หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 1

คืนนั้น เป็นคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง   ลำน้ำเจ้าพระยาสว่างพร่างพราย   งามระยิบระยับไปด้วยแสงเทียนที่เคลื่อนคล้อยไปตามกระแสน้ำ  ที่เรือนแพแห่งคฤหาสน์ “เทพสถิต” ตบแต่งงดงามด้วยสายรุ้งและดวงไฟหลากสี ซึ่งทำให้แสงจันทร์หมดค่าลงไปอย่างถนัดใจ  และคึกคักสวยงามยิ่งขึ้นด้วยภาพของหญิงชายที่แต่งกายงดงามเฉิดฉายเดินกรายอยู่ไปมา

เยื้องกับเรือนแพเล็กน้อยและอยู่ลึกถัดไปจากริมเขื่อนโดยมีสนามหญ้ากว้างใหญ่คั่นอยู่   คือตัวคฤหาสน์อันโอ่โถง ตั้งเด่นมองดูขาวโพลนจับตาอยู่บนเนินดินซึ่งพูนให้สูงขึ้น มาเล็กน้อย ทางด้านหน้ามีลานหินอ่อนยื่นออกมา   ล้อมรอบลานนั้นด้วยหินก่อ  อันใช้เป็นที่ปลูกไม้ดอก   โดยเว้นช่องว่างไว้เฉพาะตรงบันไดกว้าง  ด้านหน้า  ซึ่งทอดลงมาตามลาดเนินที่ปกคลุมอยู่ด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่มตัดเรียบ   แสงไฟอันสว่างไสวจากชั้นล่างและชั้นกลางของคฤหาสน์ สาดส่องออกมากระทบกับลำน้ำพุกลางหิน  ที่พุ่งขึ้นสูง  แล้วสาดกระจายออกมา ทำให้เกิดประกายระยิบระยับเป็นสีรุ้ง ดุจดังว่าลำน้ำพุนั้นประกอบขึ้นด้วย มณีนพรัตน์อันล้ำค่ายากนักที่จะบรรยาย   ภาพของ “เทพสถิต”  ในค่ำคืนที่กล่าวถึงนี้ ตั้งตระหง่านเงื้อมข่มขวัญให้ยอมสยบ ทั้งงดงามเป็นสง่าลึกล้ำ จับตาจูงใจเหลือที่จะพร่ำพรรณนา

สตรีสาวนางหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นกำลังจ้องตะลึงดู “เทพสถิต” จากระเบียงข้างของเรือนแพ ถอนใจลึกและยาว  เมื่อกล่าวกับสหายชาย ผู้ยืนเคียงคู่อยู่ข้างกายหล่อนว่า

“คุณดู เทพสถิต ซิคะ   ช่างหรูหรา งดงามจับตาจับใจ   เป็นสง่าราวกับมีมนต์ขลัง ดิฉันรู้สึกคล้ายกับว่ากำลังจ้องมองดูปราสาทในความฝัน  หรือในเทพนิยายมากกว่าจะเป็นความจริง”

เพื่อนชายของหล่อนมองตามสายตาไปแล้วก็พลอยถอนใจตามไปด้วย

“นั่นแหละ”     เขาว่าขณะที่เท้าศอกลงบนพลึงลูกกรง   ก้มลงมองดูพื้นน้ำ อันเป็นประกายระยิบระยับ อยู่ด้วยแสงไฟและแสงจันทร์ระคนกัน   พลางก็ใช้ปลายรองเท้าข้างหนึ่งเตะลูกกรงระเบียงอยู่ไปมา     “ถ้าคิดว่าเป็นความฝันเสียได้ ก็จะเป็นผลดีแก่ตัวเราเอง”

หญิงสาวชำเลืองมองดูอย่างจะพยายามสังเกตให้รู้แจ้งถึงความรู้สึกของเขา ซึ่งหล่อนแน่ใจว่าจะต้องปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้พูดด้วย

“ทำไมคุณถึงได้พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เช่นนั้นล่ะคะ   ในเมื่อคุณก็ เป็นคนที่มีหลักฐานดีคนหนึ่ง   ตายจริง   อย่าใช้ปลายรองเท้าเตะลูกกรงเล่นอย่างนั้นซีคะ   มันจะทำให้คุณต้องเสียรองเท้าดีๆ คู่หนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย”

คู่สนทนาของหล่อนทำตามคำสั่งนั้น   เขายึดกายตรงขึ้น   ซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อนอก แหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า     “แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของ “เทพสถิต”     จะไม่สนใจเลยว่ารองเท้าดีๆ   ของเราจะเสียไปสักกี่คู่ ถ้าหากว่าเขานึกอยากจะเตะลูกกรงเล่นขึ้นมา   และผู้หญิงที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา ก็คงไม่สนใจที่จะเตือนเขาเหมือนอย่างที่คุณเตือนผมเช่นนี้   จริงอยู่หรอก ในสายตาของใครๆ  รวมทั้งคุณด้วย ผมก็ เป็นคนที่ออกจะมีหลักฐานพอสมควร     แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าของ เทพสถิตแล้วก็ไม่ต่างกับว่าผมยืนอยู่ที่บันไดชั้นล่างสุด ในขณะที่เขายืนอยู่ชั้นบนสุด”

“ดิฉันทราบแต่ว่าคุณพลินทร์มั่งมีมาก   แต่ไม่ทราบว่าเขามั่งมีมากมายถึงขนาดไหน”

“ผมสาบานได้ทีเดียวว่าในบรรดาแขกที่มาในงานนี้ ทั้งหมด   ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะร่ำรวยเทียบเท่าเขา   นอกจากคฤหาสน์ เทพสถิต นี่แล้ว   ไม่มีใครจะรู้ละเอียดหรอกว่าเขา มีทรัพย์ สมบัติอยู่ที่ไหนๆ อีกบ้าง   แม้แต่ตัวเขาเองก็คงแทบจะจำไม่ได้กระมัง”

“หมายความว่ารวยเสียจนจำไม่ไหว     ยังงั้นใช่ไหมคะ”

“ถูกละ   ที่คุณพูดน่ะ เห็นจะใกล้เคียงกับความจริงมาก”

“และบรรดาทรัพย์สมบัติ อันมีค่ามหาศาลเหล่านี้   รวมทั้งกายและใจของพลินทร์เอง ก็ตกเป็นของหญิงที่มีนามว่า   สิวิกา ราชเสนา ในไม่ช้านี่แล้ว”     แม่เพื่อนสาวของเขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายจะรำพึงรำพัน

ในขณะที่หญิงชายคู่นี้กำลังสนทนากันอยู่นั้น   บนลานหินอ่อน   ณ มุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมที่ค่อนข้างมืดที่สุด ด้วยเหตุว่ามีชิงช้าตั้งอยู่  และนอกจากนั้นยังมีกระถางใหญ่ปลูกต้นปาล์ม ตั้งขนานชิงช้านั้นอยู่อีกคู่หนึ่งด้วย  ณ มุมที่กล่าวถึงนี่เอง ที่หญิงชายอีกคู่หนึ่งกำลังยืนสนทนากันอยู่ด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่ขึงขังจริงจัง   ฝ่ายชายดูออกจะแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดโมโหโทโสอยู่ไม่น้อย เมื่อเขาพูดว่า

“ดูซีครับ   ผมได้พยายามทุกหนทางแล้วที่จะดึงเขาออกมาเสียให้พ้นจากไอ้สิ่งต่ำๆ ที่เขาชอบไปหมกตัวมั่วสุมอยู่   แต่แล้วพ่อน้องชายคนดีของคุณพี่ก็แยแสเสียเมื่อไหร่   ดูทีรึ แม้แต่งานคืนนี้  เขาก็ไม่ยอมอยู่ร่วมด้วย   ช่างไม่รู้จักใช้หัวคิด คิดดูเสียบ้างเลยว่าใครๆ เขาจะคิดอย่างไรกัน”

ผู้ที่ยืนฟังเขาพูดอยู่นั้นถอนใจยาวก่อนที่จะตอบว่า     “คนอย่างนั้นมันจะมีความคิดอะไร   คุณใหญ่ก็ทราบอยู่แล้ว  ถ้ามันมีความคิดละก็มันจะไปมั่วสุมฝักใฝ่อยู่กับผู้หญิงอย่างนั้นเรอะคะ พูดก็พูดกันเถอะ   ความจริงพี่เองก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นน้องนุ่งอะไรของพี่หรอก   ถึงแม้จะเป็นลูกพ่อเดียวกันก็จริง แต่แม่ของมันเป็นขี้ข้าในบ้าน   ใครๆ เขาก็รู้”

“แม่ของ พัจนา เป็นต้นห้องคุณอาผู้หญิงไม่ใช่หรือครับ”     คำพูดนั้นราบเรียบจนผู้ฟังไม่อาจจะอ่านออกว่าผู้พูดมีความรู้สึกอย่างไร   หล่อนจึงพูดต่อไปตามที่ใจของหล่อนคิดว่า

“คุณใหญ่ช่างแปลคำว่า ขี้ข้าได้เพราะจริง  พี่ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างกันที่ตรงไหนเลย”

“แต่ถึงอย่างไร ทุกคนก็ต้องไม่ลืมและลืมไม่ได้  ว่า พัจนา  ก็เป็นพงศ์ราช คนหนึ่ง   และถ้าจะไม่นับผมเสียแล้ว   เขาก็เป็นทายาทคนสุดท้ายและคนเดียวที่เหลืออยู่”

ฝ่ายชายขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังจนทำให้คู่สนทนาของเขาชักใจเสียเมื่อคิดว่าตนได้เล็งเหตุการณ์ผิดไปถนัดใจ   คราวนี้หล่อนจึงได้นิ่งคิดอยู่ค่อนข้างนานก่อนที่จะพูดต่อไปด้วยเสียงอ่อนๆ เป็นเชิงแก้ตัวว่า

“นั่นน่ะซีคะ   ใครๆ รวมทั้งพี่ด้วยจึงได้พูดกันอยู่เสมอ  ว่าพัจนานะวาสนามันดี   ดูทีหรือเป็นลูกเมียน้อย  ถูกเลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ  อยู่ในบ้านแท้ๆ  คุณใหญ่ยังอุตสาห์เก็บมาชุบเสียดิบดีเบาไปรึ”

“ก็เพราะเหตุที่มัวคิดกันอยู่แต่ว่า พัจนาเป็นลูกเมียน้อยน่ะซีครับ   ผมถึงได้ต้องเก็บเอาเขามาเลี้ยงเสียเองยังไงเล่า”     น้ำเสียงที่เขาพูดคราวนี้นั้นทั้งกระแทกกระทั้นและเยาะเย้ยออกมาอย่างเปิดเผยโดยไม่ปิดบังซ่อนเร้น   พร้อมกลับหลุบตาลงมองหน้าของผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างหมิ่น และเยาะเช่นเดียวกับน้ำเสียง   แต่แล้วดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา   เขาขยับร่างเล็กน้อย   เปลี่ยนเสียงเป็นจริงจังเอางานเอาการเสียในบัดดลเมื่อพูดต่อไปว่า

“ผมได้บอกแล้วว่า  ผมถือว่าเป็นหน้าที่ของผมโดยตรงเกี่ยวกับพัจนา   แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นลูกของพ่อผมแท้ๆ   แต่เขาก็เป็นพงศ์ราชคนเดียวที่เหลืออยู่ต่อจากผม  ใครจะกล้าพูดบ้างล่ะว่าเขาจะไม่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของตระกูล  หรืออย่างน้อย ก็บ้านเทพสถิตนี้ ในเวลาต่อไปข้างหน้า”

เป็นเจ้าของ “เทพสถิต”     พัจนา น้องชายต่างมารดา คนที่หล่อนและใครๆ พากันตราหน้าอยู่เสมอว่าเป็นลูกเมียน้อย  เมียน้อยของพ่อหล่อนนั้นน่ะหรือ  จะได้เป็นเจ้าของ “เทพสถิต”  คฤหาสน์ที่เก่าแก่สูงตรงตระหง่านสามชั้น   ทั้งใหญ่โตและสง่างดงามราวกับความฝันนี่น่ะหรือ พรทิพย์เงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งที่หล่อนกำลังนึกถึงอยู่นั้น สายตาของหล่อนพร่าพรายไป จะด้วยแสงไฟที่สว่างตระการอันสาดส่องออกมาจากภายในตึก หรือจะด้วยความริษยาที่ลุกวูบวาบขึ้นมาในทรวงก็สุดที่จะบอกได้  พรทิพย์ นิติวาทชำนาญ   ถอนใจลึกอยู่ในอก ก่อนที่จะกล่าวต่อไปด้วยคำพูดซึ่งหล่อนใช้เป็นเครื่องปลอบใจตัวเองว่า

“แต่คุณใหญ่ต้องไม่ลืมนะคะ   ว่าต่อไปสักวันหนึ่ง   คุณต้องมีลูกของคุณเอง เมื่อคุณใหญ่มีทายาทที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองแล้ว  เจ้าพัจนาก็คงจะ...  ตกจากตำแหน่งนี้ไป”

“นั่นมันก็ต้องอีกกรณีหนึ่งซีครับ   แต่ใครเล่าที่จะสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ภายหน้าได้ ว่าจะมีอะไรที่เราไม่นึกไม่ฝันเกิดขึ้น   เป็นต้นว่า  ผมอาจจะเป็นอะไรไปเสียก่อนที่จะทันได้แต่งงาน หรือว่าแต่งงานแล้ว เกิดไม่มีลูกผู้ชายสำหรับสืบสกุลต่อไป”

“นี่คุณ   คุณใหญ่หมายความว่า  ถ้าคุณใหญ่มีแต่ลูกผู้หญิงละก็  คุณใหญ่จะไม่ยกทรัพย์สมบัติให้ยังงั้นหรือคะ”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น   ผมหมายความว่าแต่เพียงว่า   สมบัติบางอย่างควรจะเป็นของผู้สืบสกุล พงศ์ราช ต่อไป   อย่างน้อยก็คือบ้านเทพสถิตนี่   และเครื่องเพชรบางชิ้นที่เราถือกันต่อๆ มา ว่าเป็นสมบัติคู่ตระกูล”

พรทิพย์ทำเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ ก่อนที่จะพูดออกมาว่า     “ดูทีหรือ จนกระทั่งอย่างนี้แล้ว เจ้าพัจนาจะมีรู้จักบุญคุณ คุณใหญ่สักนิดรึก็เปล่า...   เอ้อ  แต่ว่า  คุณใหญ่คะ  คุณใหญ่คงจะยังไม่ลืมว่ายังมีคุณเล็กอยู่อีกคนหนึ่ง  สักวันหนึ่งเธออาจจะ.....”

“ผมอยากจะขอให้หยุดพูดถึงตาเล็กกันเสียที”     เขาขัดขึ้นด้วยเสียงห้าวๆ  ยังผลให้อีกฝ่ายหนึ่งหยุดคำพูดต่อไปได้ในทันทีเหมือนกัน     “ผมไม่หวังอีกแล้วในเรื่องตาเล็ก เพราะผมเชื่อว่าผมรู้จักใจของทุกคนที่เป็นพงศ์ราชได้ดี   คุณพ่อได้ให้โอกาสแก่ตาเล็กแล้ว   ระหว่างความเป็นพงศ์ราช และชีวิตที่เขาต้องการ   และเขาก็เลือกทางเดินของเขาเองแล้ว”

“นั่นก็แปลว่าการตัดสินใจครั้งนั้นทำให้  คุณเล็กขาดจากการเป็นพงศ์ราชไปแล้วน่ะซีคะ”

“แต่คุณพี่คิดหรือครับว่าการที่เขาตัดคำว่า พงศ์ราช ออกจากหลังชื่อของเขาน่ะ จะทำให้เขาขาดจากการเป็นพงศ์ราชไปได้   เลือดแห่งความทรนงถือดี   ยึดมั่นในการตัดสินใจของตนเองจะยังคงอบอุ่นอยู่ในตัวของเขา   เช่นเดียวกับที่พงศ์ราชทุกคนเคยมีและเคยเป็น  และจะต้องมีต้องเป็นอยู่ตลอดไป  เลือดเนื้อเชื้อไขของพงศ์ราช จะไม่หันกลับมาอีก   เมื่อได้ตัดสินใจก้าวเดินออกไปแล้ว”

“ก็คุณใหญ่ออกรู้ดีอย่างนี้แล้ว”     พรทิพย์ เอ่ยขึ้นมาทันทีที่พลินทร์พูดจบ     “เจ้าพัจนามันก็เป็นพงศ์ราชคนหนึ่งตามที่คุณใหญ่ว่า   ก็แล้วคุณใหญ่ยังหวังจะเกลี้ยกล่อมมันได้สำเร็จอยู่อีกหรือคะ”

พลินทร์หัวเราะอยู่ในลำคอ     “ผมเลิกคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเขามาตั้งแต่ครั้งแรก ที่เขาบอกปฏิเสธแล้วละครับ”

คำตอบนั้นออกจะผิดความคาดหมายของผู้ที่คอยรับฟังอยู่ไม่น้อย   พรทิพย์ร้องออกมาว่า “อ้าว ก็แล้วคุณใหญ่มีวิธีอะไรที่จะดึงเจ้าวัวดื้อตัวนั้นให้กลับมาเข้าคอกได้   นี่พี่ได้รับข่าวว่ามันกำลังจะเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่แล้วไม่ใช่หรือคะ”

“ก็เอาการอยู่”     เขาตอบพลางหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ     “คุณพี่ทราบรึยังครับว่าพ่อน้องชายกำลังจะแต่งงานอยู่แล้วในอาทิตย์หน้านี่แหละ   เขาบอกกับผมเมื่อวานนี้เอง”

“บอกกับคุณใหญ่”    พรทิพย์อุทานอย่างตกใจเต็มที่  พลางยกมือข้างหนึ่งที่แพรวพราวไปด้วยแสงเพชรตบลงบนอก     “ต๊ายตาย เจ้าพัจนาน่ะหรือคะ  กล้าบอกกับคุณใหญ่ว่าจะแต่งงาน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคุณใหญ่ไม่เต็มใจ”

“ก็ทำไมเขาถึงจะไม่กล้าเล่าครับ”    เขากลับย้อนถาม     “เขาคงถือว่าเขาไม่ใช่เด็กๆ   ที่จะยอมให้ใครบังคับเขาได้แล้ว”

“ตกลงก็แปลว่า นังหญิงคนนั้น มันชนะ”     พรทิพย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเสียเหลือเกิน   แต่ภายในใจนั้นเล่า   ถ้าพัจนาดื้อดึงแต่งงานกับคนที่พลินทร์ไม่พอใจ และถ้าพลินทร์ไม่มีทายาทสืบสกุล  จะเนื่องมาจากเหตุอะไรก็ตามที ทรัพย์สมบัติมหาศาลของสกุลพงศ์ราชจะไปไหนเสีย  ก็คงจะต้องถูกแบ่งสรรปันส่วนกันในหมู่ญาติพี่น้องเป็นแน่แท้     “เออ มิเสียแรงที่มันตั้งอกตั้งใจเป็นหนักหนา ที่จะจับพัจนาไว้ให้ได้ อยากรู้จริง ว่าเจ้าพัจนามันอ้างเหตุผลว่ายังไงที่กล้าขัดใจคุณใหญ่ถึงขนาดนี้”

“ผมไม่ต้องการรู้เหตุผลของพัจนานี่ครับ   ผมต้องการแต่การตัดสินใจของเขาเท่านั้น ถ้าเขาจะมีเหตุผล ก็คงจะเป็นเพราะเขาอยากจะชดใช้หนี้ที่ทำให้พ่อของหล่อนตายละกระมังครับ”

“เชอะ วิเศษจริง   นี่ละ ที่เขาว่าสันดานคนมันต่ำละก็อดที่จะกินของต่ำไม่ได้   เออ คุณใหญ่คะ   นี่สมมุติว่าเจ้าพัจนาแต่งงานไปแล้ว มีลูกออก มาล่ะ   คุณใหญ่ยังคิดที่จะยกทรัพย์สมบัติให้ลูกของมันอีกงั้นหรือ”

“ดูคุณพี่ช่างแน่ใจเสียจริง นะครับ  ว่าพัจนาจะได้แต่งงานกับหญิงคนนั้นจนกระทั่งจะมีลูก มีเต้า ด้วยกัน”     ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยรู้สึกขันปนรำคาญ     “คุณพี่คิดหรือว่าตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่   ผมจะยอมให้พัจนาหลงกล ถูกผู้หญิงอย่างนั้นผูกมัดไว้จนดิ้นไม่หลุด   คนอย่างนายพลินทร์ พงศ์ราช”     เขายืดอกขึ้นอย่างหยิ่งผยองเมื่อกล่าวนามตนเอง   “เมื่อได้ตั้งใจที่จะทำสิ่งใดแล้ว  มีอยู่หรือที่จะยอมแพ้เอาง่ายๆ ถ้าผมยอมให้พัจนาทำอะไรที่เป็นการไม่ไว้หน้าผมครั้งนี้สำเร็จ ก็อย่ามาเรียกผมว่า  พลินทร์ พงศ์ราช อีกต่อไป”

น้ำเสียงนั้นแสดงออกมาซึ่งความภาคภูมิทรนง และเชื่อมั่นในตนเองอย่างแจ้งชัด     มันก็พรรค์เดียวกันนั้นเอง  พรทิพย์นึกในใจ   เย่อหยิ่งอวดดี   แล้วก็เห็นตัวเองวิเศษเหนือมนุษย์   แต่หล่อนหาได้เอ่ยออกมาเป็นวาจาไม่   แม้ว่าตามที่เป็นอยู่นั้น ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายหล่อนในขณะนี้จะมีศักดิ์เป็นเพียงน้อง   แต่ในฐานะที่เขาเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งมวลของสกุลนั่นสิ  ที่ทำให้พรทิพย์ต้องใช้ความระมัดระวังใคร่ครวญเป็นพิเศษ ในการที่จะใช้คำพูดกับเขา   หล่อนถือสุภาสิตที่ว่า ปากเป็นเอก   และจะเลือกใช้ความเป็นเอกของปากก็แต่กับคนที่หล่อนเชื่อว่าจะทำประโยชน์ให้แก่หล่อนได้เท่านั้น

ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไป   พรทิพย์ขยับขาด้วยความเมื่อยขบเพราะต้องยืนอยู่นาน   มองดูชายหนุ่มเห็นเขามองออกไปทางเบื้องหน้าโดยมิได้เอาใจใส่กับกิริยาอาการของหล่อนก็ถอนใจ เปลี่ยนเรื่องพูดใหม่ว่า

“แม่น้ำเจ้าพระยาคืนนี้ช่างสวยงามเสียจริงนะคะ  พี่อยากจะชมความคิดคุณใหญ่ที่จัดให้มีงานในคืนนี้ เป็นโอกาสที่เหมาะมากทีเดียว”

“ความคิดของสิวิกาหรอกครับ ไม่ใช่ของผม”     เขาตอบเรื่อย ๆ

“อ้อ ยังงั้นหรอกหรือคะ  พี่เพิ่งทราบ  ถ้าอย่างนั้นคุณสิวิกาเป็นผู้หญิงที่ เอ้อ ฉลาดเฉลียวน่ารักไม่น้อยเลย   นี่เมื่อไรถึงจะหมั้นจะหมายกันเสียทีเล่าคะ   ใครๆ ก็พากันคอยจะอวยชัยให้พรอยู่ทั้งนั้น”

“ผู้ใหญ่ทางสิวิกาเขาหาฤกษ์ได้แล้ว”    เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เป็นปรกติ “วันที่ยี่สิบนี่แหละครับ อยู่อีกราวๆ สองอาทิตย์”

“อุ๊ย ถ้าอย่างนั้นก็ทีหลังพัจ...”    แล้วผู้พูดก็หยุดชะงัก กัดลิ้นของตัวเองด้วยความตกใจที่พลั้งออกมาในสิ่งที่ไม่ควรพลั้ง

“ทีหลังกำหนดแต่งงานของพัจนา”     พลินทร์ต่อประโยคที่ญาติของเขากล่าวค้างไว้นั้นอย่างเบื่อและรำคาญ     “คุณพี่ไม่คิดที่จะไปดูเขาลอยกระทงกันที่เรือนแพบ้างหรือครับ   ป่านนี้คุณพี่ชายคงจะไปปร๋ออยู่ที่นั่นแล้ว   เมื้อกี้นี่ผมเห็นชวนสมัครพรรคพวกไปตั้งกลุ่มเบ้อเรอ บาร์เปิดตลอดจนงานเลิกเลยนี่ครับ”

“พี่ก็คิดว่าจะไปอยู่เหมือนกันแหละ   คุณใหญ่ท่าจะรอคุณสิวิกาก่อนกระมัง   พี่จะไปตามเธอมาให้ดีไหมคะ”

“อย่าเลยครับ ขอบพระคุณ วันนี้สิวิกาเขามีแขกพิเศษ คุณพี่คงทราบแล้ว”

“ทราบแล้วค่ะ แต่เป็นแขกที่คุณใหญ่ให้คุณสิวิกาพามาให้พัจนาไม่ใช่หรือ เห็นเดินตามสิวิกาอยู่ต้อยๆ รู้สึกว่าจะขี้อายอยู่มากๆ”

“ลูกเขาเพิ่งจะพ้นกลิ่นอายกำแพงคอนแวนต์ออกมาใหม่ๆ   มีชาติ มีตระกูล  การศึกษาอบรมก็ดี  สิวิกาหวังอย่างเต็มที่ที่จะให้ได้พบกับพัจนา   แต่ทว่า...”     เขายกไหล่ทั้งสองขึ้นเป็นเชิงว่า ป่วยการที่จะพูดถึงสิ่งที่ต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่ามันเป็นอย่างไร

“พัจนาน่ะเหมือนกับลาโง่ที่ทิ้งโอกาสงามๆ อย่างนี้เสีย”     พรทิพย์ว่า   ในใจของหล่อนนั่นสิ ที่กำลังคิดว่า เป็นการดีและสมน้ำหน้านัก   ที่มีอะไรมาดลบันดาลให้น้องชายต่างมารดาของหล่อนเกิดเห็นผิดเป็นชอบไปเสียเช่นนี้   ใครเลยจะเห็นลูกเมียน้อยประสบโชคได้ดิบได้ดีจนเกินหน้าตัวเองได้ตำตา   แต่ปากที่เป็นเอกของหล่อนคงกล่าวต่อไปว่า     “แต่ว่าไม่ได้นะคะ พัจนาอาจจะหายโง่หายตาบอดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ใครจะรู้     ขอให้เราพากันหวังเถิดว่า สักวันหนึ่งพัจนาจะหายโง่ หายตาบอด หลุดพ้นจากอำนาจมารยาของนังผู้หญิงที่ครอบครองอยู่นั้นเสียที   แล้วเขาจะเห็นว่าพวกเราพากันหวังดีต่อเขาจริงๆ”

ช่างเป็นคำพูดที่เหมาะเจาะกลมกลืนอะไรเช่นนั้น ที่หล่อนได้กล่าวมันออกมา   พรทิพย์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางสูดลมหายใจยาวด้วยความพึงพอใจในคำพูดของตนเอง จนมิได้สังเกตเห็นสายตาที่เหลือบมองหล่อนอย่างเยาะ  และเหยียดหยามเป็นเชิงรู้เท่า   หล่อนจ้องมองดูท้องฟ้า แล้วก็หันกลับมามองดูเทพสถิตที่ตระหง่านเงื้อมงามจับตาอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปนั้น พลางก็คิดว่า เหตุใดหนอสกุล “พงศ์ราช”  จึงได้เคร่งครัดยึดมั่นในหลักการของการสืบสกุลยิ่งนัก  ทรัพย์สมบัติที่มีค่าเกือบทั้งหมดจะต้องตกเป็นของผู้สืบสุกลแต่เพียงผู้เดียว   หล่อนคิดว่ามันเป็นการตัดรอนสิทธิของคนอื่นๆ อย่างไม่ยุติธรรมเลย   ดูหรือตัวอย่างเช่นบิดาของหล่อนเป็นต้น เป็นน้องแท้ๆ ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับของพลินทร์ ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างกายของหล่อน ณ บัดนี้ แต่แล้วบิดาของหล่อนได้อะไรบ้างเล่า   เกือบจะนับได้ว่าไม่ได้อะไรเลย   ถ้าจะเปรียบกับพี่ชายซึ่งได้เป็นเจ้าของเทพสถิต   สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์อีกมากมาย สุดจะคณานับ รวมทั้งเครื่องเพชรประจำตระกูลด้วย

เครื่องเพชรประจำตระกูล  โอ หล่อนเคยได้เห็นผู้เป็นป้าสะใภ้ของหล่อนใช้ ประดับกายเมื่อคราวที่เทพสถิตเคยมีงานสำคัญหลายครั้ง   มันช่างสวยหยดย้อยอะไรเช่นนั้น  มันทำให้หล่อน   แพรทอง น้องสาว   และแม้กระทั่งมารดาของหล่อนเองถึงกับพร่ำเพ้อด้วยความอยากได้   เครื่องเพชรประจำตระกูลที่ปรากฏเฉิดฉายอยู่บนร่างกายของหญิงอื่นที่มิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพงศ์ราช ทำให้หล่อนร้อนวูบด้วยความริษยา   เพียงแต่หญิงนั้นจะเข้าสู่พิธีสมรสกับผู้นำของ พงศ์ราชเท่านั้น หล่อนก็จะได้เข้าครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง  ไม่ยุติธรรมเลย   สมบัติของพงศ์ราชก็ควรจะตกเป็นของพงศ์ราช   คนอื่นไม่ควรจะมาชุบมือเปิดเอาเช่นนี้

“คุณพี่ท่าจะนึกเป็นห่วงคุณพี่ผู้ชายเต็มทนแล้ว”     เสียงที่พูดขึ้นข้างๆ ทำให้หล่อนรู้สึกตัวและพยายามที่จะควบคุมจิตใจที่ฟุ้งซ่านไปนั้นให้กลับคืนมาสู่ที่ที่หล่อนจะต้องเก็บมันไว้ด้วยความเอาใจใส่ ระมัดระวังตามเดิม

“คุณพี่จะไปที่เรือนแพไหมครับ  ผมจะเดินไปเป็นเพื่อน”

ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่สำคัญว่าตนเองดีวิเศษกว่าคนอื่นอยู่เสมอก็ตาม   แต่ในบางเวลา พลินทร์  ก็ยังเป็นสุภาพบุรุษที่รู้จักการเอาอกเอาใจผู้หญิงอยู่บ้างเหมือนกัน

“อย่าเลยคุณใหญ่   พี่ขอบใจละค่ะ   พี่ไม่ได้คิดถึงพี่เขยของคุณใหญ่หรอก พี่กำลังคิดถึง แพรทองน่ะ  ต๊าย   นี่ถ้าแพรทองอยู่   เขาคงสนุกสนามพิลึกละ ออกเสียดายแทนที่เขาไม่ได้อยู่เมืองไทยในเวลานี้”

พลินทร์หัวเราะหึๆ อยู่ในคอเมื่อพูดว่า     “คุณพี่ลืมเสียแล้วกระมังครับ ว่าขณะนี่น้องแพรกำลังอยู่ที่ปารีส   ถึงจะเป็นเวลาธรรมดา ที่ปารีสก็สนุกครึกครื้นกว่าที่บ้านนี้เวลามีงานหลายสิบเท่านัก”

“แต่ถึงยังไงก็ไม่เหมือนบ้านเรานะคะ คุณใหญ่”     พรทิพย์ยังไม่ยอมจำนน     “แม่แพรน่ะ เขียนจดหมายถึงบ้านทีไรเป็นบ่นออดๆ ว่าคิดถึงบ้านทุกทีไป   แล้วแกก็ดูติดอกติดใจคุณใหญ่อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน   เห็นบ่นถึงคุณใหญ่เกือบทุกครั้งแหละค่ะ”

คราวนี้พลินทร์หัวเราะออกมาดังๆ อย่างเปิดเผยทีเดียว     “งั้นรึครับ”    เขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ     “แต่วันนั้นผมได้เห็นรูปแพรทองกำลังซบหน้ากับนายหนุ่มผมทองคนหนึ่ง   ยิ้มหวานจ๋อยให้กล้องทั้งคู่   ไม่มีท่าทางว่าจะคิดถึงพี่ใหญ่อย่างที่คุณพี่ว่าสักนิดเลยแหละครับ”

พรทิพย์จนต่อคำพูดของเขา   หล่อนยิ้มเฝื่อนๆ แก้เก้อทั้งๆ ที่ที่ยืนอยู่นั้นก็มืดสลัวอยู่นักหนา   ขณะที่กำลังค้นหาคำพูดอย่างอื่นมากลบความเก้อเขินของตนต่อไปนั้น  หล่อนเผอิญเหลือบไปเห็นร่างของสตรีสองนางปรากฏขึ้นที่ประตู   แสงไฟจากภายในสาดต้องร่างทั้งสองนั้นทางเบื้องหลัง ทำให้เกิดเป็นเงาดำ   แต่ด้วยสมองซึ่งแม่นยำเป็นพิเศษในการจดจำ   พรทิพย์ก็ถอนใจยาวออกมาได้อย่างโล่งอกที่จะได้ไม่ต้องผจญกับความอึดอัดใจในการสนทนาโต้ตอบที่ตนกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกต่อไป   หล่อนรีบบอกกับญาติหนุ่มเสียงใสว่า

“นั่นแน่ะค่ะ คุณใหญ่ คุณสิวิกาเธอออกมานั่นแล้ว”


จบบทที่ 1