หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 2

พลินทร์ พงศ์ราช ค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ   จริงดังที่พรทิพย์บอก   เขามองเห็นสตรีสาวสองนางกำลังเดินออกมาหยุดที่ประตูห้องโถงซึ่งเปิดออกมาสู่ลานหินนี้   สตรีนางหนึ่งแต่งกายด้วยพัสตราภรณ์สีขาวบริสุทธิ์   แสงไฟอันสว่างไสวที่สาดออกมาจากภายในส่องต้องอาภรณ์ที่หุ้มห่อร่างของหล่อนอยู่นั้น   มองดูโปร่งใสและเบาบาง  วับแวมไปทั้งตัวด้วยดิ้นและเลื่อม  และในขณะที่หล่อนยืนเป็นสง่าอยู่ภายใต้ประตูโค้งบานมหึมาที่ประดับด้วยเกล็ดกระจกอย่างวิจิตรประณีต ซึ่งทำให้ภาพของหล่อนดูประดุจเจ้าหญิงในเทพนิยายปรัมปรามากกว่าที่จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อเหมือนอย่างหญิงสาวทั่วไป   ความพิลาสพิไลของหล่อนนั้นช่างเลิศล้ำนัก   เลิศล้ำพอที่จะข่มหญิงอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนเคียงข้างหล่อนอยู่นั้นให้ด้อยลงถนัดใจ

สตรีสาวผู้เลอโฉมหยุดยืนนิ่งอยู่เพียงอึดใจเดียวก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้   อาการเคลื่อนไหวของหล่อนงดงามเป็นสง่า แต่ก็ดูคล่องแคล่วรวดเร็ว   อาภรณ์อันบางเบาที่หล่อนสวมอยู่นั้นลู่ลงและบานออกทุกย่างก้าว   ชายแพรอันโปร่งบางปลิวไสว   และความรวดเร็วสม่ำเสมอของการเคลื่อนไหวทำให้มองดูราวกับว่าหล่อนได้เลื่อนลอยเข้ามาตามสายลมกระนั้น   พลินทร์ แม้ว่าจะเพลิดเพลินอยู่กับการจ้องมองภาพนั้น ก็ยังไม่วายที่จะได้ยินเสียงถอนใจอันยาวลึกอยู่ในทรวงอกของผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา และล่วงรู้ถึงความรู้สึกของญาติของเขาได้ดี   และก็ไม่ยอมละเลยที่จะซ้ำเติมความรู้สึกนั้นด้วยอาการยิ้มเยาะและคำพูดที่ว่า

“ถูกแล้วครับ   นั่นสิวิกาแน่ทีเดียว   ไม่มีผู้หญิงที่ไหนอีกแล้วที่จะมีบุคลิกลักษณะน่าดูเหมาะสมที่จะมาเป็นคุณผู้หญิงของ เทพสถิต ได้เท่าเธอจริงไหมครับ คุณพี่”

พรทิพย์ไม่ได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มหยันบนริมฝีปากของเขา   หล่อนจึงไม่เกิดความคิดที่จะโต้ตอบถ้อยคำนั้น จนกระทั่งสตรีทั้งสองเดินมาถึง   และมีเสียงทักที่แสนไพเราะดังขึ้นว่า

“โอ พลินทร์จริงๆ นั่นแหละ   คุณหนีมาทำอะไรอยู่ที่นี่นะคะ  อุ๊ยตาย”     หล่อนหยุดชะงักนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อไปว่า    “คุณพี่พรทิพย์ก็อยู่ด้วย ขอประทานโทษนะคะที่ดิฉันมองไม่เห็นในทีแรก”

“คุณใหญ่กับพี่ยืนคุยกันอยู่ที่นี่นานแล้วค่ะ”     พรทิพย์พูดขึ้นทันที่ด้วยเสียงของคนที่เจนจัดอยู่ในวงสังคมนับเป็นสิบๆ ปี     “กำลังพูดถึงเธออยู่เทียวค่ะ   คุณสิวิกาน้องรัก”

“พูดถึงดิฉันหรือคะ”     หล่อนทวนคำ ยกพัดสีขาวเล่มน้อย แวววับไปด้วยเกล็ดเพชรที่ถือคลี่อยู่ในมือขึ้นแตะคาง   เอียงคอน้อยๆ หันมาทางชายหนุ่ม  ทำตาโตอย่างฉงนฉงายเมื่อถามว่า     “กำลังนินทาอะไรดิฉันอยู่นะคะ พลินทร์”

ชายหนุ่มทำเสียงหัวเราะหึๆ อยู่ในคอ   ในขณะที่พี่สาวของเขากุลีกุจอตอบเสียเองว่า

“นินทาหรือคะ  โธ่เอ่ย ใครจะนินทาคนที่มีทั้งความสวยและความน่ารักอย่างคุณสิวิกาได้ลงคอ   เรากำลังพูดถึงเรื่องที่คุณกับคุณใหญ่ตกลงจะหมั้นกันในวันที่ยี่สิบนี่หรอกค่ะ   พี่เลยขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีเสียด้วย   และขอบอกด้วยใจจริงว่า ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับคุณใหญ่เท่าเธออีกด้วยในโลกนี้”

คราวนี้พลินทร์ขัดขึ้นมาอย่างหน้าเฉย ตาเฉยว่า     “มันออกจะเป็นคำพูดที่ยกย่องผมเกินไปสักหน่อยกระมังครับ   ที่ถูกคุณพี่ควรจะพูดว่า  ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกนี้อีกแล้วที่เหมาะสมแก่ตำแหน่งคุณผู้หญิงของเทพสถิตนี้เท่าสิวิกาต่างหาก”

“แหม   นี่พูดอะไรกันไม่ทราบคะ   ออกจะทำให้ดิฉันชักอายขึ้นมาเสียแล้วซี”

หญิงสาวบ่นเพราะไม่รู้นัยของคำพูดของชายผู้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นของหล่อนในเวลาอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า     “แต่ถึงอย่างไรก็ตาม   ดิฉันก็ต้องกราบขอบพระคุณคุณพี่ค่ะ     และเชื่อว่าเรา...   คุณพลินทร์และดิฉันคงตัดสินใจไม่ผิดเป็นแน่   แต่เรายังไม่ได้บอกใครสักคนเดียวนะคะ   คิดว่าจะส่งการ์ดเชิญเลี้ยงฉลองหมั้นก่อนวันงานสักสามวันเท่านั้น หวังว่าคงจะไม่มีใครบ่นกันใหญ่โตเรื่องไม่มีเสื้อจะใส่”

“โอ้ย  ต้องบ่นกันวุ่นวายแน่ละค่ะ”     พรทิพย์ต่ออย่างพลอยรู้สึกสนุกสนานไปด้วย    “มีอย่างที่ไหน   คุณพลินทร์ พงศ์ราช   จะหมั้นกับคุณสิวิกา   ราชเสนา ทั้งที   แล้วจะไม่ให้โอกาส ญาติมิตรได้เตรียมตัวแสดงความยินดีด้วยอย่างเต็มที่   ใครๆ คงจะน้อยใจกันแย่ละ   จริงไหมคะเธอ”

ประโยคสุดท้าย หล่อนหันไปพูดกับหญิงสาวซึ่งยืนอยู่เยื้องไปทางเบื้องหลังของสิวิกาเล็กน้อย ทำให้ผู้ที่ถูกถามซึ่งกำลังยืนฟังการสนทนาโต้ตอบอย่างเพลิดเพลินนั้นสะดุ้งขึ้นเกือบจะทั้งตัว   ด้วยมิได้คาดหมายว่าจะมีคำถามวกมาลงที่ตัวอย่างทันทีทันใดเช่นนั้น   เจ้าหล่อนมิได้ตอบประการใดนอกจากหัวเราะอายๆ

พรทิพย์พยายามเพ่งพินิจดูหน้าของหญิงสาวผู้นั้นอย่างละเอียดลออ   แต่ทว่าที่ตรงนั้นไม่มีแสงสว่างมากพอที่จะทำให้หล่อนได้รับความพึงพอใจนัก   หล่อนได้เห็นแต่ใบหน้าขาวเกลี้ยงๆ ลักษณะคล้ายรูปหัวใจซึ่งปราศจากสีสันของการประเทืองความงามให้เพิ่มขึ้น  รูปทรงไม่สูงระหงโปร่งบางอย่างสิวิกา   ออกจะค่อนข้างท้วมเล็กน้อย   หล่อนสวมชุดราตรีที่ตัดด้วยแพรแข็งๆ มันๆ สีชมพูหม่นแบบเปิดคอกว้าง   ทำให้มองเห็นแผ่นเนื้ออันอาบเต็มที่ช่วงบ่าและอกได้ถนัด

ช่างอวบอิ่มสมวัยสาวกำดัดแท้   พรทิพย์นึกอยู่ในใจ   แล้วก็ลงความเห็นว่ายังอ่อนนัก   อ่อนทั้งวัยและอ่อนทั้งการสังคม   นี่น่ะหรือคือหญิงที่สิวิกาและพลินทร์ปรารถนาจะให้พัจนาเลือกเอาไว้เป็นคู่ครอง   ก็ไม่เลวนักหรอก   ข้อสำคัญที่ทำให้พรทิพย์รู้สึกสนใจเป็นพิเศษก็คือที่รอบคอ   รอบแขน และที่หูของแม่สาวน้อยผู้นี้หล่อนช่างแพรวพราวไปด้วยแสงเพชรงามจับตานัก

เจ้าพัจนาหน้าโง่   พรทิพย์นึกสมน้ำหน้าอยู่ในใจ   สันดานก็คงจะเหมือนแม่ของมันนั้นแหละ   คนต่ำก็อดที่จะชอบของต่ำเหมือนกันไม่ได้

แต่ครั้นเมื่อคิดไปอีกแง่หนึ่ง   ใจหนึ่งของพรทิพย์ก็ให้นึกเสียดายอยู่ครามครัน   ถึงอย่างไร  พัจนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นน้องร่วมบิดาของหล่อน   ถ้าหากว่าเขาได้แต่งงานกับแม่สาวหน้าซื่อแต่แพรวพราวไปด้วยแสงเพชรผู้นี้แล้ว   พัจนา ก็ย่อมจะอยู่ในฐานะที่หล่อนพอจะอาศัยเกาะยึดได้บ้างเป็นครั้งคราวมิใช่หรือ   มันคงสะดวกใจดีกว่าที่หล่อนจะติดพึ่งญาติผู้เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งยโส และวาจาอันแสนจะเหน็บแนมให้รู้สึกแสบๆ ร้อนๆ อย่าง  นายพลินทร์ พงศ์ราช ผุ้นี้เป็นแน่

“นงพะงาแกขี้อายอยู่สักหน่อยค่ะ”     สิวิกา พูดพลางหัวเราะน้อยๆ   ใช้ปลายพัดเขี่ยที่ปลายคางของผู้ที่หล่อนกล่าวชื่ออย่างสัพยอก     “คืนนี้เลยติดพี่เป็นลูกแหง่ไปเสียแล้วหรือยังไงจ๊ะเธอ   ใครชวนไปทางไหนก็ไม่ยอมไป   ไม่นึกอยากจะไปดูเขาลอยกระทงที่เรือนแพกันบ้างหรือไงจ๊ะ

“เออ จริงซีคะ อยากไปไหม”   พรทิพย์รีบต่อคำของสิวิกาทันที   “ถ้าอยากไปละก็ไปกับพี่ก็ได้ พี่กำลังคิดจะไปดูๆ เขาอยู่เหมือนกันทีเดียว   ถ้าเธอไม่กลัวว่าไปกับคนแก่จะเหงาละก็”

“แหม อะไรคะ   คุณพี่น่ะหรือคะแก่”   สิวิกาหุบพัดที่ถืออยู่   ใช้ปลายพัดกดเบาๆ ที่ไหล่ของเด็กสาว   ออกแรงดันเล็กน้อยเมื่อบอกว่า   “ไปเป็นเพื่อนคุณพี่หน่อยนะจ๊ะ   นงพะงา มางานอย่างนี้เธอไม่ควรจะเกาะแจอยู่แต่กับพี่คนเดียว   มันน่าเกลียด พี่ไม่อยากให้ใครๆ หัวเราะเยาะเอาได้ว่า น้องของพี่เข้าสมาคมไม่เป็น ไปซีจ๊ะ”

เด็กสาวทำท่าอิดเอื้อน อีก เล็กน้อย   แล้วเดินตามพรทิพย์ไปโดยดี   สิวิกามองตามจนคนทั้งสองลงบันไดไปแล้วจึงได้หันมาทางชายหนุ่ม ถามว่า

“เป็นยังไงคะ

“ดูเป็นคนหัวอ่อนพอใช้”     พลินทร์บอก

“อุ๊ย   ลูกเขาว่านอนสอนง่ายออกจะตายไปค่ะ   คุณเห็นว่าแกเหมาะกับน้องชายของคุณไหมคะ พลินทร์”

“ไม่เหมาะแน่”     เป็นคำตอบที่รวดเร็วและเด็ดขาดยิ่งนัก     “ผู้ชายอย่างนายพัจนาของผมต้องได้ผู้หญิงที่แข็งกว่าจึงจะเอาไว้อยู่   แต่ถึงอย่างไรก็ตาม   สิวิกาที่รัก ผมรู้สึกเห็นใจและขอบใจในความหวังดีของเธอมาก   ผมเองก็ชอบและต้องการญาติผู้นี้ของเธอไว้ในตำแหน่งน้องสะใภ้ของผมไม่น้อย”

“แต่เมื่อนิสัยไม่ถูกกันแล้ว คุณคิดหรือคะว่าน้องของดิฉันจะได้รับความสุข   ดิฉันชักจะไม่สบายใจเสียแล้วซิคะ พลินทร์”     หญิงสาวว่า   น้ำเสียงของหล่อนบอกถึงความกังวลอย่างแท้จริง     “นงพงาแกเพิ่งจะเต็มสิบแปดเท่านั้น   ยังเด็กเกินกว่าที่จะทนอะไรๆ ได้”

“ข้อนั้นขอให้ไว้วางใจเถอะ   ตราบใดที่ผมยังอยู่   ตราบนั้นน้องของเธอจะไม่ได้รับการข่มเหงรุกรานจากผู้ใดเลย   แต่อันที่จริงก็ไม่น่าวิตกอะไร   พัจนาเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ของตัวเองดีทีเดียว   ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้เขา ผละจากแม่ผู้หญิงคนนั้นหันมาทางนี่ได้น่ะซิ”

“คุณไม่สามารถจะจัดการอย่างไรได้แล้วหรือคะพลินทร์”

ประโยคนั้นหลุดออกไปจากปากแล้ว   สิวิกาจึงสำนึกขึ้นมาได้ด้วยความตกใจว่าคนอย่างพลินทร์ พงศ์ราช ย่อมไม่ชอบที่จะได้ยินได้ฟังคำถามเป็นเชิง ปรามาส ความสามารถของเขาเช่นนี้เป็นแน่ และก็จริงอย่างที่หล่อนคาดคิด   ด้วยลักษณะที่ชายหนุ่มยืนหันหน้าเข้าสู่แสงไฟ สิวิกาจึงเห็นหัวคิ้วอันดกดำของเขา ที่ขมวดเข้าหากัน  และดวงตาที่เป็นประกายวับขึ้นมาทันที่อย่าง หยิ่งผยองและถือดีได้ถนัดแก่ตา

“คนอย่างผมไม่เคยท้อถอยยอมหมดความสามารถง่ายๆ”     เขาพูดห้วนๆ ตามอารมณ์ที่บังเกิดขึ้น     “ผมเพียงแต่ต้องการจะหาวิธีที่นุ่มนวลสักหน่อยเท่านั้น แต่เมื่อไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะต้องใช้ความรุนแรง ผมก็จะทำละ”

พูดจบเขาก็หันหน้าออกข้างนอกเสียทันที   สิวิกา ลอบถอนใจ   หล่อนรู้ตัวดีว่าหล่อนไม่ควรจะพูดออกมาเช่นนั้น   หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปยืนเคียงข้างเขา   เอนศีรษะลงเคลียกับบ่าของเขา อย่างประจบเอาใจ  นิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่งจึงพูดว่า

“ดิฉันก็ได้พยายามที่จะทำทุกอย่างแล้วเหมือนกัน   นงพงาไม่ได้เป็นผู้หญิงคนแรกที่ดิฉันอยากให้พัจนาทำความสนิทสนมคุ้นเคยด้วย   แต่พัจนาก็ไม่แยแสเสียเลย ยิ่งกว่านั้นยังได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยง   ทำท่าคล้ายจะดูถูกเอาเสียด้วยซ้ำ   ดูซีคะ   อย่างงานคืนนี้ พัจนาน่าจะอยู่ร่วมสนุกกับเรา   แต่เขาก็ไม่ยอมอยู่   คุณบอกให้เขาทราบหรือเปล่าคะ พลินทร์ ว่างานนี้น่ะ   เราตั้งใจจัดขึ้นเพื่อเขาแท้ๆ”

“ถ้าผมบอกเขา คุณคิดรึว่าเขาจะยอมอยู่” เสียงของเขาบอกความรำคาญโดยที่ไม่พยายามปิดบัง “มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้นายพัจนาปรากฏตัวในงานคืนนี้ด้วย นั่นก็คือเราต้องเชิญแม่เจ้าประคุณของเขามาในงานนี่ด้วยเท่านั้น”

“เออ จริงซีนะคะ”     สิวิกาอุทานอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้น    “ทำไมคุณจึงไม่คิดที่จะให้พัจนาพาผู้หญิงของเขามาในงานที่นี่ด้วยล่ะคะ  พลินทร์ อย่างน้อยๆ มันก็ยังจะทำให้พวกเราได้เห็นได้รู้บ้างว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนอย่างไร   หรือบางที แม่ผู้หญิงคนนั้นอาจจะประหม่าและครั่นคร้ามจนทำให้หล่อนปล่อยมือจากพัจนาก็ได้”

“ไม่มีวันเสียละ   เรื่องที่แม่นั่นจะยอมปล่อยมือจากพัจนา   ยิ่งมาเห็นอย่างนี้เข้าสิจะยิ่งบีบหัวนายนั่นให้มั่นมือเข้าอีก   แล้วใครล่ะที่จะเป็นฝ่ายได้รับการดูถูกเหยียดหยามยิ่งขึ้นอีก   ไม่มีใครนอกจากนายพัจนาเท่านั้น  เพื่อนๆ ของเธอ ตลอดจนแขกเหรื่อที่มาในงาน จะต้องพากันหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนานที่   นายพัจนาไปคว้าเอายายแร้งทึ้งอะไรมาออกงาน   สำหรับผม   เมื่อคนใดคนหนึ่งที่เป็นพงศ์ราชถูกหัวเราะเยาะ   ผมต้องถือว่าคนทั้งสกุลได้พลอยถูกหัวเราะเยาะไปด้วย   อีกอย่างหนึ่ง มันน่าขันเสียนี่กระไร ถ้าจะมีบัตรเชิญในนามของ   พลินทร์ พงศ์ราช  ส่งไปยังนางสาวผดา   ศาสตรวิจัย   เพื่อขอเชิญมาเป็นเกียรติในงาน ณ บ้าน เทพสถิต... เป็นเกียรติ....”     เขาทำเสียงคล้ายหัวเราะเยาะอยู่ในคอ     “เพียงแต่นึกถึง ผมก็ทนไม่ได้เสียแล้ว”

“คุณว่าเขาชื่ออะไรนะคะ   ผดา... ผดาอะไรนะคะ ดิฉันฟังไม่ถนัด”

“ผดา ศาสตรวิจัย”     เขาเน้นทุกพยางค์ด้วยเสียงหนักๆ แล้วต่อด้วยเสียงเยาะนิดๆ ว่า    “เป็นไง ฟังดูแล้วพอจะเดาได้ไหมว่าหล่อนมาจากสกุลเก่าแก่สกุลไหนบ้าง”

“เอ นามสกุลนี้ ดิฉันรู้สึกว่าจะเคยได้ยินมาจากที่ไหนบ้างแล้วก็ไม่รู้   เอ.. จำไม่ได้เสียแล้ว   แต่ก็ฟังดูก็ไม่น่าเกลียดอะไรนี่คะ”

“ผมไม่สนใจหรอกว่าสกุลของหล่อนจะเป็นอย่างไร   ผมสนใจแต่ว่า   เดี๋ยวนี้ นางสาวผดา คนนี้ กำลังวิ่งเต้นจะขายบ้านขายช่องอยู่   เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็แปลว่าหล่อนมีเจตนาที่จะจับนายพัจนาให้อยู่มือ  เอาไว้เป็นหลักเกาะ   เป็นหมูให้หล่อนเถือมากกว่าที่จะรักใคร่ใยดีอะไรจริงจัง   ผมแปลเจตนาของหล่อนออก   ผมเกลียดผู้หญิงพรรค์อย่างนี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่คนที่ชื่อ   ผดา ศาสตรวิจัย คนนี้”

ใครเลยจะโง่พอที่จะกล้าคัดค้านคำพูด และความคิดเห็นของคนอย่างพลินทร์ได้   สิวิกาก็เช่นเดียวกัน   หล่อนมิได้พูดว่ากระไรต่อไปอีก   นอกจากนิ่งเสียเป็นเชิงเห็นด้วย เมื่อสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเขาค่อยราบเรียบลงแล้ว   หญิงสาวก็เอ่ยขึ้น เป็นการเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปทางอื่นว่า

“แม่น้ำคืนนี้สวยเหลือเกินนะคะ พลินทร์   คุณไม่นึกอยากจะลอยกระทงกับเขาบ้างหรือคะ”

พลินทร์เหลือบตาลงมามองดูดวงหน้าอันงามแฉล้มที่กำลังเงยแหงนขึ้นมองดูเขาอยู่นั้น แล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาด้วยความพึงใจ และนิยม ชมเชยในความงามที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเสียมิได้   ผู้หญิงอย่างสิวิกานี้สิ ที่ควรจะได้รับความนิยมยกย่องอย่างแท้จริง   ดูหล่อนช่างงามจับตาจับใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถอย่างใด

“ตามใจเธอ”     เขาคล้อยตาม     “อันที่จริงผมก็   ออกมายืนอยู่ที่นี่นานนักหนาแล้ว   เปลี่ยนที่เสียบ้างก็ดี   ป่านนี้ใครๆ อาจจะถามหากันแล้วก็ได้ กระทงอยู่ที่ไหนเล่า ผมจะไปเอามาให้”

“โอ อย่าเลยค่ะ”     หญิงสาวรีบยึดแขนเขาไว้โดยเร็วเมื่อเห็นเขาขยับจะก้าวเดิน     “คุณหยิบไม่ถูกหรอก  ดิฉันเอาไปแอบไว้ทางหลังบ้าน ไม่อยากให้พวกนั้นล้อ   คุณคอยอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันค่ะ   ดิฉันจะไปหยิบเอง”

หล่อนหมุนกายออกเดินอย่างกระปรี้กระเปร่าไปทันทีที่พูดจบ     ครู่ใหญ่ก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระทงเย็บด้วยกาบพลับพลึงสีขาวสะอาดเป็นรูปสำเภาลำน้อย งามวิจิตรประณีตเหมือนกันมิผิดเพี้ยนทั้งสองลำ   แต่ลำหนึ่งนั้นปักเทียนสีขาวไว้ทั้งหัวและท้าย   ส่วนอีกลำหนึ่ง เทียนที่ปักไว้นั้นเป็นสีแดง   สิวิกาส่งให้พลินทร์รับไปถือไว้ทั้งสองลำ   บอกพร้อมกับหัวเราะว่า

“ของสิวิกา เทียนสีขาว   ของคุณสีแดง”

“นี่จะมาเกณฑ์ให้ผมเป็นพวกแดงหรือยังไง”     เขาถามอย่างสัพยอก     “ถ้าพวกนั้นมาจริง ผมคงจะเป็นคนหนึ่งในจำนวนแรกที่ถูกเล่นงานแน่นอน”

“โธ่  เปล่าหรอกค่ะ   ดิฉันเพียงแต่ต้องการจะให้มันเป็นเครื่องสังเกตให้เห็นความแตกต่างกันเท่านั้น   จะได้เห็นได้ง่ายไงคะ   แล้วเราจะได้เสี่ยงทายกัน”

“จะไปกันเดี๋ยวนี้ไม่ใช่หรือ”

“ไปค่ะ   อุ๊ย   พลินทร์ เดี๋ยวก่อนคะ   อย่าไปที่เรือนแพเลย   คนมากนัก   แล้วก็พวกนั้นน่ะล้อกันเก่งออกจะตาย   เราไปที่บันไดเล็กริมเขื่อนดีกว่าค่ะ”

สิวิกายกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เดินตัดสนามนำหน้าเขาไปยังบันไดหินริมเขื่อน ซึ่งทำไว้สำหรับให้คนใช้ในบ้านใช้เป็นที่อาบน้ำหรือตักน้ำใช้ในบางโอกาส   เมื่อมายืนอยู่ด้วยกันบนเขื่อนเหนือชั้นบันไดแล้ว หล่อนก็หันไปรับสำเภาทั้งสองลำจากชายหนุ่มมาถือไว้   แล้วบอกให้เขาจุดเทียนและธูป แล้วสิวิกาก็ส่งลำที่ปักเทียนสีแดงให้เขา   บอกว่า

“อธิษฐานสิคะ”

“อธิษฐานว่าอย่างไรเล่า”     เขาถาม ดวงตาส่งประกายล้อเลียนและขบขันอย่างแจ่มชัดอยู่ในแสงไฟที่ลุกเรืองอยู่เหนือลำเทียนเล่มน้อยนั้น     “อธิษฐานเผื่อผมด้วยก็แล้วกัน  ผมอธิษฐานไม่เป็น”

สิวิกาค้อนเขาด้วยท่าทางกระชด กระช้อยน่าดู เมื่อพูดอย่างงอนๆ ว่า     “ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย   ก็อธิษฐานว่าถ้าอนาคตของเราจะอยู่ร่วมกันตลอดไปละก็ ขอให้เรือของเราทั้งสองลำลอยคู่กันไปตามน้ำจนถึงที่สุดซีคะ   เถอะค่ะ   เมื่อพลินทร์อธิษฐานไม่เป็น   สิวิกาก็จะทำเอง     คุณยืนอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน”

พลินทร์ยืนอมยิ้มอยู่ในหน้า   มองดูคนรักยกมือที่ประคองลำสำเภานั้นขึ้นชูไว้แค่อกในท่าคล้ายจะพนม   หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลืมขึ้น หันมายิ้มกับเขา พยักชวนว่า”

“ลงมาซิคะ  เรามาปล่อยให้มันลอยออกไปพร้อมกัน”

“ระวังนะ   บันไดลื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้”     เขาเตือนพลางถือสำเภาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง   ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นโอบไปรอบเอวหญิงสาว   ค่อยๆ ประคองพาลงบันไดหินไปด้วยกัน   เมื่อก้าวลงมาถึงบันไดขึ้นที่อยู่พ้นน้ำล่างสุดแล้ว ทั้งคู่ก็ก้มลงลอยลำสำเภาลงบนสายน้ำ   แล้วจึงลุกขึ้นยืนเคียงกันเฝ้ามองดูสำเภาน้อยที่ลอยคู่กันห่างออกไปช้าๆ ตามแรงพาของกระแสน้ำ   สำเภาทั้งสองลำลอยคู่กันไปได้หน่อยหนึ่ง   เจ้าลำที่มีเทียนสีแดงก็ปะทะกับผักตบชวาน้อยๆ กอหนึ่งเข้า ทำให้มันต้องติดอยู่กับที่ประเดี๋ยวหนึ่ง   แม้จะไม่นานนัก แต่ก็นานพอที่จะทำให้กระแสน้ำพาคู่ของมันที่มีเทียนสีขาวจุดไว้สว่างเรืองๆ นั้น  ลอยล่องแยกไปไกล และมันเองก็ค่อยๆ เคลื่อนต่อไปพร้อมกับสวะน้อยกอนั้น

พลินทร์มองหน้าหญิงสาว   และเมื่อได้เห็นดวงหน้าที่งามแฉล้มนั้นสลดลงแกมขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์  ก็อมยิ้มอย่างขบขัน   เขาโอบแขนไปรอบเอวบางของหล่อน ดึงร่างระหงนั้นเข้ามาชิดอย่างปลอบใจ พูดว่า

“ลำของผมไปลิ่วๆ   โน่นแล้วเห็นไหม สิวิกา   แต่ของคุณสิ มัวเถลไถลอยู่กับเจ้าสวะเล็กๆ กอนั้น เธอจะว่าอย่างไร”

“ใช่เมื่อไหร่ล่ะคะ   ลำของสิวิกาต่างหากที่นำหน้าไปนั่น   ของคุณสิที่ติดสวะไป พลินทร์คะ คุณคิดบ้างไหมว่า....”

“คิดเหลวไหลเป็นเด็กสิบขวบหรือ”   เขาดักคอ   “ไปคิดทำไมในเรื่องไร้สาระอย่างนี้ให้มันเสียเวลา   มันเป็นเพียงการเสี่ยงทายเล่นสนุกๆ เท่านั้นเองหรอกนะ สิวิกา ผมอยากจะให้เธอจำไว้ว่าอะไรก็จะมามีอำนาจเหนือเราไม่ได้   มาเถอะครับ   ขึ้นไปสมทบกับคนอื่นๆ เขาที่เรือนแพหรือที่บนตึกดีกว่า   มาซีครับ คนสวยของผม”

สิวิกายอมให้เขาโอบเอวเธอพาเดินกลับขึ้นบันไดอย่างว่าง่าย   แต่ก็ยังไม่วายที่จะหันกลับไปมองออกไปยังท้องน้ำอีกครั้งหนึ่ง   บ่นว่า

“แหม   สิวิกาเกลียดไอ้สวะบ้าๆ กอนั้นจริงเชียว   โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้”

จบบทที่ 2