หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 17

รถยนต์คันงามซึ่งเป็นของจ้าวศรีฟ้า   พุ่งปราดไปตามถนนซึ่งลาดสูงขึ้นทีละน้อยอันเป็นทางที่นำไปสู่คุ้มไศลอันโอ่อ่า และตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือเนินเขาเบื้องหน้า   ผู้ที่ทำหน้าที่บังคับยานคันนั้นก็คือจ้าวหนุ่ม ผู้เป็นเจ้าของ  เคียงข้างเขาคือหญิงสาวชาวกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งได้กลับกลายมาเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเขาอย่างประหลาด   ชายหนุ่มลอบชำเลืองดูหล่อนบ่อยครั้ง   ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะมิได้สังเกตเห็น   หล่อนมองตรงไปเบื้องหน้า   ดวงหน้าที่แม้จะหมกมุ่นและหมองหม่นไปบ้าง เพราะความทุกข์ที่กัดกินอยู่ในใจนั้นก็ยังคงผุดผาดอยู่ด้วยวัยกำดัดที่กำลังเปล่งปลั่งงดงามเต็มที่  เส้นผมสีดำสนิทราวขนกาน้ำที่ตัดสั้นเพียงคอนั้นปลิวไสว จ้าวศรีฟ้ามองดูดวงหน้าที่เห็นแต่ด้านข้างของรูปหน้าผากอันนูนเกลี้ยงผุดผาด   เห็นสันจมูกที่เรียวเล็ก ปลายงอนนิดๆ ตลอดลงไปจนริมฝีปากอันอิ่มเต็มและคางที่เรียวแหลมน่ามองนั้น แล้วก็อดที่จะลอบถอนใจเสียมิได้   เขาได้มีความรู้สึกติดเนื้อต้องใจในหญิงผู้นี้นับตั้งแต่ในอึดใจแรกที่ได้เห็นหล่อนก็ว่าได้   ความรู้สึกนั้นได้ทวีขึ้นเป็นลำดับเมื่อได้พบกับหล่อนในเวลาต่อมา   เขาบอกแก่ตัวเองว่า   นี่แหละคือหญิงที่เขาได้คอยมานานนักหนา   เขาจะต้องพยายามชนะใจของหล่อน และได้หล่อนมาเป็นยอดดวงใจของเขาให้จงได้

แต่แล้ว ทั้งๆที่มิได้มีเค้าว่าจะเกิดพายุร้ายแม้แต่น้อย   ฟ้าได้ผ่าลงมาทั้งที่ดวงอาทิตย์ยังคงฉายแสงแจ่มกระจ่าง   มันผ่าลงมากลางวิมานที่เขาได้สร้างขึ้นไว้ให้แหลกลาญลงโดยสิ้นเชิง   เมื่อความได้ปรากฏออกมาว่า   หญิงสาวที่เขาใฝ่ฝันถึงเป็นนักหนาผู้นี้มิได้มีอิสระแก่ตัว   หล่อนมีเจ้าของเสียแล้ว   และผู้ที่มีโชคเหลือล้ำผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น   หากแต่เป็นญาติของเขาเอง   แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นตายร้ายดีประการใด   แต่สักวันหนึ่ง   เขาผู้นั้นอาจจะปรากฏตัวออกมาจากป่ารกเพื่อร้องทวงสิทธิคืน...   จ้าวศรีฟ้าหยุดคิดเสียในฉับพลัน   เขาไม่กล้าคิดต่อไป  เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าความคิดนั้นมันเป็นอันตรายต่อมโนธรรม และจริยธรรมของตนเองนัก

จ้าวศรีฟ้าลอบถอนใจเบาๆ   พอดีกับหญิงสาวหันมา   ตาต่อตาสบกัน   ผดายิ้มให้พร้อมกับถามว่า

“จ้าวถอนใจ มีเรื่องหนักใจอะไรหรือคะ”

“เปล่าครับ”   จ้าวศรีฟ้าอดรู้สึกไม่ได้ว่าคำตอบของตนนั้นเป็นคำตอบที่ทึ่มที่สุด แต่ก็นึกอะไรที่ดีกว่านั้นไม่ทัน

“มีเรื่องหนักอกหนักใจอะไร ก็ปรึกษาผดาเขาดูเถิดเจ้า”   คำรสซึ่งไม่ยอมนั่งหน้ารวมเป็นสามคน และหนีเข้าไปขดตัวเงียบอยู่ภายในที่นั่งตอนในคนเดียวเอ่ยขึ้นมา   “ข้าเจ้าเชื่อว่าผดา คงจะต้องช่วยจ้าวได้แน่ๆ”   หล่อนจบคำพูดด้วยเสียงหัวเราะคิกๆ

“นั่นยังไม่หลับหรอกหรือคำรส”   ผดาหันไปทางเพื่อนสาว   ถลึงตาให้เมื่อเห็นว่าคนขับมิได้มองมาดู   “เห็นนั่งเงียบสนิทมานานนึกว่าหลับไปเสียแล้วล่ะ”

คำรสกำลังคิดจะพูดต่อไป อย่างคะนองปากตามความคิดของหล่อนในขณะนั้น   แต่เมื่อมองเห็นสายตาของเพื่อนสาวก็เลยสงบปากเสีย เพียงแต่หัวเราะเบาๆ แล้วก็ขดตัวลงซุกตรงมุมรถต่อไป ผดาหันกลับไปมองทางเบื้องหน้าตามเดิม   ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวขึ้นว่า

“จ้าวศรีชลาเป็นยังไงขึ้นบ้างคะวันนี้”

“สบายขึ้นมากครับ”   จ้าวศรีฟ้าหันมายิ้มอ่อนๆ แล้วหันกลับไป   “ลืมเรื่องของตัวเองเกือบหมดแล้ว กำลังวุ่นวายอยู่ด้วยเรื่องของคุณ”

“เรื่องของดิฉัน”   ผดาทวนคำเสียงสูงอย่างประหลาดใจ   พลางมองดูดวงหน้าซีกข้างของเขา   จ้าวศรีฟ้าผงกศีรษะรับคำโดยที่มิได้หันมา บอกว่า

ครับ เรื่องของคุณและพัจนา   เราเสียใจด้วยกับคุณจริงๆ ครับ ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คุณและพัจนาเคราะห์ร้ายมากทีเดียว”

“ขอบคุณค่ะจ้าว   ถึงแม้ว่าดิฉันจะได้รู้จักกับจ้าวทั้งสามชั่วเวลาเพียงไม่กี่วันก็ตาม   แต่ดิฉันก็รู้สึกว่าจ้าวช่างดีต่อดิฉันเป็นที่สุดทุกคน”

“ชะตาของเราต้องกันน่ะครับ”   จ้าวศรีฟ้าหัวเราะอยู่ในคอ   “นี่ก็เพราะศรีชลาแกบ่นถึงคุณ ผมถึงได้ต้องมากวนใจคุณผดารับตัวไปคุ้มยังไงล่ะ”

“ผดาเขาบ่อยากไปหรอกเจ้า”   คำรสส่งเสียงออกมาจากที่นั่งตอนในอีก   “เขาบ่ชอบหน้าพี่ชายคุณพัจนา”

“พลินทร์น่ะหรือครับ”   จ้าวศรีฟ้าถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ   “คุณผดาเกลียดพลินทร์มากเทียวหรือครับ”

“เขาก็คงจะไม่ชอบดิฉันมากไปกว่าที่ดิฉันชอบเขาหรอกค่ะ”   ผดาตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ   “คนเราถ้าไม่ถูกกันแล้วก็อย่าเข้าไปใกล้กันดีกว่า”

“แต่คุณไม่ได้ไปหาพลินทร์นี่ครับ   คุณไปหาศรีชลาต่างหากเล่า”   จ้าวศรีฟ้าค้าน และผดาก็รับว่า

“ดิฉันคิดอย่างนี้น่ะซีคะ   วันนี้ดิฉันจึงได้มากับจ้าว”

อีกไม่กี่นาทีต่อมา  จ้าวศรีฟ้าก็พายานพาหนะคันงามของเขาแล่นเข้าเทียบบันไดหน้าของคุ้มไศล หลังจากที่ได้ทำหน้าที่สุภาพบุรุษ   คือเปิดประตูรถให้สตรีสาวที่มาด้วยทั้งสองคนนั้นลงมาเรียบร้อย แล้วตัวเขาเองก็ซอยเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปโดยเร็ว  ผดาและคำรสซึ่งขึ้นบันไดตามไปช้าๆ  ได้ยินเสียงเขาตะโกนดังๆ  อย่างแจ่มใสว่า

“น้องจ๋า น้องศรีชลา   พี่พาใครมาแน่ะ”

เขาหันมายิ้มกับผดาก่อนที่จะเดินเลี้ยวไปทางหลังบ้าน   ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมด้วยน้องสาว   จ้าวศรีชลาลืมตาโตเมื่อมองเห็นหญิงสาวทั้งสอง   เธอดึงแขนออกจากการเกาะกุมของพี่ชาย  เดินแกมวิ่งเข้ามาหาพลางจับมือและแขนผดาอย่างสนิทสนม ขณะที่ทักทายว่า

“แหม คุณผดา ดิฉันบ่นถึงคุณมาตั้งแต่บ่ายวานนี้แน่ะค่ะ ตั้งแต่รู้เรื่องพัจนา”

ผดายิ้มรับคำทักทายนั้น ถามว่า     “นี่จ้าวลุกลงมาข้างล่างได้แล้วหรือคะ”

“จำเป็นต้องลุกนี่คะ”     เจ้าของบ้านสาวตอบ     “พวกสุภาพบุรุษท่านจะเข้าป่ากัน ไม่มีใครจัดเตรียมเครื่องใช้ไม้สอยให้   เสียงเอะอะวุ่นวายกันมาตั้งแต่เช้า ดิฉันทนนอนอยู่ไม่ไหวเลยต้องลุกขึ้นมาช่วย”

“อ้อ นี่จะเข้าป่ากันหรือคะ”   ผดาถาม   “ท่าจะไปล่าสัตว์กระมังคะ”

“ไม่ใช่ไปล่าสัตว์หรอกค่ะ”     จ้าวศรีชลาตอบ  และยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อไป พี่ชายซึ่งยังคงยืนอยู่ด้วย ณ ที่นั้นก็ขัดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะๆว่า  “เอ้า นี่จะยืนพูดกันอยู่ตรงนี้หรือจ๊ะ น้อง   คุณผดากับคำรสเมื่อยแย่ละ”

“ตายจริง ขอโทษทีค่ะ”     จ้าวศรีชลาหัวเราะ  จับมือผดาจูงให้เดินตามไปพร้อมกับบอกว่า     “งั้นมานั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นดีกว่านะคะ มาทางนี้เถอะจ้ะคำรส”

“พี่จะไปบอกให้เขาหาขนมมาเลี้ยงคุณผดากับคำรส”     จ้าวศรีฟ้าอาสาแล้วก็เดินหายไปทางหลังบ้านอีกครั้งหนึ่ง ผดาปล่อยให้เจ้าของเจ้าบ้านสาวจูงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่น่าสบายแต่โดยดี   เครื่องตกแต่งในห้องนี้เลียนแบบเครื่องเรือนของไทยในสมัยโบราณกลายๆ   แต่มาดัดแปลงให้กะทัดรัดขึ้นโดยเอาศิลปะสมัยใหม่สอดแทรกเข้าไปเล็กน้อยแต่พองาม   คำรสทอดกายลงนอนพังพาบบนตั่งยาวเท้าคู้ ลงรักปิดทองตัวหนึ่งที่มีสมุดแบบเสื้อวางทิ้งไว้   ผดามองดูอย่างขัน   ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างศรีชลาบนตั่งยาวอีกตัวหนึ่งข้างหน้าต่าง

“พวกผู้ชายเขาจะเข้าป่ากัน”     จ้าวศรีชลาว่า     “ดิฉันต้องอยู่คนเดียว คุณผดามาอยู่เป็นเพื่อนดิฉันหน่อยไม่ได้หรือคะ”

“อ๊ะๆ”     คำรสร้องออกมาจากที่ที่หล่อนทอดกายอยู่อย่างสบายอารมณ์นั้น     “จ้าวเอาผดามาเสียแล้ว ข้าเจ้าจะอยู่กับใครล่ะ”

“แหม หวงด้วยหรือ”     จ้าวศรีชลาว่า “ก็คำรสมีแม่เฒ่าอยู่ด้วยทั้งคนแล้วนี่นา   ขอยืมคุณผดาสักสองสามวันไม่ได้หรือ”

“มีเมื่อไหร่เจ้า”     คำรสแย้ง    “แม่เฒ่าจะไปเยี่ยมญาติที่ลำพูนพรุ่งนี้แล้ว   ถ้าจ้าวเอาผดาไว้เสียที่นี่ ข้าเจ้าก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะซิ   กลัวตายเลย”

“ถ้างั้นคำรสก็มาอยู่ที่นี่เสียด้วยกันซีจ๊ะ”     ศรีชลาบอก     “สนุกดีเสียอีก มาอยู่ด้วยกันหลายๆคน”

“จ้าวศรีฟ้าคงจะเป็นหัวหน้าคณะนิยมไพร คณะนี้กระมังคะจ้าว”     ผดาถามยิ้มๆ มิได้สนใจนักว่าจะได้รับคำตอบอย่างไร  มันเป็นการถามไปตามมารยาทมากกว่า   แต่คำตอบที่ได้รับนั้นกลับทำให้ผดาต้องสนใจเกินกว่าที่คาดหมายไว้เป็นอันมาก   จ้าวศรีชลาตอบว่า

“ไม่ใช่จ้าวพี่หรอกค่ะ ที่เป็นหัวหน้าคณะ   คุณพลินทร์ต่างหากเล่าคะ   เพราะการเข้าป่าครั้งนี้ไม่ได้ไปอย่างนักนิยมไพร   แต่คุณพลินทร์จะไปค้นหาพัจนา”

คำรสผลุดลุกขึ้นนั่ง   พร้อมๆ กันกับที่ผดาทวนคำออกมาด้วยความประหลาดใจว่า

“ค้นหาพัจนา...   นี่จะเข้าป่าไปค้นหาพัจนากันหรือคะจ้าว”

“ครับ” เป็นคำตอบของจ้าวศรีฟ้าซึ่งเดินเข้ามาในห้องนั้น ทันได้ยินประโยคสุดท้ายของผดา ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้คู้ เป็นรูปเท้าสิงห์บุนวมสีเขียวฝรั่งซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่ผดานั่งพอสมควร ด้วยอิริยาบถตามสบาย     “พลินทร์ตกลงใจที่จะเข้าป่าไปค้นหาพัจนาเองครับคุณผดา   ผมกับศรีธรเลยตกลงที่จะไปด้วย”

“ศรีธรเขาเป็นหมอประจำคณะค่ะ”     จ้าวศรีชลาอธิบายด้วยดวงหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความขบขัน    “ส่วนจ้าวพี่ศรีฟ้าไปเพราะห้ามคุณพลินทร์แล้วคุณพลินทร์ไม่ยอมเชื่อจะเข้าป่าให้ได้”

“ผมขัดใจขึ้นมาเลยไปเสียด้วยรู้แล้วรู้รอดไป”     จ้าวศรีฟ้าพูดต่อพร้อมกับหัวเราะ   เขาชะโงกกายเข้ามาหาผดาเล็กน้อย     “ลองคิดดูสิครับคุณผดา   เวลานี้พลินทร์เป็นแขกของผม   ถ้าพลินทร์เกิดเป็นอะไรไป ผมจะไปดูหน้าคุณป้า   เอ้อ...   แม่ของพลินทร์ยังไงได้ ผมก็เลยตัดสินใจไปเสียด้วยเลย   เป็นอะไรจะได้เป็นไปเสียด้วยกัน หมดเรื่องหมดราวไป”

“จ้าวจะไปค้นหาพัจนาที่ไหนคะ”     ผดาถามด้วยเสียงขรึมๆ   จ้าวศรีฟ้าตอบว่า     “ในป่าลึกมากครับ   ลึกเข้าไปจากเส้นทางเดินที่เขาใช้กัน   ถ้าจะตรงกันไปเลยก็ตกอยู่ในราวสองวันกว่าๆ   แต่นี่ดูเหมือนพลินทร์เขาจะไปที่ปางไม้ของเขาเสียก่อน  แล้วจึงจะเข้าป่าลึกต่อไป”

“แหม ดิฉันอยากเข้าไปด้วยเหลือเกิน”     ผดาพูดไปตามความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนั้น   และคำรสซึ่งนั่งลืมตาโตฟังอยู่อย่างสนใจ ก็ร้องค้านขึ้นมาทันทีว่า     “โอ๊ย อย่าไปนะผดา เธอไปไม่ได้หรอก ป่าลึกอันตรายมาก   มันมีทั้งเสือจริงเสือปลอมทีเดียว”

“คุณไปไม่ได้หรอกครับคุณผดา”     จ้าวศรีฟ้าสนับสนุนคำพูดของคำรส ดวงตาของเขาที่มองสบตาผดานั้นเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ     “เวลานี้อันตรายในป่ามีมาก   พวกเราที่ไปนี่ต่างก็เอาชีวิตไปเสี่ยงด้วยกันทุกคน”

“จ้าวจะให้ดิฉันเชื่อได้ยังไงคะ   ว่าการไปป่าคราวนี้ เต็มไปด้วยอันตรายจริงๆ”     ผดาแย้งด้วยเสียงเรียบๆ ดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายวาบวับอยู่ด้วยความนึกคิดในใจ “ในเมื่อคนอย่างพลินทร์ พงศ์ราช ยังไปได้”

คำพูดของเธอยังผลให้คนทั้งสามบังเกิดอาการตะลึงพรึงเพริดไปในทันที   คำรสตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าเพื่อนสาวของหล่อนจะกล้าพูดออกมาแบบขวานผ่าซากเช่นนั้น  แต่สำหรับจ้าวสองคนพี่น้องนั้น   แม้ว่าจะมีความรู้สึกคล้ายคลึงกันกับคำรส   แต่ก็ยังมีเหตุอื่นที่ทำให้บังเกิดอาการเช่นนั้น  ผดาหัวเราะเบาๆ กล่าวต่อไปว่า

“ดิฉันหยาบคายกับญาติของจ้าวมากเกินไปหรือคะ   ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอประทานโทษ   แต่ทว่าดิฉันพูดความจริง   จ้าวเองก็คงจะเห็นแล้วว่าเขาขี้ขลาดตาขาวเพียงไรที่ไม่กล้ามาเครื่องบิน ในเมื่อเขาส่งพัจนามา  ส่วนตัวเองสิรักชีวิต มาทางรถไฟ ดิฉันเชื่อว่าทางที่จะไปกันนี่คงจะไม่มีอันตรายอะไรนักหนาหรอกค่ะ  เพราะถ้ามีพลินทร์ก็คงจะไม่ยอมไปแน่นอน”

“คุณผดา”     จ้าวศรีฟ้าร้องขัดขึ้นมาทันทีที่หญิงสาวพูดจบ    “คุณเข้าใจผิด”

แต่ยังมิทันที่ผดาจะได้มีโอกาสรับรู้ว่าเธอเข้าใจผิดในเรื่องอะไร   บุคคลหนึ่งก็ก้าวเข้ามาเพิ่มจำนวนคนในห้องนั้น พร้อมด้วยคำถามว่า

“ใครเข้าใจผิดเรื่องอะไรกัน”

แล้วโดยมิได้รอฟังคำตอบ เขาก้มหัวให้คำรสนิดๆ เป็นการทักทาย  แล้วจึงหันมาทำอาการเช่นนั้นบ้างในทิศทางที่ผดานั่งอยู่   แต่ทว่าดวงตาของเขามิได้มองดูหล่อน  พลินทร์นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวถัดไปจากญาติหนุ่มของเขาผู้ซึ่งหันมาเกือบจะตรงหน้าผดา   เขากล่าวต่อไปเรื่อยๆว่า

“กำลังคุยกันอยู่หรือครับ  ผมต้องขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ  หวังว่าคงจะไม่เป็นความลับกระมัง”

เขาหันมาเลิกคิ้วเล็กน้อยกับจ้าวศรีฟ้าเมื่อกล่าวจบ   บุรุษหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงทีหลังนี้จึงตอบออกไปว่า     “ผมกำลังเล่าให้คุณผดาฟังว่าเรากำลังจะเข้าป่ากัน”

“เข้าป่าเพื่อค้นหาพัจนา”     พลินทร์เสริมด้วยเสียงเรียบๆ

“ถูกละ เข้าป่าเพื่อค้นหาพัจนา”     จ้าวศรีฟ้ารับรองคำพูดของสหาย” คุณผดาบอกว่าอยากจะเข้าป่าไปกับเราด้วย”

ดวงตาภายใต้คิ้วตกดำได้รูปนั้นชำเลืองมาทางหญิงสาวผู้ถูกกล่าวถึงแวบหนึ่ง แล้วก็เลยไปทางอื่น ก่อนที่จะพูดออกมาว่า     “น่าปลื้มใจแทนนายพัจนา   จ้าวอธิบายให้ฟังแล้วหรือยังว่าทางเดินในป่าน่ะ มันไม่เหมือนถนนแถวพาหุรัดหรือสุริวงศ์หรอก”

คำพูดนั้นยังผลให้ผดารู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมาในฉับพลัน   หญิงสาวเชิดคางขึ้นเล็กน้อยมองดูผู้พูดด้วยดวงตาที่ชาเย็น และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีลักษณะไม่ต่างกับดวงตาว่า     “คุณพลินทร์ ดิฉันเชื่อว่าคุณเองก็คงจะไม่ชำนาญกับทางเดินในป่ามากไปกว่าดิฉันหรอก”

พลินทร์ลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น เขามองดูหญิงสาวตรงๆ อย่างเคร่งขรึม   พูดด้วยเสียงที่เกือบจะห้วนว่า     “ผดา ถ้าเธอจะหมายความจริงจังละก็ ขอเชิญมาพูดกันในห้องสมุดดีกว่า ฉันจะคอย”     เมื่อกล่าวจบเขาก็หันหลังกลับเดินออกไปจากห้องนั้นทันที

ผดามองตามด้วยอาการเกือบจะตะลึง ในอึดใจแรกเธอเกือบจะตีความหมายของประโยคนั้นไม่ออก จนกระทั่งได้ยินเสียงค่อนข้างแหลมของคำรสร้องออกมาว่า

“ตายจริงผดา   นี่ทำไมเธอถึงได้พูดอย่างนั้นล่ะ   เธอตั้งใจจะไปป่ากับเขาจริงๆน่ะหรือ”

“คุณผดาอย่าไปเลยค่ะ”     จ้าวศรีชลาจับมือผดาสั่นอย่างร้อนอกร้อนใจ “อันตรายออกค่ะ   คุณพลินทร์ก็ไม่ควรจะมายั่วเลย   ไม่เอาละ ดิฉันจะไปบอกคุณพลินทร์เองว่า เมื่อตะกี้นี้ คุณพูดไปเพราะความโมโหที่ถูกยั่ว  ไม่ได้หมายความจริงจังอะไร”

เมื่อกล่าวจบหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ ก็ขยับกายลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปจัดการตามคำพูดของตน แต่ผดาได้ยึดข้อมือไว้เสียทัน แล้วบอกว่า

“ไม่ต้องค่ะจ้าว ดิฉันจะไปจริงๆ ดิฉันจะไม่ยอมให้คุณพลินทร์มาดูถูกดิฉันได้เป็นอันขาด”

“แต่คุณจะไปได้ยังไงคะ”     จ้าวศรีชลาค้าน    “คุณเป็นผู้หญิงคนเดียว แล้วก็อันตรายออกรอบข้าง”

“แต่ดิฉันอยากไปค่ะ จ้าว”     ผดายืนยันความตั้งใจด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว     “ดิฉันไม่กลัวอันตรายหรอกค่ะ  ถึงเป็นผู้หญิงคนเดียว ดิฉันก็ไม่กลัว   ในเมื่อดิฉันไปกับสุภาพบุรุษทั้งนั้น”

“โธ่ ห้ามก็ไม่เชื่อ”     ศรีชลาร้อนใจยิ่งขึ้น   มองดูพี่ชายอย่างจะขอให้เขาช่วยขอร้องด้วยอีกคนหนึ่ง  แต่เมื่อเห็นเขาผู้นั้นนั่งเฉยอยู่ในท่าวางอารมณ์ก็นึกฉิว     “จ้าวพี่ก็นั่งยิ้มเฉยอยู่ได้   ทำไมไม่ช่วยกันห้ามคุณผดาบ้างล่ะคะ”

จ้าวศรีฟ้าหัวเราะ ร้องว่า     “อ้าว เลยพาลมาโกรธเอาพี่เข้าด้วยเลย”     เขาหันมาทางผดา   ถามยิ้มๆว่า     “ว่าไงครับคุณผดา ถ้าผมห้ามคุณจะเชื่อผมไหมครับ”

“โอ๊ย บ่เชื่อดอกเจ้า”     คำรสตอบแทน     “ถึงข้าเจ้าเองจะห้าม ผดาเขาก็บ่เชื่อ เพื่อนข้าเจ้าคนนี้หัวรั้นออกจะตาย   ข้าพเจ้ารู้จักใจกันดี   ลงเขาตั้งใจว่าจะไปละก็ เอาอะไรมาฉุดเขาก็บ่ยอมอยู่”

ผดาหัวเราะออกมาทันทีอย่างชอบใจ  ลุกขึ้นยืนพลางบอกว่า     “รู้จักใจกันยังงี้ ค่อยน่ารักหน่อย”     หญิงสาวหันไปยิ้มกับสองพี่น้อง  พูดด้วยเสียงอ่อนโยนแต่เด็ดเดี่ยวว่า

“ดิฉันจะเข้าไปพบกับคุณพลินทร์ละค่ะ”

จบบทที่ 17