาไว้เป็นคู่ครอง ก็ไม่เลวนักหรอก ข้อสำคัญที่ทำให้พรทิพย์รู้สึกสนใจเป็นพิเศษก็คือที่รอบคอ รอบแขน และที่หูของแม่สาวน้อยผู้นี้หล่อนช่างแพรวพราวไปด้วยแสงเพชรงามจับตานัก
เจ้าพัจนาหน้าโง่ พรทิพย์นึกสมน้ำหน้าอยู่ในใจ สันดานก็คงจะเหมือนแม่ของมันนั้นแหละ คนต่ำก็อดที่จะชอบของต่ำเหมือนกันไม่ได้
แต่ครั้นเมื่อคิดไปอีกแง่หนึ่ง ใจหนึ่งของพรทิพย์ก็ให้นึกเสียดายอยู่ครามครัน ถึงอย่างไร พัจนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นน้องร่วมบิดาของหล่อน ถ้าหากว่าเขาได้แต่งงานกับแม่สาวหน้าซื่อแต่แพรวพราวไปด้วยแสงเพชรผู้นี้แล้ว พัจนา ก็ย่อมจะอยู่ในฐานะที่หล่อนพอจะอาศัยเกาะยึดได้บ้างเป็นครั้งคราวมิใช่หรือ มันคงสะดวกใจดีกว่าที่หล่อนจะติดพึ่งญาติผู้เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งยโส และวาจาอันแสนจะเหน็บแนมให้รู้สึกแสบๆ ร้อนๆ อย่าง นายพลินทร์ พงศ์ราช ผุ้นี้เป็นแน่
“นงพะงาแกขี้อายอยู่สักหน่อยค่ะ” สิวิกา พูดพลางหัวเราะน้อยๆ ใช้ปลายพัดเขี่ยที่ปลายคางของผู้ที่หล่อนกล่าวชื่ออย่างสัพยอก “คืนนี้เลยติดพี่เป็นลูกแหง่ไปเสียแล้วหรือยังไงจ๊ะเธอ ใครชวนไปทางไหนก็ไม่ยอมไป ไม่นึกอยากจะไปดูเขาลอยกระทงที่เรือนแพกันบ้างหรือไงจ๊ะ
“เออ จริงซีคะ อยากไปไหม” พรทิพย์รีบต่อคำของสิวิกาทันที “ถ้าอยากไปละก็ไปกับพี่ก็ได้ พี่กำลังคิดจะไปดูๆ เขาอยู่เหมือนกันทีเดียว ถ้าเธอไม่กลัวว่าไปกับคนแก่จะเหงาละก็”
“แหม อะไรคะ คุณพี่น่ะหรือคะแก่” สิวิกาหุบพัดที่ถืออยู่ ใช้ปลายพัดกดเบาๆ ที่ไหล่ของเด็กสาว ออกแรงดันเล็กน้อยเมื่อบอกว่า “ไปเป็นเพื่อนคุณพี่หน่อยนะจ๊ะ นงพะงา มางานอย่างนี้เธอไม่ควรจะเกาะแจอยู่แต่กับพี่คนเดียว มันน่าเกลียด พี่ไม่อยากให้ใครๆ หัวเราะเยาะเอาได้ว่า น้องของพี่เข้าสมาคมไม่เป็น ไปซีจ๊ะ”
เด็กสาวทำท่าอิดเอื้อน อีก เล็กน้อย แล้วเดินตามพรทิพย์ไปโดยดี สิวิกามองตามจนคนทั้งสองลงบันไดไปแล้วจึงได้หันมาทางชายหนุ่ม ถามว่า
“เป็นยังไงคะ
“ดูเป็นคนหัวอ่อนพอใช้” พลินทร์บอก
“อุ๊ย ลูกเขาว่านอนสอนง่ายออกจะตายไปค่ะ คุณเห็นว่าแกเหมาะกับน้องชายของคุณไหมคะ พลินทร์”
“ไม่เหมาะแน่” เป็นคำตอบที่รวดเร็วและเด็ดขาดยิ่งนัก “ผู้ชายอย่างนายพัจนาของผมต้องได้ผู้หญิงที่แข็งกว่าจึงจะเอาไว้อยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิวิกาที่รัก ผมรู้สึกเห็นใจและขอบใจในความหวังดีของเธอมาก ผมเองก็ชอบและต้องการญาติผู้นี้ของเธอไว้ในตำแหน่งน้องสะใภ้ของผมไม่น้อย”
“แต่เมื่อนิสัยไม่ถูกกันแล้ว คุณคิดหรือคะว่าน้องของดิฉันจะได้รับความสุข ดิฉันชักจะไม่สบายใจเสียแล้วซิคะ พลินทร์” หญิงสาวว่า น้ำเสียงของหล่อนบอกถึงความกังวลอย่างแท้จริง “นงพงาแกเพิ่งจะเต็มสิบแปดเท่านั้น ยังเด็กเกินกว่าที่จะทนอะไรๆ ได้”
“ข้อนั้นขอให้ไว้วางใจเถอะ ตราบใดที่ผมยังอยู่ ตราบนั้นน้องของเธอจะไม่ได้รับการข่มเหงรุกรานจากผู้ใดเลย แต่อันที่จริงก็ไม่น่าวิตกอะไร พัจนาเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ของตัวเองดีทีเดียว ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้เขา ผละจากแม่ผู้หญิงคนนั้นหันมาทางนี่ได้น่ะซิ”
“คุณไม่สามารถจะจัดการอย่างไรได้แล้วหรือคะพลินทร์”
ประโยคนั้นหลุดออกไปจากปากแล้ว สิวิกาจึงสำนึกขึ้นมาได้ด้วยความตกใจว่าคนอย่างพลินทร์ พงศ์ราช ย่อมไม่ชอบที่จะได้ยินได้ฟังคำถามเป็นเชิง ปรามาส ความสามารถของเขาเช่นนี้เป็นแน่ และก็จริงอย่างที่หล่อนคาดคิด ด้วยลักษณะที่ชายหนุ่มยืนหันหน้าเข้าสู่แสงไฟ สิวิกาจึงเห็นหัวคิ้วอันดกดำของเขา ที่ขมวดเข้าหากัน และดวงตาที่เป็นประกายวับขึ้นมาทันที่อย่าง หยิ่งผยองและถือดีได้ถนัดแก่ตา
“คนอย่างผมไม่เคยท้อถอยยอมหมดความสามารถง่ายๆ” เขาพูดห้วนๆ ตามอารมณ์ที่บังเกิดขึ้น “ผมเพียงแต่ต้องการจะหาวิธีที่นุ่มนวลสักหน่อยเท่านั้น แต่เมื่อไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะต้องใช้ความรุนแรง ผมก็จะทำละ”
พูดจบเขาก็หันหน้าออกข้างนอกเสียทันที สิวิกา ลอบถอนใจ หล่อนรู้ตัวดีว่าหล่อนไม่ควรจะพูดออกมาเช่นนั้น หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปยืนเคียงข้างเขา เอนศีรษะลงเคลียกับบ่าของเขา อย่างประจบเอาใจ นิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่งจึงพูดว่า
“ดิฉันก็ได้พยายามที่จะทำทุกอย่างแล้วเหมือนกัน นงพงาไม่ได้เป็นผู้หญิงคนแรกที่ดิฉันอยากให้พัจนาทำความสนิทสนมคุ้นเคยด้วย แต่พัจนาก็ไม่แยแสเสียเลย ยิ่งกว่านั้นยังได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยง ทำท่าคล้ายจะดูถูกเอาเสียด้วยซ้ำ ดูซีคะ อย่างงานคืนนี้ พัจนาน่าจะอยู่ร่วมสนุกกับเรา แต่เขาก็ไม่ยอมอยู่ คุณบอกให้เขาทราบหรือเปล่าคะ พลินทร์ ว่างานนี้น่ะ เราตั้งใจจัดขึ้นเพื่อเขาแท้ๆ”
“ถ้าผมบอกเขา คุณคิดรึว่าเขาจะยอมอยู่” เสียงของเขาบอกความรำคาญโดยที่ไม่พยายามปิดบัง “มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้นายพัจนาปรากฏตัวในงานคืนนี้ด้วย นั่นก็คือเราต้องเชิญแม่เจ้าประคุณของเขามาในงานนี่ด้วยเท่านั้น”
“เออ จริงซีนะคะ” สิวิกาอุทานอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้น “ทำไมคุณจึงไม่คิดที่จะให้พัจนาพาผู้หญิงของเขามาในงานที่นี่ด้วยล่ะคะ พลินทร์ อย่างน้อยๆ มันก็ยังจะทำให้พวกเราได้เห็นได้รู้บ้างว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนอย่างไร หรือบางที แม่ผู้หญิงคนนั้นอาจจะประหม่าและครั่นคร้ามจนทำให้หล่อนปล่อยมือจากพัจนาก็ได้”
“ไม่มีวันเสียละ เรื่องที่แม่นั่นจะยอมปล่อยมือจากพัจนา ยิ่งมาเห็นอย่างนี้เข้าสิจะยิ่งบีบหัวนายนั่นให้มั่นมือเข้าอีก แล้วใครล่ะที่จะเป็นฝ่ายได้รับการดูถูกเหยียดหยามยิ่งขึ้นอีก ไม่มีใครนอกจากนายพัจนาเท่านั้น เพื่อนๆ ของเธอ ตลอดจนแขกเหรื่อที่มาในงาน จะต้องพากันหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนานที่ นายพัจนาไปคว้าเอายายแร้งทึ้งอะไรมาออกงาน สำหรับผม เมื่อคนใดคนหนึ่งที่เป็นพงศ์ราชถูกหัวเราะเยาะ ผมต้องถือว่าคนทั้งสกุลได้พลอยถูกหัวเราะเยาะไปด้วย อีกอย่างหนึ่ง มันน่าขันเสียนี่กระไร ถ้าจะมีบัตรเชิญในนามของ พลินทร์ พงศ์ราช ส่งไปยังนางสาวผดา ศาสตรวิจัย เพื่อขอเชิญมาเป็นเกียรติในงาน ณ บ้าน เทพสถิต... เป็นเกียรติ....” เขาทำเสียงคล้ายหัวเราะเยาะอยู่ในคอ “เพียงแต่นึกถึง ผมก็ทนไม่ได้เสียแล้ว”
“คุณว่าเขาชื่ออะไรนะคะ ผดา... ผดาอะไรนะคะ ดิฉันฟังไม่ถนัด”
“ผดา ศาสตรวิจัย” เขาเน้นทุกพยางค์ด้วยเสียงหนักๆ แล้วต่อด้วยเสียงเยาะนิดๆ ว่า “เป็นไง ฟังดูแล้วพอจะเดาได้ไหมว่าหล่อนมาจากสกุลเก่าแก่สกุลไหนบ้าง”
“เอ นามสกุลนี้ ดิฉันรู้สึกว่าจะเคยได้ยินมาจากที่ไหนบ้างแล้วก็ไม่รู้ เอ.. จำไม่ได้เสียแล้ว แต่ก็ฟังดูก็ไม่น่าเกลียดอะไรนี่คะ”
“ผมไม่สนใจหรอกว่าสกุลของหล่อนจะเป็นอย่างไร ผมสนใจแต่ว่า เดี๋ยวนี้ นางสาวผดา คนนี้ กำลังวิ่งเต้นจะขายบ้านขายช่องอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็แปลว่าหล่อนมีเจตนาที่จะจับนายพัจนาให้อยู่มือ เอาไว้เป็นหลักเกาะ เป็นหมูให้หล่อนเถือมากกว่าที่จะรักใคร่ใยดีอะไรจริงจัง ผมแปลเจตนาของหล่อนออก ผมเกลียดผู้หญิงพรรค์อย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่คนที่ชื่อ ผดา ศาสตรวิจัย คนนี้”
ใครเลยจะโง่พอที่จะกล้าคัดค้านคำพูด และความคิดเห็นของคนอย่างพลินทร์ได้ สิวิกาก็เช่นเดียวกัน หล่อนมิได้พูดว่ากระไรต่อไปอีก นอกจากนิ่งเสียเป็นเชิงเห็นด้วย เมื่อสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเขาค่อยราบเรียบลงแล้ว หญิงสาวก็เอ่ยขึ้น เป็นการเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปทางอื่นว่า
“แม่น้ำคืนนี้สวยเหลือเกินนะคะ พลินทร์ คุณไม่นึกอยากจะลอยกระทงกับเขาบ้างหรือคะ”
พลินทร์เหลือบตาลงมามองดูดวงหน้าอันงามแฉล้มที่กำลังเงยแหงนขึ้นมองดูเขาอยู่นั้น แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาด้วยความพึงใจ และนิยม ชมเชยในความงามที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเสียมิได้ ผู้หญิงอย่างสิวิกานี้สิ ที่ควรจะได้รับความนิยมยกย่องอย่างแท้จริง ดูหล่อนช่างงามจับตาจับใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถอย่างใด
“ตามใจเธอ” เขาคล้อยตาม “อันที่จริงผมก็ ออกมายืนอยู่ที่นี่นานนักหนาแล้ว เปลี่ยนที่เสียบ้างก็ดี ป่านนี้ใครๆ อาจจะถามหากันแล้วก็ได้ กระทงอยู่ที่ไหนเล่า ผมจะไปเอามาให้”
“โอ อย่าเลยค่ะ” หญิงสาวรีบยึดแขนเขาไว้โดยเร็วเมื่อเห็นเขาขยับจะก้าวเดิน “คุณหยิบไม่ถูกหรอก ดิฉันเอาไปแอบไว้ทางหลังบ้าน ไม่อยากให้พวกนั้นล้อ คุณคอยอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันค่ะ ดิฉันจะไปหยิบเอง”
หล่อนหมุนกายออกเดินอย่างกระปรี้กระเปร่าไปทันทีที่พูดจบ ครู่ใหญ่ก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระทงเย็บด้วยกาบพลับพลึงสีขาวสะอาดเป็นรูปสำเภาลำน้อย งามวิจิตรประณีตเหมือนกันมิผิดเพี้ยนทั้งสองลำ แต่ลำหนึ่งนั้นปักเทียนสีขาวไว้ทั้งหัวและท้าย ส่วนอีกลำหนึ่ง เทียนที่ปักไว้นั้นเป็นสีแดง สิวิกาส่งให้พลินทร์รับไปถือไว้ทั้งสองลำ บอกพร้อมกับหัวเราะว่า
“ของสิวิกา เทียนสีขาว ของคุณสีแดง”
“นี่จะมาเกณฑ์ให้ผมเป็นพวกแดงหรือยังไง” เขาถามอย่างสัพยอก “ถ้าพวกนั้นมาจริง ผมคงจะเป็นคนหนึ่งในจำนวนแรกที่ถูกเล่นงานแน่นอน”
“โธ่ เปล่าหรอกค่ะ ดิฉันเพียงแต่ต้องการจะให้มันเป็นเครื่องสังเกตให้เห็นความแตกต่างกันเท่านั้น จะได้เห็นได้ง่ายไงคะ แล้วเราจะได้เสี่ยงทายกัน”
“จะไปกันเดี๋ยวนี้ไม่ใช่หรือ”
“ไปค่ะ อุ๊ย พลินทร์ เดี๋ยวก่อนคะ อย่าไปที่เรือนแพเลย คนมากนัก แล้วก็พวกนั้นน่ะล้อกันเก่งออกจะตาย เราไปที่บันไดเล็กริมเขื่อนดีกว่าค่ะ”
สิวิกายกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เดินตัดสนามนำหน้าเขาไปยังบันไดหินริมเขื่อน ซึ่งทำไว้สำหรับให้คนใช้ในบ้านใช้เป็นที่อาบน้ำหรือตักน้ำใช้ในบางโอกาส เมื่อมายืนอยู่ด้วยกันบนเขื่อนเหนือชั้นบันไดแล้ว หล่อนก็หันไปรับสำเภาทั้งสองลำจากชายหนุ่มมาถือไว้ แล้วบอกให้เขาจุดเทียนและธูป แล้วสิวิกาก็ส่งลำที่ปักเทียนสีแดงให้เขา บอกว่า
“อธิษฐานสิคะ”
“อธิษฐานว่าอย่างไรเล่า” เขาถาม ดวงตาส่งประกายล้อเลียนและขบขันอย่างแจ่มชัดอยู่ในแสงไฟที่ลุกเรืองอยู่เหนือลำเทียนเล่มน้อยนั้น “อธิษฐานเผื่อผมด้วยก็แล้วกัน ผมอธิษฐานไม่เป็น”
สิวิกาค้อนเขาด้วยท่าทางกระชด กระช้อยน่าดู เมื่อพูดอย่างงอนๆ ว่า “ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย ก็อธิษฐานว่าถ้าอนาคตของเราจะอยู่ร่วมกันตลอดไปละก็ ขอให้เรือของเราทั้งสองลำลอยคู่กันไปตามน้ำจนถึงที่สุดซีคะ เถอะค่ะ เมื่อพลินทร์อธิษฐานไม่เป็น สิวิกาก็จะทำเอง คุณยืนอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน”
พลินทร์ยืนอมยิ้มอยู่ในหน้า มองดูคนรักยกมือที่ประคองลำสำเภานั้นขึ้นชูไว้แค่อกในท่าคล้ายจะพนม หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลืมขึ้น หันมายิ้มกับเขา พยักชวนว่า”
“ลงมาซิคะ เรามาปล่อยให้มันลอยออกไปพร้อมกัน”
“ระวังนะ บันไดลื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้” เขาเตือนพลางถือสำเภาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นโอบไปรอบเอวหญิงสาว ค่อยๆ ประคองพาลงบันไดหินไปด้วยกัน เมื่อก้าวลงมาถึงบันไดขึ้นที่อยู่พ้นน้ำล่างสุดแล้ว ทั้งคู่ก็ก้มลงลอยลำสำเภาลงบนสายน้ำ แล้วจึงลุกขึ้นยืนเคียงกันเฝ้ามองดูสำเภาน้อยที่ลอยคู่กันห่างออกไปช้าๆ ตามแรงพาของกระแสน้ำ สำเภาทั้งสองลำลอยคู่กันไปได้หน่อยหนึ่ง เจ้าลำที่มีเทียนสีแดงก็ปะทะกับผักตบชวาน้อยๆ กอหนึ่งเข้า ทำให้มันต้องติดอยู่กับที่ประเดี๋ยวหนึ่ง แม้จะไม่นานนัก แต่ก็นานพอที่จะทำให้กระแสน้ำพาคู่ของมันที่มีเทียนสีขาวจุดไว้สว่างเรืองๆ นั้น ลอยล่องแยกไปไกล และมันเองก็ค่อยๆ เคลื่อนต่อไปพร้อมกับสวะน้อยกอนั้น
พลินทร์มองหน้าหญิงสาว และเมื่อได้เห็นดวงหน้าที่งามแฉล้มนั้นสลดลงแกมขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ก็อมยิ้มอย่างขบขัน เขาโอบแขนไปรอบเอวบางของหล่อน ดึงร่างระหงนั้นเข้ามาชิดอย่างปลอบใจ พูดว่า
“ลำของผมไปลิ่วๆ โน่นแล้วเห็นไหม สิวิกา แต่ของคุณสิ มัวเถลไถลอยู่กับเจ้าสวะเล็กๆ กอนั้น เธอจะว่าอย่างไร”
“ใช่เมื่อไหร่ล่ะคะ ลำของสิวิกาต่างหากที่นำหน้าไปนั่น ของคุณสิที่ติดสวะไป พลินทร์คะ คุณคิดบ้างไหมว่า....”
“คิดเหลวไหลเป็นเด็กสิบขวบหรือ” เขาดักคอ “ไปคิดทำไมในเรื่องไร้สาระอย่างนี้ให้มันเสียเวลา มันเป็นเพียงการเสี่ยงทายเล่นสนุกๆ เท่านั้นเองหรอกนะ สิวิกา ผมอยากจะให้เธอจำไว้ว่าอะไรก็จะมามีอำนาจเหนือเราไม่ได้ มาเถอะครับ ขึ้นไปสมทบกับคนอื่นๆ เขาที่เรือนแพหรือที่บนตึกดีกว่า มาซีครับ คนสวยของผม”
สิวิกายอมให้เขาโอบเอวเธอพาเดินกลับขึ้นบันไดอย่างว่าง่าย แต่ก็ยังไม่วายที่จะหันกลับไปมองออกไปยังท้องน้ำอีกครั้งหนึ่ง บ่นว่า
“แหม สิวิกาเกลียดไอ้สวะบ้าๆ กอนั้นจริงเชียว โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้”