อากาศในป่าลึก แม้ว่าจะเป็นเพียงบ่ายห้าโมงเย็น แต่ก็เริ่มสลับสลัวคล้ายจะใกล้ค่ำ พลินทร์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง ไกลออกไปทางเบื้องหน้าของเขาไม่ถึงห้าเส้น คือต้นสักซึ่งยืนต้นเรียงราย สลับซับซ้อนกันอยู่อย่างหนาแน่น ยอดสูงของมันเบียดบังดวงอาทิตย์จนหมดสิ้น คงเหลือแต่แสงสีเหลืองอร่ามที่จับท้องฟ้าเหนือยอดไม้นั้น พลินทร์เงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าสีทองสุกสว่างที่สูงพ้นยอดไม้สีเขียวขจีขึ้นมาพร้อมกับถอนใจ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่ในที่ๆ เงียบสงัดถึงปานนี้ เงียบและวังเวงใจอย่างประหลาด ช่างตรงกันข้ามกับสภาพจิตใจของเขาเสียเหลือเกิน เพราะในขณะนี้ พลินทร์รู้สึกว่าในใจของเขาช่างวุ่นวายเสียจนไม่อาจที่จะแยกแยะออกได้ว่าอะไรเป็นอะไร มันสับสนปนเปกันไปหมด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย มันร้อนรนกระวนกระวายไม่สงบลงได้ แม้ว่าเขาจะพยายามระงับสักเพียงไร ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พลินทร์ พงศ์ราช ไม่สามารถจะควบคุมความรู้สึกนึกคิด และจิตใจของเขาให้เป็นไปตามความประสงค์ได้ ช่างน่าประหลาดนัก
เสียงจ้าวศรีฟ้าและน้องชายพูดกับใครคนหนึ่งอยู่แว่วๆ แม้ว่าจะไม่มีเสียงตอบจาก “ใครคนนั้น” แต่พลินทร์ก็รู้ดีว่า ใคร คือผู้ที่จ้าวหนุ่มสองพี่น้องพูดอยู่ด้วย เขาหันกลับ เปลี่ยนเป็นยืนเอาหลังพิงกับขอบหน้าต่างไว้ ตาจับอยู่ที่ประตู อีกเพียงอึดใจใหญ่ต่อมา ประตูก็เปิดออก ร่างเพรียวระหงกลมกลึงในชุดกางเกงขายาวสีดำและเสื้อแขนยาวตาหมากรุก สีแดงสลับขาว ก้าวเข้าในห้องพร้อมด้วยถาดอาหารในมือ พลินทร์รู้สึกพอใจและสนุกหน่อยๆ ที่สามารถทำให้ “ใครคนนั้น” ถึงกับตาโตร้องออกมาว่า
“ตายจริง คุณพลินทร์ นั่นหมอสั่งให้ลงจากเตียงได้แล้วหรือคะ”
“ก็ไม่เห็นหมอสั่งให้นอนอยู่แต่ในเตียงนี่นะ” เขาตอบ ซึ่งทำให้ดวงตาที่เบิกโตอยู่แล้วนันเบิกโตขึ้นอีก พลินทร์รู้สึกขันจนเกือบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ หญิงสาวยืนเฉยอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามต่อไปว่า
“คุณไม่รู้สึกเจ็บแผลหรือคะ”
“ถ้าจะบอกว่าไม่เจ็บละก็ออกจะเป็นการพูดโวไปสักหน่อยกระมัง ความจริงมันก็เจ็บเหมือนกัน แต่ก็พอทนได้” เขาลดสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวลงมายังถาดที่เธอถือไว้ ถามว่า “นั่นเธอเอาอะไรมาหรือ ผดา”
“ของว่างของคุณไงคะ” หญิงสาวตอบแล้วก็เดินไปวางถาดลงบนโต๊ะข้างเตียง พลินทร์มองตาม เมื่อผดาหันกลับมาก็ได้ประสานสายตากับเขาอย่างไม่ตั้งใจ เธอหลบตาลงก่อน จึงไม่มีโอกาสได้เห็นแววตาของเขาขณะที่เขาถามว่า
“ทำไมเธอจึงได้ดีต่อฉันอย่างนี้ ผดา”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ถามว่า “คุณสงสัยอะไรหรือคะ คุณพลินทร์”
“เธอไม่โกรธฉัน ไม่เกลียดฉันดอกรึ”
ผดามองดูเขาอย่างสงสัยและต้องการหยั่งรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการที่เขาตั้งคำถามเช่นนั้นกับเธอ แล้วจึงกล่าวตอบเขาอย่างชาเย็นเป็นที่สุดว่า
“คุณพลินทร์คะ ความรู้สึกของดิฉันคงจะไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของดิฉันกระมังคะ”
“หน้าที่ของเธอ ” เขาทวนคำพร้อมกับหมวดคิ้ว
“ค่ะ” ผดารับคำด้วยเสียงหนักแน่น หน้าที่ของดิฉันก็คือช่วยดูแลพยาบาลคุณตามที่จ้าวศรีธรขอร้อง”
หัวคิ้วของเขายังไม่คลายออกจากกันเมื่อเขาถามต่อไปว่า “แปลว่าที่เธอทำอะไรๆ ให้ฉันนี้ก็เพราะเห็นแก่จ้าวศรีธรเท่านั้นใช่ไหม”
“เอ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าคุณนึกอย่างไรขึ้นมาจึงได้ตั้งคำถามเอากับดิฉันเช่นนี้”
“ที่ฉันถามเช่นนี้ ก็เพราะฉันไม่ต้องการให้ใครต้องมาทำอะไรให้ฉันเพราะเห็นแก่คนอื่นเพราะความจำใจน่ะซี”
เขาตอบด้วยเสียงหนักๆ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะหนักพอที่จะพลอยทำให้หัวใจของผดาสั่นสะเทือนไปด้วย น้ำหนักจากเสียงนั้นกดหัวใจเธอให้ยุบลงคล้ายถูกของหนักทับ และเมื่อของนั้นเคลื่อนขึ้นพ้นแล้วมันก็กลับพองวูบขึ้นและสั่นสะเทือนระริกระรัวอย่างบอกไม่ถูก เธอพยายามข่มใจ ข่มเสียงให้เป็นปรกติเมื่อกล่าวว่า
“จะมีประโยชน์อะไรคะ ที่คุณจะมาพูดเอาเดี๋ยวนี้ในเมื่อดิฉันได้ทำหน้าที่นี้มานานแล้ว”
เขามองเธอเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “เธอน่าจะกลับออกไปพร้อมภิสัช”
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นมองดูเขาอย่างแปลกใจ หัวเราะอย่างขันเมื่อกล่าวว่า “แต่คุณเองไม่ใช่หรือคะที่สั่งภิสัชให้ไปบอกคำรสว่าดิฉันสบายดี”
พลินทร์เบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อบอกว่า “ที่ฉันสั่งอย่างนั้นก็เพราะคิดว่าฉันพอจะเดาความคิดของเธอได้ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้.... ชักจะไม่ค่อยแน่ใจเสียแล้ว”
“ดิฉันไม่เข้าใจคำพูดของคุณเลยค่ะ คุณพลินทร์ คุณจะกรุณาพูดให้ชัดกว่านี้ เพื่อให้ดิฉันเข้าใจด้วยจะได้ไหมคะ”
พลินทร์เบือนหน้ากลับมาทางเธอ แต่ดวงตาของเขาจับอยู่เพียงแค่ปลายขา กางเกงที่อยู่พ้นขึ้นไปจากข้อเท้าอันขาวสะอาดเมื่อตอบว่า “ครั้งแรกฉันคิดว่าเธอคงจะไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจที่จะติดตามค้นหาพัจนาต่อไป จึงได้วานนายตำรวจเขาไปบอกคำรสอย่างนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้…” เขามองสบตาผดา “ฉันกำลังคิดว่าฉันทำผิดหรือถูกที่บอกให้ภิสัชไปบอกคำรส แทนที่จะให้เธอกลับออกไปเสียเอง”
จบคำพูดของเขา พลินทร์ก็ได้เห็นดวงตาดำขลับคู่นั้นเป็นประกายวาววับขึ้นมาในทันที ประกายของมัน แม้ว่าจะไม่เหมือนกับครั้งแรกที่เขาได้เห็นในรถเสบียงเช้าวันนั้น แต่ความหมายของมัน... พิษของมันดูจะร้ายกว่ามาก.. สายเกินกว่าที่จะแก้คำพูดที่ได้พูดออกไปแล้ว พลินทร์จึงได้เห็นคางที่เรียวแหลมนั้นเชิดขึ้น ขณะที่เสียงอันชาเย็นหลั่งไหลออกมาจากปากที่อิ่มเต็มนั้นว่า
“คุณพลินทร์ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่พูดออกมาตรงๆ ดิฉันก็พอจะรู้ได้ว่าคุณคิดอย่างไรในตัวดิฉัน เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อความสบายใจของเราทั้งสองคน ดิฉันจะไม่ให้คุณต้องเห็นหน้าดิฉันอีก และถ้ามีโอกาสเมื่อไรดิฉันจะออกไปให้พ้นจากที่นี่ทันที”
ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวก็หันกลับเดินออกไปจากห้อง พลินทร์ยืนตะลึงมองตาม รู้สึกคล้ายถูกกระตุกที่หัวใจเมื่อเสียงประตูถูกดึงปิดตามหลังดังปัง
นี่เราพูดอะไรออกไป เขาถามตัวเอง ทำไมเราจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น นั่นมันเป็นคำพูดของคนที่เอาแต่อารมณ์ชัดๆ ไร้เหตุอย่างที่สุด พลินทร์ พงศ์ราช ไม่เคยเป็นคนไร้เหตุผลถึงเพียงนี้เลยนี่นา เขาเป็นอะไรไป
อาหารว่างของคนเจ็บมื้อนั้นถูกทิ้งไว้จนเย็นชืดอยู่จนค่ำ โดยที่มิได้ถูกแตะต้องเลย แม้แต่น้อย เมื่อได้เวลาอาหารค่ำ ทั่วทั้งป่าก็เงียบสงัด มีแต่เสียงจักจั่นที่กรีดร้องรับกันอยู่ จ้าวศรีฟ้าถึงกับออกปากกับน้องชาย ซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้กันบนเก้าอี้ผ้าใบหน้าบ้านนั้นว่า
“เวลากลางคืนในป่านี่มันเงียบสงัดวังเวงดีจริงนะ อยู่มาตั้งห้าคืนเข้านี่แล้ว แต่พี่ยังไม่ยอมคุ้นกับมันสักที”
“เพิ่งทุ่มกว่าเท่านั้น” ศรีธรละสายตาจากหนังสือมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ “เงียบเสียยิ่งกว่าเวลาเที่ยงคืนในกรุงเทพฯ อีก”
“ชีวิตของคนกรุงเทพฯ น่ะ ตั้งต้นกันเมื่อเที่ยงคืนไม่ใช่รึ จ้าว”
เสียงที่สามที่พูดแซงขึ้นมานั้น ทำให้ชายหนุ่มทั้งสอง ต้องหันไปมองดูแล้วก็ผลุดลุกพร้อมกัน พลินทร์หัวเราะพร้อมกับโบกมือ บอกว่า “ผมไม่เป็นอะไรหรอก เออแน่ะ ทำท่าราวกับจะเข้ามาประคองเทียวนะ ทั้งสองคนนั้นแหละ”
รอจนเขาเดินมาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่นแหละ ญาติของเขาจึงได้กลับนั่งลง พลินทร์พูดยิ้มๆ ว่า “หมอประจำตัวของผมคงจะไม่ว่าที่คนไข้ไม่อาจจะทนนอนอยู่แต่ในห้องต่อไปอีกได้ อะไรจะมาทรมานเท่ากับการที่ต้องนอนอยู่เฉยๆ เป็นเวลานานโดยที่ไม่รู้จะทำอะไรเป็นไม่มีอีกแล้ว เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้รู้รสของมันคราวนี้เอง”
“ท่าจะคิดถึงใครที่กรุงฯ เต็มทนแล้วซีพลินทร์” จ้าวศรีฟ้าพูดอย่างล้อเลียน โดยหารู้ไม่ว่า คำที่ล้อเลียนออกไปโดยไม่มีเจตนาของเขานั้นมันไปกระทบใจของสหายเข้าอย่างจัง คิดถึงใครที่กรุงเทพฯ คุณพระ เจ้าศรีฟ้าจะนึกว่าอย่างไรบ้างถ้ารู้ว่าความจริงใจของเขานั้นเป็นอย่างไร
“นั่นถอนใจเพราะเป็นห่วงคุณแม่หรือเป็นห่วงคุณสิวิกา” จ้าวศรีฟ้าถามอย่างล้อเลียนต่อไปเมื่อสังเกตเห็นกิริยาอาการของเพื่อน พลินทร์นิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนที่จะตอบว่า
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละจ้าว ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ตอนนี้ บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าใจคอเป็นอย่างไร คิดอะไร นึกอะไรจับต้นชนปลายไม่ถูก”
มันเป็นคำพูดที่แสนประหลาดจนไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของพลินทร์ จ้าวศรีธรวางหนังสือ มองดูหน้าของผู้พูดอย่างพิจารณา ในขณะเดียวกันกับที่ พี่ชายของเขาหัวเราะอย่างขันแกมแปลกใจ
“แปลกดีนี่” จ้าวศรีฟ้าว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินพลินทร์ พงศ์ราช บอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ความคิดของคุณก็รู้จักแตกแถวเป็นเหมือนกันหรือพลินทร์”
“อาจจะเป็นเพราะคุณพลินทร์ ไม่เคยเจ็บนาน แบบนี้มาก่อนกระมังครับ” ศรีธรให้ข้อสังเกต ซึ่งพลินทร์ก็รับเอาว่า
“อาจเป็นได้”
“อีกไม่กี่วันก็ออกติดตามหาพัจนาต่อไปได้แล้ว” จ้าวศรีฟ้าว่า “เมื่อพลินทร์แข็งแรงดี”
“ผมแข็งแรงพอแล้ว” พลินทร์บอก “จะไปกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่มันไม่ได้สำคัญที่ผม มันสำคัญที่ว่าภิสัชจะทำงานของเขาเสร็จเมื่อไรต่างหาก”
“ป่านนี้คุณภิสัชคงจะติดประกาศรับสมัครคนงานเรียบร้อยแล้วนะครับ” จ้าวศรีธรว่า พลินทร์ก้มศรีษะรับ
“คงเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้ คนงาน อาจจะเดินทางมาจากกรุงเทพฯ บ้างแล้วก็เป็นได้ อีกสัก 2-3 วันก็คงจะมาถึงที่นี่กระมัง”
“เอ” จ้าวศรีฟ้าแสดงความกังขา “ผมชักสงสัยว่าใครเขาจะไม่นึกบ้างหรือว่าทำไมเราจึงได้เอาแต่พวกคนงานที่มาจากกรุงเทพฯ”
“ก็ไม่น่าจะสงสัย” พลินทร์ตอบเรื่อยๆ” เพราะเราได้ทำข่าวออกไปแล้วว่าผมสั่งให้ประกาศรับสมัครคนงานที่กรุงเทพฯ ด้วย คนงานที่เป็นคนเมืองนี้เราก็เอาบ้างเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรเราก็จะต้องจ้างอยู่แล้ว”
“ถ้าหากว่าพวกที่มาจากกรุงเทพฯ นั่นเกิดเก็บความลับไว้ไม่อยู่ล่ะครับ” ศรีธรวิตก “ถ้าสากันรู้เข้าว่าเราช่วยตำรวจ เรามิยับหรือครับ”
“ก็สุดแท้แต่เรื่อง” พลินทร์ว่า “เราทำตามหน้าที่พลเมืองดีแล้วนี่ ผมเป็นห่วงก็แต่ว่าพาจ้าวมาให้พลอยลำบากไปด้วยเท่านั้นเอง”
“อภิโธ่” ศรีฟ้าร้อง ลุกขึ้นมาหาสหาย วางมือลงบนบ่าข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ตบเบาๆ “อย่าวิตกถึงผมกับศรีธรเลย พลินทร์ เราเป็นทั้งเพื่อนและทั้งญาติกันไม่ใช่หรือ เมื่อคุณจะต้องเป็นอะไรไป เราก็เต็มใจที่จะเป็นไปกับคุณด้วย”
พลินทร์ยกมือขึ้นตบมือที่วางอยู่บนบ่าของเขาเบาๆ บอกว่า “ขอบใจจ้าว ขอบใจจริงๆ แต่อย่าลืมนะว่าไม่ใช่จ้าวกับจ้าวศรีธรเท่านั้นที่จะพลอยลำบากไปกับผม เรายังมี่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง”
“ผู้หญิง” สองพี่น้องร้องขึ้นพร้อมกันอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ จ้าวศรีธรลุกขึ้นยืนบอกว่า
“ผมลืมนึกถึงคุณผดาไปได้ เอ...” เขาเดินไปชะโงกดูที่ลูกกรง มองไปทางบ้านพักของเทอด “นี่ตั้งทุ่มครึ่งกว่าเข้าไปแล้ว คุณผดายังไม่เห็นมา จะได้เวลาอาหารแล้วนี่”
“จริงซี” จ้าวศรีฟ้าผละจากพลินทร์เดินมาชะโงกดูบ้าง “คุณผดาไม่เคยต้องให้เราคอยนี่นา แล้วก็เคยมาดูแลจัดโต๊ะอาหารเองเสมอ อาหารคนเจ็บก็เคยยกมาเอง นี่ทำไมถึงได้เงียบหายไปอย่างนี้ก็ไม่รู้”
“เอ” จ้าวศรีธรลากเสียง “หรือว่าคุณผดาจะเกิดนึกสนุกเดินเข้าไปดูอะไรในป่าเล่นบ้างกระมังครับ จ้าวพี่”
ขาดคำจ้าวศรีธร ก็ปรากฏเสียงเก้าอี้เลื่อนออกโดยแรง ทั้งสองหันไปเห็นพลินทร์ ผลุดลุกขึ้นยืน เขาก้าวปราดๆ มาทางบันไดพร้อมกับบอกว่า
“ผมจะไปดูที่เรือนโน้น”
จ้าวศรีฟ้าร้อง “ฮ้า” พร้อมกับที่จ้าวศรีธรร้องว่า “ไม่ต้องครับ คุณพลินทร์ คุณเพิ่งจะค่อยยังชั่ว ผมจะไปดูเอง” แล้วก็รีบลงบันไดไปโดยเร็ว
พลินทร์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม บอกกับจ้าวศรีฟ้าว่า “ขอบุหรี่ผมสักตัวซิจ้าว”
จ้าวศรีฟ้าทำตามคำของร้องของสหาย จุดบุหรี่ใส่บากให้ตัวหนึ่ง แล้วถอยออกไปยืนดูอยู่ห่างอย่างรู้สึกแปลกใจ ท่าทางของพลินทร์ดูผิดตาไปกว่าที่เคยเห็นเป็นอันมาก จากการที่เขาอัดบุหรี่แรงๆ ติดๆ กัน หลายครั้งนั้น แสดงให้เห็นถึงความว้าวุ่นใจอย่างแจ้งชัด สักครู่หนึ่งจ้าวศรีธรก็กลับมาคนเดียว ขณะนั้นพลินทร์นั่งหันหลังให้บันไดอยู่ จ้าวศรีฟ้ายิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น ที่พอมีเสียงก้าวขึ้นบันได พลินทร์ก็ทำท่าคล้ายกับว่าจะหันมาดู แต่แล้วก็ไม่ได้หัน ยังคงนั่งสูบบุหรี่เฉยอยู่ เขาจึงเป็นผู้เอ่ยถามน้องชายเสียเองว่า
“ว่าอย่างไร ทำไมคุณผดาไม่มาด้วยเล่า คุณผดาไปอยู่เสียที่ไหน”
“ใจเย็น ๆ เถอะครับ จ้าวพี่” น้องชายหัวเราะอย่างสัพยอก “คุณผดาไม่ได้เข้าไปเดินเล่นในป่าหรอกครับ ที่เธอไม่มาก็เพราะว่าเธอรับประทานกับคุณอุ่นเรือนเรียบร้อยแล้วเท่านั้น แล้วเธอยังสั่งผมไว้ด้วยว่าต่อไปนี้ถึงเวลาอาหารละก็ไม่ต้องคอยเธอหรอก เธอจะรับกับคุณอุ่นเรือนทุกมื้อ”
“คุณว่าอะไรนะ พลินทร์” จ้าวศรีฟ้าหันไปถามสหายเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเขาผู้นั้นกล่าวอะไรออกมาอย่างหนึ่ง แต่กลับได้รับคำปฏิเสธว่า
“เปล่า ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“งั้นหรือ” จ้าวศรีฟ้าพูดอย่างแปลกใจ “ผมนึกว่าได้ยินเสียงคุณพูดว่าอะไรเสียอีก... เอ.. นี่คุณผดา จะตัดเชือกเราก็ไม่ยักบอกล่วงหน้าแฮะ” แม้ว่าเขาจะพูดเป็นเล่นสนุก แต่สำหรับผู้ที่มีความสังเกตดู ก็จะสามารถจับความกังวลจากเสียงนั้นได้ชัดเจน “ถ้างั้นเราก็เข้าโต๊ะกันได้แล้วละซี มากันเถอะพลินทร์”
เขาออกเดินนำหน้าไปสู่ทางเดินที่จะนำไปยังห้องด้านหลัง เมื่อหันกลับมาอีกที เห็นเพื่อนยังคงนั่งเฉยอยู่ก็่หยุดยืน ร้องถามว่า “อ้าว ไงล่ะ พลินทร์ กินข้าวกันเถอะ วันนี้ไม่มีอาหารพิเศษสำหรับคนเจ็บเสียแล้ว”
พลินทร์ลุกขึ้นยืนช้าๆ ดีดก้นบุหรี่ในมือกระเด็นวาบข้ามลูกกรงระเบียงลงไปยังพื้นดิน นิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกโดยไม่มองดูหน้าว่า “เชิญจ้าวตามสบายเถอะ ผมไม่หิวเลย”
“อ้าว” จ้าวศรีฟ้าออกอุทานซ้ำ “ไม่กินข้าวหรือ เดี๋ยวดึกๆ ก็หิวแย่”
“ไม่หิวหรอก” พลินทร์ยืนกราน “ผมชักรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากนอนมากกว่า จ้าวไปกินกันเถอะ ผมจะไปนอนเดี๋ยวนี้ละ”
และเพื่อกันไม่ให้ผู้ใดเซ้าซี้อีก พลินทร์ก็ก้าวเท้าผ่านญาติทั้งสองของเขาไปยังห้องพักเสียในทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น พลินทร์ออกมานั่งโต๊ะอาหารร่วมกับญาติของเขาเป็นมื้อแรกของการมายังป่าไม้พงศ์ราชนี้ อดรู้สึกมิได้ว่ามันขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเขายังคงนอนเจ็บอยู่ในเตียง ป่านนี้ก็จะต้องมีใครคนหนึ่งนำถาดอาหารเข้าไปให้ ใครคนนั้นซึ่งเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวเสียนี่กระไร เมื่อเวลาที่อยู่ต่อหน้าเขา หล่อนก็ประหยัดปากประหยัดคำสงวนท่าที ไม่ช่างพูดประจ๋อประแจ๋เหมือนหญิงส่วนมาก เมื่อหล่อนพูด คำพูดของหล่อนแต่ละคำล้วนแล้วแต่มีพิษสงรุนแรงเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจของเขาและทิ้งรอยแผลเป็นซึ่งจะไม่มีวันลบเลือนออกได้ไว้ แต่แม้กระนั้น หล่อนก็มิได้หย่อนในคุณสมบัติของลูกผู้หญิงกว่าหญิงใดเลย หล่อนทำหน้าที่ผู้พยาบาลได้อย่างทะมัดทะแมงและนุ่มนวล แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็เคร่งขรึมและไว้สง่าอยู่ในที ดูเหมือนว่าในกายของหล่อนนั้นจะถูกสร้างขึ้นด้วยธาตุหลายอย่าง หลายชนิดผสมปนเปคละเคล้ากันอยู่ ซึ่งเขาแยกไม่ออก มันทำให้เขาบังเกิดความปรารถนาที่จะเอาชนะ เขาจะต้องเรียนรู้ผู้หญิงคนนี้ให้ลึกลงไปธาตุแท้ของหล่อนให้จงได้ แต่จะเพื่ออะไรนั้นก็ตามที
แต่หล่อนก็มิได้ปรากฏร่างมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย สองวันผ่านไปโดยมิได้มีแม้แต่เงาของหล่อน พลินทร์เริ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก นี่หล่อนหายไปข้างไหนกัน ช่างไม่นึกเสียเลยว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร เกือบตลอดวันที่เขาจมร่างอยู่ในเก้าอี้หน้าบ้าน แม้ว่าจะมิได้ตั้งใจ แต่ก็อดที่จะมองไปทางบ้านพักของเทอดและภรรยาเสียมิได้ บ้านหลังนั้นช่างเงียบเหงาราวกับว่าไม่มีคนอยู่ ถูกละ เทอดเข้าไปในเมืองกับภิสัช แต่เมียของเขาเล่า แล้วก็ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หล่อนไปอยู่เสียที่ไหน ในป่าในดงอย่างนี้ หล่อนจะมีที่ใดที่จะเลี่ยงใครๆ ไปแอบซ่อนตัวอยู่อย่างโดดเดียวได้ ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงคำพูดที่เป็นเชิงเล่นของจ้าวศรีธร ซึ่งกล่าวไว้ขึ้นมา
“หรือว่าคุณผดาจะนึกสนุกเข้าไปเดินดูอะไรเล่นในป่า”
จ้าวศรีฟ้าซึ่งนอนอย่างสบาย เพลิดเพลินกับหนังสืออยู่นั้นมองมาเมื่อได้ยินเสียงเก้าอี้เลื่อน ถามขึ้นเมื่อเห็นสหายลุกขึ้นยืนตระหง่านอยู่ว่า
“นั่นจะไปไหนล่ะพลินทร์ จะกลับเข้าห้องละหรือ”
“เปล่า” เขาตอบสั้นๆ เสียงห้วนโดยไม่รู้ตัว “ผมจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง อยู่แต่บนนี้มันชักเบื่อเต็มที”
จ้าวศรีฟ้าผงกกายลุกขึ้นนั่ง มองดูอย่างสงสัย แล้วถามว่า “ต้องการเพื่อนเดินหรือเปล่า แผลที่บ่ายังไม่หายไม่ใช่หรือ”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอาทร ห่วงใยของสหายทำให้พลินทร์รู้สึกละอายใจ เสียงที่เขาพูดจึงอ่อนโยนลง “ไม่ต้องหรอก จ้าวอ่านหนังสือต่อไปเถอะ ผมจะเดินอยู่แถวๆ นี้แหละ แผลก็เกือบหายแล้ว นี่จ้าวศรีธรหายไปไหนเสียล่ะ”
“ท่าจะไปเที่ยวหาคนเจ็บรักษาอีกกระมัง” จ้าวศรีฟ้าตอบแกมหัวเราะ “ถ้าไงก็จ้างเอาไว้เป็นหมอประจำเสียที่นี่เลยเป็นไง พลินทร์”
พลินทร์หัวเราะแทนคำตอบ ก้าวลงบันไดไป เดินเรื่อยๆ ออกมาจากบริเวณบ้านพักครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดยืนสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเดินต่อไปทางไหนดี ก็พอดีเหลือบไปเห็นจ้าวศรีธรโผล่ออกมาจากชายป่าด้านหนึ่ง กำลังตรงไปที่เรือน พลินทร์ลังเลเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจเดินไปในทางเดียวกันกับที่เห็นจ้าวศรีธรเดินออกมา
เมื่อเดินมาถึงชายป่าตรงนั้น จึงสังเกตเห็นว่ามีทางเดินแคบๆ ค่อนข้างรก ตัดลดเลี้ยวเข้าไปในแมกไม้ มีกิ่งไม้แห้งๆ และใบไม้หล่นทับถมกันอยู่เกลื่อนกลาด แม้ว่ามันจะเป็นทางเดิน แต่ก็เห็นได้ชัดทีเดียวว่าเป็นทางเดินที่มิได้มีผู้ใช้บ่อยนัก พลินทร์เดินไปอย่างระมัดระวัง สงสัยเหลือประมาณว่ามันจะพาเขาลดเลี้ยวไปยังสารทิศใดบ้าง เขาต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหันเมื่อมาถึงทางที่เลี้ยวอ้อมสักใหญ่ต้นหนึ่ง เพราะปรากฏว่าเบื้องหน้าห่างจากที่เขายืนอยู่ไปไม่กี่ก้าว บนขอนไม้ล้มริมทางนั้น มีร่างๆ หนึ่งนั่งทอดอารมณ์หันหลังให้อยู่ การหยุดยั้งตัวในทันทีทันใดทำให้พลินทร์เซไปเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งๆ กิ่งหนึ่งซึ่งทำให้เกิดมีเสียงดังขึ้น ร่างที่นั่งหันหลังให้นั้นหันกลับมาพร้อมกับเสียง
“แหม จ้าว ไปเร็วดีจริงนะคะ......”
เสียงพูดขาดหายไปในคอเมื่อผู้พูดเห็นผู้ที่ยืนอยู่นั้นได้ชัดถนัดตา ผลุดลุกขึ้นยืนจ้องมองดูเฉยอยู่มิได้พูดอะไรต่อไป เพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่บ่งถึงความฉงนฉงายในใจ พลินทร์ ยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปหาช้า ๆ
“ขอโทษ ถ้าฉันทำให้เธอตกใจ”
เขากล่าวเมื่อหยุดยืนอยู่ห่างจากหญิงสาวประมาณสองก้าว ผดาเบือนหน้าไปยังสักใหญ่ตรงทางเลี้ยว บอกว่า
“ไม่เป็นไรดอกค่ะ” แล้วก็หันมาทางเขาถามว่า “คุณออกมาเดินเล่นหรือคะ ไม่กลัวบาดแผลจะกระเทือนหรือ”
“ช่างเถอะ” เขาตอบ มองดูเธอด้วยสายตาที่เคร่งขรึมและสำรวจตรวจตรา “แผลของฉันน่ะไม่สำคัญอะไรหรอก เธอไม่ต้องรับผิดชอบกบมันแล้วนี่นา เธอถอนตัวออกจากหน้าที่ดูแลฉันตั้งสองวันแล้วนี่”
ผดามองดูเขาอย่างแปลกใจ หมู่นี้ดูเขามีคำพูดประหลาดๆ อย่างที่ชายผู้มีนามว่า พลินทร์ พงศ์ราช ไม่น่าจะใช้มาพูดกับเธอเสมอ “ขอโทษค่ะ” เธอบอกแก่เขา “ถ้าอย่างนั้น ดิฉันก็ควรที่จะหลีกไปให้พ้นเสียจากที่นี่”
“อย่าเพิ่งไป” เสียงของเขาทำให้ผดาชะงักขาที่กำลังจะก้าวออกเดิน “เพราะถึงเธอจะถอนตัวออกจากความรับผิดชอบในเรื่องความเจ็บไข้ของฉันแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังไม่ได้ถอนออกจากการเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องความปลอดภัยของเธอดอกนะ”
“คุณหมายความว่าอย่างไรคะ”
พลินทร์ก้มลงมองสบตาสีดำสนิทที่เงยขึ้นมองดูเขาอย่างคลางแคลง ตอบว่า “เธออย่าลืมซิว่า ขณะนี้ เธอกำลังอยู่ในที่ที่เป็นของฉัน ฉันเป็นเจ้าของบ้าน และฉันถือว่าชีวิตของทุกคนที่อยู่ที่นี่อยูในความรับผิดชอบของฉัน ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือใครก็ตาม”
“แต่ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าดิฉันได้ทำอะไรให้คุณต้องมาเป็นกังวลกับความปลอดภัยของดิฉัน” หญิงสาวแย้งอย่างไม่ยอมแพ้
“อย่างน้อยเธอก็มานั่งอยู่ในที่ที่ไกลผู้ไกลคนอย่างนี้” พลินทร์ยังคงพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึมต่อไป มิได้ละสายตาจากหน้าของผู้ที่เขาพูดด้วย “เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับเธอ”
“ดิฉันเห็นว่ามันก็ไม่ไกลจากที่พักอะไรนักหนา” ผดาเถียง “แล้วก็เห็นมีทางเดินอยู่”
“ทางเดินแถวนี้ แบบนี้ เขามีไว้สำหรับคนเดินป่าที่ชำนาญ ไม่ใช่สำหรับให้ออกมาเดินเล่น ที่นี่น่ะอยู่ในป่า ป่าจริงๆ ขอให้เธอเข้าใจและจำไว้เสียด้วย ลองคิดดูซิ เธอเป็นผู้หญิงสาวมานั่งอยู่ในที่เปลี่ยวแต่ลำพังคนเดียวอย่างนี้ ถ้าหากว่าพวกสัตว์ร้ายมันเผอิญหลงเข้ามาจะว่าอย่างไร”
ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองตอบเขาอย่างนั้นเริ่มจุดประกายโทสะอีกแล้ว ผิวหน้าที่เมื่อมองดูในระยะใกล้ชิด ช่างผุดผาดและอ่อนละมุนเหลือเกินนั้น มีสีแดงเรื่อขึ้น และค่อยจัดขึ้นทุกทีขณะที่เจ้าของพูด
“คุณไม่ได้เพียงแต่ตั้งใจจะหมายถึงสัตว์ร้ายแต่อย่างเดียวดอก คุณพลินทร์ ดิฉันเข้าใจความคิดของคุณดี แต่คุณก็ไม่น่าจะต้องวิตกเดือดร้อนไปกับดิฉันด้วยเลย ดิฉันไม่ได้เป็นคนที่คุณจะต้องเป็นห่วงใย เพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย กรุณาปล่อยดิฉันไว้ตามเรื่องของดิฉันดีกว่า”
เสียงในตอนท้ายเริ่มสั่นสะท้านด้วยความแค้นและความรู้สึกรุนแรงที่พลุ่งขึ้นมา ผดาก้าวขาออกเดินผ่านหน้าเข้ามาในทันที อย่างไม่รู้สึกตัว พลินทร์ฉวยข้อมือของหญิงสาวไว้ การสัมผัสกันอย่างเนื้อต่อเนื้อเป็นครั้งแรก โดยที่ต่างก็มีสติสัมปชัญญะดีอยู่ทั้งคู่ ช่างประหลาดล้ำนัก ราวกับว่ามีสายฟ้าแล่นผ่านร่างเข้าไปอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างยืนนิ่งขึงตะลึงตะไลไปชั่วครู่ ผดาเป็นฝ่ายรู้สึกตัวได้ก่อน หญิงสาวออกแรงชักมือออกมาจากถูกเกาะกุมนั้น ซึ่งพลอยทำให้พลินทร์รู้สึกขึ้นมาบ้าง เขาก้มลงมองดูมือที่เขาจับไว้แล้วก็ปล่อยให้เป็นอิสระ ซึ่งเจ้าของก็รีบซ่อนเสียข้างหลังโดยเร็ว
“ขอโทษที” พลินทร์พูดด้วยเสียงที่พยายามระงับให้เคร่งขรึมเช่นปรกติ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามเธอดอก เป็นแต่ฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอสักหน่อยหนึ่งเท่านั้น”
“คุณพูดเองว่าที่นี่เปลี่ยว” หญิงสาวตอบด้วยเสียงที่ใช้ความพยายามบังคับให้เป็นปรกติเช่นกัน “ถ้าคุณมีธุระจะพูดกับดิฉัน ดิฉันคิดว่าควรจะไปพูดกันในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้จะไม่ดีหรือคะ”
“แต่เมื่อกี้นี้เธอก็คุยอยู่กับจ้าวศรีธรมิใช่หรือ คงจะเพิ่งมารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเมื่อฉันอยู่ด้วยนี่ละกระมัง” เขาถาม และก่อนที่ผดาจะทันกล่าวตอบแต่อย่างหนึ่งอย่างใด เขาก็พูดต่อไปว่า “ผดา ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอจึงได้หลบหน้าฉันมาถึงสองวันเต็มๆ”
“ก็เพราะว่าดิฉันรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นที่รังเกียจของคุณ การกระทำของคุณ คำพูดของคุณ บอกให้ดิฉันรู้ว่าคุณกลัวว่าดิฉัน จะวางบ่วงดักญาติของคุณ” หญิงสาวหัวเราะเสียงสะท้าน “ดิฉันสมน้ำหน้าตัวเองที่ควรจะรู้สำนึกตัวดีอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมาที่นี่กับคุณได้ ก็สมแล้วที่ควรจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากคุณเช่นนี้”
“โธ่ ผดา” เสียงของพลินทร์ร้อนรนอย่างผิดหู เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง แต่เมื่อหญิงสาวถอยห่าง ชายหนุ่มก็หยุด เพียงแต่พูดต่อไปว่า “ทำไมเธอจึงได้เข้าใจผิดไปถึงเพียงนั้นนะ ฟังก่อนซี ฉันอยากจะบอกกับเธอว่า....”
ทันใดนั้น เสียงดังกังวานของแตรรถก็แหวกอากาศมาแต่ไกล แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงรถวิ่ง แต่ทั้งสองก็พอจะเข้าใจได้ว่าเสียงนั้นหมายความถึงอะไร
“ภิสัชกลับมาแล้ว” พลินทร์กล่าวด้วยเสียงที่ราบเรียบลงไปในทันที และโดยที่มิต้องพูดอย่างใดต่อไป ทั้งสองก็ออกเดินย้อนกลับมาตามทางเดินนั้น