ออกจากห้องของศรีชลาในตอนบ่าย ผดาลงบันไดจะเลี้ยวออกทางห้องโถงกลางด้านหน้า แต่แล้วก็กลับไปเปลี่ยนความตั้งใจเมื่อคิดว่าพลินทร์หรือเจ้าศรีฟ้าอาจจะอยู่ทางด้านนั้น เธอไม่ต้องการพบทั้งสองคน ไม่ต้องการพบพลินทร์ก็เพราะความเกลียดชัง ไม่ต้องการพบจ้าวศรีฟ้าก็เพราะความขวยเขินใจด้วยเหตุที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ชายหนุ่มผู้นั้นมีความรู้สึกต่อเธอในสถานใด ผดาจึงเลี้ยวออกสู่ระเบียงหลัง ตั้งใจจะไปลงทางบันไดข้างซึ่งเป็นทางที่เธอใช้ขึ้นเมื่อตอนขามา และเป็นทางเดียวกันกับที่ จ้าวศรีฟ้าพาเธอลงไปชมสวนเมื่อวันก่อน ผดาเดินมาจนเกือบจะสุดทาง จึงได้แลเห็นว่า ในขณะนั้น ได้มีร่างของชายผู้หนึ่งกำลังเดินช้าๆ มุ่งตรงมายังบันได ใจของผดาเต้นแรงขึ้นมาทันทีที่เห็น ช้าเกินกว่าที่จะหลบเสียแล้ว และเธอก็ไม่ต้องการที่จะแสดงให้เขาเห็นและนึกไปว่าเธอหวาดกลัวเขา ผดาจึงหยุดยืนนิ่งอยู่ห่างจากบันไดเล็กน้อย คอยให้เขาเดินผ่านไป
แต่แทนที่เขาจะเดินผ่านไป อย่างไม่คาดหมาย ผดากลับได้เห็นเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ มองดูเธอด้วยดวงตาที่เธอดูไม่ออก ว่ามีความรู้สึกอย่างใด แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบว่า
“จ้าวศรีฟ้าไม่ได้อยู่ในสวนหรอก”
ผดารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หญิงสาวตอบเสียงแข็ง ตามองเลยร่างที่สูงสง่านั้นไปทางอื่นว่า “ดิฉันไม่ได้จะลงไปหาจ้าวศรีฟ้า”
“เจ้าศรีธรก็ไม่ได้อยู่เหมือนกัน” เสียงราบเรียบนั้นพูดต่อไปอีก และผดาก็ตอบด้วยเสียงที่แข็งยิ่งขึ้นว่า
“ดิฉันไม่ต้องการจะพบใครทั้งนั้น ดิฉันมาเยี่ยมจ้าวศรีชลาและกำลังจะกลับ”
เธอไม่ได้มองดูหน้าของเขาจึงไม่ได้เห็นว่า เขามีสีหน้าอย่างไรเมื่อพูดต่อไปว่า “จ้าวศรีฟ้าและศรีธรคงจะน้อยใจถ้ามาได้ยินเข้าอย่างนี้”
คราวนี้เธอหันกลับมาจ้องมองดูตาเขา “ขอประทานโทษค่ะ คุณพลินทร์ ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณจึงต้องมาเสียเวลากับดิฉันเพราะเรื่องไร้สาระอย่างนี้”
“เปล่า” เขาตอบมาด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับของเธอ “ถ้าเธอเข้าใจว่าเรื่องที่เกี่ยวกับญาติของฉันเป็นเรื่องไร้สาระละก็ นับว่าเธอเข้าใจผิดมากทีเดียว”
“อ๋อ ดิฉันทราบดี” เอากันซิ นายพลินทร์ เมื่ออยากจะลองปะทะคารมดูกันสักวันก็จะเป็นไรมี “ทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณพลินทร์ พงศ์ราชละก็ จะต้องมีความสำคัญยิ่งยวดทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไร ทราบมานานแล้ว และจะไม่มีวันลืมเลย”
“เธอคงจะหมายถึงเรื่องพัจนากระมัง” พลินทร์ถาม เขาเข้าใจเจตนาของเธอได้เร็วดีทีเดียว
“ดิฉันจะหมายความว่ากระไรก็ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญอะไรสำหรับคุณไม่ไม่ใช่หรือคะ”
ผดาคาดว่าเขาคงจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเธอกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้น แทนที่พลินทร์จะทำหน้าขมึงใส่เธอ และสะบัดหน้าเดินหนีไปเสียอย่างที่เธอคิดไว้ เขากลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบว่า
“นี่เราจะพูดกันอย่างเป็นมิตรกว่านี่สักหน่อยไม่ได้เทียวหรือ”
เธอมองดูเขาอย่างตกตะลึง แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เมื่อรู้สึกตัว หญิงสาวก็หัวเราะใส่หน้าเขา พูดว่า “เป็นมิตร.. คุณกับดิฉัน... คุณพลินทร์ พงศ์ราชผู้สูงส่ง กับนางสาวผดา ศาสตรวิจัย ที่ไม่มีสกุลรุณชาตินี่น่ะหรือจะเป็นมิตรกันได้ โอยน่าขันจริง นี่คุณเกิดอยากจะทำตลกอะไรขึ้นมาคะ คุณพลินทร์”
พลินทร์ถอนใจ ถอยไปพิงลูกกรง มองดูเธอแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อฉัน เธอไม่ผิดหรอกที่จะโกรธแค้นฉัน แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันไม่ผิดเหมือนกันที่ฉันทำอะไรๆลงไป”
“อ๋อ คุณไม่ผิดแน่ค่ะ” แม้ว่าจะแสนประหลาดใจในคำพูดของเขา ผดาก็ยังไม่ยอมลดละ “จะผิดยังไงได้ ในเมื่อคุณทำเพื่อรักษาเกียรติยศวงศ์สกุลของคุณ สกุลพงศ์ราชเป็นสกุลเก่าแก่ เป็นผู้ดี เป็นสกุลหงส์ คุณจะทนเห็นกาดำต่ำศักดิ์อย่างดิฉันเข้าไปร่วมคลุกคลีอยู่ด้วยได้อย่างไรจริงไหมล่ะคะ”
“เธอประชดฉันหรือ”
เสียงที่เขาพูดราบเรียบเกินไปจน กระทั่งผดาเกิดรู้สึกอายในความรุนแรงของตนเอง เธอเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อตอบว่า “ดิฉันพูดความจริง ทำไมคุณจึงว่าดิฉันประชด มันเป็นความจริงอย่างที่ดิฉันพูดใช่หรือไม่เล่าคะ”
“ถ้าเธอพูดความจริง เธอก็ไม่เข้าใจในความจริงนั้น”
“โอ” ผดาร้อง อย่างขบขัน “คงจะเป็นเพราะว่าปัญญาของดิฉันทึบเกินไป เพราะไม่มีโอกาสได้เลือกเกิดมาในสกุลที่สูงศักดิ์ เต็มไปด้วยคนที่ฉลาดเฉลียวกระมังคะ ถ้าเช่นนั้นคุณจะมามัวเสียเวลาพูดกับคนโง่ๆ อย่างดิฉันทำไม อ ดิฉันจะไปละคะ”
หญิงสาวขยับกายก้าวขาจะออกเดิน แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะพลินทร์ได้ทรงกายขึ้นมาจากท่าที่เขายืนพิงลูกกรงอยู่นั้น ก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่งขวางทางที่เธอจะเดินผ่านไปนั้น ดวงตาสีเหล็กมองสบตาเธอเมื่อกล่าวว่า
“เดี๋ยวก่อน เธอยังไปไม่ได้จนกว่าเธอจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน”
ผดาขมวดคิ้วถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง ทำคอแข็งมองสบตาเขาอย่างชาเย็น “คุณพลินทร์กรุณาอย่ามาออกคำสั่งกับดิฉัน ดิฉันไม่ได้เป็นลูกจ้างของคุณ ไม่ได้เป็นคนหนึ่งในสกุลพงศ์ราชที่จำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งของคุณ... แม้ว่าคุณจะใช้ให้ไปตาย”
เธอเน้นประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น พลินทร์ขมวดคิ้วมองดูเธอ เสียงของเขาแสดงความฉุนเฉียวออกมาเล็กน้อยเมื่อถามว่า
“เธอว่ากระทบฉันเรื่องพัจนางั้นรึ เธอคิดว่าที่พัจนามาประสบอุบัติเหตุนี่เป็นความผิดของฉัน อย่างนั้นใช่ไหม”
ผดามองสบตาเขา หัวเราะก่อนที่จะพูดว่า “มาถามดิฉันทำไม ในเมื่อคุณเองก็รู้สึกอยู่แล้วว่ามันเป็นความผิดของคุณ ถ้าคุณไม่รู้สึกอย่างนั้นแล้ว ทำไมคุณจึงจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ในเมื่อคุณมีคนคอยรับคำสั่งอยู่ตั้งมากมายหลายสิบคน”
พลินทร์นิ่งอึ้ง มองดูดวงหน้ายาวเรียวที่เงยนิดๆ และจ้องจับเขาอยู่อย่างท้าทายนั้นด้วยความรู้สึกอัศจรรย์เป็นล้นพ้น หล่อนช่างล่วงรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้อย่างไรกัน จริงละ ใครๆ ก็รู้ดีว่าที่เขามาเชียงใหม่นี้ก็เพราะว่าเขาเป็นห่วงพัจนา แต่ไม่มีสักคนเดียวที่จะพูดถึง “ความรู้สึกผิด” อย่างที่หล่อนพูด ความอัศจรรย์ใจนั้นมีมากจนกระทั่งทำให้ลืมโกรธในความอาจหาญไม่เกรงใจของหล่อน เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า
“แต่อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ฉันคิดว่าพัจนา คงจะยังไม่...”
เขายังพูดไม่ทันจบประโยค หล่อนก็หัวเราะสวนขึ้นมาทันที “คุณไม่รู้ว่าอะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้น แต่ทว่าดิฉันรู้ ดิฉันจะบอกให้ก็ได้” หญิงสาวมองดูเขา ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างเยาะเย้ย ริมฝีปากโค้งลงในลักษณะยิ้มเยาะ “มันคือความขลาดของคุณ”
พลินทร์รู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนวูบขึ้นมา เขาก้าวเข้าไปหาหล่อน แม่ผู้หญิงปากกล้าคนนั้นอย่างลืมตัว มือกำแน่น แต่แล้วก็หยุดชะงัก หล่อนมิได้ถอยหนี หล่อนกลับเชิดหน้าขึ้น รอยยิ้มอย่างเยาะๆ นั้นยิ่งขยายกว้างขึ้น เมื่อหล่อนพูดต่อไป
“คุณพลินทร์ คุณขลาดที่จะยอมรับว่าพัจนาตายเพราะคุณ คุณถึงต้องพยายามปลอบใจตัวคุณเองอยู่เสมอว่าพัจนายังไม่ตาย แล้วคุณก็ยังพยายามที่จะทำให้คนอื่นเขาเชื่อตามคุณไปด้วย คุณขลาดแม้แต่กับความสำนึกผิดของคุณเอง”
คำกล่าวหาของหล่อนช่างรุนแรงนัก พลินทร์ถอยไปพิงลูกกรง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายหลายชนิดอัดแน่นอยู่ เขาได้ยินเสียงตัวเองพึมพำว่า “เธอเข้าใจผิดแท้ๆ”
“อ๋อ ดิฉันไม่ได้เข้าใจผิดหรอกค่ะ” ผดาพูดหัวเราะๆ “ถ้าจะมีการเข้าใจผิดกันก็คุณนั่นแหละ คุณเข้าใจผิดคิดว่าตัวคุณเองเป็นคนเก่งกล้าไปเสียทุกอย่าง คุณพลินทร์ คุณอาจจะเป็นคนเก่งจริง แต่คุณก็ไม่ได้เป็นคนกล้าเลย คุณไม่กล้าแม้แต่จะนั่งเครื่องบินมาเชียงใหม่ คุณกลัวจะต้องตายอย่างพัจนา”
ผดาได้เห็นความโกรธที่จุดขึ้นในดวงตาของเขาประจักษ์ชัด มันรวมอยู่ด้วยความปวดร้าวและ... และอะไรอีกเธอเองก็ไม่สู้จะแน่ใจ และเข้าใจนัก แต่เพียงแค่นั้นก็ควรจะพอใจแล้ว การที่ทำร้ายความรู้สึกของผู้ชายคนนี้ได้นั้นเป็นความอิ่มเอมใจของผดา และเธอมีความยินดีและกระหายที่จะได้เสพมันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“คุณโกรธดิฉัน” หญิงสาวจ้องหน้าเขาพร้อมกับหัวเราะ “โกรธเถอะค่ะ เพราะดิฉันไม่รู้สึกแคร์ในความโกรธของคุณเลยแม้แต่น้อย คุณคงจะไม่เคยได้รับฟังความจริงจากใครมาก่อน โอคุณพลินทร์ พงศ์ราช ดิฉันสงสารคุณเสียนี่กระไร”
พลินทร์ผงกศีรษะขึ้น ทั้งดวงตาและน้ำเสียงของเขาชาเย็นพอกันเมื่อเขาพูดว่า “เก็บความสงสารของเธอไว้สำหรับคนอื่นเถอะ ฉันไม่ต้องการ เธอจะพูดอย่างไร จะคิดอย่างไรนั้น มันเป็นเรื่องของเธอ แต่ฉันก็จะคิด จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเห็นว่าเป็นการถูกต้องสมควรต่อไป”
“ดิฉันทราบดีค่ะ” ผดาตอบความชาเย็นนั้นด้วยอาการยิ้มแย้ม “ทราบดีว่าไม่มีไฟอะไรที่จะมีความร้อนแรงพอที่จะหลอมใจหลอมความคิดของคุณพลินทร์ให้อ่อนละลายลงได้”
“ดีแล้ว” เขาว่า “ฉันต้องการจะทำความเข้าใจกับเธอ เพราะเห็นว่าอย่างน้อย เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับความกระทบกระเทือนในเรื่องร้ายนี้ด้วย แต่เมื่อไม่ต้องการก็...ตามใจ”
เขาหันหลังให้หล่อน แม่ผู้หญิงอวดดี ปากกล้า วาจาร้ายกาจคนนั้น แล้วก็เดินจากมา แต่เดินมาได้เพียงสองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงของหล่อนร้องเรียกตามหลังมาว่า
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณพลินทร์”
ชายหนุ่มหันกลับไป ซ่อนความประหลาดใจไว้ภายใต้ความชาเย็น เขาเลิกคิ้วมองหล่อน “เธอยังมีอะไรที่จะพูดกับฉันอยู่อีกหรือ”
“ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณหรอกค่ะ แต่ดิฉันมีอะไรที่จะคืนให้คุณ”
หล่อนยังคงยืนอยู่ ณ ที่เดิม มือทั้งสองวุ่นวายอยู่กับการแกะอะไรออกจากสายสร้อยเส้นเล็กที่คอ พลินทร์ก้าวเข้าไปใกล้ ขมวดคิ้วจ้องมองดูการกระทำของหล่อนอย่างไม่เข้าใจ
“เธอมีอะไรจะคืนให้ฉัน” เขาถาม
หญิงสาวไม่ตอบด้วยคำพูด แต่กลับไปแบมือยื่นออกมาข้างหน้า สิ่งที่วางอยู่กลางอุ้งมือสีแดงระเรื่อที่บอกถึงความแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์นั้น คือวัตถุอย่างหนึ่ง ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์เป็นรูปกลม ตรงกลางเป็นรอยดุนให้นูนขึ้นมาในภาพของมงกุฎ ใต้รอยนั้นคือตัวอักษรซึ่งอ่านได้ความว่า พงศ์ราช รอบรอยดุนและตัวอักษรนั้น มีเพชรลูกเม็ดเล็กๆ น้ำใสสะอาดเปล่งประกายเป็นสีรุ้งฝังอยู่รายรอบเป็นจำนวนร่วมยี่สิบเม็ด มันคือเหรียญห้อยคอประจำสกุล พงศ์ราช
“พัจนาให้ดิฉันไว้เมื่อตอนที่เราตกลงจะแต่งงานกัน แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อไม่มีพัจนาแล้ว ดิฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บมันไว้อีกต่อไป รับคืนไปซีคะ มันเป็นสมบัติของพงศ์ราช ดิฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอีกต่อไปแล้ว”
นี่ก็เป็นความอัศจรรย์ใจอีกอันหนึ่งที่พลินทร์ได้รับจากหญิงผู้นี้ หล่อนเป็นใครกัน มั่งคั่งสักแค่ไหน ถึงได้ไม่รู้สึกอาลัยในสิ่งของอันมีค่านี้เสียเลย ก็หล่อนน่ะแสนจะยากจนจนถึงกับต้องจำนำจำนองบ้านช่องแล้วมิใช่หรือ เขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องเหรียญนี้ ถ้าหล่อนจะยึดมันไว้ ซึ่งความจริงแล้วหล่อนก็มีสิทธิ์ที่จะยึดได้ ราคาค่างวดของมันก็พอทำให้หล่อนสบายไปอีกนาน
“รับไปซิคะ”
มือข้างนั้นเคลื่อนใกล้เขาเข้ามาอีก ในขณะที่พลินทร์ยังลังเลใจอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งขึ้นมาขัดจังหวะเสียในทันทีนั้นเองว่า
“อ้าว คุณผดา มาเมื่อไรกันครับนี่”
เจ้าของเสียงคือจ้าวศรีฟ้า ร่างสูงโปร่งของเขาก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงหน้าที่สวยงามคล้ายหญิงนั้นสำแดงความยินดีออกมาเต็มที่ โดยที่เจ้าตัวไม่พยายามปกปิด พลินทร์ชำเลืองดูหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็เห็นว่าหล่อนมีอาการปรกติ มิได้ยินดีเกินกว่าเหตุ มีแต่รอยยิ้มอ่อนๆ ระบายอยู่บนริมฝีปากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ดิฉันมานานแล้วค่ะ” หล่อนตอบเมื่อจ้าวศรีฟ้าเดินเข้ามาใกล้มากแล้ว “ขึ้นไปเยี่ยมจ้าวศรีชลาแล้วลงมา ถึงได้... พบคุณพลินทร์”
“อ้อ” เจ้าของบ้านหนุ่มรับรู้ “หวังว่าผมคงจะไม่ได้ขัดการสนทนานะครับ”
“ผมคิดว่าเรายังพูดธุระกันไม่จบ” พลินทร์พูดกับญาติของเขาโดยมิได้มองดูหญิงสาวผู้ซึ่งทำท่าจะคัดค้าน “แต่อีกสักประเดี๋ยวก็ได้ ผมจะขอตัวไปทำธุระสักครู่ ถ้าคุณผดาไม่ขัดข้อง ประเดี๋ยวเราคงจะได้คุยกันใหม่”
“แต่ดิฉันกำลังจะกลับ” ผดาค้าน
เขากลับบอกว่า “จะรีบกลับไปไหนกันเล่า เธอเองก็ต้องการที่จะพูดธุระกับฉันให้เสร็จสิ้นเสียทีเดียวเหมือนกันไม่ใช่หรือ ขอโทษที่จะต้องขอให้เธอรออีกสักครู่ แต่ก็หวังว่าเธอคงจะไม่เหงาจนเกินไปนัก เพราะจ้าวศรีฟ้าญาติของฉันคงจะยินดี พาเธอลงไปชมสวนเป็นแน่”
พูดจบเขาก็หันหลังให้คนทั้งสอง ออกเดินตรงไปยังห้องสมุด มิได้อยู่ฟังคำทัดทานประการใดอีก แม้กระนั้นยังทันได้ยินจ้าวศรีฟ้าบ่นตามหลังมาว่า
“เอ นี่เขานึกยังไงของเขาขึ้นมา ทำไมถึงได้บอกให้ผมพาคุณลงไปชมสวน ทั้งที่แดดออกแจ๋อย่างนี้”
เมื่อจ้าวหนุ่มพูดจบประโยค ก็มีเสียงหนึ่ง พลินทร์ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนนั้น เขาไม่คิดว่าหล่อนจะรู้จักหัวเราะเป็น ปากของหล่อน ลิ้นของหล่อน คงจะมีเอาไว้สำหรับกล่าววาจาทิ่มแทงทำร้ายจิตใจและความรู้สึกผู้อื่นเท่านั้น
พลินทร์มิได้ทำธุระอย่างใดดังที่เขาได้บอกแก่คนทั้งสอง เขาเพียงแต่ตองการจะปลีกตัวมาเพียงชั่วครู่ เพื่อจะระงับจิตใจและความรู้สึกให้เป็นปรกติเท่านั้น ไม่มีผู้ใดเคยหักหาญระรานความรู้สึกของเขา ทำร้ายจิตใจของเขาอย่างเช่น หญิงผู้นี้มาก่อนเลย คำกล่าวหาของหล่อนแต่ละคำ แต่ละประโยคนั้นช่างร้ายกาจนัก
พอร่างของพลินทร์ลับไป จ้าวศรีฟ้าก็หันมามองหน้าหญิงสาว ถามออกมาตรงๆ ว่า “นี่คุณกับเขาทะเลาะกันหรือ”
ผดาหัวเราะเบาๆ แต่ไม่สู้จะแจ่มใสนัก บอกว่า “คนอย่างดิฉันน่ะหรือคะ จะกล้าไปทะเลาะกับคุณพลินทร์ จ้าวทายผิดแล้วละค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ทะเลาะก็ต้องมีการปะทะคารมกันบ้างแล้วพอหอมปากหอมคอ” จ้าวหนุ่มไม่ยอมแพ้ “พูดอย่างนี้พอจะถูกบ้างไหมครับ”
คราวนี้หญิงสาวหัวเราะ “ก็ถูกบ้างเหมือนกันค่ะ”
“นั่นไหมล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะด้วย “ใครเป็นคนลงมือก่อน บอกผมได้ไหมครับ”
“คุณพลินทร์เป็นคนเอาประทัดมาวางค่ะ ดิฉันเป็นคนจุด” หญิงสาวสารภาพ
จ้าวบ้านหนุ่มหัวเราะด้วยเสียงค่อนข้างดัง ซึ่งทำให้ผดาอดมิได้ที่จะพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย เธอพูดต่อไปว่า “คุณพลินทร์คงจะตกใจมากที่มาพบผู้หญิงอย่างดิฉัน ดิฉันคงจะเป็นคนที่หยาบคายร้ายกาจที่สุดในสายตาของเขาทีเดียว”
จ้าวศรีฟ้าหยุดหัวเราะ มองดูหน้าของหญิงสาวอย่างใช้ความคิด ส่ายหน้าช้าๆ บอกว่า “แต่ผมไม่คิดว่าพลินทร์จะนึกอย่างที่คุณว่านั่นหรอก คุณผดา”
“จ้าวมีเหตุผลอะไรหรือคะ” ผดาเงยหน้าขึ้นมองดูผู้พูดอย่างสงสัย จ้าวศรีฟ้ายังคงมองดูเธออยู่ เมื่อตอบว่า
“พลินทร์ไม่เคยทนคนที่เขารู้สึกว่าหยาบคายได้นาน ถ้าเขารู้สึกว่าคุณเป็นคนหยาบคายละก็ เขาคงไม่ขอพบกับคุณอีกหรอก เมื่อกี้นี้ดูเหมือนว่าเขาขอพูดธุระกับคุณอีกไม่ใช่หรือครับ”
“ความจริงก็ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอกค่ะ” ผดาพูดเรียบๆ “เพียงแต่ดิฉันจะคืนนี่...” เธอแบมือที่กำเหรียญห้อยคอไว้ ยื่นออกไปข้างหน้าเล็กน้อย “…ให้เขาเท่านั้น”
ศรีฟ้าก้มลงมอง “เหรียญประจำสกุลพงศ์ราช” เขาพูดด้วยเสียงเรียบอย่างไม่แสดงความแปลกใจ “ทำไมหรือครับ”
“พัจนาให้ดิฉันไว้” ผดาไม่รู้สึกแปลกใจที่มิได้เห็นชายหนุ่มแสดงความประหลาดใจ แม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด “จ้าวคงจะทราบเรื่องระหว่างพัจนากับดิฉันแล้ว”
“ครับ ผมทราบแล้ว” จ้าวศรีฟ้าใช้ความระวังเป็นพิเศษที่จะบังคับเสียงของเขาให้เป็นปรกติ “พวกเราเสียใจด้วยกับคุณที่พัจนาต้องเคราะห์ร้ายถึงขนาดนี้ พัจนาเป็นเด็กดี พวกเราญาติพี่น้องชอบพอเขากันทุกคน”
“ถูกแล้วค่ะ พัจนาเป็นคนดี” ผดารับคำ อดมิได้ที่จะหัวเราะหยันๆ เมื่อพูดต่อไปว่า “และเพราะเหตุที่เขาเป็นคนดีเกินไป หัวอ่อนเกินไปนี่เอง เขาจึงต้องเคราะห์ร้ายอย่างนี้”
จ้าวศรีฟ้านิ่งอึ้งเป็นครู่ แล้วจึงบอกว่า
“จี้ห้อยคออันนี้พัจนาให้คุณ คุณไม่จำเป็นต้องคืนให้พลินทร์ก็ได้นี่ครับ คุณผดา”
“ดิฉันคิดว่าดิฉันควรจะคืนมันไปเสียค่ะจ้าว เมื่อไม่มีพัจนาแล้ว พงศ์ราชกับดิฉันก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
“แต่มันเป็นที่ระลึกถึงพัจนาสำหรับคุณนะครับ คุณผดา” จ้าวศรีฟ้าคัดค้านด้วยเสียงอ่อนโยน และผดาก็ตอบออกไปทันทีด้วยเสียงหนักแน่นอย่างจริงใจว่า
“จ้าวเข้าใจผิดค่ะ เหรียญอันนี้มิใช่เป็นสิ่งที่จะทำให้ดิฉันนึกถึงพัจนาเลย ความดีของเขาต่างหากเล่าคะที่จะทำให้ดิฉันระลึกถึงเขาอย่างไม่มีวันลืม เหรียญอันนี้เป็นเพียงเครื่องหมายที่แสดงให้รู้ว่าพัจนายินดีที่จะให้ดิฉันใช้นามสกุลเดียวกันกับเขาเท่านั้นเอง”
“พลินทร์อาจจะไม่ติดใจที่จะเอาคืนก็ได้” จ้าวหนุ่มผู้มีจิตใจอันอ่อนโยน ยังไม่สิ้นความพยายามที่จะสมานความรู้สึกไม่เป็นมิตรที่ทั้งสองฝ่ายมีอยู่ต่อกัน แต่ความพยายามของเขาดูออกจะไร้ผล เพราะเพียงแต่เขากล่าวประโยคนั้นออกไป หญิงสาวก็หัวเราะ บอกว่า
“เขาต้องอยากได้คืนแน่ๆ เชียวค่ะ ดิฉันต่ำต้อยเกินไปที่จะเอาเครื่องหมายประจำตระกูลที่สูงเกียรติของเขามาเก็บรักษาไว้ โดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย”
จ้าวหนุ่มถอนใจเบาๆ “ผมไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรดี” เขามองดูหญิงสาวด้วยดวงตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและยุ่งยากระคนกัน “ไม่ใช่ความผิดของคุณที่จะโกรธและเกลียดพลินทร์ แต่ผมอยากจะบอกว่า พลินทร์อาจจะไม่ได้เป็นคนร้ายกาจมากมายอะไรอย่างที่คุณเข้าใจก็ได้ ผมเป็นทั้งญาติและเพื่อนของเขา เราเติบโตมาด้วยกัน ผมเชื่อว่าผมเข้าใจเขาดีกว่าคนอื่น”
ชายหนุ่มรู้ว่าคำพูดของเขาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย เพราะพอเขาพูดจบ หญิงสาวก็พูดสวนขึ้นมาในทันทีนั้นว่า “เผอิญดิฉันก็เป็นคนอื่นเสียด้วย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ดิฉันจะต้องไปรับรู้ถึงแก่นแท้ของนิสัยของเขาไม่ใช่หรือคะ ดิฉันคิดว่าควรจะรับรู้แต่เพียงที่เขาได้กระทำกับดิฉันก็พอแล้ว ดิฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าใจอย่างที่ดิฉันถูกกระทำให้เข้าใจ” เสียงของผดารุนแรงขึ้นเป็นลำดับตามความกดดันของอารมณ์ แต่แล้วหญิงสาวก็รู้สึกตัว หยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อจะทำใจ และเสียงให้เป็นปรกติ ก่อนที่จะบอกว่า “ดิฉันอยากจะลาจ้าวกลับเสียทีละค่ะ จ้าวจะกรุณารับเหรียญนี่ไว้คืนให้ คุณพลินทร์แทนดิฉันด้วยจะได้ไหมคะ”
จ้าวศรีฟ้า มองดูวัตถุที่วางอยู่กลางฝ่ามืออันแดงเรื่อไปด้วยเลือดฝาดที่ยื่นมายังเขาอีกครั้งหนึ่งนั้นอย่างรู้สึกยุ่งยากใจ “จะดีหรือ” เขาถาม ไม่ยอมยืนมือออกไปรับ หรือหยิบมันขึ้นมาจากอุ้งมือซึ่งคงจะอ่อนนุ่มละมุนละไมนั้น
“ดิฉันกวนใจจ้าวมากไปหรือคะ” ผดาถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ เปล่า” ชายหนุ่มบอก “ไม่ได้เป็นการกวนอกกวนใจอะไรเลย “แต่ว่าพลินทร์...”
“จ้าวกลัวคุณพลินทร์จะว่าหรือคะ ถ้าจะรับฝากจากดิฉัน”
มีอะไรอย่างหนึ่งในเสียงนั้นที่สามารถเรียกเลือดให้วิ่งขึ้นมาสู่ใบหน้าของจ้าวศรีฟ้าได้บางๆ เขายกศีรษะขึ้นสูง และเสียงก็แข็งขึ้นเล็กน้อย เมื่อกล่าวว่า “เปล่าเลย ผมไม่กลัวพลินทร์จะว่าหรอก.. แต่ว่า...”
แต่ว่าอะไรเล่า ที่ทำให้เขาไม่กล้ารับฝากของสิ่งนี้จากหญิงสาว เพื่อนำไปคืนให้แก่ญาติของเขา จ้าวศรีฟ้าเองก็ยังอธิบายไม่ถูกเช่นกัน ความรู้สึกยุ่งยากลำบากใจของเขา ดูเหมือนจะขึ้นถึงขีดสุดอยู่แล้ว ถ้าหากว่า จะไม่มีเสียงหนึ่งดังกังวานมาแต่ไกล เป็นการขัดจังหวะการสนทนาเสียในทันทีนั้นว่า
“จ้าว นั่นไม่รู้สึกเมื่อยขาบ้างเลยรึ ถ้าไม่อยากจะชมสวนในตอนนี้ ทำไมไม่เชิญสุภาพสตรีเข้ามานั่งในห้องรับแขกเสียเล่า”
เสียงนั้นเป็นเสียงของ พลินทร์ พงศ์ราช! จ้าวศรีฟ้าถอนใจยาวอย่างโล่งอกออกมาในฉับพลัน เขาหันมาทางหญิงสาว แต่ก่อนที่จะทันพูดอะไรออกมา ก็ได้ยินหญิงสาวพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงที่คล้ายจะมีความขบขันเจือปนอยู่ด้วยว่า
“นั้นไงคะ ท่านออกมาออกคำสั่งอยู่นั่นแล้ว”
จ้าวหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่า ในเสียงที่เหมือนประชดเสียงนั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “เผอิญเป็นคำสั่งที่ผมเห็นควรจะทำตามเสียด้วยซี เชิญครับ คุณผดา” เขามองสบตาเธอยิ้มๆ พลางก้มตัวลงเล็กน้อยในท่าโค้งคำนับที่น่าดู “ถ้าคุณต้องการจะพูดธุระกับพลินทร์เสียให้เสร็จสิ้นละก็ เชิญทางนี้ครับ”
ผดามองดูเขา แล้วมองไปตามทิศทางที่เขาผายมือไปนั้น พลินทร์ พงศ์ราช มิได้ยืนอยู่ในที่ที่เขาออกมายืน ‘ออกคำสั่ง’ อย่างที่ผดาว่าเมื่อครู่นี้แล้ว หญิงสาวหันกลับมาทางจ้าวศรีฟ้า ก็เห็นว่าเขายังคงอยู่ในท่าทางเช่นเดิม และมองดูหล่อนด้วยดวงตาที่สุกใส
ผดาจึงหัวเราะเบาๆ ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย บอกว่า “ตกลงค่ะ”