หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 19

ภิสัชปราดมาถึงประตูบ้าน  พร้อมๆ กันกับที่ผดาผลักประตูเข้าไป   ชายหนุ่มทำท่าคล้ายกับว่าจะฉวยเอามือของเธอไปกุมไว้  แต่แล้วดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัว   เขาเอามือไหล่ไปข้างหลังเสีย   และจ้องมองดูเธอด้วยดวงตาที่เป็นกระกายบ่งถึงความยินดีแต่เพียงอย่างเดียว

“แปลกใจมากไหมที่เห็นผม”     เขาถาม

“แปลกซิคะ”     ผดาตอบไปตามตรง     “อยู่ๆคุณภิสัชก็โผล่ขึ้นมาเหมือนขอมดำดิน”

“ดี ตอนนี้ผมกำลังอยากดำดินได้เหมือนขอม”     เขาว่า  สายตาแลเลยเธอไปทางเบื้องหลัง   ผดาหันตามไป ก็เห็นว่าขณะนั้น คำรสและจ้าวศรีธรได้ลงจากรถมายืนอยู่แล้ว   หญิงสาวจึงแนะนำให้คนทั้งสามรู้จักกัน  แต่เมื่อเธอขยับจะเอ่ยถึงยศของภิสัช   นายตำรวจหนุ่มก็รีบร้องขัดขึ้นเสียก่อนว่า

“เอ๊ะๆ     ไม่ต้องแนะนำให้ละเอียดนักได้ไหม  ผมมาอย่างไม่เปิดเผยตัวนะนี่”

ผดาเลิกคิ้วมองดูเขาอย่างขันๆ ถามว่า   “นี่คุณมาอย่างขอมดำดินจริงๆ น่ะหรือคะ   คุณภิสัช   ถึงได้ทำท่าลึกลับอย่างไรชอบกล”

“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าค่ะ”     คำรสทำหน้าที่เจ้าของบ้านเดินนำเข้าไปก่อน ภิสัชทรุดตัวลงนั่งที่แคร่อันเดิมที่นั่งอยู่เมื่อครู่นี้   ชวนว่า

“เรานั่งคุยกันที่นี่ก็ได้ไม่ใช่หรือครับ   ผมติดใจที่ตรงนี้ เย็นสบายดี”

“ได้ค่ะ”     คำรสบอก  รู้สึกพอใจในความเป็นกันเองของชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาครามครัน   เพียงได้เห็นกิริยาท่าทางก็ดูออกแล้วว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรกับเพื่อนสาวของหล่อน   คำรสชำเลืองมองดูผดาอย่างนึกขัน   เป็นคนสวยละก็มักจะยุ่งยากใจอย่างนี้แหละ หล่อนคิดในใจ     “คุณภิสัชมีความลับจะพูดกับผดาหรือเปล่าคะ   ถ้ามี ดิฉันจะได้เรียกจ้าวขึ้นไปนั่งเสียบนเรือน”

“ไม่มีหรอกครับ”     ภิสัชปฏิเสธพร้อมกับหัวเราะ     “เชิญจ้าวนั่งคุยกันที่นี่ดีกว่า   บางทีผมอาจจะขอความช่วยเหลือจ้าวบ้างก็ได้”

“ยินดีเสมอครับ”     จ้าวศรีธรรีบตอบรับพร้อมกับนั่งลงข้างภิสัชทันที     “คุณภิสัชจะให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยครับ   ยิ่งเกี่ยวกับเรื่องลึกลับละก็ผมยิ่งชอบนักละ”

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะขึ้นไปหาน้ำมาให้”     คำรสบอกแล้วเดินขึ้นไป ผดานั่งลงที่แคร่ ถามเพื่อนของพี่ชายว่า

“พี่เผด็จเป็นอย่างไรบ้างคะ   คุณภิสัช”

“เผด็จสบายดีครับ”     ภิสัชตอบ พร้อมกับดึงซองจดหมายสีฟ้าอ่อนจากกระเป๋ากางเกงออกมาส่งให้หญิงสาว     “เขาฝากจดหมายมาให้คุณด้วย นี่ไงครับ เห็นบอกผมว่าจะไปทำงานที่ปักษ์ใต้   อ้าว..   ยังไม่อ่านหรือครับ”     ประโยคหลังเขาถามเมื่อเห็นหญิงสาวรับจดหมายไปถือไหว้เฉยๆ   ไม่แสดงอาการว่าจะฉีกออกอ่าน

“ประเดี๋ยวค่อยอ่านก็ได้ค่ะ”     ผดาเคาะสันจดหมายกับฝ่ามือ  “เวลานี้ดูท่าทางคุณภิสัชลึกลับมาก  ดิฉันอยากรู้เรื่องลึกลับของคุณมากกว่าอยากอ่านจดหมายของพี่เผด็จ”

ภิสัชหัวเราะ ศรีธรจึงพูดขึ้นว่า     “คุณภิสัชท่าจะมาดักจับผู้ร้ายสำคัญกระมังครับ”

“ทำไมจ้าวถึงนึกว่าผมจะมาดักจับผู้ร้ายเล่าครับ”     นายตำรวจหันไปถาม จ้าวศรีธรก็หัวเราะ ตอบง่ายๆ ว่า

“โธ่   ธุระของนายตำรวจจะมีอะไรครับ  นอกจากตามจับผู้ร้าย  ยิ่งถึงกับปิดชื่อปิดเสียงอย่างนี้ด้วยแล้วละก็  พนันกินตัวยังได้”

“คุณภิสัชจะมาจับใครบอกบ้างไม่ได้หรือคะ”    ผดาถามยิ้มๆ    “บางทีจ้าวศรีธรอาจจะช่วยคุณได้บ้างนาคะ”

“อ๊ะๆๆๆ”     จ้าวศรีธรร้องเอะอะขึ้นมาทันทีที่หญิงสาวพูดจบ    “คุณผดาหางานดีๆ ให้ผมทำแล้วไหมล่ะ”

แต่ภิสัชกลับหันมาจ้องมองดูผู้พูดอย่างพิจารณาจริงจัง แล้วบอกว่า     “เออ จริงซิ   ผดาพูดเข้าที  จ้าวอาจช่วยผมได้มากจริงๆ”

“พุทโธ่”     จ้าวศรีธรร้องอุทานอย่างพิศวงแกมขำ     “ตั้งแต่เกิดมาผมเคยจับผู้ร้ายกับเขาสักทีเมื่อไรเล่าครับ   เคยแต่เล่นโปลิศจับขโมยเมื่อเด็กๆ  ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครยอมให้ผมเป็นโปลิศสักที”

บุคลิกลักษณะซึ่งแสดงออกมา  ถึงความเป็นคนเปิดเผยของจ้าวหนุ่มผู้นี้ทำให้ภิสัชรู้สึกเป็นกันเองด้วยอย่างรวดเร็ว   ดังนั้น  เสียงที่เขากล่าวตอบออกไป จึงสนิทสนมเป็นกันเองยิ่งเองขึ้นกว่าเดิมมาก

“ผมไม่ได้ขอให้จ้าวควงปืนออกไปยิงผู้ร้ายกับผมหรอกครับ อย่ากลัวเลย”  เขาพูดพลางหัวเราะ     “ผมอยากขออาศัยความรู้รอบตัวของจ้าวเท่านั้นเอง”     เขามองหน้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเชิงหยั่งความคิด   เมื่อจ้าวศรีธรยังคงนิ่งฟังอยู่อย่างสนใจ  ก็กล่าวต่อไปว่า     “จ้าวเป็นชาวเมืองนี้ คงจะรู้อะไรๆ ดีมากใช่ไหมครับ”

“โอ๊ย อย่ากลัวเลยค่ะ”   คำรสผู้ซึ่งถือถาดเงินรองแก้วน้ำหวานสีแดงสดใสสี่แก้ว เดินมาถึงที่นั้นพอดี   เอ่ยขึ้น   หล่อนเดินอ้อมไปยังอีกด้านหนึ่งของแคร่   วางถาดลงพร้อมกับทรุดกายลงนั่ง   มองดูศรีธรอย่างยั่วเย้าเมื่อพูดต่อไปว่า     “ปีหนึ่งจ้าวอยู่เชียงใหม่ไม่ถึงสามเดือน แต่จ้าวรู้อะไรดีๆ มากกว่าคนที่อยู่ตลอดปีตลอดชาติเสียอีกซิคะ”

“เอาอีกละ”     ผดาหัวเราะ     “คำรสขัดคอจ้าวอีกแล้ว”     หญิงสาวหันไปทางภิสัชถามว่า   “คุณจะบอกจ้าวศรีธรได้แล้วหรือยังเล่าคะภิสัช ว่าคุณมาสืบจับใคร”

นายตำรวจหนุ่มอึ้งไปอึดใหญ่   เขาเหลือบชำเลืองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังตัว  เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นแปลกปลอมอยู่ใกล้บริเวณนั้นด้วยแล้ว จึงกล่าวต่อไปด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม   แต่ทว่าเคร่งขรึมเอางานเอาการยิ่งขึ้นว่า     “จ้าวเป็นคนเมืองนี้   จ้าวเคยได้ยินชื่อ สากัน บ้างไหมครับ”     นามที่หลุดออกมาจากปากนายตำรวจนั้น  ก่อให้เกิดความสนใจแกมตื่นเต้นขึ้นแก่ผู้ที่รับฟังมิใช่น้อย ผดาเพิ่งรู้สึกว่าพฤติการณ์ของสากันผู้นี้  เห็นทีจะมิได้จัดเข้าอยู่ในขั้นเล็กน้อยเสียแล้ว  มิฉะนั้นทางราชการตำรวจคงจะไม่สนใจจนถึงกับจัดส่งนายตำรวจมือปราบชั้นอัศวินเช่นภิสัชออกมาสืบเช่นนี้

หญิงสาวหันไปมองจ้าวศรีธร   ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้นั้นกำลังมองดูเธออยู่ก่อนแล้วเช่นกัน อาการของหนุ่มสาวทั้งสองนี้ไม่อาจจะรอดพ้นไปจากความสังเกตของภิสัชไปได้   เขาพูดขึ้นมาในทันทีนั้นว่า

“เอ๊ะ ทำไมพอพูดถึงสากัน   จ้าวกับผดาต้องมองตากันด้วยเล่าครับ”

ผดาหาคำตอบไม่ได้ในทันที   นิ่งอึ้งไปเป็นครู่ จึงได้ถามออกมาว่า     “คุณจะมาจับสากันคนนี้หรือคะ  ภิสัช”

“ไม่ใช่มาจับ...   แต่ว่ามาสืบหาข้อเท็จจริงน่ะ”     ภิสัชแก้  “คุณรู้เรื่องสากันนี่ด้วยหรือครับผดา   เขาว่ากันว่า สากันคนนี้ เป็นหัวหน้าพวกคนงานป่าไม้ที่กำลังก่อความยุ่งยากอยู่ใช่ไหมครับ”

ผดาไม่ได้ตอบคำถามของเขาเพราะถือเสียว่าตนเองยังรู้เรื่องนี้ไม่ละเอียดนัก   และคนอย่างเธอไม่ชอบพูดถึงเรื่องที่ไม่รู้จริง   จ้าวศรีธรจึงรับทำหน้าที่ตอบแทนว่า

“ครับ  เรื่องมันเกิดจากพวกป่าไม้สองพวกวิวาทกัน”

“คือพวกเถ้าแก่กิมและพวกพ่อเลี้ยงบุญอิน”    ภิสัชแสดงความรอบรู้อันน่าพิศวงของเขาออกมา     “สากันคนนี้เป็นคนของพ่อเลี้ยงบุญอิน  ผมทราบมาอย่างนั้น แต่เวลานี้เรื่องมันชักจะลุกลามไปจนกระทั่งเกิดการล่วงละเมิดกฎหมายกันขึ้น  เพราะเหตุนี้แหละครับผมจึงต้องมาเชียงใหม่”

“ครับ”     จ้าวศรีธรตอบแบ่งรับแบ่งสู้     “ผมก็ทราบมาแค่นั้นเหมือนกัน จะจริงเท็จยังไงก็ไม่ทราบ”

“สากันออกทำการรังควานพวกของเถ้าแก่กิมโดยทำตัวเหมือนกองโจรอิสระ เพื่อไม่ให้พ่อเลี้ยงบุญอินมีความผิด”    ภิสัชกล่าวต่อไป     “มีข้อพิสูจน์เจตนาของสากันก็ตรงที่เวลาปล้นนั้น  สากันจะเลือกปล้นเฉพาะพวกเถ้าแก่กิมเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว ผมยังได้ทราบข้อปลีกย่อยมาอีกอย่างหนึ่ง   คือว่าตัวของสากันเองนั้นไม่ยอมยิงใครเลย   แต่ให้ลูกน้องยิง   สากันเองเป็นแต่เพียงคนออกคำสั่ง”

“ฮื้อ  จะเป็นไปได้ยังไงคะ”     ผดาอดมิได้ที่จะร้องค้านออกมา   “มีอย่างที่ไหน เป็นโจรแล้วไม่ยอมยิงคน   ถ้าไม่ใช่สติไม่ดีละก็   คงต้องมีสัจจะอะไรอยู่ในใจสักอย่างเป็นแน่ทีเดียว...   เอ....”  หญิงสาวหัวเราะเบาๆ   “หน้าตาเป็นยังไงนะสากันคนนี้ อยากเห็นเสียแล้วซี”

“โธ่  อยากเห็นอะไรไม่อยาก  กลับจะอยากเห็นโจร”     คำรสว่าพลางมองค้อนเพื่อนสาว แต่จ้าวศรีธรหัวเราะ บอกว่า

“ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้เห็นหรอกครับคุณผดา   ถ้าเคราะห์ของเราไม่ดี พรุ่งนี้ก็คงจะได้เห็นแน่ๆ”

“เออ จริงซีนะคะ”    ผดาคล้อยตามอย่างนึกสนุกมากกว่าที่จะนึกกลัวจริงจัง “แหม   ถ้าได้เห็นก็ดีซิ   ดิฉันชักใจเต้นขึ้นมาแล้วซีคะจ้าว”

“เอ๊ะ นี่พูดถึงเรื่องอะไรกันครับ ผดา”   นายตำรวจมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างพิศวงสงสัยเป็นล้นพ้น     “พูดถึงเรื่องสากันใช่ไหม ทำไมคุณคิดว่าคุณจะได้เห็นสากันที่ไหน”  ผดาอ้ำอึ้ง  ชำเลืองสบตาจ้าวศรีธร   ฝ่ายนั้นก็ทำท่าแบมือและยกไหล่ตอบมาเป็นเชิงบอกว่าจะทำยังไงได้ล่ะ   มันหลุดปากออกไปเสียแล้วนี่คุณเอ๋ย   หญิงสาวจึงตัดสินใจบอกเขาออกไปตามตรงว่า

“ค่ะ ภิสัช   พรุ่งนี้เราจะเข้าป่ากัน”

“เราน่ะคือใครบ้างล่ะครับ”

“ผมกับพี่ชายผมแล้วก็คุณพลินทร์ครับ”     จ้าวศรีธรเป็นคนตอบ พร้อมๆ กับที่คำรสถือโอกาสรายงานแกมฟ้องขึ้นมาว่า

“ผดาก็จะเข้าไปกับเขาด้วยค่ะคุณภิสัช ดิฉันห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง”

แต่ภิสัชกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกใจเกินกว่าที่จะทันฟังคำพูดของคำรส เขามองดูผดาคล้ายจะไม่เชื่อหูตนเอง  ถามว่า   “เป็นอันว่าเดี๋ยวนี้  คุณกับนาย..  เอ๊ย...   คุณพลินทร์ ได้ทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วละซี”

หญิงสาวมิได้ตอบรับออกมาเป็นคำพูด เป็นแต่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ   ภิสัชนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่สู้เต็มปากเต็มคำนักว่า     “แล้วเรื่องพัจนาล่ะครับ ได้ข่าวคืบหน้าว่ายังไงบ้าง”

ผดาเล่าให้เขาฟังตามที่ได้รับรู้มาเกี่ยวกับพัจนา  โดยมีจ้าวศรีธรเป็นผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่นั่งฟังอยู่นั้น   ภิสัชมีดวงหน้าอันสงบเฉยยากที่หญิงสาวจะเดาได้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างใดอยู่ในใจ   และพอเธอเล่าจบลง   ภิสัชก็ผลุดลุกขึ้นยืนทันที  เขาหันไปก้มศีรษะให้คำรสเล็กน้อย บอกว่า

“ขอโทษนะครับ คุณคำรส”     แล้วก็หันมาทางผดา พยักหน้า ชวนว่า     “เราไปกันเถอะครับ ผดา”

“อะไร ไปไหนกันคะ”     ผดาถามอย่างไม่เข้าใจ   ภิสัชเลิกคิ้วขึ้น ร้องว่า

“อ้าว จะไปไหนกันเล่า ก็ไปหาคุณพลินทร์น่ะซีครับ”

จบบทที่ 19