“จ้าวพี่ครับ” เสียงของจ้าวศรีธรดังเข้ามา พร้อมกับตัว “อ้าว เอ๊ะ จ้าวพี่ศรีฟ้าไม่อยู่หรอกหรือครับ ผมเห็นใครยืนพิงหน้าต่างเลยนึกว่าเป็นจ้าวพี่”
“คุณพลินทร์ ต่างหากเล่าจ๊ะ” จ้าวศรีชลาบอกกับน้องชาย “ใช่จ้าวพี่เมื่อไหร่กัน มีเรื่องอะไรจะเล่าให้จ้าวพี่ฟังหรือ หน้าตาตื่นมาทีเดียว”
“เอ เปล่า.. เปล่าครับ” ศรีธรปฏิเสธหน้าตาตื่นอย่างมีพิรุธ จนพลินทร์ออกนึกขัน เขาถามขึ้นว่า
“ออกไปไหนมาแต่เช้าเชียวจ้าว มีคนไข้หนักหรืออย่างไร”
“ไปตลาดมาน่ะสิคะ” จ้าวศรีชลาตอบแทน “ซื้อหนังสือพิมพ์นั่นยังไงล่ะ”
พลินทร์มองดูหนังสือที่จ้าวธรถืออยู่ พูดว่า “ถ้างั้นที่จ้าวถืออยู่ก็คือ หนังสือพิมพ์ประจำวันใช่ไหมครับ ไหนขอยืมผมดูหน่อยได้ไหม” แต่แล้วพลินทร์ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นจ้าวศรีธรกลับเอามือที่ถือหนังสือนั้น ไขว้ไปไว้ข้างหลัง ทำให้พี่สาวต้องร้องเอ็ดออกมาว่า
“เอ๊ะ ศรีธรนี่ยังไง คุณพลินทร์ขอยืมหนังสืออ่าน ทำไมกลับเอาไปซ่อนเสียข้างหลังล่ะ เสียมารยาทจริงเชียว ให้คุณพลินทร์ไปสิจ๊ะ”
“เดี๋ยวครับ ยังให้ไม่ได้” น้องชายบอกแล้วหันมาบอกพลินทร์อีกครั้งหนึ่งว่า “เดี๋ยวนะครับ คุณพลินทร์ เดี๋ยวผมให้อ่าน”
“เอ๊ะ ศรีธรนี่ทำท่าแปลกจริงๆ” พี่สาวดุซ้ำ ไหนหนังสือฉบับนี้มีข่าวลึกลับอะไรนะ เอามาดูซิ” จ้าวศรีชลาสาวเท้าเข้ามาใกล้ จ้าวศรีธรรีบถอยหลังหนีโดยเร็ว แต่พี่สาวก็ไม่ลดละ ยังคงตามประชิดไป พลินทร์มองดูพี่น้องทั้งสอง ยื้อแย่งหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นอย่างเอ็นดูและขบขัน ในที่สุด จ้าวศรีชลาก็เป็นฝ่ายแย่งมาได้ หญิงสาวพลิกดูพลางพูดว่า
“ไหน มีข่าวอะไรสำคัญนักหนา นายศรีธรถึงต้องทำท่าลึกลับนัก”
“โธ่ จ้าวพี่” จ้าวศรีธรร้องออกมาอย่างยุ่งยากใจ และวิตกกังวล “บอกว่า อย่า อย่า ก็ไม่เชื่อ”
จ้าวศรีชลาทำเฉย ยังคงพลิกหนังสือต่อไป ทันใดนั้น พลินทร์ก็สังเกตเห็นว่ากริยาอาการของเธอเปลี่ยนไป จ้าวศรีชลายืนตัวแข็ง หน้าขาวซีด ดวงตาเพ่งตะลึงมองไปที่หน้าหนังสือพิมพ์อย่างไม่กระพริบ อาการตื่นตระหนกและปวดร้าวใจ ปรากฏชัดแก่สายตาของพลินทร์ จนกระทั่งเขารู้สึกฉุกใจขึ้นมาในทันที พลินทร์สาวเท้าเข้าไปใกล้ญาติสาว พร้อมๆ กับที่ร่างของจ้าวศรีชลามีอาการเซซวน หนังสือพิมพ์หล่นจากมือลงบนพื้นห้อง พลินทร์อ้าแขนออกประคองร่างนั้นไว้ จ้าวศรีธรกระโดดเข้ามาร้องว่า
“โธ่ จ้าวพี่ ไม่ควรเลย”
“จ้าวศรีชลาเป็นลมแล้ว” พลินทร์บอก “จะทำอย่างไรดีล่ะจ้าว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะอุ้มขึ้นไปบนห้องของเธอเอง” เขาเกร็งแขนช้อนร่างของพี่สาวขึ้นไว้ในอ้อมแขน พาเดินออกไปจากห้อง พลินทร์ย่อตัวลงเก็บหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาพลิกดู และไปหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ภาพเต็มตัวของบุรุษท่าทางโก้เก๋ และหญิงสาวท่าทางสมัยใหม่คู่กัน แขนของหญิงสาวผู้นั้นสอดคล้องอยู่ในแขนของบุรุษหนุ่มอย่างสนิทสนม ต่างก็มีใบหน้าแช่มชื่นแจ่มใสยิ้มแย้มด้วยกันทั้งคู่ ใต้ภาพนั้นมีตัวอักษรขนาดเชื่องตีพิมพ์ไว้ว่า “กมลชนก ณ เวียงฟ้า จ้าวชายหนุ่มรูปงามของเมืองเหนือกับใครคนหนึ่งซึ่งมีข่าวว่าจะเป็นผู้ทำให้จ้าวหนุ่มสละโสดในเร็ววันนี้”
หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมีอำนาจพอที่จะทำให้จ้าวศรีชลาต้องนอนซมอยู่ในเตียงถึงสองวันเต็มๆ ตัวพลินทร์เอง ก็หมกมุ่นอยู่กับปัญหานานัปการ ปัญหาซึ่งหาทางออกไม่พบ นับตั้งแต่เรื่องของพัจนาที่เงียบหายไปตลอดจนถึง......... หอทดลองวิทยาศาสตร์ที่รังสิตหอนั้น
เป็นไปได้หรือที่ผดา หญิงที่เขาเกลียดชังดูถูกและเหยียดหยามจะกลับกลายมาเป็นคนเดียวกับผู้ที่เขาเคยออกปากว่า อยากจะรู้จักเพราะสนใจในความตั้งใจมั่นที่จะทำงานของบิดาผู้วายชนม์ไปแล้วให้เป็นผลสำเร็จ ผดา ศาสตรวิจัย เขาอาจจะไม่ได้พบกับหล่อนอีกเลยก็เป็นได้
ดูราวกับว่าความคิดของคนทั้งสองจะตรงกันอย่างประหลาด เพราะผดาได้บอกกับคำรสเพื่อนของเธอว่า จะไม่ยอมเหยียบคุ้มไศลอีกเช่นกัน คำรสทำตาโตเมื่อได้ยินเสียงเด็ดขาดของผดา ถามว่า
“ทำไมเล่าจ๊ะ”
“เพราะฉันเกลียดหน้านายพลินทร์ พงศ์ราช” ผดาตอบทันทีโดยไม่รั้งรอ
“เออ จริงด้วยนะ” คำรสเออออ “ท่าทางเขาเป็นคนเย่อหยิ่งยังไงชอบกล”
“ก็เขาเป็นคนวิเศษ จะไม่ให้เขาเย่อหยิ่งได้ยังไง”
“ฮื้อ” คำรสทำเสียงค้าน “จะวิเศษสักแค่ไหนกันเชียว”
“ก็วิเศษขนาดที่คนอย่างเราๆ ไม่อาจจะก้าวขึ้นไปยืนเคียงกับเขาได้นั่นแหละ” ผดาตอบ และ คำรสก็เถียงออกมาว่า
“ทำไมจะยืนเคียงไม่ได้ ก็เมื่อคืนวานนั้นเรายังกินข้าวโต๊ะเดียวกับเขาเลย” หล่อนรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเสียงเพื่อนสาวหัวเราะคล้ายจะเยาะใครสักคนหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า
“สมคงจะฝืดคอแทบตาย ที่คนวิเศษอย่างเขาต้องมานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวร่วมกับคนธรรมดาอย่างเรา”
“เธอมีเรื่องกินใจนายพลินทร์คนนี้ ก็เพราะคุณพัจนาเท่านั้นใช่ไหม”
“เท่านั้น” ผดาทวนคำ ขมวดคิ้วเข้าหากัน “การที่เขาพยายามจะขัดขวางการแต่งงานของเรา จนกระทั่งลงทุนส่งพัจนามาตายนี่ เธอพูดว่า.. เท่านั้น... หรือ”
“เออ อยากรู้จริงว่าป่านนี้จ้าวศรีฟ้าจะรู้หรือยังว่าเธอเป็นใคร” คำรสผู้สังเกตเห็นความขุ่นใจของเพื่อนได้ดีรีบพูดแก้ความผิดพลาดในการใช้คำถามของตนเองเมื่อกี้นี้ ผดายกไหล่เล็กน้อยบอกว่า
“ไม่รู้มีหรือ เขาเป็นญาติพี่น้องกัน ถ้าเขาคิดว่าจ้าวศรีฟ้าจะเกิดมาชอบฉันเข้าอย่างจริงจังละก็ เขาก็ต้องเดือดร้อนคอยปกป้องคุ้มครองระแวดระวังกันไว้น่ะซิ” หญิงสาวทำเสียงหัวเราะในคอเมื่อพูดต่อไปว่า “ฉันเป็นคนเลวเกินไปที่ญาติของคนวิเศษอย่างนายพลินทร์จะมาชอบ ฉันเป็นคนต่ำต้อย ไม่มีสกุลรุนชาติ ซ้ำยังเป็นนักขุดทองตัวสำคัญอีกด้วย”
“ผดา” คำรสร้องออกมาอย่างตกใจ “ทำไมเธอถึงได้พูดถึงตัวเอง อย่างน่ากลัวอย่างนั้นนะ”
“ฉันพูดตามที่นายพลินทร์เขาเห็นฉันเป็น”
คำรสมองดูดวงหน้าของเพื่อนอย่างเห็นใจ หล่อนเพิ่งจะรู้เรื่องราวของผดา อย่างละเอียดถี่ถ้วนในวันรุ่งขึ้นจากที่ไปกินเลี้ยงวันเกิดของจ้าวศรีชลามานั่นเอง และเชื่อด้วยว่าผดามิได้เล่าเกินกว่าเหตุ ทั้งพลินทร์และผดาต่างก็มีความเกลียดชังในกันและยิ่งนัก
ก่อนที่คำรสจะได้พูดอย่างไรต่อไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งก้าวขึ้นมาทางบันไดหน้าบ้าน และอีกอึดใจต่อมา เสียงของจ้าวศรีธรก็ดังเข้ามาถึงในห้องที่สองสาวคุยกันอยู่นั้นว่า
“เจ้าข้า บ้านนี้มีใครอยู่บ้างเน้อ”
“จ้าวศรีธร” คำรสบอกกับเพื่อนรักของหล่อน ลุกขึ้นยืนพยักชวนว่า “ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
หล่อนแวะหยิบเอาเสื่ออ่อนผืนกว้างติดมือออกไปด้วย จ้าวศรีธรยืนยิ้มอยู่บนบันไดชั้นบนสุด พอเห็นสองสาวออกประตูมา ก็รายงานขึ้นมาทันทีว่า
“จ้าวพี่ศรีชลาบ่นถึงคุณแน่ะครับ คุณผดา”
“จ้าวมาหาเธอน่ะผดา” คำรสว่า “ไม่ได้มาหาฉันหรอก”
“เอาแล้วไหมล่ะ” จ้าวศรีธรร้องพลางหัวเราะ “พอเห็นหน้าเท่านั้นคำรสก็ตั้งแง่เอากับฉันทีเดียว โธ่ ก็จ้าวพี่บ่นถึงคุณผดาจริงๆ ฉันก็มาบอก จ้าวพี่กำลังไม่สบาย รู้ไหม”
“เอ๊ะ จ้าวศรีชลาเป็นอะไรไปคะ” ผดาซัก ในขณะที่คำรสจัดแจงลาดเสื่อลงบนพื้นกระดานที่ปูระเบียงหน้าบ้านซึ่งปรกติก็ถูกขัดถูอยู่เสมอจนเป็นมัน
จ้าวศรีธรทรุดกายลงนั่งเหนือขั้นบันใด ถอดรองเท้าแล้วจึงเขยิบกายเลื่อนขึ้นไปบนเสื่อเองโดยไม่รอให้ผู้ใดเชื้อเชิญ อันแสดงถึงความสนิทที่เขามีต่อครอบครัวนี้
“จ้าวเป็นอะไรไปคะ” ผดาถามซ้ำขณะที่หย่อนกายลงนั่งหันหลังพิงลูกกรงถัดไปจากคำรส
“ปรอทไม่ขึ้นหรอกครับ แต่ลงนอนซมทีเดียว” จ้าวศรีธรเล่า “เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อเช้าวานนี้ ผมไปซื้อหนังสือพิมพ์ที่ตลาด พอกลับไปถึงบ้าน เห็นคนยืนพิงหน้าต่างหันหลังให้อยู่ก็นึกว่าเป็นพี่ชาย โผล่พรวดพราดเข้าไป จะให้ดูข่าวในหนังสือพิมพ์ ที่ไหนได้ล่ะ กลายเป็นคุณพลินทร์กำลังคุยกับพี่ศรีชลาอยู่ พี่ศรีชลาเลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่ามีข่าวอะไรในหนังสือ ก็เลยเข้ามาแย่งไปดู แล้วก็เป็นลมล้มลงไป”
“ข่าวอะไรคะจ้าว ที่จ้าวศรีชลาไปพบเข้า” คำรสถามอย่างสนใจ
“ข่าวเกี่ยวกับกมลชนก ญาติเราน่ะซี” ศรีธรตอบ “ไม่รู้ว่าควงใครอยู่ ซ้ำยังมีข่าวว่าจะสละโสดกับแม่คนนั้นอีกด้วยนา”
“อ้อ มิน่าล่ะ” คำรสว่าพลางพยักพเยิด อย่างคนที่รู้เรื่องกันดีอยู่แล้ว ผดาเห็นว่ามิใช่เรื่องที่เธอควรจะแสดงความอยากรู้อยากเห็นจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อไป
“พี่ศรีชลามีโรคหัวใจประจำตัวอยู่แล้วด้วย โดนเรื่องกระทบกระเทือนใจเข้าเลยแย่ ถ้าคุณผดาจะกรุณาไปเยี่ยมพี่ศรีชลา ชวนเธอพูดเธอคุยสักหน่อยละก็ ผมคิดว่าอาจจะทำให้อาการของเธอดีขึ้นมาก”
ผดานิ่งอึ้ง คำรสเหลือบมองสบสายตาเป็นเชิงถามว่าจะว่าอย่างไร หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองสบตาน้องชายของจ้าวศรีชลาตอบว่า
“ตกลงค่ะจ้าว พรุ่งนี้ดิฉันจะไปเยี่ยมจ้าวศรีชลา”
เมื่อจ้าวศรีธรลากลับไปแล้ว คำรสก็พูดขึ้นในทันทีว่า “เป็นอันว่าความคิดที่จะไม่ขอเห็นหน้านายพลินทร์ก็เป็นอันไม่สำเร็จ”
“อย่ากลัวเลย คนอย่างนายคนวิเศษนั่นเขาคงจะไม่อยากเข้าใกล้ฉันนักหรอก” ผดาพูดอย่างมั่นใจ “พอเห็นฉันอยู่ที่ไหน ก็ขี้คร้านเขาจะรีบหลีกไปเสียสุดทิศสุดทาง คนเรามันมักจะมีความรู้สึกตรงกัน เขาไม่ชอบเรา เราก็ไม่ชอบเขา” ผดาหยุดพูด หัวเราะดุๆ ก่อนที่จะพูดต่อไปอย่างหนักแน่นว่า “แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้ามีโอกาสเมื่อใด ฉันจะต้องแก้แค้นนายคนนี้ให้สาสมกับที่เขาทำกับฉันทีเดียว เธอคอยดูซี”
ผดาได้ไปเยี่ยมจ้าวศรีชลาในวันรุ่งขึ้น ดังที่รับปากกับจ้าวศรีธรไว้ สาวใช้ชาวพื้นเมืองพาเธอเข้าไปในห้องนอนสีเทาอ่อน ตัดกับเครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นสีชมพูกลีบกุหลาบสด สว่างแจ่มใสไปทั่วทั้งห้อง ข่มร่างที่นั่งเอนๆ อยู่บนเตียงนั้นให้ดูซีดเซียวลงถนัดตา เพียงสองวันที่ไม่ได้เห็น จ้าวศรีชลาช่างผิดตาไปอย่างแทบจะไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงที่ซีดเซียวหน้าตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่นั่งอยู่บนเตียงผู้นี้แหละหรือ คือ จ้าวศรีชลาผู้งามชดช้อยน่ารักในคืนวันงานเมื่อสองคืนก่อนหน้านี้เอง เมื่อเห็นผดาก้าวเข้าไปในห้อง หญิงสาวก็ยื่นมือทั้งสองออกมาอย่างยินดี ร้องทักว่า
“อุ๊ย คุณผดา แหมดีใจจริงค่ะที่คุณมา ดิฉันกำลังเบื่อโลกอยู่ทีเดียว”
ผดาเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าเตียง ยิ้มอย่างแจ่มใสพร้อมกับบอกว่า “ทราบจากจ้าวศรีธรว่าจ้าวไม่สบาย เป็นอะไรไปหรือคะ ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างหรือยัง”
“เพิ่งค่อยยังชั่วเมื่อคุณเข้าประตูมานี่เอง” ศรีชลาถือโอกาสเลี่ยงตอบคำถาม ประโยคแรกมาตอบประโยคที่สอง “คุณผดามาคนเดียวหรือคะ คำรสล่ะ ไม่มากับคุณด้วยหรอกหรือคะ”
“คำรสไปธุระกับแม่เฒ่าค่ะ แม่เฒ่าเตรียมตัวจะไปเยี่ยมญาติที่ลำพูน “ผดายิ้มกับจ้าวศรีชลา ถามต่อไปอย่างอ่อนโยนว่า “จ้าวศรีธรบอกว่า ถ้าดิฉันมาช่วยชวนจ้าวคุยละก็ บางทีจ้าวจะหายเหงา จ้าวอยากจะคุยเรื่องอะไรล่ะคะ”
“เรื่องอะไรก็ได้ค่ะ คุยเรื่อยเปื่อยไปก็แล้วกัน” ศรีชลาตอบ “บ้าจังเลย ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อนสักหน่อยแต่ต้องลงนอนซม”
“การเจ็บไข้ของคนเรานี่มันมีได้หลายอย่างนะคะจ้าว” ผดาพูดอย่างปลอบโยน และศรีชลาก็สวนออกมาทันทีว่า
“แต่อย่างของดิฉันนี่มันทุเรศ” แล้วก็หัวเราะในลักษณะที่สนับสนุนคำพูดของตนเอง แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเมื่อพูดต่อไปว่า “มาคุยกันถึงเรื่องของคุณดีกว่าค่ะ คุณผดา”
“เรื่องของดิฉัน” ผดาทวนคำ ทำปากห่อและนัยน์ตาโตอย่างประหลาดใจ “ตายจริง เรื่องของดิฉันจะมีอะไรกันคะ ดิฉันก็เล่าให้จ้าวฟังเกือบหมดแล้ว”
“เกือบหมด แต่ยังไม่หมดใช่ไหมล่ะคะ” หญิงสาวเจ้าของห้อง พูดยิ้มๆ “อย่างน้อยก็เรื่องพัจนา”
“อ้อ นี่เขาคงจะเล่าให้คุณฟังหมดแล้วใช่ไหมคะ” ผดาถามด้วยเสียงปรกติ เธอคาดไม่ผิดเลย
“เขาน่ะใครกันคะ” จ้าวศรีชลายิ้มอย่างสนุก
“จะมีใคร ก็นายพลินทร์ พงศ์ราชผู้แสนจะ…” ผดาหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น หัวเราะแล้วบอกว่า “ทานโทษค่ะจ้าว ดิฉันชักจะเหลวไหล เผลอตัวเสียใหญ่แล้ว”
“คุณผดาเกลียดคุณพลินทร์มากเทียวหรือคะ” เจ้าของห้องถามด้วยเสียงที่แสดงความเห็นใจ จนกระทั่งผดาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ เธอมองสบตาผู้ถามเงียบเฉยอยู่มิได้ตอบว่ากระไร จ้าวศรีชลาจึงพูดต่อไปว่า “คุณผดานิ่ง แปลว่าตอบรับใช่ไหมคะ”
“ดิฉันไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ค่ะจ้าว ไหนๆ พัจนาก็ตายไปแล้ว” ผดาตอบ เบือนหน้าไปทางอื่น เม้มริมฝีปากเล็กน้อย พัจนาที่น่าสงสารต้องมาเสียชีวิตด้วยลักษณาการอันน่าสยดสยองก็เพราะมีพี่ชายที่มีดวงใจแข็งกระด้าง ปราศจากความเมตตาเห็นใจในมนุษย์อื่นแท้ๆ
“เครื่องบินที่ตกยังค้นไม่พบ” จ้าวศรีชลาพูดต่อไป “จะทราบได้ยังไงคะว่าพัจนาจะตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่”
ผดาหันมามองดูคนพูด บอกว่า “ถ้าหากว่าพัจนายังไม่ตายละก็ เขาคงจะไม่ทนอยู่ในป่าจนถึงป่านนี้หรอกค่ะ รึถ้าไม่ตายในทันที ป่านนี้ก็คง...” เสียงขาดหายไปในคอ ถึงแม้ว่าบัดนี้ไม่อาจจะช่วยอะไรพัจนาได้อีกต่อไปแล้ว แต่ผดาก็ทนไม่ได้ที่จะพูดถึงเขาในลักษณะที่น่าหวาดเสียวชวนให้สลดใจเช่นนั้น
“แต่คุณพลินทร์มักจะพูดเสมอว่า พัจนายังไม่ตาย” จ้าวศรีชลากล่าวคล้ายรำพึง ผดาหัวเราะออกมาในทันที
“อ๋อ ไม่แปลกหรอกค่ะ ที่เขาพูดอย่างนั้นก็คงเพราะต้องการจะปลอบใจตัวเอง และเพื่อปัดความรับผิดชอบออกไปให้พ้นตัวน่ะซีคะ”
“ความรับผิดชอบ” ดวงตาสีน้ำตาล สีเดียวกับดวงตาของคำรส มองดูผดาอย่างสนเท่ห์ “คุณผดาคิดว่าการที่พัจนาประสบอุบัติเหตุนี่ คุณพลินทร์ต้องรับผิดชอบด้วยหรือคะ”
“แน่นอนค่ะ” ผดารับอย่างหนักแน่น “เพราะพลินทร์มีเจตนาที่จะส่งพัจนามา เขาแกล้งส่งพัจนามาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรากำลังจะแต่งงานกันอยู่ในไม่กี่วันที่จะถึงนั้น”
“คุณพลินทร์ก็ต้องเลื่อนการหมั้นกับคุณสิวิกาออกไปเหมือนกัน เมื่อเธอมาเชียงใหม่นี่” จ้าวศรีชลาพูดคล้ายรำพึงกับตัวเอง และผดาก็ตอบรับในทันทีว่า
“ดิฉันเชื่อค่ะ เขาจำเป็นจะต้องเลื่อนการหมั้นไปเพื่อแสดงให้ใครๆ เห็นว่าเขาเป็นคนดี ห่วงใยรักใคร่พัจนา แสดงให้ใครๆ เห็นว่าเขารักหน้าที่การงานมากกว่าที่จะนึกถึงความสุขส่วนตัว เขาเข้าใจหาเสียงนิยม เข้าใจเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจเพาะปลูกคำยกย่องสรรเสริญ แต่ทว่า...” เธอเหยียดริมฝีปากออกในลักษณะที่ยิ้มเยาะ เน้นเสียงเมื่อกล่าวต่อไปว่า “นายพลินทร์ คนนี้ไม่กล้ามาเชียงใหม่โดยเครื่องบิน เขามารถไฟ ทั้งๆ ที่เขาส่งพัจนามาตายด้วยเครื่องบิน”
จ้าวศรีชลานิ่งอึ้ง ถึงอย่างไรในความรู้สึกของเธอ พลินทร์ก็ยังเป็นญาติที่แสนจะสนิทสนม เป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง แต่เธอก็ไม่กล้าค้านคำกล่าวหาของ หญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ใกล้เธอผู้นี้ พลินทร์อาจจะมีอะไรอีกหลายอย่างในตัวเขา ที่เธอไม่เข้าใจ แม้แต่พี่ชายของเธอเอง ซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับ พลินทร์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย บางครั้งยังยอมรับว่าเขาไม่สู้จะเข้าใจบุรุษผู้นั้นนัก ทั้งผดาก็มีเหตุผลที่น่าฟังอยู่เหมือนกัน ผดาอาจจะมีโอกาสได้รู้จักพลินทร์ในแง่ที่เธอไม่รู้จักก็ได้
จ้าวศรีชลานิ่งอยู่นาน กว่าจะกล่าวออกมาด้วยเสียงอ่อนๆว่า “แต่ว่า คุณพลินทร์อาจจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้ ที่มาทางรถไฟแทนเครื่องบิน”
ผดายิ้ม แล้วบอกว่า “ค่ะ ดิฉันแน่ใจว่ามี เหตุผลของเขาก็คือเขา เห็นว่าชีวิตของตนเองมีค่ากว่าคนอื่นยังไงล่ะคะ” และเมื่อเห็นจ้าวศรีชลาขยับปากจะพูดต่อไป หญิงสาวก็ฉวยมือของเธอผู้นั้นมากุมไว้ ชิงพูดเสียก่อนว่า “เรามาคุยกันถึงเรื่องอื่นดีไหมคะจ้าว พูดเรื่องนี้ดิฉันไม่สบายใจเลย”