หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 12

ผดา ศาสตรวิจัย   หย่อนกายลง  บนม้านั่งเตี้ยๆ หน้ากระจกเงา เอื้อมมือไปหยิบแปรงบนพานเงินขึ้นมาแปรงผมช้าๆ   ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกเบื้องหน้านั้น   ดวงใจของผดาก็หาได้อยู่  ณ  ที่เดียวกันนั้นไม่   มันล่องลอยวกวนไปที่ต่างๆ กัน   และความคิดนั้นเล่าก็เต็มไปด้วย ภาพของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา   ความรู้สึกหลายอย่างประดังกันขึ้นมาในขณะนั้น และที่กระจ่างชัดที่สุดก็ความสาสมแก่ใจ

เธอนึกถึงภาพของพลินทร์   พงศ์ราช ในขณะที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเธอในตอนค่ำวันนี้ที่คุ้มไศล   พลินทร์ตกตะลึงเพ่งมองดูเธอราวกับว่าเธอเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่แสนจะน่าเกลียดน่ากลัวอะไรก็มิปาน  ผดาคอยเวลานี้มานานนักแล้ว   ในที่สุดเธอก็ได้รู้จักกับ พลินทร์ พงศ์ราช   ศัตรูหัวใจคนสำคัญ   คนที่เธอเคยลั่นวาจาและตั้งปณิธานไว้ว่า จะต้องแก้แค้นเขาให้จงได้ อา.... งานแก้แค้นของเธอจะได้เริ่มต้นกันเสียที   คอยดูเถอะ นายพลินทร์เอ๋ย คอยดูว่าผู้หญิงเล็กๆ คนนี้จะสามารถทำให้ชายหนุ่ม ผู้สูงเกียรติและเย่อหยิ่งทระนงอย่างนาย  เจ็บปวดได้สักเพียงไร

ความจริงการพบกันในค่ำวันนี้ มิได้เป็นครั้งแรกของเธอและเขา   ผดามีโอกาสรู้จักตัวพลินทร์มาก่อนแล้ว เมื่อวันที่เธอมาขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพง  โดยมีเผด็จพี่ชาย  และภิสัชตามมาส่ง ภิสัชดูมีสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก   เขามองเธอตาละห้อย  เมื่อถามว่า

“คุณจะไปจริงๆหรือนี่   ผดา คุณไปแล้วเมื่อไรจะกลับมา”

“เฮ่ย เขาไม่กลับแล้วละ”   เผด็จร้องแซงขึ้น   “เขาจะไปอยู่กับเพื่อนเขาที่ชื่อคำรส   ไปเป็นครูอยู่ที่นั่นเลย   อ้าว ทำไมหน้าซีดเป็นผีอย่างนั้นล่ะนาย”

ผดาหัวเราะบอกว่า     “โธ่ พี่เผด็จละก้อ พูดเล่นเสียเรื่อยเชียว”

“เผด็จคงไม่ได้พูดเล่นหรอกครับ”     ภิสัชหัวเราะแห้งๆ    “หน้าของผมคงเหมือนผีจริงๆ   คุณเล่นบอกว่าจะไปอยู่โน่นเลยนี่นะ   ผมก็ตกใจน่ะซี”

“แน๊ ดิฉันบอกเมื่อไหร่ละคะ   พี่เผด็จเป็นคนบอกแท้ๆ”

“อ้าว ก็น้องบอกพี่อย่างนั้นไม่ใช่รึ”   เผด็จคัดค้านหน้าตาขึงขัง   “จำได้ไหมล่ะ น้องบอกว่าถ้าคำรสชวนให้เป็นครูละก้อ น้องจะตกลง”

“ฮื้อ น้องบอกว่าบางทีต่างหากล่ะคะ  ใครจะรู้ได้ว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า เดี๋ยวนี้น้องชักจะไม่กล้ามั่นใจ ในเรื่องอะไรเสียแล้ว   ดูแต่...” เสียงของผดาขาดหายไปในลำคอ เผด็จผู้ซึ่งรู้จักใจของน้องสาวดี พูดขัดขึ้นทันทีว่า

“เอาอีกละ  ไปๆมาๆก็วกเข้าไปหาเรื่องที่จะทำให้ใจคอไม่สบายอีกแล้ว เลิกคิดถึงพัจนา ทีเถอะน่าน้อง   ไหนๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว   ช่วยอะไรไม่ได้   ถ้าพัจนาตายไปก็ควรจะคิดเสียว่าเขาไปเป็นสุข ถ้าเขายังไม่ตายน้องก็ควรจะทำใจคอให้เข้มแข็งไว้   คอยพบเขาจะไม่ดีกว่าหรือจ๊ะ... จุ๊ จุ๊”   เผด็จเปลี่ยนสีหน้าท่าทางไปในทันที   จากท่าทางเคร่งขรึมมาเป็นรื่นเริงและคึกคะนองเหมือนเด็กหนุ่ม   เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ กระซิบด้วยเสียงซุกซนว่า

“ผู้หญิงคนนั้นสวยหยดย้อยเหลือเกินแฮะ น้องรู้จักไหม ผดา ถ้ารู้จักละก้อช่วยแนะนำให้พี่บ้างนะ”

“ไหนคะคนไหน”     ผดาพาซื่อเหลียวมองไปรอบๆตัว

“นั่น คนนั้นไงล่ะ”     เผด็จพยักหน้าไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าหล่อนผู้นั้นมีรูปร่างอันจัดอยู่ในขีดที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์สักหน่อย หล่อนนุ่งกางเกงขายาวตึงเปรี๊ยะสีม่วงสด สวมเสื้อลายวกวนขดไปขดมาสีเขียวๆ แดงๆ เปรอะไปหมด   หล่อนสวมรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ซึ่งคงจะทำพิษเอากับเท้าของหล่อนจึงทำให้อาการเดินของหล่อนนั้นเป็นไปอย่างผิดปรกติ   ชวนให้น่าขันและสงสารยิ่งนัก   ผดาและภิสัชหัวเราะออกมาพร้อมกัน  ภิสัชเป็นฝ่ายออกอุทานว่า

“อ้ายบ้า”

เผด็จหัวเราะด้วยแล้วก็เดินเถลไถลไปทางอื่น   ปล่อยให้ผดายืนอยู่กับภิสัชเพียงสองต่อสอง ซึ่งทำเธอรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกนัก   จริงอยู่ ภิสัชเป็นเพื่อนของเผด็จ เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาเป็นเวลานานนับปี   แต่เขาไม่ก็ไม่เคยมีท่าทางผิดแปลกและสายตาประหลาดอย่างที่เขามักจะใช้ กับเธอในระยะปีหลังๆ นี้  ผดาไม่พยายามจะสบตากับเขา  แต่เธอรู้ว่าเขากำลังจ้องอยู่ ครู่หนึ่งเขาก็พูดเบาๆ ว่า

“จริงหรือครับผดา  ที่คุณพูดว่า คุณจะไม่มีความมั่นใจในอะไรอีกแล้ว”

“โธ่ คุณภิสัช”   ผดาร้องเบาๆ   “เก็บเอามาเป็นเรื่องจริงจังไปได้ ดิฉันกำลังใจคอไม่ค่อยดี คุณก็คงทราบอยู่แล้ว”

“ครับ ผมทราบดี   แต่ว่าผดาครับ   ผมอยากจะขอร้องอะไรคุณสักอย่าง” เขาก้าวมายืนตรงหน้าเธอ ซึ่งทำให้ผดาไม่อาจจะหันหน้าหนีไปทางอื่นได้ เธอจำต้องสบตากับเขาด้วยใจคอที่ไม่สู้จะปรกตินัก

“อย่าทำหน้าตกใจอย่างนั้นสิครับ   ผมเพียงแต่จะขอร้องคุณว่า กรุณาอย่าเพิ่งปักใจว่าคุณจะไม่ยอมให้ความมั่นใจในสิ่งใดอีกเลย   อย่างน้อยก็ขอให้คุณมั่นใจในสิ่งหนึ่ง   สิ่งนั้นคือความอาทรที่ผมมีอยู่ต่อคุณ   ความสุขและความทุกข์ของคุณ มีความสำคัญยิ่งต่อผม   ผมไม่ต้องการคำตอบสำหรับคำขอร้องนี้  แต่ขอให้คุณนึกว่ายังมีผมอีกคนหนึ่ง ที่เต็มใจจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ”

ยังจะมีหญิงสาวคนใดบ้าง เมื่อได้ยินคำพูดเป็นเชิงสารภาพความในใจจากชายหนุ่มอย่างนี้แล้ว จะไม่รู้สึกกระดากอาย  ผดารู้สึกว่าหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้น   เธอหลบตาจากเขามองไปทางอื่น  ขณะนั้นภาพๆ หนึ่งที่มองไปเห็น   ได้ทำให้เธอรู้สึกสนใจขึ้นมา   นั่นคือภาพของชายสามคนซึ่งกำลังเดินมาตามชานชาลา ชายคนที่เดินกลางผู้สวมชุดเดินทางสีน้ำตาลอ่อนนั้น มีบุคลิกลักษณะเป็นที่สะดุดตานัก   ลักษณะที่เขาก้าวขาอย่างมั่นคงเนิ่บๆ เต็มไปด้วยความมั่นใจและไว้สง่าอยู่ในที ส่งให้เขาดูเด่นจนข่มชายอีกสองคนที่เดินขนาบข้างมานั้น ผดาอุทานออกมาอย่างลืมตัวว่า

“แหม  นั่นใครคะท่าทางดูใหญ่โตวางสง่าอย่างเหลือเกิน”

ภิสัชหันกลับไปมองตามสายตาของหญิงสาวแล้วก็หันมาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นพิศวงยิ่งนัก เขาร้องว่า

“เอ๊ะ เป็นไปได้หรือนี่   มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างประหลาดเทียวละ”

ผดามองดูเขาอย่างสนใจ     “คุณรู้จักเขาหรือคะ ภิสัช”

ภิสัชมองตอบหล่อนด้วยสายตาประหลาด ถามว่า

“อะไรคุณไม่รู้จักเขาจริงๆน่ะหรือ  ผดา”

“ไม่รู้จักจริงๆค่ะ”     ผดาตอบ     “เอ๊ะ คุณภิสัชทำท่าลึกลับอย่างไรชอบกล ใครกันนะคะดิฉันชักจะสนใจขึ้นมาแล้วนะซี”

“ผมเชื่อว่าคุณจะต้องสนใจ และสนใจมากเสียด้วย ถ้าเพียงแต่คุณจะรู้ว่า ผู้ชายคนนั้นคือ...” เขาทิ้ง ระยะจ้องมองหน้าเธอ ใส่น้ำหนักลงในน้ำเสียงที่พูดออกไปว่า “พลินทร์ พงศ์ราช”

“พลินทร์ พงศ์ราช”     ช่างเป็นการบังเอิญอะไรเช่นนั้น  ผดาไม่คาดฝันเลยว่าจะได้มาพบกับศัตรูหัวใจที่ร้ายกาจของเธอเข้า ณ ที่นี้และในเวลาเช่นนี้   นี่หรือ พลินทร์ พงศ์ราช มหาเศรษฐีหนุ่ม ผู้เย่อหยิ่งและร่ำรวยมหาศาลจนคิดว่าตัวเองวิเศษเหนือมนุษย์ พลินทร์ พงศ์ราช หน้าตาเป็นอย่างนี้เองหรือ   และนี่เขามาที่สถานีรถไฟทำไม   จะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะโดยสารรถขบวนเดียวกับเธอ

ผดารู้สึกว่า  พลินทร์ก็คงจะสังเกตเห็นว่าเธอมีความสนใจในตัวเขา   เขาได้มองมาทางเธอสองสามครั้ง   และพูดอะไรกับชายสูงวัยที่มาด้วยกันนั้น   ชายนั้นหันมาทางที่เธอและภิสัชยืนอยู่  หน้าตายิ้มๆ แล้วก็หันกลับไป   ผดาจึงบอกกับภิสัชว่า

“ผู้ชายแก่ที่มากับนายพลินทร์ หันมาดูคุณแน่ะค่ะ”

ภิสัชอมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายอย่างขบขันพูดด้วยเสียงหัวเราะๆว่า

“ช่างท่านเถะครับ ท่านคงสนใจว่าผู้หญิงคนที่ผมยืนอยู่ด้วยนี้คือใครมากกว่า”

ผดามองดูเขา พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“เอ๊ะ เพราะอะไรกันคะ”

“เพราะท่านคือคุณพ่อของผมเองน่ะสิครับ”     ภิสัชตอบแล้วหัวเราะ พลอยให้ผดาต้องหัวเราะออกมาด้วยขณะที่ร้องอุทานว่า     “อุ๊ยตาย”

“คุณพ่อของผม เป็นทนายประจำตระกูลพงศ์ราช มานานแล้ว” ภิสัชอธิบาย

“ดิฉันไม่ยักทราบ”     ผดาว่า     มองไปทางชายสามคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง     “แล้วผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่นละคะ   คนที่มีท่าทางพินอบพิเทานายพลินทร์ อย่างเหลือเกินนั่นน่ะใคร”

“คุณชัช เลขานุการของเขาน่ะซี”    ภิสัชตอบ แล้วพูดต่อไปว่า     “ดูท่าทางเขาจะไปรถขบวนนี้ด้วยเหมือนกันนะ ผดา  อาจจะไปเชียงใหม่เหมือนคุณก็ได้”

พลินทร์มาเชียงใหม่จริงดังที่เธอคาด เธอได้พบเขาอีกครั้งหนึ่งที่รถเสบียงในตอนเช้า และนั่นเป็นโอกาสแรก ที่เธอมีโอกาสได้ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความเกลียดชังที่เธอมีต่อเขา ดูเหมือนพลินทร์จะตะลึงไปด้วยความงงงัน แน่ละซิเขาไม่รู้จักเธอ เขาจะต้องพิศวงงงงวยมิใช่น้อยในการที่ถูกเกลียดชังจากหญิง ที่เขาไม่รู้จักหรือเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลยในชีวิต

คำรสมารับเธอที่สถานีล่ากว่ากำหนดรถไฟเข้าเล็กน้อย   แต่ผดาก็มิได้ร้อนใจอะไรนัก เพราะเธอสนใจอยู่กับการเคลื่อนไหวของชายที่เธอเกลียด  ผู้ที่มารับพลินทร์เป็นชายร่างสูงโปร่ง ค่อนข้างขาว   มีดวงหน้าสะสวยคล้ายหญิง  ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี  พลินทร์ได้ลงจากรถตรงเข้าไปสัมผัสมือกับเขาผู้นั้น อย่างแนบแน่น และปิติยินดีอย่างแท้จริง   สักครู่หนึ่ง เธอก็เห็นคำรส รีบร้อนเดินมา   หล่อนหยุดทักทายกับชายที่มารับพลินทร์ ครู่หนึ่งแล้วจึงตรงมาหาผดา

คำรสทักทายผดาอย่าง ดีอก ดีใจ   และต่อจากนั้นก็พาก็พาเธอมายังบ้านหลังนี้ ซึ่งคำรสพำนักอยู่กับแม่เฒ่าผู้เป็นมารดาเพียงสองคนเท่านั้น   หลังจากที่ได้พูดคุยกัน ตามประสาเพื่อนที่ได้จากกันไปนานๆ แล้ว  ผดาก็เอ่ยถึงสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเธอทันที

“เอ คำรสจ๊ะ วันนี้ใครกันนะที่ทักเธอที่สถานี”

“คนไหนจ๊ะ”     คำรสหน้าสงสัย

“ก็คนขาวๆโปร่งๆ อย่างไรล่ะ”

“อ๋อ”     คำรสร้องเสียงยาว     “ญาติของฉันเอง   เขาชื่อจ้าวศรีฟ้า   เธอถามทำไมหรือ”

“เปล่าจ๊ะ” ผดาตอบ “เห็นเขาสนิทสนมกับเธอดี ก็อยากจะรู้ไปอย่างนั้นแหละ   เผื่อบางทีในวันข้างหน้า เขาอาจจะมาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับฉันโดยทางใดทางหนึ่งก็ได้”    หญิงสาวทำหน้าล้อเลียนคำรส และก็ได้ถูกฝ่ายนั้นค้อนให้เมื่อบอกว่า

“อย่ามาพูดหน่อยเลย   จะบอกให้ว่าจ้าวศรีฟ้าน่ะสนใจเธอเข้าแล้วนะ   ฉันเห็นจ้องเธอตาเธอเป็นมันเทียว”

จ้าวศรีฟ้าจะสนใจเธอสักเพียงไรนั้น มิได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผดา   การที่เขาเป็นญาติกับศัตรูนั่นซีสำคัญ   จ้าวศรีฟ้าเป็นญาติของคำรสและทั้งของพลินทร์ด้วย   ผดารู้สึกว่าทางเดินของเธอและนายพลินทร์คนวิเศษคนนั้น กำลังจะเริ่มจะเบนเข้าหากันแล้ว   สักวันหนึ่งเธอและเขาจะต้องมาพบกันตรงจุดที่ทางเดินทั้งสองนั้นตัดกันอย่างแน่นอน   และคอยดูเถอะ  เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องมีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเป็นแน่แท้   สิ่งซึ่งเกิดขึ้นอย่างบังเอิญโดยที่ผดาไม่คาดฝันอีกสิ่งหนึ่งนั้นคือ ในตอนเย็นวันที่เธอมาถึงเชียงใหม่นั้นเอง  ที่บ้านคำรสได้ต้อนรับชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งคำรสเรียกเขาว่า     “จ้าวศรีธร”     และแนะนำให้เธอรู้จักว่าเป็นน้องชายของจ้าวศรีฟ้า

ดูเหมือนว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ ซึ่งพาเธอให้เข้าไปใกล้พลินทร์ยิ่งขึ้น เมื่ออีกสองวันต่อมา เธอและคำรสได้ไปพบสตรีสาวสวยอีกคนหนึ่ง   เธอผู้นั้นมีนามว่า  จ้าวศรีชลาน้องสาวของจ้าวศรีฟ้าและเป็นพี่สาวของจ้าวศรีธร

“เอ๊ะ     ผดานั่นเธอนั่งฝันหวานอะไรอยู่นะ   ถือแปรงค้างยิ้มแป้นอยู่คนเดียว”     เสียงแจ้วๆของคำรสปลุกผดาให้ตื่นจากความคิดในขณะนั้น สางผมแรงๆมองสบตาคำรสในกระจก หัวเราะแล้วบอกว่า

“ไม่ได้ฝันหวานอย่างที่เธอคิดหรอกนะ  ถ้าเธอรู้ว่าฉันฝันถึงอะไรแล้วละก้อเธอจะต้องตกใจ”

“โอ้โฮ”    คำรสร้อง     “น่ากลัวจัง อยากรู้จริงว่าเธอฝันถึงอะไร”

“อย่าเพิ่งรู้เลย”   ผดาวางแปลงแล้วลุกขึ้นยืน เพื่อหลีกที่ให้คำรส     “เอาไว้เมื่อถึงเวลาแล้วเธอจะได้ดูอะไรที่สนุกๆ อีกมากทีเดียว”

หลังจากที่คำรสได้หลับไปแล้วเหมือนเด็กๆ  ผดายังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด เหตุการณ์ในตอนหัวค่ำนั้น ได้กลับเข้ามาสู่ความคิดคำนึงของเธออีกครั้ง   เธอยังจำดวงตาที่ตื่นตะลึงของพลินทร์ได้ดี   แต่อาการนั้นปรากฏอยู่เพียงครู่เดียวก็จางหายไป เพียงแต่ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมลงไปกว่าเก่า ผดาคิดว่าจะมีเธอเพียงผู้เดียวเสียอีก  ที่สังเกตเห็นความผิดปรกติ   แต่เธอรู้ว่าเธอเข้าใจผิดเมื่อได้ยินจ้าวศรีฟ้าพูดว่า

“เอ๊ะ พลินทร์เป็นอะไรไป   เงียบผิดปรกติไปทีเดียว”

ผดาหัวเราะกับเจ้าของบ้านหนุ่ม   พูดด้วยเสียงซื่อหน้าซื่อกับเขาว่า     “เมื่อกี้นี้ดิฉันบอกแล้วใช่ไหมคะจ้าว   ว่าบางทีญาติของจ้าวอาจจะไม่ยินดีที่ได้รู้จักกับดิฉัน”     เธอได้พูดเช่นนั้นกับจ้าวศรีฟ้าจริงๆ เมื่อเขาบอกว่าจะแนะนำให้เธอรู้จักกับญาติของเขา

ขณะที่พูดเช่นนั้น   เธอได้ลอบสังเกตสีหน้าของพลินทร์   หน้าที่เครียดอยู่แล้ว นั้น ยิ่งเครียดหนักขึ้นไปอีก   จ้าวศรีฟ้ามองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ ร้องว่า

“เอ๊ะ  นี่มันเรื่องอะไรกัน   พอผมแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น คุณทั้งสองก็ทำท่าแปลกพิลึก”

ผดาจำได้ว่าเธอหัวเราะอีก    “บางทีชื่อของดิฉันอาจจะประหลาด   ฟังดูไม่เพราะหูสำหรับคุณพลินทร์กระมังคะจ้าว”

“เอ๊ะ  ทำไมครับ  ชื่อของคุณเป็นอย่างไร”     จ้าวศรีธรหนุ่มน้อยผู้สวมแว่นตาสายตาสั้นเป็นเงา วาวร้องขึ้นซื่อๆ และเปิดเผย   “ผมก็ไม่เห็นเป็นยังไงนี่นา... ผดา... ผดา” เขาครวญชื่อเธอซ้ำๆ คล้ายจะให้มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองยิ่งขึ้น

“ชื่อของคุณผดา ทำให้พลินทร์มีอาการแปลกประหลาดขึ้นมาน่ะใช่แน่”     จ้าวศรีฟ้าว่า “แต่ผมไม่รู้เลยว่าชื่อของคุณผดามีอิทธิพลยังไง คุณถึงได้...”

“อิทธิพลน่ะหรือ” พลินทร์พูดสวนขึ้นด้วยเสียงหนักๆ คล้ายคำราม “ฮึ มันก็เหมือนกับผมได้ยินว่าเขาจะเอาระเบิดปรมาณูมาทิ้งในกรุงเทพฯนั่นแหละ”     แล้วเขาก็หันหลัง เดินด้วยฝีเท้าหนักๆ จากไป ปล่อยให้สองหนุ่มพี่น้องมองดูตากันด้วยสายตาพิศวงงงงวย และผดายิ้มอยู่ในหน้าอย่างพึงพอใจยิ่งหนัก

ผดาคิดว่า ที่โต๊ะอาหารคืนนั้นคงจะไม่มีพลินทร์ พงศ์ราชมาร่วมด้วยเป็นแน่แล้ว   แต่ที่ไหนได้เวลานั่งโต๊ะ ขณะที่เจ้าของบ้านทั้งสามและคำรสกำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะยาว ซึ่งปูลาดด้วยผ้าคลุมสีขาวสะอาด ตรงหัวโต๊ะทั้งสองข้างวางชามแก้วรูปรียาวซึ่งมีกุหลาบสีสดหลากสี ประดิษฐ์ไว้ในรูปลักษณ์ของนาวาอย่างงดงาม   สำเภานั้นเกิดจากฝีมือของเธอ   ผดาได้มาช่วยจ้าวศรีชลาจัดดอกไม้นี้ตั้งแต่ตอนเย็น เธอรู้สึกชอบอุปนิสัยจ้าวสาวผู้อ่อนหวาน และนิ่มนวลผู้นี้จนถึงกับเมื่อจ้าวชลาซักถามเรื่องส่วนตัว ผดาก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น   นอกจากประการเดียวคือ เธอเป็นคู่หมั้นของพัจนา พงศ์ราชเท่านั้น เมื่อเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาทุ่มครึ่ง จ้าวศรีชลาก็บ่นขึ้นมาว่า     “ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไมคุณพลินทร์ยังไม่มา ไปอยู่เสียที่ไหนก็ไม่รู้”

จ้าวศรีฟ้ายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาบอกว่า     “มาพี่จะไปดูเอง”     แล้วก็ก้าวขาทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง   แต่ผดาได้ร้องออกไปว่า

“จ้าวคะ”   ชายหนุ่มหันกลับมามองเป็นเชิงถาม  เธอจึงพูดว่า    “ดิฉันคิดว่าบางทีญาติของจ้าวอาจจะไม่เต็มใจที่จะนั่งโต๊ะร่วมกับคนที่เขาไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้ามาก่อนอย่างดิฉันก็ได้”

“เอ๊ะทำไม...”     จ้าวสามคนพี่น้องร้องออกมาเกือบจะเป็นเสียงเดียว   และก่อนที่จะมีใครคนใดคนหนึ่งต่อประโยคนั้นให้จบ  ก็มีเสียงลึกเป็นกังวาน และเต็มไปด้วยความชาเย็นดังขึ้นที่ประตูว่า

“ไม่ต้องไปตามผมหรอกผมอยู่ที่นี่แล้ว”

ผดาหันกลับไปก็พบร่างสูงสง่าของพลินทร์ พงศ์ราช ยืนอยู่กึ่งกลางช่องประตูอันกว้างใหญ่ ใบหน้าของเขาเฉยชาคล้ายรูปสลัก   ดวงตาของเขามองผ่านเลยศีรษะเธอไปยังโต๊ะอาหาร ซึ่งประดับไว้หรูหราอย่างวิจิตรประณีตนั้น

“แหม โต๊ะอาหารสวยจริงครับจ้าว”     สีหน้าของเขาอ่อนโยนลงเมื่อหันไปพูดกับจ้าวศรีชลา     “สำเภาสองลำนั่นทำให้ผมนึกถึง”     เขาพูดค้างไว้แค่นั้น มิได้ต่อให้จบประโยค  จ้าวศรีชลาจึงซักว่า

“นึกถึงอะไรคะ”

“เปล่าครับ” เขาปฏิเสธ ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากแล้วก็กลับจางหายไป “ผมเพียงแต่จะหาคำชมจ้าวที่ช่างคิดช่างทำได้สวยงามเป็นเลิศ”

“คุณพลินทร์ชมผิดคนแล้วค่ะ”   จ้าวศรีชลาหัวเราะเสียงใส ผายมือมาทางผดา ทำท่าโค้งอย่างชดช้อย เมื่อบอกว่า     “ฝีมือคุณผดาต่างหากคะ ไม่ใช่ดิฉันสักหน่อย”

ผดาสังเกตเห็นได้ในทันทีว่าพลินทร์นิ่งอึ้งไป เธอจึงไม่ยอมปล่อยปละโอกาสที่พยายามที่จะหัวเราะเยาะเขาออกมาอย่างเปิดเผย พร้อมทั้งพูดว่า

“รู้สึกว่าคุณพลินทร์คงจะเสียดายที่หลงชมออกมา เพราะความเข้าใจผิดนะคะจ้าว”     และก่อนที่จะมีใครตอบคำของเธอ   พลินทร์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและชาเย็น ดวงตามองผ่านเธอไปจับนิ่งอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้น

“คำชมของผมไม่ใช่สำหรับเฉพาะตัวบุคคล แต่สำหรับ ความสามารถไม่ว่าจะเป็นความสามารถของใครก็ตาม”

“เอาเถอะน่ะ”   จ้าวศรีฟ้าร้องขึ้นอย่างวุ่นวายใจ “นั่งโต๊ะกันได้แล้วหรือยังเล่าน้อง”

“เชิญสิคะ”   จ้าวศรีชลารับคำโดยเร็วและกุลีกุจอจัดที่นั่งให้ “จ้าวพี่ต้องนั่งหัวโต๊ะตรงกับน้องนะคะ คุณผดานั่งทางขวาของจ้าวพี่ค่ะ คุณพลินทร์นั่งทางขวาของดิฉัน คำรสนั่งตรงข้ามคุณผดาจ้ะ”

“แล้วผมล่ะ”   จ้าวศรีธรร้องอุธรณ์ขึ้นมาดังๆ เสียงของชายหนุ่มผู้นี้มีอะไรอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ที่ได้ยินบังเกิดความสบายใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด “จ้าวพี่ไม่เห็นบอกว่าจะให้นั่งตรงไหนเลย”

“จ้าวอย่าบอกนะคะ”   คำรสร้องบอกเสียงใส  “ถ้าจ้าวศรีธรหาที่นั่งไม่ได้ก็ปล่อยให้ยืนอยู่อย่างนั้นก็แล้วกัน”

“ดีละเน้อ คำรส” จ้าวศรีธรหันไปทำท่าอาฆาต แต่ใบหน้าระรื่น “ช่างใจร้ายเหลือเกินฉันจะจำไว้”

บรรยากาศที่เคร่งเครียด จึงค่อยคลายลงแล้วทุกคนต่างก็เข้านั่งประจำที่ของตน

ผดายอมรับว่าเธอ แทบจะไม่รู้ว่าอาหารค่ำวันนี้รสชาติเป็นอย่างไร แต่ก็จำได้ติดใจว่าตอนหนึ่งในโต๊ะอาหาร จ้าวศรีฟ้าได้พูดถึงการไปเรียนหนังสือยังต่างประเทศของเขา ผดาชำเลืองดูชายที่นั่งตรงข้ามและเยื้องไปจากเธอ เห็นเขาผู้นั้นก้มหน้าสนใจอยู่กับอาหารในจานของตน มิได้เหลียวแลไปทางผู้ใด

เธอพูดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะว่า     “โอ ดิฉันอยากเป็นผู้ชายเหลือเกิน  จะได้ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ดิฉันอยากนั่งเครื่องบินค่ะ”

จ้าวศรีธร ซึ่งนั่งติดกันกับเธอพาซื่อตั้งคำถามขึ้นมาตรงกับความปรารถนาของผดาเลย ทีเดียวว่า

“คุณผดาอยากนั่งเครื่องบิน  ทำไมตอนที่มาเชียงใหม่นี่คุณถึงไม่มาทางเครื่องบินเล่าครับ”

สมใจนัก ผดาหัวเราะเสียงดังอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที่ เมื่อบอกว่า    “ที่ดิฉันไม่มาทางเครื่องบินก็เพราะว่าดิฉันกลัวตายน่ะซีคะ   ดิฉันเป็นคนขลาดค่ะ ขลาดและตาขาวอย่างที่สุด เลยคิดว่าปล่อยให้คนอื่นเขามาทางเครื่องบินดีกว่า  จะตายก็ช่างเขา   เรามาทางรถไฟปลอดภัยดี”

ทั้งโต๊ะอาหารนิ่งเงียบ  ผดารู้ดี ทุกคนรู้สึกถึงความผิดปรกติในคำพูดของเธอ   แต่เธอก็เชื่อว่าจะไม่มีใครเข้าใจเลย นอกเสียจากคนคนเดียว

คือนายพลินทร์ พงศ์ราช คนขี้ขลาดคนนั้น

จบบทที่ 12