หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 21

“นั่นเป็นอะไรครับ   คุณผดา   หน้าตาตื่นทีเดียว”     จ้าวศรีฟ้า เป็นผู้ตั้งข้อสังเกตขึ้นก่อน   เมื่อพากันเดินมาถึงรถแล้วเทอดแยกไปหาคนขับเพื่อสอบถามถึงเรื่องสภาพของรถ     ส่วนจ้าวศรีธรก็เกาะแจอยู่กับคนไข้รายแรกของเขาไม่ยอมห่าง     ผดามองสบตาจ้าวศรีฟ้าอย่างวิตก เมื่อบอกแก่เขาว่า

“คุณภิสัชค่ะจ้าว     ไม่ทราบหายไปไหน     นายคนที่ขออาศัยมาด้วยนั่นก็หายไปด้วย”

นั่นแหละ   ทุกคนจึงออกอุทานอย่างเห็นจริงขึ้นมาพร้อมกัน   ผดานึกถึงเสียงปืนที่ยิงกันอย่างหูดับตับไหม้เมื่อสักครู่นี้แล้วก็รู้สึกเสียววูบขึ้นมา     นี่ภิสัชหายไปไหนในป่าซึ่งเต็มไปด้วยพวกคนใจทมิฬหินชาติเหล่านั้น     ถ้าหากว่าคนพวกนั้นรู้ว่าเขาเป็นนายตำรวจเล่า   มันจะทำอย่างไรกับเขาบ้าง   มันอาจจะ... อาจจะ..   โอเธอไม่กล้าคิดต่อไป   ได้แต่ร้องออกมาค่อยๆ   อย่างกระวนกระวายใจเป็นที่สุดว่า

“ตายจริง   ภิสัชหายไปไหนก็ไม่รู้     จะทำอย่างไรดีเล่าคะจ้าว”

จ้าวศรีฟ้าเองก็ดูเหมือนจะจนปัญญาไปเหมือนกัน     แต่บุรุษผู้ยืนถัดไปจากเขานั้นได้หันมาชำเลืองมองดูผดาแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปพูดกับสหายของเขาว่า

“เอ้า   สุภาพสตรีเขาเกิดเป็นห่วงคุณภิสัชขึ้นมา แล้ว     ช่วยกันหาตัวพ่อเจ้าประคุณนั่นหน่อยซีพวกเรา”

คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวต้องหันไปจ้องมองดูอย่างพิศวงและไม่เข้าใจ   แต่ทว่าในขณะนั้นเขาได้หันหลังให้เธอเสียแล้ว     เธอได้ยินแต่เสียงของเขาออกคำสั่งซ้ำอีกว่า

“เอ้า   พวกเรา   ช่วยกันหาตัวคุณภิสัชหน่อย เร็ว”

แต่ยังไม่ทันที่การค้นหาจะเริ่ม   ร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏออกมาจากแนวต้นไม้ซึ่งขึ้นสลับซับซ้อนอยู่นั้น     มือขวากำปืนพกไว้หลวมๆ   เขาผู้นั้นคือ นายร้อยตำรวจเอก ภิสัช   นิตินัยบำรุงนั่นเอง

“คุณไปไหนมาครับ   คุณภิสัช”     จ้าวศรีธรถามทันทีที่ภิสัชเดินมาถึง   “เรากำลังจะถางป่าเข้าไปค้นหาคุณกันอยู่แล้วเทียวนะนี่”

“ผมตามเจ้าพวกนั้นไป”   ภิสัชตอบพลางควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อและฝุ่นละอองที่ใบหน้าและลำคอ     “มันไวกันเหลือเกิน   ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ   หายแวบเข้าป่าไปหมดแล้ว   ผมด้อมดูอยู่ตั้งนานก็ไม่มีวี่แววเลย”

“พวกมันชำนาญป่าแถบนี้มากนี่ครับ”   เทอดซึ่งผละจากคนขับรถมายืนฟังอยู่ด้วยว่า   “มันอยู่กันมาเป็นปีๆ   บางคนก็เป็นลูกบ้านป่าเสียด้วยซ้ำไป   คุณไม่ชำนาญ   ตามมันไม่มีเจอหรอกครับ”

“มันจับเอาเจ้าคนที่อาศัยรถมานั่นไปด้วย”   ภิสัชเล่า   “มันคงจะเป็นคนละพวกกันแน่ๆ   ไม่งั้นมันคงจะไม่ฉุดกระชากลากถูกันไปแบบนั้นหรอกครับ”

“คนที่มากับเรานั่นเป็นคนของเถ้าแก่กิม”   เทอดบอก   “เพราะฉะนั้น เจ้าโจรพวกนี้ก็ต้องเป็นพวกของสากันแน่ๆ   ที่มันโจมตีเราก็เพราะเห็นคนของเถ้าแก่กิมนั่งมาหน้ารถนี่เอง   ก็เลยเข้าใจผิด”

“เคราะห์ดีนะ   ที่เกิดมีคนจำพวกคุณพลินทร์ทร์ได้”   ศรีธรพูดขึ้นมาโคยไม่ทันคิด   “มันถึงได้ชวนกันถอยกลับเข้าป่าไป”


คำพูดของศรีธรก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นแก่คนถึงสองคนในเวลาเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดสำหรับผดา   คนหนึ่งคือพลินทร์ ซึ่งนิ่งขึงไปทันทีที่ศรีธรพูดจบ   คิ้วดกดำของเขาขมวดเข้าหากัน   ดวงตาเคร่งเขม็งอย่างใช้ความคิดหนักที่สุด   และอีกคนหนึ่งนั่นก็คือ   ร้อยตำรวจเอกภิสัช   เขาผู้นี้หันขวับไปทางพลินทร์ ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจ้าวศรีธร   ขยับปากจะพูด   แต่เมื่อได้เห็นกิริยาอาการของอีกฝ่ายหนึ่งเข้า   ภิสัชก็กลับหุบปากเสีย   จ้องมองดูพลินทร์อย่างพินิจครู่หนึ่งแล้วจึงหันมาทางเทิด   ถามว่า

“คนที่ไว้หนวดไว้เคราดำมืดนั่นใช่ไหม   ที่ชื่อสากัน”

“ดูเหมือนจะใช่ครับ”   เทอดตอบแบ่งรับแบ่งสู้   “คนที่เคยเจอเขาบอกว่า หัวหน้าที่ชื่อสากันนั้นไว้หนวดไว้เคราดกดำกว่าคนอื่นทั้งหมด   แต่เมื่อกี้นี้ผมไม่ทันสังเกตว่าใครเป็นใคร   มันกำลังตกใจ”

“ผมก็เหมือนกัน”   ศรีธรรับพร้อมกับหัวเราะชอบใจ   “โอ้โฮ   อย่างกับในหนังไม่มีผิด   ผมไม่นึกเลยว่าจะได้เล่นหนังแบบนี้กับเขาบ้าง   ตกใจเสียจนบรรจุกระสุนไม่ถูกเทียวครับ   เกือบจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำไปว่าไกปืนอยู่ตรงไหน”

“เคราะห์ดีที่พวกเราไม่มีใครเป็นอันตรายเลยสักคน   นอกจากคนของเถ้าแก่กิมนั่นคนเดียวเท่านั้น”   เทอดว่า   และจ้าวศรีธรก็ค้านขึ้นในทันทีว่า

“คนเดียวเมื่อไหร่เล่าครับ   คุณพลินทร์โดนเข้าที่บ่ายังไงล่ะ   ลืมเสียแล้วหรือครับ   คุณเทอด”

เทอดร้องออกมาว่า   “จริงซี ผมลืมไป”   พร้อมกับพี่ภิสัชหันไปมองดูพลินทร์อีกครั้งหนึ่ง   เขาเพิ่งสังเกตเห็นลักษณะที่พลินทร์ถอดเสื้อออกมาคลุมบ่าไว้   และเพิ่งได้เห็นรอยเลือดที่เปื้อนเปรอะนั้น   ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้   ยื่นหน้าเข้าไปดูที่บริเวณบ่าเสื้อที่เปื้อนนั้น   ถามว่า

“คุณพลินทร์ถูกปืนเข้าตอนไหนครับ   นี่โดนเข้าจังๆ   หรือเพียงแต่เฉี่ยวไป”

ผดาผู้ซึ่งคอยฟังคำตอบของพลินทร์อยู่นั้นได้ยินเขาพูดด้วยเสียงเรียบๆ   ว่า   “ไม่เป็นอะไรหรอกคุณ   จ้าวศรีฟ้าบอกแล้วว่ายังอยู่ไกลจากหัวใจตั้งเป็นกอง   มาขึ้นรถกันเสียทีดีกว่ากระมัง”

ตลอดทางที่นั่งมาในรถนั้น   ทุกคนสงบปากสงบคำลงไปเป็นอันมาก   แม้กระทั่งจ้าวศรีธรซึ่งตามปรกติเป็นคนที่มีนิสัยครึกครื้นรื่นเริงอยู่เสมอ   บางทีเขาอาจจะกำลังครุ่นคิดวิตกถึงการผ่าตัด   “นอกห้อง”   อย่างที่เขาเรียก   ซึ่งเขาจะต้องทำในเวลาอันใกล้จะถึงแล้วนี้ก็เป็นได้     จ้าวศรีฟ้าเงียบไปเพราะความวิตกในความปลอดภัยของสหาย   ผู้ซึ่งเขาถือว่าขณะนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา     แต่อาการเงียบเหงาของคนอื่นก็ยังไม่สามารถทำให้ผดาบังเกิดความรู้สึกหวั่นวิตกขึ้นมาอย่างประหลาดเงียบๆ   ในใจเทียบเท่ากับความเงียบของสองชาย....   ภิสัช   และ   พลินทร์

นานเหลือเกิน   สำหรับความรู้สึกของผดา   กว่าที่รถจิ๊ปกลางคันนั้นจะแล่นเลี้ยวผ่านเข้าไปในประตูไม้เตี้ยๆ   ซึ่งกั้นผ่านกลางขวางถนนแยกเข้าไว้ทั้งถนน   บนเสาสองข้างประตูนั้น มีป้ายแผ่นใหญ่ประกอบขึ้นด้วยไม้กระดานสั้นๆ   ต่อกันสามแผ่นเชิดเด่นเป็นสง่า   เขียนด้วยสีขาวเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่   แม้จะกะเทาะไปบ้างด้วยแดดและลม   แต่ก็ยังอ่านได้แจ่มกระจ่างเหลือเกินว่า   “พงศ์ราช”

ภาพของคนเฝ้าประตูที่ถืออาวุธปืนครบมือทั้งสองคนนั้นทำให้จ้าวศรีธรถึงกับออกปากออกมาอีกครั้งหนึ่ง   ว่าราวกับได้ถอยกลับไปอยู่ในอเมริกาสมัยแรกสร้างชาตินั่นเทียว   เมื่อเทอดยื่นหน้าออกไป   ยามทั้งสองนั้นก็กุลีกุจอเปิดประตูให้รถผ่านเข้าไปโดยเร็ว   เทอดหันมาอธิบายว่า

“เดี๋ยวนี้ต้องวางยามระมัดระวังกันแข็งแรงหน่อยครับ     ไม่ใช่ระวังพวกสากันหรอก   แต่ต้องระวังคนงานของเราเอง   ไอ้พวกที่ผมให้ออกไปเพราะเรื่องเรียกค่าแรงเพิ่มนั่นร้ายกาจมาก   นอกจากมันจะไม่ทำงานแล้ว   ยังจะคอยยุแหย่ไม่ให้คนอื่นเขาทำเสียอีก     ไอ้พวกนี้แย่แท้ๆ   เทียวครับ   ใครไม่เห็นด้วยกับมัน   มันก็หาวิธีแกล้งต่างๆ   นานา   ก็เลยต้องระวังกันทุกกระดิกทีเดียว”

แม้ว่าเทอดจะพูดแกมหัวเราะ   แต่ผดาก็พอจะหยั่งรู้เอาได้โดยวิจารณ์ญาณ   ว่าสถานการณ์ในป่านี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย   สถานการณ์ของมันคงจะอยู่ในสภาพที่ตรงกันข้ามทีเดียว     อย่างไม่ตั้งใจ   เธอมองไปที่พลินทร์   ก็เห็นว่าเขากำลังมองมาทางเธออยู่แล้วเช่นกัน   ผดาคิดว่าตาของเธออาจจะฝาดไป   ที่ได้แลเห็นความห่วงใยปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้น   แต่เพียงชั่วครู่เดียวที่เธอกระพริบตา   ลักษณะอย่างที่เธอเข้าใจว่าได้เห็นนั้นก็ปลาสนาการไปโดยสิ้นเชิง     ดวงตาคู่นั้นมองดูเธอคล้ายจะพูดว่า   “เห็นไหมล่ะ   จะอวดดีไปได้ตลอดไหม   ฉันจะคอยดู...”

รถแล่นมาตามถนนนั้นอีกครู่ใหญ่ก็ทะลุออกลานกว้างใหญ่   ในบริเวณนั้นมีรถคันใหญ่สำหรับบรรทุกซุงจอดอยู่หลายคัน   บางคันก็มีซุงที่ถูกตัดออกเป็นท่อนๆ   บรรทุกไว้   บางคันก็จอดทิ้งไว้เฉยๆ     คนขับพารถแล่นเข้าจอดเทียบหน้าบันไดบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงหลังหนึ่ง   เทอดกระโดดลงจากรถ   โบกมือเรียกคน   4-5 คน   ที่ยืนมองดูอยู่พร้อมกับร้องตะโกนขึ้นว่า

“เฮ้   มาช่วยกันหน่อยซีพรรคพวก   ยืนเฉยอยู่ได้   แล้วกัน”

นั่นแหละ   คนเหล่านั้นจึงได้วิ่งเข้ามา   ดูเหมือนการที่ได้เห็นคนแปลกหน้ามาพร้อมกันมากมายหลายคนเช่นนี้จะทำให้พวกนั้นพิศวงสงสัยอยู่ไม่น้อย     นอกจากคนที่พากันวิ่งมาเพราะเทอดเรียกแล้ว   คนอื่นๆ  ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันละมือจากกิจที่กำลังทำอยู่ หันมาจ้องมองดูคนแปลกหน้าเป็นตาเดียวกัน   เทอดเอ็ดขึ้นอย่างรำคาญว่า

“บ๊ะ   มาแล้วยังจะยืนเฉยอยู่อีก   ช่วยกันขนของเข้าคนละไม้คนละมือซีโว้ย   นี่นายใหญ่ท่านมา   รู้จักไว้เสียซี   ท่านเป็นนายของพวกเราละ”

คำว่า   “นายใหญ่ท่านมา”   ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่มีอิทธิพลพอใช้   เพราะพอเทอดพูดขาดคำ   คนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  นั้นก็หันไปตะโกนบอกคนอื่นเป็นภาษาพื้นเมืองด้วยเสียงที่ตื่นเต้นยิ่งนัก   แล้วก็เลยเกิดการตะโกนบอกกันต่อๆ   ไปเป็นทอดๆ   เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น   ข่าว “นายใหญ่ท่านมา” ก็แพร่สะพัดไปทั้งค่าย   ผู้คนที่มายืนมุงดูอยู่นั้นเพิ่มจำนวนเข้าทุกที   ผดาอดไม่ได้ ที่จะหันไปมองดู “นายใหญ่”   ที่กำลังลงจากรถเป็นคนสุดท้าย   เห็นเขานิ่วหน้านิดหนึ่งในขณะที่ต้องเอี้ยวกายเบี่ยงตัวก้าวลงมายืนข้างล่าง   เทอดหันมาทางพลินทร์   หัวเราะอย่างขออภัย เมื่อกล่าวว่า

“พวกนี้เลยตื่นเต้นกันไปหมดแล้วครับ   คุณพลินทร์”

พลินทร์กวาดตามองดูคนเหล่านั้น แล้วหันมาพูดกับเทอดอย่างประหลาดใจว่า   “เอ๊ะ เมื่อกี้นี้เห็นอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นเองนี่นะ   นี่มาจากไหนกันมากมายรวดเร็วอย่างนี้”

“ที่พักคนงานอยู่ทางด้านหลังครับ”   เทอดอธิบาย   “พอได้ยินว่าคุนพลินทร์มาก็เลยพากันออกมา”   เขาหันไปทางคนงาน   ร้องบอกว่า   “นี่คือคุณพลินทร์   พงศ์ราช   เจ้าของป่าไม้พงศ์ราชที่เราทำงานอยู่ด้วยนี่   ทำความเคารพท่านเสียซี”

อีกครั้งหนึ่งที่ผดาต้องหันไปมองดู “นายใหญ่”   ก็เห็นเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยเป็นการทักทายและรับการเคารพจากพวกคนงานเหล่านั้น     ดูเหมือนเขาจะยิ้มน้อยๆ   เสียด้วยซ้ำ   เมื่อพูดว่า

“ยินดีที่ได้มารู้จักพวกเราที่นี่   หวังว่าเธอก็คงจะยินดีให้การต้อนรับแก่ญาติมิตรของฉันและตัวฉันเองบ้างพอควร”

คนงานคนหนึ่งเหลือบมาเห็นเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเขาเข้าก็ร้องบอกและชี้ให้กันดูอย่างตกใจ     พลินทร์เอี้ยวคอไปมองดูเสื้อตรงที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเขาโดยมิได้พูดว่ากระไร   ผดาเห็นเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากของเขาเป็นเม็ดเล็กๆ   เธอรู้สึกตกใจเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าพลินทร์ออกจะใช้ความอดทนของเขานานเกินขอบขีดไปเสียแล้ว   เธอรีบกระตุกแขนเสื้อจ้าวศรีธร   กระซิบบอกว่า

“จ้าวคะ   ให้คุณพลินทร์ขึ้นไปพักบนเรือนเสียทีไม่ดีหรือคะ   ประเดี๋ยวจะ... เป็นอะไรไป”

เสียงกระซิบของเธออาจจะไม่เบาพอ   เพราะผดาได้เห็นพลินทร์ชำเลืองมองมาทางเธอแวบหนึ่ง   พร้อมๆ   กับที่เทอดละล่ำละลักพูดขึ้นอย่างนึกได้ว่า

“จริงซีครับ   คุณพลินทร์ครับ   ขึ้นเรือนก่อนดีกว่า   หลังนี้แหละครับที่ผมจัดเอาไว้เป็นที่พักเวลาคุณชัชมา   ภรรยาของผมเขาคอยดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอ”     แล้วเขาก็หันไปออกคำสั่งกับพวกคนงานว่า   “เอ้าพวกเรา ช่วยกันหน่อย   ขนของในรถตามขึ้นไปไว้บนเรือน”

จ้าวศรีฟ้าและศรีธรขึ้นไปกับพลินทร์     ผดาเห็นเขาทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้หวายตัวเตี้ยที่ตั้งอยู่บนระเบียงหน้าเรือนอย่างอ่อนแรง   ก่อนที่เธอจะก้าวตามขึ้นไปบ้าง   ก็พอดีเหลือบไปเห็นผู้หญิงผู้หนึ่งยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างรถ   ลักษณะท่าทางของหล่อนผู้นั้นบอกว่ามิได้เป็นคนพื้นเมือง   แม้ว่าหล่อนจะนุ่งซิ่นเชิงลายขวางยาวเกือบถึงข้อเท้า   แต่เสื้อที่หล่อนสวมอยู่นั้นเป็นเสื้อปกเชิ้ต   แขนพับเหมือนเสื้อซึ่งใช้สำหรับเครื่องแบบอะไรสักอย่างหนึ่ง   สีขาวสะอาดและลงแป้งรีดเรียบ   หล่อนมองสบตาผดาอย่างเป็นมิตร   ผดาจึงยิ้มด้วย ก่อนที่จะหันไปสะกิดแขนเทอดที่กำลังบงการให้คนงานขนของอยู่อย่างขะมักเขม้น   ถามเบาๆ ว่า

“คุณเทอดคะ   คุณผู้หญิงคนนี้คือใครคะ”

เทอดหันกลับมามองเธอ   เมื่อหันไปตามสายตาของผดา   เขาก็ยิ้มออกมาจนเห็นไรฟัน พร้อมกับเดินเข้าไปหาสตรีผู้นั้น   ทำท่าคล้ายจะยกมือขึ้นจับบ่าของหล่อน แต่ก็ไม่จับ   ลดมือลง บอกกับผดาว่า

“ภรรยาของผมเอง”   เขาหันไปพูดกับหญิงที่เขาบอกแก่ผดาว่าเป็นภรรยาของเขานั้นว่า   “นี่คุณผดาจ้ะ   อุ่นเรือน   คุณผดาคงจะต้องนอนกับเธอเสียแล้วละ   ที่เรือนนี้มีแต่สุภาพบุรุษทั้งนั้น”

“สุภาพบุรุษ”   อุ่นเรือนทวนคำ   สำเนียงของหล่อนเป็นคนกรุงเทพๆ อย่างชัดแจ้งไม่มีเปร่งเลยแม้แต่น้อยนิด   “ใครมากันบ้างคะ   คุณเทอด”

“คุนพลินทร์และญาติของท่าน”   เทอดตอบ   แล้วโดยที่มิได้สนใจกับคำอุทานอย่างตกใจแกมตื่นเต้นของภรรยา   เขาก็ใช้สองมือดุนหลังหล่อนให้ออกเดิน พร้อมกับสั่งว่า   พาคุณผดาไปพักเถอะไป๊   จวนค่ำมืดแล้ว   แล้วก็จัดการเตรียมทำกับข้าวกับปลาเสียด้วยเลยทีเดียว   ไม่ต้องวิจิตรพิสดารอะไรก็ได้นะคุณ   เอาไอ้ที่พอทำได้ง่ายๆ   แล้วก็เร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน”   แล้วเขาก็หันกลับไปบงการกับลูกน้องต่อไปว่า     “ไอ้สองคนนี่พอเอาของเที่ยวนี้ขึ้นไปไว้บนเรือนแล้วรีบไปจุดตะเกียงเจ้าพายุมาสองดวงเร็ว   ไอ้หมอนี่ยืนอยู่ทำไมเฉยๆ   เข้าไปหลังบ้าน   ไปติดไฟเข้า   อ้าวๆ   จะไปหลังบ้านไหน   ไอ้เวร   หลังบ้านนี้ซี   เตาก็มีพร้อมแล้วนี่นา   ไป”

อุ่นเรือนมองดูสามีของหล่อนยิ้มๆ   จับมือผดาจูงให้เดินตามหล่อนไป   บอกว่า   “คุณผดาต้องเดินไปที่เรือนโน้นค่ะ”   แต่เมื่อเดินไปได้เพียง 2-3 ก้าว   แล้วก็หยุด   ร้องว่า   “อ้าว   ข้าวของคุณผดาล่ะคะ อยู่ที่ไหนหมด   ท่าเขาจะขนขึ้นเรือนนี้ไปหมดแล้วกระมัง”

ผดายกมือข้างที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมให้ดู   บอกว่า   “อยู่นี่เรียบร้อยแล้วค่ะ   ดิฉันกลัวว่าจะปนกันเหมือนกัน   พอจะลงจากรถก็เลยหิ้วติดมือลงมาด้วย”

อุ่นเรือนหัวเราะพลางทำหน้าแปลกใจ   ผดารีบพูดขึ้นเสียก่อนที่หล่อนจะทันพูดจบ   “คุณอุ่นเรือนคงไม่คิดว่าผู้หญิงที่ร่วมมาในคณะของคุณพลินทร์จะเอาเสื้อผ้ามาเพียงกระเป๋าใบย่อมใบเดียวแค่นี้   อย่างน้อยๆ น่าจะมีมาสักห้าหกใบใช่ไหมคะ”

แล้วเธอก็หัวเราะออกมาอย่างรู้สึกขันเสียเต็มประดา   อุ่นเรือนพลอยหัวเราะไปด้วยทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ   แล้วก็ออกเดินนำผดาไปยังเรือนอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกในราวสองเส้น   ซึ่งหล่อนและสามีใช้เป็นที่พักอาศัย

เรือนที่อุ่นเรือนและเทอดอยู่นี้   แม้ว่าจะเล็กกว่าหลังที่พลินทร์พัก   แต่ก็ปลูกแบบเดียวกัน   คือใต้ถุนสูง     หน้าบ้านมีเฉลียงกว้างขวาง   เครื่องประดับบ้านมีเท่าที่ความจำเป็นต้องใช้   ของกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับตกแต่งบ้านแทบจะไม่มีเลย   แต่จากการวางเครื่องเรือนให้เข้าที่เข้าทางเหมาะเจาะน่าดู และความเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านที่ปรากฏอยู่ทั่วไปนั้น   บอกให้รู้ว่าแม่บ้านต้องเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาและมีความเจริญพอดูทีเดียว   หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่มีนิสัยรักความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ไม่น้อย

อุ่นเรือนพาผดาเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมไม่กว้างนักห้องหนึ่ง   มีเตียงเหล็กชนิดที่ใช้ไม้กระดานปูบนสปริงขนาดสามฟุตตั้งไว้ชิดฝา   เยื้องกับหัวเตียงมีโต๊ะแต่งตัวอย่างของผู้ชาย   คือมีลักษณะเป็นตู้ลิ้นชักเตี้ยๆ ทึบตลอด   ข้างบนมีกระจกแผ่นใหญ่รูปสี่เหลี่ยมติดตรึงไว้ตลอดความยาวของตู้   ผดาวางกระเป๋าลงบนกระดานปูเตียงซึ่งขณะนั้นยังคงมีแต่เตียงเปล่าๆ   ไม่ได้มีอะไรทั้งสิ้นแม้แต่ที่นอน   อุ่นเรือนบอกว่า

“เดี๋ยวดิฉันจะให้เขาเอาเตียงเข้ามากางอีกเตียงหนึ่งค่ะ   ดิฉันจะมานอนเป็นเพื่อนคุณผดาด้วย”

“ดิฉันทำให้คุณอุ่นเรือนลำบากมากหรือเปล่าคะ”   ผดาถามไปตามธรรมเนียม   อุ่นเรือนกุลีกุจอปฏิเสธว่า

“อุ๊ย   เปล่าเลยค่ะ   ไม่ลำบากอะไรเลย   ของมีเก็บอยู่ในห้องหลังบ้านแล้ว   เพียงแต่เอาออกมาเท่านั้นเอง   ที่นอนหมอนมุ้งดิฉันก็คอยเอาออกซักเอาออกตากเสมอ”

“ที่นี่ท่าจะมีใครต่อใครมาพักบ่อยกระมังคะ   ถึงได้มีข้าวของเตรียมพร้อมอยู่เสมอ”   ผดาถาม   แล้วก็ได้รับคำตอบที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจไม่ใช่น้อยว่า

“คงแต่ดิฉันมาอยู่ที่นี่   ยังไม่เห็นมีใครมานี่ค่ะ   แต่ที่มีของเหลือเช่นนี้ก็เพราะนายใหญ่”   หล่อนหัวเราะเมื่อพูดคำนั้น     “ดิฉันเรียกตามที่พวกคนงานเขาเรียกกัน   พวกนี้เขาไม่เคยรู้จักคุณพลินทร์เลยแหละค่ะ   เวลาที่เขาจะพูดถึงเจ้าของป่าไม้   เขาใช้คำแทนชื่อว่านายใหญ่ทุกที   ดิฉันก็เลยติดปากตามอย่างเขาบ้าง”

“ทำไมคะ”   ผดาซัก   “นายใหญ่ทำไม”

“นายใหญ่ท่านสั่งให้หาไว้มากๆ ค่ะ   คุณชัชบอกมากับคุณเทอดอีกต่อหนึ่ง   ท่านว่ามีไว้ให้พร้อมไม่เสียหายอะไร   แต่ถ้าขาดน่ะซีจะลำบาก   แล้วก็จริงเสียด้วย   ถ้าท่านไม่ให้หาไว้ละก็   ต๊าย   วันนี้จะทำอย่างไรกัน”

พลินทร์   พงศ์ราช     นี่เขาช่างรอบคอบและเอาใจใส่แม้กับสิ่งเล็กน้อยๆ อย่างนี้เทียวหรือ   ผู้ชายคนนี้ ยิ่งได้ใกล้ชิด   ยิ่งได้รู้จักนานไป   ก็ดูเหมือนจะยิ่งมีอะไรที่ชวนให้น่าทึ่งขึ้นทุกที   เมื่อคิดมาถึงเขา   ผดาก็สำนึกขึ้นมาได้ในนาทีนั้น   ว่าบัดนี้เขากำลังได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ด้วย แผล ที่ถูกกระสุนปืนฝังใน     บาดแผลนั้นเกิดขึ้นเพราะการที่เขาวิ่งออกมาช่วยเธอ   เขาวิ่งออกมาช่วยเธอ   พลินทร์   พงศ์ราช   วิ่งออกมาช่วยเธอผู้ซึ่งเป็นที่รังเกียจเดียดชังของเขาเพื่ออะไรกัน   ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

“คุณอุ่นเรือนคะ”   ผดาได้ยินเสียงของเธอเองกล่าวออกไปอย่างร้อนรน   “ขอโทษนะคะที่ดิฉันต้องขอตัว   วันนี้เห็นจะช่วยคุณทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว   คุณพลินทร์ถูกยิงค่ะ   กระสุนฝังใน   จ้าวศรีธรจะผ่าเอาออก   ดิฉันจะไปดู”

อุ่นเรือนร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินดังนั้น   ละล่ำละลักถามว่า   “ถูกยิงที่ไหน  เมื่อไหร่กันคะนี่   โธ่แล้วเป็นยังไงบ้าง   ทำไมคุณเทอดไม่บอกสักคำ”

“คุณเทอดก็กำลังยุ่งจนลืมบอกน่ะซีคะ   เราถูกพวกของสากันดักโจมตีเอาตอนขาเข้ามานี่เองค่ะ   มีคุณพลินทร์คนเดียวที่เคราะห์ร้าย   ถูกกระสุนหลงเข้า”     หญิงสาวมิได้บอกต่อไปว่าพลินทร์ถูกกระสุนเพราะเขาวิ่งออกมาช่วยเธอไว้   มันน่าละอายแก่ใจที่จะด่วนทึกทักเอาว่าเขาเห็นชีวิตของเธอมีค่าจนถึงแก่ยอมเอาชีวิตของเขาเข้าเสี่ยง   เป็นไปไม่ได้   คนอย่างพลินทร์ต้องไม่เห็นว่าชีวิตของเธอมีค่ามากกว่าของเขาแน่   เธอต้องหาเหตุผลให้ได้สักวันหนึ่งว่าเขาช่วยเธอเพราะอะไร

“เคราะห์ดีที่เมื่อเช้านี้เองดิฉันเข้าไปดูให้เขากวาดถูไว้   เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบค่ะ”   อุ่นเรือนว่า   “พอมีคนมาตามคุณเทอดให้ออกไป   บอกว่าคุณพลินทร์มาเชียงใหม่เอง   ดิฉันก็ให้นึกไปเทียวว่าเห็นจะต้องใช้เรือนพักหลังใหญ่เป็นแน่   รีบเปิดออกสั่งให้เขากวาดถูเป็นการใหญ่เทียวค่ะ   แล้วก็ได้ใช้จริงๆ นั่นแหละ”   แล้วหล่อนก็ร้องว่า   “ตายจริง   คุณผดาคงจะอยากไปดูคุณพลินทร์เร็วๆ   ดิฉันก็ชวนพูดเสียนาน   คุณผดาจะอาบน้ำก่อนไหมคะ   ถ้าจะอาบน้ำก่อนละก็เชิญทางนี้ค่ะ   ห้องน้ำอยู่ทางนี้”

“อาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ”   ผดาตอบทันทีโดยไม่รั้งรอ   พร้อมกับตรงไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียง

จบบทที่ 21