รถยนต์คันหนึ่งจอดซุ่มอยู่ชิดกำแพงในถนนซอย ซึ่งต้องตัดลงสู่แม่น้ำ ถนนสายนั้นเดิมทีคงจะเป็นถนนส่วนบุคคล แต่บัดนี้ได้กลายเป็นทางสาธารณะไปเสียแล้วโดยปริยาย โดยเหตุที่หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดมาอ้างสิทธิ์หรือดูแลรักษา ทะนุบำรุงความสะอาดไม่ คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเทศบาล ซึ่งนานๆ ถึงจะเหลือบแลเข้ามาสักครั้งหนึ่ง ระยะทางจากปากถนนซึ่งตัดออกสู่ถนนหลวงมาถึงท่าน้ำเก่าๆ ริมแม่น้ำนั้น ถ้าคะเนดู คงจะได้ระยะยาวสักสามร้อยเมตร เป็นอย่างน้อย สองข้างถนนขนาบด้วยเขตรั้วซึ่งสร้างอย่างแน่นหนาตามแบบเก่า รถยนต์คันที่กล่าวถึงนี้จอดอยู่ทางซ้ายของถนน ชิดกับกำแพงสูงที่ก่อด้วยซีเมนต์หนาตึ้กตั้กแข็งแรง ชายหนุ่มซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวที่อยู่ในรถคันนั้น นั่งเหยียดยาวอยู่ในที่นั่งตอนหน้า หันหลังให้กำแพงพิงประตูรถ เขาสูบบุหรี่บ่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า คล้ายกับว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นานทีจึงจะมองลอดรั้วเหล็กโปร่งที่สร้างเสริมเติมต่อจากกำแพงหินสูงแค่เอวของรั้วด้านตรงข้ามเข้าไปสักครั้ง เมื่อยังคงเห็นแสงไฟส่องสว่างและเสียงดนตรียังคงแว่วออกมา เขาก็ถอนใจใหญ่ แล้วก็หยิบบุหรี่ตัวใหม่ออกมาจุดต่อไป
แต่ในที่สุด เสียงดนตรีจากตัวคฤหาสน์ภายในล้อมรั้วนั้นก็เงียบลง ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างโล่งใจ ที่การคอยอันยืดยาวจะได้สิ้นสุดลงเสียที เปลี่ยนอิริยาบถเป็นลุกขึ้นนั่งตัวตรงประจำที่คนขับ ขณะนั้น ท้องน้ำที่เป็นประกายขาวพราวพรายอยู่ในท่ามกลางแสงจันทร์นั้น เริ่มเงียบสงบลงบ้างแล้ว นานๆ ที จึงจะมีกระทงลอยผ่านไปสักใบหนึ่ง ซึ่งบางใบก็ยังมีเทียนจุดริบหรี่อยู่ แต่บางใบก็ดับสิ้นแล้ว ทั้งแสงธูปและแสงเทียน คงเหลือแต่ตัวกระทงลอยตะคุ่มมาตามสายน้ำเท่านั้น
ชายหนุ่มยกข้อมือขึ้นดูพรายน้ำที่หน้าปัดนาฬิกา แล้วยังคงสูบบุหรี่ที่เพิ่งจุดใหม่ต่อไปอีกอย่างใจเย็น ขณะนั้น มีแสงไฟลำหนึ่งสว่างวาบมาจากทางปากถนนซอย แสงไฟนั้นส่ายไปมา ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่รถยนต์ของเขา นิ่งแน่อยู่สักครู่ แล้วก็เบนไป เล็กน้อย แต่ทว่าต้นแสงกลับเคลื่อนใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ตามติดเข้ามาด้วย อีกครู่ต่อมา รถของเขาก็ถูกเทียบข้างด้วยจักรยานยนต์สองล้อของ “ฉลามบก” นายหนึ่งซึ่งออกตรวจตราความสงบในท้องถนนตามหน้าที่ และก่อนที่จะถูกส่องหน้าด้วยไฟฉายที่ผู้พิทักษ์ สันติราษฎร์ผู้นั้นหยิบออกมาถือไว้ ชายหนุ่มก็กดสวิทซ์ไฟในรถให้เปิดขึ้นเสียก่อน
“คุณมาจอดรถซุ่มอยู่ทำไมในที่มืดๆ อย่างนี้” เป็นคำถามกระทู้แรกที่เขาได้รับ
“คุณคงไม่คิดว่าผมจะปีนกำแพงเข้าปล้นแห่งใดแห่งหนึ่งในเขตรั้วทั้งสองนี่นะครับ” เขาย้อนตอบอย่างใจเย็น “ข้างนี้” เขาพยักหน้าไปทางกำแพงหนาที่รถจอดชิดอยู่ “ก็กลายเป็นสถานที่ที่ทำการของรัฐบาลไปแล้ว คงจะไม่มีเครื่องเพชร เครื่องทองไว้คอยต้อนรับผมเป็นแน่ นอกเสียจากกระสุนปืน ส่วนบ้านโน้น เห็นจะมีหลายชุดเป็นแน่ เพราะวันนี้เขามีงานรื่นเริงกันอย่างมโหฬาร แต่ก็อีกนั่นแหละ คนตั้งมากมายราวกับมดอย่างนั้น ผมคงจะโจรกรรมไม่ได้คล่องนักดอกคุณ”
ตำรวจคงจะไม่ชอบคำสาธยายอันยืดยาวและฟังไม่ได้เรื่องได้ราวนี้เป็นแน่ จึงได้ย้อนถามกลับมาอีกด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดขึ้นกว่าเก่าอีกเป็นสองเท่าตัวว่า
“ผมถามว่าคุณมาจอดรถอยู่ทำไมในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ อย่างนี้ ตอบคำถามของผมดีกว่า ถ้าคำตอบของคุณไม่เป็นที่พอใจ ผมก็จำเป็นต้องเชิญคุณไปพูดกันที่โรงพัก”
“โอ้โฮ ถึงอย่างนั้นเทียวหรือครับ” ชายหนุ่มร้องพร้อมกับหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นผมจะพยายามให้คำตอบที่คุณพอใจอย่างที่สุด ผมคอยจะเข้าบ้านของผมนะครับ”
“บ้านของคุณอยู่ที่ไหน”
“นี่ไงครับ” เขาบุ้ยปากไปทางขวามือ
“บ้านที่เขามีงานกันนั่นแหละ บางทีคุณจะไม่เชื่อ เอ้านี่ไง บัตรประจำตัวของผมมีพร้อมทั้งภาพถ่ายและตำบลที่อยู่ไว้พร้อมเสร็จชัดเจนแล้ว”
ตำรวจรับบัตรจากมือเขาไปเพ่งดูอย่างพินิจพิเคราะห์ละเอียดลออ คือมองดูรูปถ่ายที่ติดอยู่ในบัตรทีหนึ่งแล้วก็มองหน้าเขาทีหนึ่ง แล้วก็อ่านดูตัวอักษรที่บันทึกไว้ เสร็จแล้วก็มองดูรูปแล้วหันมามองดูหน้าเขาเสียทีหนึ่ง สลับกันเช่นนี้หลายครั้งหลายครา ในที่สุดก็พึมพำว่า
“เอ อยู่ในเทพสถิตนี่จริงๆ เสียด้วยซี คุณมาจอดรถอยู่ที่นี้ทำไม ในเมื่อวันนี้บ้านคุณเขามีงานกันออกครึกครื้น”
“เพราะผมไม่ชอบงานครึกครื้นในบ้านผมน่ะซีครับ ผมถึงได้มาจอดอยู่ที่นี่” เขาตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ความจริงผมกลับมาจากที่อื่นน่ะครับ เมื่อขับรถผ่านมาเห็นว่างานเขายังไม่เลิก ผมก็เลยไม่อยากกลับเข้าไป คุณรู้ไหมว่าผมมาจอดอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยังไม่สองยามเลย”
“และนี่ก็ตั้งตีสามเข้าไปแล้ว” ตำรวจยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ส่งบัตรประจำตัวคืนให้แล้วบอกว่า “เข้าบ้านเสียทีเถิดคุณ มาจอดซุ่มอยู่มืดๆ อย่างนี้ไม่ดีน่า เชื่อผมเถอะ”
“เชื่อซีครับ ผมกำลังเตรียมจะเข้าบ้านอยู่ทีเดียวนะครับ พอดีคุณมา ตกลงเป็นอันว่าคำตอบของผมเป็นที่พอใจของคุณแล้วนะครับหมู่”
“ครับๆ” ตำรวจรับคำโดยเร็ว แล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอิหลักอิเหลื่ออยู่ครามครันว่า “อย่าเรียกผมว่าหมู่เลยคุณ ผมยังเป็นเพียงพลตำรวจอยู่เท่านั้น ว่าแต่คุณรีบเข้าบ้านเสียเถอะนะครับ เชื่อผมดีกว่า จอดรถอยู่ย่างนี้นานๆ ไม่เหมาะแน่”
“เอาเถอะครับ เอาเถอะ ผมเชื่อคุณ” ชายหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย เมื่อตำรวจกลับขึ้นสู่หลังจักรยานยนต์ และเร่งเครื่องยนต์ให้ดังขึ้น เขาก็เปล่งเสียงให้ดังขึ้นอีกเมื่อพูดแกมหัวเราะว่า “ขอบคุณนะครับ ที่เอาใจใส่ตักเตือน แล้วก็เป็นโชคดีของผมที่คุณเป็นตำรวจที่ใจดี น่ารัก ลาก่อนครับ หวังว่าคุณคงจะได้ติดบั้งในเร็วๆ นี้”
ชายหนุ่มมองตามแสงไฟท้ายรถตำรวจที่เคลื่อนห่างออกไปทุกทีจนเลี้ยวลับหายออกไปจากซอย แล้วจึงหันกลับ รอยยิ้มอย่างอารมณ์ดียังคงปรากฏอยู่บนริมฝีปาก เขาเอื้อมมือปิดสวิทซ์ไฟในรถแล้วจึงมองไปทางตัวคฤหาสน์และเรือนแพที่ยังคงมองเห็นได้ถนัดจากรั้วนอกอยู่อีก เพราะยังคงมีแสงไฟเจิดจ้าอยู่ แม้ว่าเสียงดนตรีจะหายไปนานแล้วก็ตาม เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สู้ชอบใจนัก แม้จะมิได้เข้าไปร่วมด้วย แต่เขารู้ดีว่ามันงานที่ยิ่งใหญ่และหรูหราเพียงไร มันเป็นของธรรมดาเหลือเกิน ที่คนอย่างพลินทร์ พงศ์ราช ย่อมจะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาผู้นั้นยังมีสตรีสาวเลอโฉมและมั่งคั่งพอใช้ อย่างนางสาวสิวิกา ราชเสนา เคียงข้างอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้นคู่หมายด้วยอีกเล่า ดังนั้นจึงไม่เป็นของแปลกประหลาดอะไรเลย ที่ใครๆ จะพากันเก็บไปพูดในภายหลังว่า โอ้โฮ งานที่เทพสถิต เมื่อคืนลอยกระทงวันเพ็ญ ช่างหรูหราวิเศษอะไรเช่นนั้น หรือว่า... โอย ถ้าลองได้ไปร่วมงานที่เทพสถิตสักคืนหนึ่งแล้วละก็ เป็นไม่อยากไปงานที่อื่นอีกหรอก เทียบกันไม่ได้ทีเดียว
หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบอีกตัวหนึ่ง แล้วเขาก็คิดต่อไป โดยมิได้ใส่ใจเร่งร้อนที่จะกระทำตามดังกับที่ได้รับคำไว้กับผู้พิทักษ์สันติราชผู้นั้น เขายังไม่อยากจะเข้าไปใน “เทพสถิต” ในเวลานี้ มิได้มีเหตุผลอย่างอื่น นอกเสียจากว่าไม่อยากจะพบใครๆ เช่นแขกบางคนที่ยังคงอ้อยอิ่งชักช้าอยู่เป็นต้น เขาไม่ต้องการจะให้เหตุผลแก่ใครๆ ในข้อที่เขามิได้ปรากฏตัวอยู่ในงานคืนนี้ด้วย ไม่ว่าใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขายังไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับพลินทร์ พงศ์ราช ในคืนวันนี้และในเวลาเช่นนี้
เขากลัวพลินทร์หรือ หามิได้ ชายหนุ่มให้คำตอบแก่ตัวเอง เหตุใดเขาจึงจะต้องกลัว ในเมื่อ พลินทร์ พงศ์ราช มิได้เป็นบุคคลชนิดที่มีลักษณะอันใดจะชวนให้หวั่นกลัวแม้สักนิดหนึ่ง ตรงกันข้าม เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม สูงสง่าผึ่งผาย เป็นผู้ที่ดีทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระนั้นเขาก็ยอมรับว่า ถึงแม้ว่า พลินทร์ จะมิได้เป็นคนที่น่ากลัวก็จริงอยู่ แต่เขาก็มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกคร้ามเกรงในตัวเขา ตั้งแต่ในวินาทีแรกที่ได้พบกัน แม้ว่าจะชอบหรือมิชอบก็ตาม
แต่สำหรับตัวของเขาเองนั้น เขาไม่สามารถให้คำตอบอย่างแจ่มแจ้งได้ว่า ชอบ พลินทร์ หรือไม่ นามพลินทร์ พงศ์ราช นี้คุ้นหูเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอย่างชนิดที่เขารู้สึกและจำได้ดีทีเดียว ว่า เจ้าของนามนี้ช่างมีความสำคัญเสียนี่กระไรเลย แต่เขาก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับเขาผู้นี้จนแล้วจนรอด ก็จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ในเมื่อในขณะที่เขาถูกเลี้ยงอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ อยู่ในที่อีกแห่งหนึ่งนั้น แต่ในที่อีกแห่งหนึ่ง พลินทร์ ได้เติบอยู่ ในท่ามกลางความทะนุถนอม เอาใจใส่ดูแล และถูกยกย่องประดุจเจ้าชายผู้ทรงเกียรติก็มิปาน ในฐานะที่เขาเป็นคนสำคัญของตระกูล.....ทายาทของสกุล พงศ์ราช
แต่ว่า แม้จะเป็นเวลาในปัจจุบันนี้ ซึ่งเขาได้มามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพลินทร์ นับเป็นเวลาไม่น้อยปีแล้วก็ตาม เขายังแยกแยะความรู้สึกของตนเองที่มีต่อพลินทร์ไม่ถูก ว่าเป็นไปในสถานใด รักหรือเกลียด ชอบหรือชัง เขาบอกไม่ถูก มีอยู่ไม่น้อยครั้ง ที่เขารู้สึกว่าชายผู้นี้ ช่างมีจิตใจเหี้ยมเกรียม ปราศจากความเมตตาอ่อนโยนเสียเหลือเกิน เย่อหยิ่ง และบางคราวก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในจนบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่น้อยครั้งอีกเหมือนกัน พี่พลินทร์แสดงให้เขาประจักษ์ถึงความหมายอันสูงส่ง และแท้จริงของคำว่าเกียรติยศและชาติตระกูล หากแต่มิใช่ในคราวนี้ มิใช่ในคราวที่ พี่พลินทร์ จะพยายามยับยั้ง หรือจะพูดให้ถูกก็ คือตัดรอนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงยอดดวงใจด้วยการอ้างถึงเลือดเนื้ออันสูงส่งของวงศ์ตระกูลเช่นนี้
ดูเหมือนว่าเลือดทุกคนในสกุลพงศ์ราช จะต้องถูกสอนถูกอบรมให้เคารพรักและผยองในศักดิ์ตระกูลตั้งแต่ลืมตาขึ้นมองดูโลกก็ว่าได้ คงจะมีที่ยกเว้นอยู่ก็แต่เขาเท่านั้น เมื่อยังเล็กอยู่ เขาเคยนั่งฟังใครๆ พูดกันถึงความยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล ถึงความเข้มแข็งของบรรพบุรุษและเกียรติคุณความดีที่ท่านเหล่านั้นพากันสร้างสมไว้ ด้วยความรู้สึกประดุจว่าเขาเป็นเพียงบุคคลที่อยู่นอกวง จะได้มีส่วนเกี่ยวดองกับบุคคลและเรื่องราวนั้นๆ ด้วยก็หาไม่ ตราบจนกระทั่งเมื่อพลินทร์ ได้ยื่นมือออกมาเกี่ยวข้องกับเขาด้วยแล้วนั้นแหละ พลินทร์จึงได้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกและเข้าใจว่า อันตัวเขาเองนั้นก็ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านั้นอยู่มิใช่น้อยเหมือนกัน แต่ที่จะให้มีความรู้สึกดูดดื่มหรือซาบซึ้งเพียงพอหรือไม่นั้น เขาก็ยังไม่แน่ใจตนเองนัก บางครั้งคำพูดของพลินทร์สามารถที่จะเข้าถึงความรู้สึกภาคภูมิและเรียกเลือดแห่งความทระนงให้ซาบซ่านขึ้นมาได้อย่างประหลาด แต่แล้วในบางครั้ง เมื่อเขาได้ยินคำพูดทำนองเดียวกันนี้ เขากลับบังเกิดความรู้สึกเอือมละอาจนแทบที่จะอดทนฟังอยู่มิได้ และเกือบจะเสียกิริยาลุกหนีไปเสียทีเดียว ถ้าหากผู้พูดนั้นจะมิใช่ พลินทร์ ผู้ซึ่งมีบุญคุณอยู่ต่อเขามิใช่น้อย
จากฐานะอันต่ำต้อย พลินทร์ได้เอื้อมมือออกมาฉุดเขาให้ขึ้นไปยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับเครือญาติพี่น้องทั้งมวล จากการที่ต้องซุกนอนอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ ติดกับห้องคนใช้เมื่อมาอยู่ในคฤหาสน์อันโอฬาร... จากการที่ต้องย่ำต๊อกๆ ไปตามบาทวิธี มาขับรถยนต์คันงาม.. และยิ่งกว่านั้น หนี้ที่เขาคิดว่าไม่มีวันจะชดใช้ได้หมด ก็คือการที่พลินทร์ได้อุปการะส่งเสียให้เขาศึกษาจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย และแล้ว ก็พลินทร์อีกนั่นแหละ ที่ได้ให้งานเขาทำ ทำให้เขามีรายได้พอที่จะใช้จ่ายได้อย่างสบายตลอดมา
หมดบุหรี่ไปอีกสองมวน ไฟที่เรือนแพและที่คฤหาสน์จึงได้ดับไปทีละดวงสองดวงจนเกือบหมด เสียงรถยนต์ที่แล่นออกไปจากบ้านนั้นขาดระยะไปนานแล้ว ชายหนุ่มถอนใจยาวเอื้อมมือไปดับก้นบุหรี่ ลงในที่เขี่ยบุหรี่ประจำรถแล้วจึงได้เปิดสวิทซ์ ติดเครื่องยนต์พารถแล่นออกไปจากที่นั้น
ที่หน้าตึกยังคงมีคนใช้และคนที่สมัครมาช่วยงานกำลังช่วยกันเก็บกวาดอยู่อีกเพียงสองสามคนเท่านั้น เมื่อแสงไฟหน้าของรถคันใหม่ที่เพิ่งมาถึง ส่องกราดเข้ามาในบ้าน เขาเหล่านั้นก็พากันวางมือจากงานชั่วขณะหนึ่ง ครั้นเมื่อรถแล่นใกล้เข้ามาในระยะที่พอจะมองเห็นลักษณะอันเจนตาได้ เขาก็เลิกสนใจและหันกลับไปหางานที่กำลังทำอยู่นั้นต่อไป ชายหนุ่มพารถแล่นเลยเข้าไปเก็บในโรง แล้วจึงได้เดินย้อนกลับมาขึ้นบันไดทางหน้าตึก
ขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นที่สองนั้นเอง คนใช้ผู้ชายก็เดินสวนทางลงมา ยอบตัวลงเล็กน้อย ขณะที่จะผ่าน และเมื่อลงมายืนเรียบร้อยแล้วจึงได้บอกแก่ชายหนุ่มว่า
“คุณท่านสั่งไว้ว่า ถ้าคุณกลับมาเมื่อไรละก็ ขอให้ไปพบกับท่านหน่อยครับ ท่านจะรออยู่ในห้องสมุด”
เท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได้ไม้สักขัดมันปูลาดด้วยพรมสีแดงตรงกลางเป็นทางเดินไปตลอดนั้นหยุดชะงักในทันที ชายหนุ่มหันกลับมาทางหัวหน้าคนใช้ ขมวดคิ้วเมื่อถามว่า
“คุณของนายชมยังไม่เข้านอน อีกหรือนี่” เขายกมือขึ้นนาฬิกา พึมพำ “นี่ก็ตั้งตีสามครึ่งเข้าไปแล้ว”
“ยังครับ เมื่อผมลงมานั้น ท่านกำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอยู่ ท่านสั่งผมว่าให้คอยบอกคุณให้ไปพบท่านด้วย”
เขาพยักหน้ารับแล้วถามต่อไปว่า “ห้องสมุดไหน ชั้นกลางหรือชั้นบน”
“ชั้นบนครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้งหนึ่ง บอกว่า “ขอบใจนายชม” แล้วก็ก้าวขึ้นบันไดไปช้าๆ ในใจนึกสงสัยอยู่ครามครันว่าเขาถูกเรียกตัวไปพบกลางดึกเช่นนี้ด้วยเรื่องอะไรกันหนอ มีธุระอะไรที่ร้อนรนสลักสำคัญนักหนา จนต้องพูดกันกลางดึกเช่นนี้ เป็นอันว่าความประสงค์ของเขาที่จะหลีกเลี่ยงไม่พบปะผู้ใดในคืนนี้เป็นอันว่าไม่สำเร็จเสียแล้ว ด้วยความขุ่นใจนิดๆ และใคร่รู้หน่อยๆ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นบันได้ไปโดยเร็วไป สู่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์ ผ่านห้องของเขาเองไปสู่อีกปีกหนึ่งของตัวตึก หยุดเดินเมื่อมาถึงห้องๆ หนึ่งซึ่งอยู่เกือบสุดทางเดิน แล้วก็ยกมือขึ้นเคาะค่อนข้างแรง สาม สี่ ครั้งซ้อนๆ กัน เมื่อเขาลดมือลงก็ได้ยินเสียงลึกๆ กังวานประหลาดต่างกว่าเสียงของคนโดยมากดังออกมาว่า
“เข้ามาสิ พัจนา”