ผดานั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่ระเบียงหน้าเรือนพักหลังใหญ่ มีความรู้สึกง่วงงุนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา เธอไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เพราะพลินทร์สั่งให้คนไปเรียกเธอมาตั้งแต่ได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้กัน
“เทอดบอกว่า เสียงปืนดังมาจากทางค่ายตัดไม้ของพวกเถ้าแก่กิม” พลินทร์ชี้แจงเหตุผลในการที่เขาไปตามตัวเธอมา “มันใกล้กับเรามาก เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าเราควรจะมาอยู่รวมๆ กันจะดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นมาเมื่อไรยังไงก็จะได้ช่วยเหลือกันทันท่วงที”
คืนนั้นไม่มีใครได้หลับนอนกันสักคน แม้ว่าเสียงปืนจะเงียบไปแล้ว และรถบรรทุกเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลับมาที่ค่ายตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม จ้าวศรีธรได้ทำหน้าที่นายแพทย์อีกสมดังที่หวังไว้ ทั่วทั้งค่ายโจษจันถึงเรื่องที่สากันต้องประสบความปราชัยแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ ตัวสากันเองต้องหลบหนีไปทั้งที่ได้รับบาดเจ็บ และนายร้อยตำรวจเอกภิสัชได้ติดตามไป จะด้วยความเป็นห่วงในตัวภิสัชหรือไม่ก็ตามที แต่ทุกคนก็พร้อมใจที่จะไม่หลับนอนด้วยกันทั้งหมด อากาศอันหนาวเย็นในตอนดึกทำให้ผดางีบหลับไปพักใหญ่ เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมานั้น ปรากฏว่าได้มีนวมอันหนาและอบอุ่นผืนหนึ่งมาคลุมอยู่บนร่างของเธอ คืนนั้นไม่มีการใช้ตะเกียงเจ้าพายุ คงมีตะเกียงรั้วแสงริบหรี่เพียงดวงเดียวที่ตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง เมื่อผดาลืมตาขึ้นมานั้น เธอเห็นชายทั้งสามอยู่ในอิริยาบถต่างๆ กัน จ้าวศรีธรโงกหงุบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จ้าวศรีฟ้านั่งถอดไพ่อยู่เงียบๆ และชิดกับเสาต้นหนึ่ง พลินทร์ยืนสูบบุหรี่อยู่ แสงสลัวจากตะเกียงส่องต้องร่างของเขาเพียงครึ่งเดียว ทำให้เกิดเป็นเงาตัดกันอย่างน่าดู เขายืนหันหลังพิงลูกกรงในท่าที่ปล่อยตัวตามสบาย หน้าก้มนิดๆ ผมปอยหนึ่งตกมาอยู่บนหน้าผาก บุหรี่ที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วทั้งสองส่งควันลอยขึ้นเป็นสาย
ผดามองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่งงงวย แถมพิศวง เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีผู้ชายคนใดสามารถสร้างภาพประทับใจได้อย่างงดงามถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลินทร์ พงศ์ราช ผู้เย่อหยิ่งและทะนงตัวคนนี้ ทุกครั้งที่ผดานึกถึงเขา ภาพที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอคือชายหนุ่มผู้มีสีหน้าอันยะโส และมองดูผู้อื่นด้วยสายตาที่แสดงความสมเพช ดูถูกเหยียดหยามอยู่เป็นนิจ
ดูเหมือนว่าคลื่นแห่งความคิดของหญิงสาวจะได้แล่นไปสัมผัสกับประสาทพิเศษของพลินทร์ เพราะอีกเพียงชั่วอึดใจเดียวต่อมา เขาก็ขยับกายหันหน้ามาทางผดา หญิงสาวกำลังเพลินอยู่กับการจ้องมองดูเขาจึงหลบสายตาไม่ทัน แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแสงสว่างในที่นั้นก็น้อยนัก พลินทร์อาจจะไม่ทันสังเกตเห็นก็ได้ว่าเธอกำลังตื่นและมองดูเขาอยู่ ผดาจึงนอนเฉยเสีย แต่แล้ว ผดาก็รู้ว่าเธอนั้นคาดผิดถนัด เมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้นว่า
“ตื่นแล้วหรือ หนาวไหม”
ผดาขยับนวมที่คลุมอยู่นั้นให้กระชับร่างยิ่งขึ้น ตอบว่า “ไม่หนาวเท่าไรดอกค่ะ ใครก็ไม่ทราบกรุณาเอานวมมาห่มให้ น่าขอบคุณเหลือเกิน”
“จะมีใคร ก็คุณหมอใหญ่ของเรานี้เอง” พลินทร์บอกด้วยเสียงที่พยายามจะให้รื่นเริง แต่มีอะไรบางอย่างที่ขัดกับกิริยาที่เขาพยายามจะแสดงออกนั้น ซึ่ง ผดารู้ได้ในทันที หญิงสาวผงกศีรษะขึ้น มองดูเขาอย่างพินิจ ถามว่า
“คุณพลินทร์ กำลังไม่สบายใจด้วยเรื่องอะไรหรือคะ”
เขาเพ่งมองดูเธอผ่านความสลัวรางนั้น นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “มีอะไรหรือที่ทำให้เธอถามฉันเช่นนั้น”
“ดิฉันสังเกตเอาเอง” ผดาตอบเรียบๆ “จริงหรือไม่เล่าคะ คุณกำลังไม่สบายใจ”
พลินทร์นิ่ง เป็นครู่จึงพูดว่า “ก็ไม่เชิงหรอก ฉันเพียงแต่กำลังใช้ความคิดอยู่เท่านั้น”
เขาพูดแค่นั้นแล้วก็หยุด ผดาอยากจะซักต่อไปว่าเขากำลังใช้ความคิดในเรื่องอะไร แต่ก็รู้ว่ามันไม่เป็นการสมควรที่เธอจะทำเช่นนั้น จึงได้เฉยเสีย พลินทร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า
“ผดา เธอรู้ไหมว่าขณะนี้ ฉันกำลังคิดอยู่ว่าฉันทำผิดหรือถูกที่ให้ความช่วยเหลือร่วมมือกับภิสัช”
“คุณพลินทร์ คุณทำหน้าที่ของพลเมืองดีนะคะ”
“จริง ฉันทำหน้าที่ของพลเมืองดี แต่ที่ฉันพูดนี่ ฉันพูดถึงความรู้สึกของฉันต่างหากเล่า แล้วยิ่งกว่านั้น... น่าขันไหมเล่าผดา... ที่ฉันนึกเป็นห่วงสากัน”
“นึกเป็นห่วงสากัน”
“ถูกแล้ว” พลินทร์ก้มศรีษะรับ “น่าขันใช่ไหม แต่ฉันก็นึกเป็นห่วงเขาจริงๆ ว่าป่านนี้เขากำลังหนีหัวซุกหัวซุนไปถึงไหน เขาได้รับบาดเจ็บอย่างไรบ้าง และภิสัชจะตามเขาไปทันหรือไม่”
และความคิดอันนี้เองที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปเช่นที่เธอได้เห็นเมื่อสักครู่นี้ ผดานึกอยู่ในใจ พลินทร์ พงศ์ราช... เขาช่างเป็นคนเข้าใจได้ยากเสียนี่กระไร เป็นปริศนาที่ยากแก่การขบคิด แต่ก็ยิ่งจะเป็นที่ชวนให้สนใจมากขึ้น ผดารู้ตัวดีว่าบัดนี้ เธอได้มีความสนใจในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างยิ่งแล้ว หลายครั้งที่เธอได้พยายามจะคิดถึงเขาอย่างเกลียดชังเช่นที่เธอเคยคิดมาก่อน แต่ก็ทุกครั้งเช่นเดียวกันที่คำพูดของภิสัชจะกลับเข้ามา สู่ความทรงจำของเธอ
“คนเรามักจะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากมายอย่างผิดปรกติก็ต่อเมื่อเขารู้สึกตัวว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไป... ผดา... จะต้องให้ผมบอกด้วยหรือ ว่าเหตุใดคุณจึงได้พูดถึงความเกลียดชังที่คุณมีต่อพลินทร์บ่อยๆ”
จวบจนรุ่งเช้า ก็ยังไม่มีวี่แววของภิสัช ผดากลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านพักและช่วยอุ่นเรือนเตรียมอาหาร แล้วจึงได้กลับมาที่เรือนใหญ่อีกครั้งหนึ่ง พอเห็นหน้าเธอ จ้าวศรีธรก็ทักขึ้นว่า
“คุณผดานี่เก่งจริง ทำไมไม่นอนพักสักงีบหนึ่งเล่าครับ”
“ก็นายตำรวจหายเงียบไป” พลินทร์ว่า “ใครเลยจะนอนหลับลง”
ผดาหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ พลินทร์ในตอนนี้ มิใช่พลินทร์คนเดียวกันกับที่ได้สนทนากับเธอเมื่อคืนนี้เสียแล้ว เขากลับไปเป็นพลินทร์คนเดิมผู้ที่มองดูคนอื่นด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มเยาะอีกแล้ว การเปลี่ยนกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็วของเขาทำให้ผดาบังเกิดความขุ่นเคืองแกมอ่อนใจ เธอจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้นเสีย หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ตอบคำถามของจ้าวศรีธรด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“ดิฉันเผอิญนอนกลางวันไม่เป็นเสียด้วยซีคะ จ้าว”
เธอรับประทานอาหารกลางวันที่เรือนพักหลังใหญ่พร้อมกับบุรุษทั้งสาม อาหารกลางวันมื้อนี้แทบจะไม่ถูกแตะต้องเอาเลย ที่โต๊ะอาหารดูเงียบเหงาจนผิดปรกติ ต่างคนต่างก็ดูเหมือนจะต้องการใช้ความคิดของตนอย่างเงียบๆ ไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวน หรือรบกวนผู้ใด หลังอาหาร ก็พากันลุกย้ายที่ออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านอย่างที่เคยปฏิบัติโดยมิได้มีใครพูดอะไรต่อกัน บ่อยครั้งที่ผลัดกันมองชะเง้อไปยังปากทางเข้าออก เมื่อยังมิได้มีสิ่งใดผิดปรกติเกิดขึ้น ก็หันกลับมาสู่ความครุ่นคิดต่อไป
ความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นของผดา ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงพูดที่ดังอื้ออึงมาเกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์ ผดาผลุดลุกขึ้นยืน มองข้ามลูกกรงออกไป ภาพที่เธอได้เห็นนั้น คือนายร้อยตำรวจเอกภิสัชกำลังเดินดุ่มๆ ตรงมา มือขวาของเขาถือปืนเอาปลายชี้ลงเบื้องล่าง เมื่อเดินมาถึงบันได เขาก็ส่งปืนที่ถือมานั้นให้ตำรวจผู้หนึ่งรับไป ไม่มีใครพูดว่ากระไรออกมาสักคำเดียวแม้แต่ผดา ภิสัชหยุดยืนอยู่ตรงกลางช่องบันได ถอดหมวกออก แล้วก็มองสบตาทั้งสี่คู่ที่จ้องมองดูเขาอยู่นั้น นิ่งเงียบ
ในที่สุดผดาก็เป็นคนแรกที่พูดขึ้น “นั่งลงก่อนซีคะ ภิสัช ท่าทางคุณดูเหน็ดเหนื่อยมากคล้ายจะยืนอยู่ไม่ไหวแล้ว”
ภิสัชมองดูเธอ ทำปากขมุบขมิบคล้ายจะขอบใจ จ้าวศรีฟ้าเป็นคนต่อไปที่พูดขึ้นว่า
“ตั้งแต่รู้ว่าคุณตามสากันไป พวกเราก็ไม่มีใครยอมนอนกันเลย เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณพบสากันหรือเปล่า”
นายตำรวจก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยขึ้นตอบว่า “พบครับ เขาพยายามจะหลบออกนอกเขตแดนแต่ไม่ทัน”
เขาพูดเพียงแค่นั้น แต่ทุกคนก็รู้ความหมายของมันดี เงียบสนิทไปอึดใจใหญ่ แล้วจ้าวศรีธรจึงพึมพำออกมาว่า
“ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ สากันเอ๋ย” เสียงดังขึ้นเมื่อพุดต่อไปว่า “คราวนี้คุณภิสัชคงได้เลื่อนยศแน่ๆ พนันกันได้เลย”
ภิสัชมองหน้าผู้พูดอึดใจหนึ่ง แล้วจึงตอบด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ผมจะไม่รู้สึกดีใจเลยถ้าจะได้เลื่อนยศเพราะเรื่องนี้”
“เอ๊ะ ทำไมเล่าครับ” ศรีธรร้องอย่างสงสัย ในขณะที่อีกสามคนแสดงความสงสัยออกมาทางดวงตาและสีหน้า ภิสัชนิ่งเฉยไม่ตอบว่ากระไร สักครู่เขาจึงบอกว่า
“ขอโทษนะครับ ทุกคน ผมเพลีย แล้วก็สกปรกเหลือเกิน ขอตัวไปอาบน้ำสักประเดี๋ยว เราค่อยพบกันใหม่”
ไม่มีใครได้พบเขาอีก จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น ภิสัชเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด เขาเกือบจะไม่ได้พูดอะไรเลย มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่แสดงว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หลังอาหาร ทั้งหมดก็ออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นกิจวัตรตลอดเวลาที่อยู่ในป่านี้ และเมื่อ ผดาลุกขึ้นขอตัวกลับที่พัก นายตำรวจหนุ่มก็ลุกขึ้นด้วย พูดสั้นๆ ว่า
“ผมจะเดินไปส่งคุณ”
ผดามองเขาอย่างใช้ความคิด แล้วก็หันหน้าไปทางอีกสามชาย ยิ้มน้อยๆ เป็นการลาก่อนที่จะก้าวนำหน้าภิสัชลงบันไดไป
ทั้งสองเดินมาด้วยกันอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งผดาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “คุณมีเรื่องอะไรจะพูดกับดิฉันหรือเปล่าคะ ภิสัช”
“ครับ” เขาตอบรับอย่างไม่แสดงความแปลกใจในคำถามนั้น ราวกับว่ามันเป็นของธรรมดายิ่งนัก ที่หญิงสาวและเขาจะเข้าใจในกันและกันโดยมิต้องเอ่ยปากกล่าวให้เสียเวลา “เรานั่งคุยกันสักครู่เถอะ”
โดยไม่ลังเล ผดาเดินนำเขาไปยังซุงท่อนที่เคยนั่งคุยกันในคืนที่เพิ่งมาถึง ภิสัชหย่อนกายลงนั่งข้างๆ นิ่งเงียบไปนานราวกับว่าเขาลืมความตั้งใจที่บอกแก่หญิงสาวเสียแล้วโดยสิ้นเชิง จนกระทั่ง ผดาต้องเตือนขึ้นว่า
“คุณว่ามีเรื่องที่จะพูด กับดิฉันอย่างไรเล่าคะ ภิสัช” เธอได้ยินเสียงถอนใจของเขาอย่างชัดเจนอดมิได้ที่จะกล่าวต่อไปว่า “วันนี้ดูคุณมีท่าทางผิดตาไปถนัดใจ การที่คุณ.... ทำลายสากันได้นั้น ทำให้คุณไม่สบายใจถึงปานนี้เทียวหรือคะ”
“ใช่ ผดา” เขารับ “ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่การฆ่าใครสักคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้าย เป็นคนที่ทางกฎหมายต้องการตัว ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย จะทำให้ผมต้องไม่สบายใจถึงขนาดนี้”
“ทำไมเล่าคะ ภิสัช สากันคนนี้มีอะไรพิเศษกว่าผู้ร้ายคนอื่นหรือคะ”
เขามองดูเธอ ผดาเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่ในความมืดสลัว แล้วอย่างไม่คาดฝัน หญิงสาวก็ได้ยินเสียงเขาระเบิดขึ้นมาอย่างสุดจะระงับไว้ได้ว่า
“ผดา คุณรู้ไหมว่าที่ผมบอกว่า สากันพยายามจะหลบหนีออกนอกเขตแดนนั้นผมพูดเท็จ ความจริงเขาไม่ได้พยายามที่จะหลบหนีเลย ไม่ได้พยายามเลยสักนิดเดียว”
“ภิสัชคะ” ผดาเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่คะ ถ้าสากันไม่ได้พยายามที่จะหลบหนี นั่นก็แปลว่าเขาพยายามที่จะต่อสู้ เขาต้องต่อสู้คุณใช่ไหมคะ คุณถึงได้.... ยิงออกไป”
“เขาทำท่าว่าจะต่อสู้” ภิสัชกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ “ผมตามไปพบเขานอนซุ่มอยู่ในพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ผมเรียกให้เขาออกมาหาผม เขาก็ออกมา ในมือของเขามีปืนไรเฟิลถืออยู่ด้วย ผมจึงร้องบอกให้เขาทิ้งปืนเสีย เขาก็ทำท่าจะเชื่อฟังผม แต่แล้วเขากลับกระดกปากกระบอกปืนขึ้นหมายเอาอกผมเป็นเป้า ผมจึงลั่นกระสุนออกไป เขาล้มลง ปืนกระเด็นห่างไปจากมือ” ภิสัชก้มหน้าลงมองดูมือของเขาที่บีบกันแน่น อย่างทรมานใจ “เมื่อผมเข้าไปประคองนั้นเขายังไม่ทันสิ้นใจ เขามองดูผมด้วยสายตาที่แจ่มใส คล้ายดวงตาของเด็กๆ แล้วก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า คำสุดท้ายที่เขาพูดก็คือ.... ผมไม่ได้บอกพี่ว่าผมหนีมาที่นี่ พี่ไม่สามารถที่จะมาเอาตัวผมกลับไปได้อีกแล้ว....” แล้วเขาก็สิ้นใจ... สิ้นใจไปต่อหน้าผม”
“มันเป็นชะตากรรมที่เขาจะต้องได้รับอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ ภิสัช” ผดาพยายามที่จะปลอบใจเขา “ถ้าเขาไม่ถูกยิงด้วยมือคุณ กฎหมายก็จะต้องลงโทษเขาอยู่แล้ว แล้วนี่คุณก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าเขานี่คะ มันเป็นการป้องกันตัวต่างหาก ถ้าคุณไม่ยิงเขา เขาก็ต้องยิงคุณแน่นอน”
ภิสัชจ้องมองดูเธอ แต่ที่นั้นไม่สว่างพอที่ผดาจะสามารถอ่านความหมายในดวงตาของเขาได้ เป็นครู่ เธอจึงได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นอย่างคนที่มีความอัดอั้นในใจเป็นอย่างยิ่งว่า
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจน่ะสิ ผดา เขาจะยังไม่ตายถ้าเขาพยายามที่จะหนีออกนอกเขตแดนจริงๆ และเขาจะยังไม่ตายถ้าเขาไม่ยกปืนขึ้นในท่าเช่นนั้น”
“นั้นก็เป็นเพราะเขาตั้งใจจะฆ่าคุณ” ผดาว่า
ภิสัช ร้องออกมาด้วยเสียงที่สั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรงเหมือนเสียงตะโกน “แต่ว่าปืนกระบอกนั้นไม่มีกระสุน ไม่มีกระสุน คุณเข้าใจไหม”
ผดาตกตะลึงจนตัวแข็ง รู้สึกว่าขนลุกเกรียวไปหมดทั้งตัว ไม่มีกำลังความคิดที่จะพูดอย่างไรต่อไป มันเป็นเรื่องที่ลึกล้ำฉกาจฉกรรจ์เกินไปจนเธอไม่อาจที่จะทำใจให้เป็นปรกติได้ สากันเป็นใคร หน้าตา นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเธอก็ไม่เคยได้ล่วงรู้ แต่จากคำบอกเล่าของภิสัช จากความรู้สึกที่แสนจะทรมานใจของนายตำรวจ ในขณะที่เขาเล่าถึง พฤติการณ์อันแสนประหลาดของจอมโจรผู้นั้น ได้ทำให้เธอพลอยบังเกิดความรู้สึกที่ยากแก่การจะอธิบายไปด้วย เธอจึงได้แต่นั่งเงียบเฉยอยู่ จนกระทั่ง ภิสัชได้พูดขึ้นอีก คราวนี้เสียงของเขาค่อยสงบลงบ้างแล้ว
“พรุ่งนี้ผมอยากจะพาคุณไปที่ที่แห่งหนึ่ง คุณจะไปกับผมได้ไหม”
“ไปที่ไหนคะ ภิสัช” ผดาถามอย่างสงสัย “แล้วก็ศพสากันเล่าคะ คุณไม่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนหรือ แล้วยังพวกที่ยิงต่อสู้กันที่ค่ายป่าไม้ของเถ้าแก่กิมอีก ดูเหมือนจะมีคนตายมากไม่ใช่หรือคะ”
“เรื่องนี้ผมจัดการไปตามลำพังไม่ได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่ทางนี้เขารับรู้ด้วย นี่ผมส่งคนไปตามแล้ว พรุ่งนี้เขาก็คงจะมากัน แต่ในตอนเช้าก่อนที่เขาจะมาถึง ผมยังมีเวลาว่างอยู่ จึงได้อยากจะขอให้คุณไปกับผมสักหน่อย แต่โปรดอย่าเพิ่งให้ผมบอกเลยว่าผมจะพาคุณไปไหน บอกแต่ว่าคุณตกลงจะไปกับผมหรือไม่เท่านั้น”
ผดานิ่งคิดอยู่ครู่เดียวก็ตอบว่า “ตกลงค่ะ ภิสัช ดิฉันจะไปกับคุณ”
“ดีแล้ว” เขากล่าว แล้วลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะไปนอนเสียเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้จะได้มีแรงไปบุกป่ากับผม เราจะออกกันแต่เช้ามืดทีเดียว”