หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 33

ผดานั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่ระเบียงหน้าเรือนพักหลังใหญ่   มีความรู้สึกง่วงงุนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา   เธอไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เพราะพลินทร์สั่งให้คนไปเรียกเธอมาตั้งแต่ได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้กัน

“เทอดบอกว่า เสียงปืนดังมาจากทางค่ายตัดไม้ของพวกเถ้าแก่กิม”   พลินทร์ชี้แจงเหตุผลในการที่เขาไปตามตัวเธอมา   “มันใกล้กับเรามาก   เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าเราควรจะมาอยู่รวมๆ กันจะดีกว่า   หากเกิดอะไรขึ้นมาเมื่อไรยังไงก็จะได้ช่วยเหลือกันทันท่วงที”

คืนนั้นไม่มีใครได้หลับนอนกันสักคน   แม้ว่าเสียงปืนจะเงียบไปแล้ว และรถบรรทุกเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลับมาที่ค่ายตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่ม   จ้าวศรีธรได้ทำหน้าที่นายแพทย์อีกสมดังที่หวังไว้   ทั่วทั้งค่ายโจษจันถึงเรื่องที่สากันต้องประสบความปราชัยแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้   ตัวสากันเองต้องหลบหนีไปทั้งที่ได้รับบาดเจ็บ   และนายร้อยตำรวจเอกภิสัชได้ติดตามไป   จะด้วยความเป็นห่วงในตัวภิสัชหรือไม่ก็ตามที   แต่ทุกคนก็พร้อมใจที่จะไม่หลับนอนด้วยกันทั้งหมด   อากาศอันหนาวเย็นในตอนดึกทำให้ผดางีบหลับไปพักใหญ่   เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมานั้น ปรากฏว่าได้มีนวมอันหนาและอบอุ่นผืนหนึ่งมาคลุมอยู่บนร่างของเธอ   คืนนั้นไม่มีการใช้ตะเกียงเจ้าพายุ   คงมีตะเกียงรั้วแสงริบหรี่เพียงดวงเดียวที่ตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง   เมื่อผดาลืมตาขึ้นมานั้น เธอเห็นชายทั้งสามอยู่ในอิริยาบถต่างๆ กัน   จ้าวศรีธรโงกหงุบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง   จ้าวศรีฟ้านั่งถอดไพ่อยู่เงียบๆ   และชิดกับเสาต้นหนึ่ง พลินทร์ยืนสูบบุหรี่อยู่   แสงสลัวจากตะเกียงส่องต้องร่างของเขาเพียงครึ่งเดียว ทำให้เกิดเป็นเงาตัดกันอย่างน่าดู   เขายืนหันหลังพิงลูกกรงในท่าที่ปล่อยตัวตามสบาย   หน้าก้มนิดๆ ผมปอยหนึ่งตกมาอยู่บนหน้าผาก   บุหรี่ที่ถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วทั้งสองส่งควันลอยขึ้นเป็นสาย

ผดามองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่งงงวย แถมพิศวง   เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีผู้ชายคนใดสามารถสร้างภาพประทับใจได้อย่างงดงามถึงเพียงนี้   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลินทร์ พงศ์ราช ผู้เย่อหยิ่งและทะนงตัวคนนี้   ทุกครั้งที่ผดานึกถึงเขา   ภาพที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอคือชายหนุ่มผู้มีสีหน้าอันยะโส และมองดูผู้อื่นด้วยสายตาที่แสดงความสมเพช ดูถูกเหยียดหยามอยู่เป็นนิจ

ดูเหมือนว่าคลื่นแห่งความคิดของหญิงสาวจะได้แล่นไปสัมผัสกับประสาทพิเศษของพลินทร์   เพราะอีกเพียงชั่วอึดใจเดียวต่อมา เขาก็ขยับกายหันหน้ามาทางผดา   หญิงสาวกำลังเพลินอยู่กับการจ้องมองดูเขาจึงหลบสายตาไม่ทัน   แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแสงสว่างในที่นั้นก็น้อยนัก   พลินทร์อาจจะไม่ทันสังเกตเห็นก็ได้ว่าเธอกำลังตื่นและมองดูเขาอยู่ ผดาจึงนอนเฉยเสีย   แต่แล้ว ผดาก็รู้ว่าเธอนั้นคาดผิดถนัด เมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้นว่า

“ตื่นแล้วหรือ   หนาวไหม”

ผดาขยับนวมที่คลุมอยู่นั้นให้กระชับร่างยิ่งขึ้น ตอบว่า   “ไม่หนาวเท่าไรดอกค่ะ   ใครก็ไม่ทราบกรุณาเอานวมมาห่มให้   น่าขอบคุณเหลือเกิน”

“จะมีใคร ก็คุณหมอใหญ่ของเรานี้เอง”   พลินทร์บอกด้วยเสียงที่พยายามจะให้รื่นเริง แต่มีอะไรบางอย่างที่ขัดกับกิริยาที่เขาพยายามจะแสดงออกนั้น ซึ่ง ผดารู้ได้ในทันที   หญิงสาวผงกศีรษะขึ้น มองดูเขาอย่างพินิจ ถามว่า

“คุณพลินทร์ กำลังไม่สบายใจด้วยเรื่องอะไรหรือคะ”

เขาเพ่งมองดูเธอผ่านความสลัวรางนั้น   นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า   “มีอะไรหรือที่ทำให้เธอถามฉันเช่นนั้น”

“ดิฉันสังเกตเอาเอง”   ผดาตอบเรียบๆ   “จริงหรือไม่เล่าคะ   คุณกำลังไม่สบายใจ”

พลินทร์นิ่ง เป็นครู่จึงพูดว่า   “ก็ไม่เชิงหรอก ฉันเพียงแต่กำลังใช้ความคิดอยู่เท่านั้น”

เขาพูดแค่นั้นแล้วก็หยุด   ผดาอยากจะซักต่อไปว่าเขากำลังใช้ความคิดในเรื่องอะไร แต่ก็รู้ว่ามันไม่เป็นการสมควรที่เธอจะทำเช่นนั้น จึงได้เฉยเสีย   พลินทร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า

“ผดา   เธอรู้ไหมว่าขณะนี้ ฉันกำลังคิดอยู่ว่าฉันทำผิดหรือถูกที่ให้ความช่วยเหลือร่วมมือกับภิสัช”

“คุณพลินทร์   คุณทำหน้าที่ของพลเมืองดีนะคะ”

“จริง   ฉันทำหน้าที่ของพลเมืองดี   แต่ที่ฉันพูดนี่ ฉันพูดถึงความรู้สึกของฉันต่างหากเล่า   แล้วยิ่งกว่านั้น... น่าขันไหมเล่าผดา... ที่ฉันนึกเป็นห่วงสากัน”

“นึกเป็นห่วงสากัน”

“ถูกแล้ว”   พลินทร์ก้มศรีษะรับ   “น่าขันใช่ไหม   แต่ฉันก็นึกเป็นห่วงเขาจริงๆ ว่าป่านนี้เขากำลังหนีหัวซุกหัวซุนไปถึงไหน   เขาได้รับบาดเจ็บอย่างไรบ้าง   และภิสัชจะตามเขาไปทันหรือไม่”

และความคิดอันนี้เองที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปเช่นที่เธอได้เห็นเมื่อสักครู่นี้   ผดานึกอยู่ในใจ พลินทร์ พงศ์ราช... เขาช่างเป็นคนเข้าใจได้ยากเสียนี่กระไร   เป็นปริศนาที่ยากแก่การขบคิด   แต่ก็ยิ่งจะเป็นที่ชวนให้สนใจมากขึ้น   ผดารู้ตัวดีว่าบัดนี้ เธอได้มีความสนใจในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างยิ่งแล้ว   หลายครั้งที่เธอได้พยายามจะคิดถึงเขาอย่างเกลียดชังเช่นที่เธอเคยคิดมาก่อน   แต่ก็ทุกครั้งเช่นเดียวกันที่คำพูดของภิสัชจะกลับเข้ามา สู่ความทรงจำของเธอ

“คนเรามักจะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากมายอย่างผิดปรกติก็ต่อเมื่อเขารู้สึกตัวว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไป...   ผดา... จะต้องให้ผมบอกด้วยหรือ   ว่าเหตุใดคุณจึงได้พูดถึงความเกลียดชังที่คุณมีต่อพลินทร์บ่อยๆ”


จวบจนรุ่งเช้า ก็ยังไม่มีวี่แววของภิสัช   ผดากลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านพักและช่วยอุ่นเรือนเตรียมอาหาร แล้วจึงได้กลับมาที่เรือนใหญ่อีกครั้งหนึ่ง   พอเห็นหน้าเธอ   จ้าวศรีธรก็ทักขึ้นว่า

“คุณผดานี่เก่งจริง   ทำไมไม่นอนพักสักงีบหนึ่งเล่าครับ”

“ก็นายตำรวจหายเงียบไป”   พลินทร์ว่า   “ใครเลยจะนอนหลับลง”

ผดาหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ   พลินทร์ในตอนนี้ มิใช่พลินทร์คนเดียวกันกับที่ได้สนทนากับเธอเมื่อคืนนี้เสียแล้ว   เขากลับไปเป็นพลินทร์คนเดิมผู้ที่มองดูคนอื่นด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มเยาะอีกแล้ว   การเปลี่ยนกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็วของเขาทำให้ผดาบังเกิดความขุ่นเคืองแกมอ่อนใจ เธอจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้นเสีย   หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง   ตอบคำถามของจ้าวศรีธรด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

“ดิฉันเผอิญนอนกลางวันไม่เป็นเสียด้วยซีคะ จ้าว”

เธอรับประทานอาหารกลางวันที่เรือนพักหลังใหญ่พร้อมกับบุรุษทั้งสาม   อาหารกลางวันมื้อนี้แทบจะไม่ถูกแตะต้องเอาเลย   ที่โต๊ะอาหารดูเงียบเหงาจนผิดปรกติ   ต่างคนต่างก็ดูเหมือนจะต้องการใช้ความคิดของตนอย่างเงียบๆ ไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวน หรือรบกวนผู้ใด   หลังอาหาร ก็พากันลุกย้ายที่ออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านอย่างที่เคยปฏิบัติโดยมิได้มีใครพูดอะไรต่อกัน   บ่อยครั้งที่ผลัดกันมองชะเง้อไปยังปากทางเข้าออก   เมื่อยังมิได้มีสิ่งใดผิดปรกติเกิดขึ้น ก็หันกลับมาสู่ความครุ่นคิดต่อไป

ความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นของผดา ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงพูดที่ดังอื้ออึงมาเกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์   ผดาผลุดลุกขึ้นยืน มองข้ามลูกกรงออกไป   ภาพที่เธอได้เห็นนั้น คือนายร้อยตำรวจเอกภิสัชกำลังเดินดุ่มๆ ตรงมา   มือขวาของเขาถือปืนเอาปลายชี้ลงเบื้องล่าง   เมื่อเดินมาถึงบันได เขาก็ส่งปืนที่ถือมานั้นให้ตำรวจผู้หนึ่งรับไป   ไม่มีใครพูดว่ากระไรออกมาสักคำเดียวแม้แต่ผดา   ภิสัชหยุดยืนอยู่ตรงกลางช่องบันได ถอดหมวกออก แล้วก็มองสบตาทั้งสี่คู่ที่จ้องมองดูเขาอยู่นั้น นิ่งเงียบ

ในที่สุดผดาก็เป็นคนแรกที่พูดขึ้น   “นั่งลงก่อนซีคะ ภิสัช   ท่าทางคุณดูเหน็ดเหนื่อยมากคล้ายจะยืนอยู่ไม่ไหวแล้ว”

ภิสัชมองดูเธอ ทำปากขมุบขมิบคล้ายจะขอบใจ   จ้าวศรีฟ้าเป็นคนต่อไปที่พูดขึ้นว่า

“ตั้งแต่รู้ว่าคุณตามสากันไป พวกเราก็ไม่มีใครยอมนอนกันเลย   เป็นอย่างไรบ้างครับ   คุณพบสากันหรือเปล่า”

นายตำรวจก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยขึ้นตอบว่า   “พบครับ เขาพยายามจะหลบออกนอกเขตแดนแต่ไม่ทัน”

เขาพูดเพียงแค่นั้น แต่ทุกคนก็รู้ความหมายของมันดี   เงียบสนิทไปอึดใจใหญ่ แล้วจ้าวศรีธรจึงพึมพำออกมาว่า

“ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ สากันเอ๋ย”   เสียงดังขึ้นเมื่อพุดต่อไปว่า   “คราวนี้คุณภิสัชคงได้เลื่อนยศแน่ๆ พนันกันได้เลย”

ภิสัชมองหน้าผู้พูดอึดใจหนึ่ง แล้วจึงตอบด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า   “ผมจะไม่รู้สึกดีใจเลยถ้าจะได้เลื่อนยศเพราะเรื่องนี้”

“เอ๊ะ ทำไมเล่าครับ”   ศรีธรร้องอย่างสงสัย ในขณะที่อีกสามคนแสดงความสงสัยออกมาทางดวงตาและสีหน้า   ภิสัชนิ่งเฉยไม่ตอบว่ากระไร   สักครู่เขาจึงบอกว่า

“ขอโทษนะครับ ทุกคน   ผมเพลีย แล้วก็สกปรกเหลือเกิน   ขอตัวไปอาบน้ำสักประเดี๋ยว เราค่อยพบกันใหม่”

ไม่มีใครได้พบเขาอีก จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น   ภิสัชเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด   เขาเกือบจะไม่ได้พูดอะไรเลย   มีแต่ดวงตาเท่านั้นที่แสดงว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก   หลังอาหาร ทั้งหมดก็ออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้านอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นกิจวัตรตลอดเวลาที่อยู่ในป่านี้   และเมื่อ ผดาลุกขึ้นขอตัวกลับที่พัก นายตำรวจหนุ่มก็ลุกขึ้นด้วย   พูดสั้นๆ ว่า

“ผมจะเดินไปส่งคุณ”

ผดามองเขาอย่างใช้ความคิด แล้วก็หันหน้าไปทางอีกสามชาย   ยิ้มน้อยๆ เป็นการลาก่อนที่จะก้าวนำหน้าภิสัชลงบันไดไป

ทั้งสองเดินมาด้วยกันอย่างเงียบๆ   ครู่หนึ่งผดาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า   “คุณมีเรื่องอะไรจะพูดกับดิฉันหรือเปล่าคะ ภิสัช”

“ครับ”   เขาตอบรับอย่างไม่แสดงความแปลกใจในคำถามนั้น   ราวกับว่ามันเป็นของธรรมดายิ่งนัก ที่หญิงสาวและเขาจะเข้าใจในกันและกันโดยมิต้องเอ่ยปากกล่าวให้เสียเวลา   “เรานั่งคุยกันสักครู่เถอะ”

โดยไม่ลังเล ผดาเดินนำเขาไปยังซุงท่อนที่เคยนั่งคุยกันในคืนที่เพิ่งมาถึง   ภิสัชหย่อนกายลงนั่งข้างๆ   นิ่งเงียบไปนานราวกับว่าเขาลืมความตั้งใจที่บอกแก่หญิงสาวเสียแล้วโดยสิ้นเชิง   จนกระทั่ง ผดาต้องเตือนขึ้นว่า

“คุณว่ามีเรื่องที่จะพูด กับดิฉันอย่างไรเล่าคะ ภิสัช”   เธอได้ยินเสียงถอนใจของเขาอย่างชัดเจนอดมิได้ที่จะกล่าวต่อไปว่า   “วันนี้ดูคุณมีท่าทางผิดตาไปถนัดใจ การที่คุณ.... ทำลายสากันได้นั้น ทำให้คุณไม่สบายใจถึงปานนี้เทียวหรือคะ”

“ใช่ ผดา”   เขารับ   “ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่การฆ่าใครสักคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้าย   เป็นคนที่ทางกฎหมายต้องการตัว ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย จะทำให้ผมต้องไม่สบายใจถึงขนาดนี้”

“ทำไมเล่าคะ ภิสัช   สากันคนนี้มีอะไรพิเศษกว่าผู้ร้ายคนอื่นหรือคะ”

เขามองดูเธอ   ผดาเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่ในความมืดสลัว   แล้วอย่างไม่คาดฝัน หญิงสาวก็ได้ยินเสียงเขาระเบิดขึ้นมาอย่างสุดจะระงับไว้ได้ว่า

“ผดา   คุณรู้ไหมว่าที่ผมบอกว่า สากันพยายามจะหลบหนีออกนอกเขตแดนนั้นผมพูดเท็จ   ความจริงเขาไม่ได้พยายามที่จะหลบหนีเลย   ไม่ได้พยายามเลยสักนิดเดียว”

“ภิสัชคะ”   ผดาเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน   “ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่คะ ถ้าสากันไม่ได้พยายามที่จะหลบหนี   นั่นก็แปลว่าเขาพยายามที่จะต่อสู้   เขาต้องต่อสู้คุณใช่ไหมคะ   คุณถึงได้.... ยิงออกไป”

“เขาทำท่าว่าจะต่อสู้”   ภิสัชกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ   “ผมตามไปพบเขานอนซุ่มอยู่ในพุ่มไม้แห่งหนึ่ง   ผมเรียกให้เขาออกมาหาผม เขาก็ออกมา   ในมือของเขามีปืนไรเฟิลถืออยู่ด้วย ผมจึงร้องบอกให้เขาทิ้งปืนเสีย   เขาก็ทำท่าจะเชื่อฟังผม   แต่แล้วเขากลับกระดกปากกระบอกปืนขึ้นหมายเอาอกผมเป็นเป้า ผมจึงลั่นกระสุนออกไป   เขาล้มลง   ปืนกระเด็นห่างไปจากมือ”   ภิสัชก้มหน้าลงมองดูมือของเขาที่บีบกันแน่น อย่างทรมานใจ   “เมื่อผมเข้าไปประคองนั้นเขายังไม่ทันสิ้นใจ   เขามองดูผมด้วยสายตาที่แจ่มใส คล้ายดวงตาของเด็กๆ แล้วก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า   คำสุดท้ายที่เขาพูดก็คือ.... ผมไม่ได้บอกพี่ว่าผมหนีมาที่นี่   พี่ไม่สามารถที่จะมาเอาตัวผมกลับไปได้อีกแล้ว....”   แล้วเขาก็สิ้นใจ... สิ้นใจไปต่อหน้าผม”

“มันเป็นชะตากรรมที่เขาจะต้องได้รับอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ ภิสัช”   ผดาพยายามที่จะปลอบใจเขา   “ถ้าเขาไม่ถูกยิงด้วยมือคุณ กฎหมายก็จะต้องลงโทษเขาอยู่แล้ว   แล้วนี่คุณก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าเขานี่คะ   มันเป็นการป้องกันตัวต่างหาก   ถ้าคุณไม่ยิงเขา เขาก็ต้องยิงคุณแน่นอน”

ภิสัชจ้องมองดูเธอ แต่ที่นั้นไม่สว่างพอที่ผดาจะสามารถอ่านความหมายในดวงตาของเขาได้   เป็นครู่ เธอจึงได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นอย่างคนที่มีความอัดอั้นในใจเป็นอย่างยิ่งว่า

“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจน่ะสิ ผดา   เขาจะยังไม่ตายถ้าเขาพยายามที่จะหนีออกนอกเขตแดนจริงๆ   และเขาจะยังไม่ตายถ้าเขาไม่ยกปืนขึ้นในท่าเช่นนั้น”

“นั้นก็เป็นเพราะเขาตั้งใจจะฆ่าคุณ”   ผดาว่า

ภิสัช ร้องออกมาด้วยเสียงที่สั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรงเหมือนเสียงตะโกน   “แต่ว่าปืนกระบอกนั้นไม่มีกระสุน   ไม่มีกระสุน   คุณเข้าใจไหม”

ผดาตกตะลึงจนตัวแข็ง   รู้สึกว่าขนลุกเกรียวไปหมดทั้งตัว   ไม่มีกำลังความคิดที่จะพูดอย่างไรต่อไป   มันเป็นเรื่องที่ลึกล้ำฉกาจฉกรรจ์เกินไปจนเธอไม่อาจที่จะทำใจให้เป็นปรกติได้   สากันเป็นใคร   หน้าตา นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเธอก็ไม่เคยได้ล่วงรู้   แต่จากคำบอกเล่าของภิสัช   จากความรู้สึกที่แสนจะทรมานใจของนายตำรวจ ในขณะที่เขาเล่าถึง พฤติการณ์อันแสนประหลาดของจอมโจรผู้นั้น ได้ทำให้เธอพลอยบังเกิดความรู้สึกที่ยากแก่การจะอธิบายไปด้วย   เธอจึงได้แต่นั่งเงียบเฉยอยู่ จนกระทั่ง ภิสัชได้พูดขึ้นอีก   คราวนี้เสียงของเขาค่อยสงบลงบ้างแล้ว

“พรุ่งนี้ผมอยากจะพาคุณไปที่ที่แห่งหนึ่ง   คุณจะไปกับผมได้ไหม”

“ไปที่ไหนคะ ภิสัช”   ผดาถามอย่างสงสัย   “แล้วก็ศพสากันเล่าคะ   คุณไม่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนหรือ   แล้วยังพวกที่ยิงต่อสู้กันที่ค่ายป่าไม้ของเถ้าแก่กิมอีก   ดูเหมือนจะมีคนตายมากไม่ใช่หรือคะ”

“เรื่องนี้ผมจัดการไปตามลำพังไม่ได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่ทางนี้เขารับรู้ด้วย   นี่ผมส่งคนไปตามแล้ว พรุ่งนี้เขาก็คงจะมากัน   แต่ในตอนเช้าก่อนที่เขาจะมาถึง ผมยังมีเวลาว่างอยู่ จึงได้อยากจะขอให้คุณไปกับผมสักหน่อย   แต่โปรดอย่าเพิ่งให้ผมบอกเลยว่าผมจะพาคุณไปไหน   บอกแต่ว่าคุณตกลงจะไปกับผมหรือไม่เท่านั้น”

ผดานิ่งคิดอยู่ครู่เดียวก็ตอบว่า   “ตกลงค่ะ ภิสัช ดิฉันจะไปกับคุณ”

“ดีแล้ว”   เขากล่าว แล้วลุกขึ้นยืน   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะไปนอนเสียเดี๋ยวนี้   พรุ่งนี้จะได้มีแรงไปบุกป่ากับผม   เราจะออกกันแต่เช้ามืดทีเดียว”

จบบทที่ 33