หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 15

ออกจากห้องของศรีชลาในตอนบ่าย   ผดาลงบันไดจะเลี้ยวออกทางห้องโถงกลางด้านหน้า แต่แล้วก็กลับไปเปลี่ยนความตั้งใจเมื่อคิดว่าพลินทร์หรือเจ้าศรีฟ้าอาจจะอยู่ทางด้านนั้น   เธอไม่ต้องการพบทั้งสองคน   ไม่ต้องการพบพลินทร์ก็เพราะความเกลียดชัง   ไม่ต้องการพบจ้าวศรีฟ้าก็เพราะความขวยเขินใจด้วยเหตุที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ชายหนุ่มผู้นั้นมีความรู้สึกต่อเธอในสถานใด   ผดาจึงเลี้ยวออกสู่ระเบียงหลัง   ตั้งใจจะไปลงทางบันไดข้างซึ่งเป็นทางที่เธอใช้ขึ้นเมื่อตอนขามา   และเป็นทางเดียวกันกับที่ จ้าวศรีฟ้าพาเธอลงไปชมสวนเมื่อวันก่อน   ผดาเดินมาจนเกือบจะสุดทาง จึงได้แลเห็นว่า ในขณะนั้น ได้มีร่างของชายผู้หนึ่งกำลังเดินช้าๆ มุ่งตรงมายังบันได   ใจของผดาเต้นแรงขึ้นมาทันทีที่เห็น   ช้าเกินกว่าที่จะหลบเสียแล้ว และเธอก็ไม่ต้องการที่จะแสดงให้เขาเห็นและนึกไปว่าเธอหวาดกลัวเขา   ผดาจึงหยุดยืนนิ่งอยู่ห่างจากบันไดเล็กน้อย   คอยให้เขาเดินผ่านไป

แต่แทนที่เขาจะเดินผ่านไป   อย่างไม่คาดหมาย  ผดากลับได้เห็นเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ   มองดูเธอด้วยดวงตาที่เธอดูไม่ออก ว่ามีความรู้สึกอย่างใด แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบว่า

“จ้าวศรีฟ้าไม่ได้อยู่ในสวนหรอก”

ผดารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที   หญิงสาวตอบเสียงแข็ง  ตามองเลยร่างที่สูงสง่านั้นไปทางอื่นว่า   “ดิฉันไม่ได้จะลงไปหาจ้าวศรีฟ้า”

“เจ้าศรีธรก็ไม่ได้อยู่เหมือนกัน” เสียงราบเรียบนั้นพูดต่อไปอีก และผดาก็ตอบด้วยเสียงที่แข็งยิ่งขึ้นว่า

“ดิฉันไม่ต้องการจะพบใครทั้งนั้น   ดิฉันมาเยี่ยมจ้าวศรีชลาและกำลังจะกลับ”

เธอไม่ได้มองดูหน้าของเขาจึงไม่ได้เห็นว่า เขามีสีหน้าอย่างไรเมื่อพูดต่อไปว่า     “จ้าวศรีฟ้าและศรีธรคงจะน้อยใจถ้ามาได้ยินเข้าอย่างนี้”

คราวนี้เธอหันกลับมาจ้องมองดูตาเขา   “ขอประทานโทษค่ะ คุณพลินทร์   ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณจึงต้องมาเสียเวลากับดิฉันเพราะเรื่องไร้สาระอย่างนี้”

“เปล่า”     เขาตอบมาด้วยน้ำเสียงเดียวกันกับของเธอ     “ถ้าเธอเข้าใจว่าเรื่องที่เกี่ยวกับญาติของฉันเป็นเรื่องไร้สาระละก็   นับว่าเธอเข้าใจผิดมากทีเดียว”

“อ๋อ ดิฉันทราบดี”   เอากันซิ นายพลินทร์   เมื่ออยากจะลองปะทะคารมดูกันสักวันก็จะเป็นไรมี     “ทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณพลินทร์ พงศ์ราชละก็ จะต้องมีความสำคัญยิ่งยวดทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไร   ทราบมานานแล้ว   และจะไม่มีวันลืมเลย”

“เธอคงจะหมายถึงเรื่องพัจนากระมัง”     พลินทร์ถาม เขาเข้าใจเจตนาของเธอได้เร็วดีทีเดียว

“ดิฉันจะหมายความว่ากระไรก็ดูเหมือนจะไม่สลักสำคัญอะไรสำหรับคุณไม่ไม่ใช่หรือคะ”

ผดาคาดว่าเขาคงจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเธอกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นล้นพ้น   แทนที่พลินทร์จะทำหน้าขมึงใส่เธอ และสะบัดหน้าเดินหนีไปเสียอย่างที่เธอคิดไว้   เขากลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบว่า

“นี่เราจะพูดกันอย่างเป็นมิตรกว่านี่สักหน่อยไม่ได้เทียวหรือ”

เธอมองดูเขาอย่างตกตะลึง แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง   แต่เมื่อรู้สึกตัว   หญิงสาวก็หัวเราะใส่หน้าเขา   พูดว่า   “เป็นมิตร..   คุณกับดิฉัน...   คุณพลินทร์ พงศ์ราชผู้สูงส่ง กับนางสาวผดา ศาสตรวิจัย ที่ไม่มีสกุลรุณชาตินี่น่ะหรือจะเป็นมิตรกันได้   โอยน่าขันจริง   นี่คุณเกิดอยากจะทำตลกอะไรขึ้นมาคะ  คุณพลินทร์”

พลินทร์ถอนใจ ถอยไปพิงลูกกรง มองดูเธอแล้วพูดว่า     “ฉันเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อฉัน   เธอไม่ผิดหรอกที่จะโกรธแค้นฉัน   แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันไม่ผิดเหมือนกันที่ฉันทำอะไรๆลงไป”

“อ๋อ คุณไม่ผิดแน่ค่ะ”     แม้ว่าจะแสนประหลาดใจในคำพูดของเขา   ผดาก็ยังไม่ยอมลดละ     “จะผิดยังไงได้ ในเมื่อคุณทำเพื่อรักษาเกียรติยศวงศ์สกุลของคุณ  สกุลพงศ์ราชเป็นสกุลเก่าแก่ เป็นผู้ดี   เป็นสกุลหงส์   คุณจะทนเห็นกาดำต่ำศักดิ์อย่างดิฉันเข้าไปร่วมคลุกคลีอยู่ด้วยได้อย่างไรจริงไหมล่ะคะ”

“เธอประชดฉันหรือ”

เสียงที่เขาพูดราบเรียบเกินไปจน กระทั่งผดาเกิดรู้สึกอายในความรุนแรงของตนเอง   เธอเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อตอบว่า     “ดิฉันพูดความจริง ทำไมคุณจึงว่าดิฉันประชด   มันเป็นความจริงอย่างที่ดิฉันพูดใช่หรือไม่เล่าคะ”

“ถ้าเธอพูดความจริง  เธอก็ไม่เข้าใจในความจริงนั้น”

“โอ”   ผดาร้อง อย่างขบขัน   “คงจะเป็นเพราะว่าปัญญาของดิฉันทึบเกินไป เพราะไม่มีโอกาสได้เลือกเกิดมาในสกุลที่สูงศักดิ์ เต็มไปด้วยคนที่ฉลาดเฉลียวกระมังคะ   ถ้าเช่นนั้นคุณจะมามัวเสียเวลาพูดกับคนโง่ๆ อย่างดิฉันทำไม อ ดิฉันจะไปละคะ”

หญิงสาวขยับกายก้าวขาจะออกเดิน   แต่ก็ต้องหยุดชะงัก   เพราะพลินทร์ได้ทรงกายขึ้นมาจากท่าที่เขายืนพิงลูกกรงอยู่นั้น   ก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่งขวางทางที่เธอจะเดินผ่านไปนั้น ดวงตาสีเหล็กมองสบตาเธอเมื่อกล่าวว่า

“เดี๋ยวก่อน   เธอยังไปไม่ได้จนกว่าเธอจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน”

ผดาขมวดคิ้วถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง ทำคอแข็งมองสบตาเขาอย่างชาเย็น     “คุณพลินทร์กรุณาอย่ามาออกคำสั่งกับดิฉัน  ดิฉันไม่ได้เป็นลูกจ้างของคุณ   ไม่ได้เป็นคนหนึ่งในสกุลพงศ์ราชที่จำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งของคุณ...   แม้ว่าคุณจะใช้ให้ไปตาย”

เธอเน้นประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น   พลินทร์ขมวดคิ้วมองดูเธอ  เสียงของเขาแสดงความฉุนเฉียวออกมาเล็กน้อยเมื่อถามว่า

“เธอว่ากระทบฉันเรื่องพัจนางั้นรึ   เธอคิดว่าที่พัจนามาประสบอุบัติเหตุนี่เป็นความผิดของฉัน อย่างนั้นใช่ไหม”

ผดามองสบตาเขา  หัวเราะก่อนที่จะพูดว่า     “มาถามดิฉันทำไม ในเมื่อคุณเองก็รู้สึกอยู่แล้วว่ามันเป็นความผิดของคุณ   ถ้าคุณไม่รู้สึกอย่างนั้นแล้ว  ทำไมคุณจึงจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ในเมื่อคุณมีคนคอยรับคำสั่งอยู่ตั้งมากมายหลายสิบคน”

พลินทร์นิ่งอึ้ง มองดูดวงหน้ายาวเรียวที่เงยนิดๆ และจ้องจับเขาอยู่อย่างท้าทายนั้นด้วยความรู้สึกอัศจรรย์เป็นล้นพ้น   หล่อนช่างล่วงรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้อย่างไรกัน  จริงละ ใครๆ ก็รู้ดีว่าที่เขามาเชียงใหม่นี้ก็เพราะว่าเขาเป็นห่วงพัจนา   แต่ไม่มีสักคนเดียวที่จะพูดถึง “ความรู้สึกผิด”   อย่างที่หล่อนพูด   ความอัศจรรย์ใจนั้นมีมากจนกระทั่งทำให้ลืมโกรธในความอาจหาญไม่เกรงใจของหล่อน เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า

“แต่อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ฉันคิดว่าพัจนา คงจะยังไม่...”

เขายังพูดไม่ทันจบประโยค หล่อนก็หัวเราะสวนขึ้นมาทันที     “คุณไม่รู้ว่าอะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้น   แต่ทว่าดิฉันรู้   ดิฉันจะบอกให้ก็ได้”     หญิงสาวมองดูเขา ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างเยาะเย้ย   ริมฝีปากโค้งลงในลักษณะยิ้มเยาะ    “มันคือความขลาดของคุณ”

พลินทร์รู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนวูบขึ้นมา   เขาก้าวเข้าไปหาหล่อน   แม่ผู้หญิงปากกล้าคนนั้นอย่างลืมตัว   มือกำแน่น แต่แล้วก็หยุดชะงัก   หล่อนมิได้ถอยหนี หล่อนกลับเชิดหน้าขึ้น  รอยยิ้มอย่างเยาะๆ นั้นยิ่งขยายกว้างขึ้น เมื่อหล่อนพูดต่อไป

“คุณพลินทร์ คุณขลาดที่จะยอมรับว่าพัจนาตายเพราะคุณ   คุณถึงต้องพยายามปลอบใจตัวคุณเองอยู่เสมอว่าพัจนายังไม่ตาย   แล้วคุณก็ยังพยายามที่จะทำให้คนอื่นเขาเชื่อตามคุณไปด้วย คุณขลาดแม้แต่กับความสำนึกผิดของคุณเอง”

คำกล่าวหาของหล่อนช่างรุนแรงนัก   พลินทร์ถอยไปพิงลูกกรง   ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายหลายชนิดอัดแน่นอยู่   เขาได้ยินเสียงตัวเองพึมพำว่า     “เธอเข้าใจผิดแท้ๆ”

“อ๋อ ดิฉันไม่ได้เข้าใจผิดหรอกค่ะ”     ผดาพูดหัวเราะๆ    “ถ้าจะมีการเข้าใจผิดกันก็คุณนั่นแหละ   คุณเข้าใจผิดคิดว่าตัวคุณเองเป็นคนเก่งกล้าไปเสียทุกอย่าง คุณพลินทร์ คุณอาจจะเป็นคนเก่งจริง แต่คุณก็ไม่ได้เป็นคนกล้าเลย   คุณไม่กล้าแม้แต่จะนั่งเครื่องบินมาเชียงใหม่   คุณกลัวจะต้องตายอย่างพัจนา”

ผดาได้เห็นความโกรธที่จุดขึ้นในดวงตาของเขาประจักษ์ชัด   มันรวมอยู่ด้วยความปวดร้าวและ... และอะไรอีกเธอเองก็ไม่สู้จะแน่ใจ และเข้าใจนัก   แต่เพียงแค่นั้นก็ควรจะพอใจแล้ว   การที่ทำร้ายความรู้สึกของผู้ชายคนนี้ได้นั้นเป็นความอิ่มเอมใจของผดา   และเธอมีความยินดีและกระหายที่จะได้เสพมันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“คุณโกรธดิฉัน”     หญิงสาวจ้องหน้าเขาพร้อมกับหัวเราะ     “โกรธเถอะค่ะ เพราะดิฉันไม่รู้สึกแคร์ในความโกรธของคุณเลยแม้แต่น้อย คุณคงจะไม่เคยได้รับฟังความจริงจากใครมาก่อน  โอคุณพลินทร์ พงศ์ราช   ดิฉันสงสารคุณเสียนี่กระไร”

พลินทร์ผงกศีรษะขึ้น ทั้งดวงตาและน้ำเสียงของเขาชาเย็นพอกันเมื่อเขาพูดว่า     “เก็บความสงสารของเธอไว้สำหรับคนอื่นเถอะ ฉันไม่ต้องการ   เธอจะพูดอย่างไร  จะคิดอย่างไรนั้น มันเป็นเรื่องของเธอ แต่ฉันก็จะคิด จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเห็นว่าเป็นการถูกต้องสมควรต่อไป”

“ดิฉันทราบดีค่ะ”     ผดาตอบความชาเย็นนั้นด้วยอาการยิ้มแย้ม     “ทราบดีว่าไม่มีไฟอะไรที่จะมีความร้อนแรงพอที่จะหลอมใจหลอมความคิดของคุณพลินทร์ให้อ่อนละลายลงได้”

“ดีแล้ว”     เขาว่า   “ฉันต้องการจะทำความเข้าใจกับเธอ  เพราะเห็นว่าอย่างน้อย เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับความกระทบกระเทือนในเรื่องร้ายนี้ด้วย   แต่เมื่อไม่ต้องการก็...ตามใจ”

เขาหันหลังให้หล่อน   แม่ผู้หญิงอวดดี ปากกล้า วาจาร้ายกาจคนนั้น   แล้วก็เดินจากมา แต่เดินมาได้เพียงสองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงของหล่อนร้องเรียกตามหลังมาว่า

“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณพลินทร์”

ชายหนุ่มหันกลับไป   ซ่อนความประหลาดใจไว้ภายใต้ความชาเย็น   เขาเลิกคิ้วมองหล่อน “เธอยังมีอะไรที่จะพูดกับฉันอยู่อีกหรือ”

“ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณหรอกค่ะ  แต่ดิฉันมีอะไรที่จะคืนให้คุณ”

หล่อนยังคงยืนอยู่   ณ   ที่เดิม   มือทั้งสองวุ่นวายอยู่กับการแกะอะไรออกจากสายสร้อยเส้นเล็กที่คอ   พลินทร์ก้าวเข้าไปใกล้   ขมวดคิ้วจ้องมองดูการกระทำของหล่อนอย่างไม่เข้าใจ

“เธอมีอะไรจะคืนให้ฉัน”     เขาถาม

หญิงสาวไม่ตอบด้วยคำพูด แต่กลับไปแบมือยื่นออกมาข้างหน้า   สิ่งที่วางอยู่กลางอุ้งมือสีแดงระเรื่อที่บอกถึงความแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์นั้น คือวัตถุอย่างหนึ่ง ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์เป็นรูปกลม   ตรงกลางเป็นรอยดุนให้นูนขึ้นมาในภาพของมงกุฎ   ใต้รอยนั้นคือตัวอักษรซึ่งอ่านได้ความว่า   พงศ์ราช   รอบรอยดุนและตัวอักษรนั้น มีเพชรลูกเม็ดเล็กๆ น้ำใสสะอาดเปล่งประกายเป็นสีรุ้งฝังอยู่รายรอบเป็นจำนวนร่วมยี่สิบเม็ด   มันคือเหรียญห้อยคอประจำสกุล พงศ์ราช

“พัจนาให้ดิฉันไว้เมื่อตอนที่เราตกลงจะแต่งงานกัน   แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อไม่มีพัจนาแล้ว ดิฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บมันไว้อีกต่อไป   รับคืนไปซีคะ   มันเป็นสมบัติของพงศ์ราช ดิฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอีกต่อไปแล้ว”

นี่ก็เป็นความอัศจรรย์ใจอีกอันหนึ่งที่พลินทร์ได้รับจากหญิงผู้นี้   หล่อนเป็นใครกัน มั่งคั่งสักแค่ไหน ถึงได้ไม่รู้สึกอาลัยในสิ่งของอันมีค่านี้เสียเลย   ก็หล่อนน่ะแสนจะยากจนจนถึงกับต้องจำนำจำนองบ้านช่องแล้วมิใช่หรือ   เขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องเหรียญนี้   ถ้าหล่อนจะยึดมันไว้ ซึ่งความจริงแล้วหล่อนก็มีสิทธิ์ที่จะยึดได้   ราคาค่างวดของมันก็พอทำให้หล่อนสบายไปอีกนาน

“รับไปซิคะ”

มือข้างนั้นเคลื่อนใกล้เขาเข้ามาอีก   ในขณะที่พลินทร์ยังลังเลใจอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งขึ้นมาขัดจังหวะเสียในทันทีนั้นเองว่า

“อ้าว คุณผดา มาเมื่อไรกันครับนี่”

เจ้าของเสียงคือจ้าวศรีฟ้า   ร่างสูงโปร่งของเขาก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว   ดวงหน้าที่สวยงามคล้ายหญิงนั้นสำแดงความยินดีออกมาเต็มที่   โดยที่เจ้าตัวไม่พยายามปกปิด พลินทร์ชำเลืองดูหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า   ก็เห็นว่าหล่อนมีอาการปรกติ   มิได้ยินดีเกินกว่าเหตุ มีแต่รอยยิ้มอ่อนๆ ระบายอยู่บนริมฝีปากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ดิฉันมานานแล้วค่ะ”     หล่อนตอบเมื่อจ้าวศรีฟ้าเดินเข้ามาใกล้มากแล้ว “ขึ้นไปเยี่ยมจ้าวศรีชลาแล้วลงมา ถึงได้... พบคุณพลินทร์”

“อ้อ” เจ้าของบ้านหนุ่มรับรู้     “หวังว่าผมคงจะไม่ได้ขัดการสนทนานะครับ”

“ผมคิดว่าเรายังพูดธุระกันไม่จบ”     พลินทร์พูดกับญาติของเขาโดยมิได้มองดูหญิงสาวผู้ซึ่งทำท่าจะคัดค้าน “แต่อีกสักประเดี๋ยวก็ได้ ผมจะขอตัวไปทำธุระสักครู่ ถ้าคุณผดาไม่ขัดข้อง ประเดี๋ยวเราคงจะได้คุยกันใหม่”

“แต่ดิฉันกำลังจะกลับ”     ผดาค้าน

เขากลับบอกว่า     “จะรีบกลับไปไหนกันเล่า เธอเองก็ต้องการที่จะพูดธุระกับฉันให้เสร็จสิ้นเสียทีเดียวเหมือนกันไม่ใช่หรือ  ขอโทษที่จะต้องขอให้เธอรออีกสักครู่   แต่ก็หวังว่าเธอคงจะไม่เหงาจนเกินไปนัก  เพราะจ้าวศรีฟ้าญาติของฉันคงจะยินดี พาเธอลงไปชมสวนเป็นแน่”

พูดจบเขาก็หันหลังให้คนทั้งสอง   ออกเดินตรงไปยังห้องสมุด   มิได้อยู่ฟังคำทัดทานประการใดอีก แม้กระนั้นยังทันได้ยินจ้าวศรีฟ้าบ่นตามหลังมาว่า

“เอ นี่เขานึกยังไงของเขาขึ้นมา   ทำไมถึงได้บอกให้ผมพาคุณลงไปชมสวน   ทั้งที่แดดออกแจ๋อย่างนี้”

เมื่อจ้าวหนุ่มพูดจบประโยค ก็มีเสียงหนึ่ง   พลินทร์ไม่อยากจะคิดว่าเป็นเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนนั้น เขาไม่คิดว่าหล่อนจะรู้จักหัวเราะเป็น ปากของหล่อน ลิ้นของหล่อน คงจะมีเอาไว้สำหรับกล่าววาจาทิ่มแทงทำร้ายจิตใจและความรู้สึกผู้อื่นเท่านั้น

พลินทร์มิได้ทำธุระอย่างใดดังที่เขาได้บอกแก่คนทั้งสอง   เขาเพียงแต่ตองการจะปลีกตัวมาเพียงชั่วครู่ เพื่อจะระงับจิตใจและความรู้สึกให้เป็นปรกติเท่านั้น   ไม่มีผู้ใดเคยหักหาญระรานความรู้สึกของเขา   ทำร้ายจิตใจของเขาอย่างเช่น หญิงผู้นี้มาก่อนเลย   คำกล่าวหาของหล่อนแต่ละคำ แต่ละประโยคนั้นช่างร้ายกาจนัก

พอร่างของพลินทร์ลับไป   จ้าวศรีฟ้าก็หันมามองหน้าหญิงสาว  ถามออกมาตรงๆ ว่า     “นี่คุณกับเขาทะเลาะกันหรือ”

ผดาหัวเราะเบาๆ แต่ไม่สู้จะแจ่มใสนัก  บอกว่า     “คนอย่างดิฉันน่ะหรือคะ   จะกล้าไปทะเลาะกับคุณพลินทร์   จ้าวทายผิดแล้วละค่ะ”

“ถ้าไม่ใช่ทะเลาะก็ต้องมีการปะทะคารมกันบ้างแล้วพอหอมปากหอมคอ”   จ้าวหนุ่มไม่ยอมแพ้     “พูดอย่างนี้พอจะถูกบ้างไหมครับ”

คราวนี้หญิงสาวหัวเราะ   “ก็ถูกบ้างเหมือนกันค่ะ”

“นั่นไหมล่ะ”   ชายหนุ่มหัวเราะด้วย   “ใครเป็นคนลงมือก่อน บอกผมได้ไหมครับ”

“คุณพลินทร์เป็นคนเอาประทัดมาวางค่ะ ดิฉันเป็นคนจุด”     หญิงสาวสารภาพ

จ้าวบ้านหนุ่มหัวเราะด้วยเสียงค่อนข้างดัง ซึ่งทำให้ผดาอดมิได้ที่จะพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย เธอพูดต่อไปว่า     “คุณพลินทร์คงจะตกใจมากที่มาพบผู้หญิงอย่างดิฉัน ดิฉันคงจะเป็นคนที่หยาบคายร้ายกาจที่สุดในสายตาของเขาทีเดียว”

จ้าวศรีฟ้าหยุดหัวเราะ มองดูหน้าของหญิงสาวอย่างใช้ความคิด   ส่ายหน้าช้าๆ บอกว่า “แต่ผมไม่คิดว่าพลินทร์จะนึกอย่างที่คุณว่านั่นหรอก   คุณผดา”

“จ้าวมีเหตุผลอะไรหรือคะ”     ผดาเงยหน้าขึ้นมองดูผู้พูดอย่างสงสัย จ้าวศรีฟ้ายังคงมองดูเธออยู่ เมื่อตอบว่า

“พลินทร์ไม่เคยทนคนที่เขารู้สึกว่าหยาบคายได้นาน   ถ้าเขารู้สึกว่าคุณเป็นคนหยาบคายละก็ เขาคงไม่ขอพบกับคุณอีกหรอก  เมื่อกี้นี้ดูเหมือนว่าเขาขอพูดธุระกับคุณอีกไม่ใช่หรือครับ”

“ความจริงก็ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรหรอกค่ะ”     ผดาพูดเรียบๆ   “เพียงแต่ดิฉันจะคืนนี่...”     เธอแบมือที่กำเหรียญห้อยคอไว้ ยื่นออกไปข้างหน้าเล็กน้อย “…ให้เขาเท่านั้น”

ศรีฟ้าก้มลงมอง   “เหรียญประจำสกุลพงศ์ราช”     เขาพูดด้วยเสียงเรียบอย่างไม่แสดงความแปลกใจ   “ทำไมหรือครับ”

“พัจนาให้ดิฉันไว้”   ผดาไม่รู้สึกแปลกใจที่มิได้เห็นชายหนุ่มแสดงความประหลาดใจ แม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด “จ้าวคงจะทราบเรื่องระหว่างพัจนากับดิฉันแล้ว”

“ครับ ผมทราบแล้ว”   จ้าวศรีฟ้าใช้ความระวังเป็นพิเศษที่จะบังคับเสียงของเขาให้เป็นปรกติ     “พวกเราเสียใจด้วยกับคุณที่พัจนาต้องเคราะห์ร้ายถึงขนาดนี้   พัจนาเป็นเด็กดี พวกเราญาติพี่น้องชอบพอเขากันทุกคน”

“ถูกแล้วค่ะ พัจนาเป็นคนดี”   ผดารับคำ อดมิได้ที่จะหัวเราะหยันๆ เมื่อพูดต่อไปว่า “และเพราะเหตุที่เขาเป็นคนดีเกินไป  หัวอ่อนเกินไปนี่เอง   เขาจึงต้องเคราะห์ร้ายอย่างนี้”

จ้าวศรีฟ้านิ่งอึ้งเป็นครู่ แล้วจึงบอกว่า

“จี้ห้อยคออันนี้พัจนาให้คุณ   คุณไม่จำเป็นต้องคืนให้พลินทร์ก็ได้นี่ครับ คุณผดา”

“ดิฉันคิดว่าดิฉันควรจะคืนมันไปเสียค่ะจ้าว  เมื่อไม่มีพัจนาแล้ว   พงศ์ราชกับดิฉันก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”

“แต่มันเป็นที่ระลึกถึงพัจนาสำหรับคุณนะครับ คุณผดา”     จ้าวศรีฟ้าคัดค้านด้วยเสียงอ่อนโยน และผดาก็ตอบออกไปทันทีด้วยเสียงหนักแน่นอย่างจริงใจว่า

“จ้าวเข้าใจผิดค่ะ   เหรียญอันนี้มิใช่เป็นสิ่งที่จะทำให้ดิฉันนึกถึงพัจนาเลย ความดีของเขาต่างหากเล่าคะที่จะทำให้ดิฉันระลึกถึงเขาอย่างไม่มีวันลืม   เหรียญอันนี้เป็นเพียงเครื่องหมายที่แสดงให้รู้ว่าพัจนายินดีที่จะให้ดิฉันใช้นามสกุลเดียวกันกับเขาเท่านั้นเอง”

“พลินทร์อาจจะไม่ติดใจที่จะเอาคืนก็ได้”     จ้าวหนุ่มผู้มีจิตใจอันอ่อนโยน ยังไม่สิ้นความพยายามที่จะสมานความรู้สึกไม่เป็นมิตรที่ทั้งสองฝ่ายมีอยู่ต่อกัน แต่ความพยายามของเขาดูออกจะไร้ผล เพราะเพียงแต่เขากล่าวประโยคนั้นออกไป หญิงสาวก็หัวเราะ บอกว่า

“เขาต้องอยากได้คืนแน่ๆ เชียวค่ะ  ดิฉันต่ำต้อยเกินไปที่จะเอาเครื่องหมายประจำตระกูลที่สูงเกียรติของเขามาเก็บรักษาไว้   โดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย”

จ้าวหนุ่มถอนใจเบาๆ  “ผมไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรดี”     เขามองดูหญิงสาวด้วยดวงตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและยุ่งยากระคนกัน  “ไม่ใช่ความผิดของคุณที่จะโกรธและเกลียดพลินทร์   แต่ผมอยากจะบอกว่า   พลินทร์อาจจะไม่ได้เป็นคนร้ายกาจมากมายอะไรอย่างที่คุณเข้าใจก็ได้   ผมเป็นทั้งญาติและเพื่อนของเขา   เราเติบโตมาด้วยกัน ผมเชื่อว่าผมเข้าใจเขาดีกว่าคนอื่น”

ชายหนุ่มรู้ว่าคำพูดของเขาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย   เพราะพอเขาพูดจบ หญิงสาวก็พูดสวนขึ้นมาในทันทีนั้นว่า     “เผอิญดิฉันก็เป็นคนอื่นเสียด้วย   ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ดิฉันจะต้องไปรับรู้ถึงแก่นแท้ของนิสัยของเขาไม่ใช่หรือคะ   ดิฉันคิดว่าควรจะรับรู้แต่เพียงที่เขาได้กระทำกับดิฉันก็พอแล้ว   ดิฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าใจอย่างที่ดิฉันถูกกระทำให้เข้าใจ” เสียงของผดารุนแรงขึ้นเป็นลำดับตามความกดดันของอารมณ์ แต่แล้วหญิงสาวก็รู้สึกตัว หยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อจะทำใจ และเสียงให้เป็นปรกติ   ก่อนที่จะบอกว่า  “ดิฉันอยากจะลาจ้าวกลับเสียทีละค่ะ   จ้าวจะกรุณารับเหรียญนี่ไว้คืนให้ คุณพลินทร์แทนดิฉันด้วยจะได้ไหมคะ”

จ้าวศรีฟ้า มองดูวัตถุที่วางอยู่กลางฝ่ามืออันแดงเรื่อไปด้วยเลือดฝาดที่ยื่นมายังเขาอีกครั้งหนึ่งนั้นอย่างรู้สึกยุ่งยากใจ   “จะดีหรือ”   เขาถาม ไม่ยอมยืนมือออกไปรับ หรือหยิบมันขึ้นมาจากอุ้งมือซึ่งคงจะอ่อนนุ่มละมุนละไมนั้น

“ดิฉันกวนใจจ้าวมากไปหรือคะ”     ผดาถามยิ้มๆ

“เปล่าครับ เปล่า”   ชายหนุ่มบอก   “ไม่ได้เป็นการกวนอกกวนใจอะไรเลย “แต่ว่าพลินทร์...”

“จ้าวกลัวคุณพลินทร์จะว่าหรือคะ   ถ้าจะรับฝากจากดิฉัน”

มีอะไรอย่างหนึ่งในเสียงนั้นที่สามารถเรียกเลือดให้วิ่งขึ้นมาสู่ใบหน้าของจ้าวศรีฟ้าได้บางๆ เขายกศีรษะขึ้นสูง และเสียงก็แข็งขึ้นเล็กน้อย เมื่อกล่าวว่า “เปล่าเลย ผมไม่กลัวพลินทร์จะว่าหรอก.. แต่ว่า...”

แต่ว่าอะไรเล่า ที่ทำให้เขาไม่กล้ารับฝากของสิ่งนี้จากหญิงสาว เพื่อนำไปคืนให้แก่ญาติของเขา จ้าวศรีฟ้าเองก็ยังอธิบายไม่ถูกเช่นกัน ความรู้สึกยุ่งยากลำบากใจของเขา ดูเหมือนจะขึ้นถึงขีดสุดอยู่แล้ว ถ้าหากว่า จะไม่มีเสียงหนึ่งดังกังวานมาแต่ไกล เป็นการขัดจังหวะการสนทนาเสียในทันทีนั้นว่า

“จ้าว นั่นไม่รู้สึกเมื่อยขาบ้างเลยรึ   ถ้าไม่อยากจะชมสวนในตอนนี้   ทำไมไม่เชิญสุภาพสตรีเข้ามานั่งในห้องรับแขกเสียเล่า”

เสียงนั้นเป็นเสียงของ พลินทร์ พงศ์ราช!   จ้าวศรีฟ้าถอนใจยาวอย่างโล่งอกออกมาในฉับพลัน  เขาหันมาทางหญิงสาว   แต่ก่อนที่จะทันพูดอะไรออกมา ก็ได้ยินหญิงสาวพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงที่คล้ายจะมีความขบขันเจือปนอยู่ด้วยว่า

“นั้นไงคะ   ท่านออกมาออกคำสั่งอยู่นั่นแล้ว”

จ้าวหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่า  ในเสียงที่เหมือนประชดเสียงนั้น  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า     “เผอิญเป็นคำสั่งที่ผมเห็นควรจะทำตามเสียด้วยซี เชิญครับ คุณผดา” เขามองสบตาเธอยิ้มๆ พลางก้มตัวลงเล็กน้อยในท่าโค้งคำนับที่น่าดู     “ถ้าคุณต้องการจะพูดธุระกับพลินทร์เสียให้เสร็จสิ้นละก็ เชิญทางนี้ครับ”

ผดามองดูเขา แล้วมองไปตามทิศทางที่เขาผายมือไปนั้น   พลินทร์ พงศ์ราช มิได้ยืนอยู่ในที่ที่เขาออกมายืน  ‘ออกคำสั่ง’   อย่างที่ผดาว่าเมื่อครู่นี้แล้ว   หญิงสาวหันกลับมาทางจ้าวศรีฟ้า ก็เห็นว่าเขายังคงอยู่ในท่าทางเช่นเดิม และมองดูหล่อนด้วยดวงตาที่สุกใส

ผดาจึงหัวเราะเบาๆ ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย บอกว่า     “ตกลงค่ะ”

จบบทที่ 15