หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 29

....เดี๋ยวนี้พี่ได้งานทำเรียบร้อยแล้ว   พอพี่ได้เข้าทำงาน กิจการของบริษัทก็เกิดมีการเปลี่ยนแปลงพอดี   ถ้าพี่เข้าช้ากว่านี่อีกสักนิดก็อาจมีหวังพลาดงานนี้ก็ได้   ภิสัชคงจะบอกน้องแล้วว่าพี่ได้ตำแหน่งเป็นผู้ควบคุมดูแลคนงานขุดเหมือง   งานไม่หนักเลย   ที่บอกมานี้ก็เพราะกลัวว่าน้องจะเป็นห่วง   เวลานี้หุ้นส่วนใหญ่กำลังเปลี่ยนมือ   แต่จะเป็นใครพี่ก็ยังไม่ทราบ   ทราบแต่ว่าเขายอมให้คนงานชุดเก่าทั้งหมดยังคงทำงานต่อไป   อาทิตย์หน้าจะมีการประชุมคนงานทั้งบริษัท เพื่อแนะนำผู้ถือสิทธิ์ และชี้แจงการดำเนินงานของคณะผู้ดำเนินงานชุดใหม่   เมื่อเรียบร้อยแล้วพี่จะเล่ามาให้ฟังทีหลัง   น้องคงจะสบายดีนะจ๊ะ ผดา   คำรสเป็นอย่างไรบ้าง   พี่คิดถึงน้องเป็นที่สุด   เราไม่เคยต้องอยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้เลยไม่ใช่หรือ   พอเลิกงานแล้วก็ไม่มีอะไรทำ พวกคนงานเขาแอบเปิดวงเล่นการพนันกัน   เขาชวนพี่อยู่เหมือนกัน แต่พี่เล่นไม่เป็น   จะห้ามไม่ให้เขาเล่นกันก็ไม่ได้   เขามันคนเก่า   เราเพิ่งจะไปเข้าใหม่จะทำรุนแรงไปก็ลำบากใจ

ผดาลดจดหมายในมือลงช้าๆ   ภิสัชกลับเข้ามาได้สามวันเข้านี่แล้ว   และครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรก็เหลือที่จะนับที่เธอนำเอาจดหมายของเผด็จออกมาอ่าน ...   พวกคนงานเขาแอบเปิดวงเล่นการพนันกัน... ข้อเขียนประโยคนี้ของเขาทำให้เธอไม่สบายใจเสียเลย   จริงอยู่ แม้ว่าเผด็จจะบอกมาว่าจะไม่เล่น   โอ คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถิด   ขออย่าให้พี่เผด็จเห็นผิดเป็นชอบไปเลย   เท่าที่เป็นอยู่เวลานี้ก็ได้รับการดูถูกเหยียดหยามมากพอดูอยู่แล้ว   ถ้ายิ่งถูกเข้ามากกว่านี้เธอจะทนได้อย่างไร

เสียงรองเท้าที่ย่ำลงบนใบไม้แห้งทำให้ผดารู้สึกตัว   เมื่อเธอมองไป ก็เห็นนายตำรวจหนุ่มหยุดยืนอยู่ห่างๆ   เขามองดูเธอด้วยดวงหน้าที่สงบเฉย   แต่ทว่าดวงตานั่นสิ ที่มีประกายอย่างเดียวกันกับที่เขาใช้มองเธอบ่อยๆ ในระยะหลังๆ นี้   ผดาเสหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดปรกติในใจ   ทักว่า

“เอ๋ ออกมาเดินเล่นหรือว่า...”

“ออกมาเดินเล่น.. เพราะว่าเผอิญเห็นคุณเดินมาทางนี้”   ชายหนุ่มตอบหัวเราะๆ พร้อมก้าวเดินเข้ามาใกล้อีก   เขามองดูที่ว่างข้างกายเธอ ถามว่า   “ให้ผมนั่งด้วยคนได้ไหม”

“เชิญซีคะ”   ผดาบอก กระเถิบไปใกล้ปลายขอนไม้อีกทางหนึ่งเพื่อเขยิบที่ให้เขา

ภิสัชหย่อนกายลงนั่ง   ยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ขอบใจ”

เธอคอยฟังอยู่ว่าเขาจะพูดอะไร   แต่หลังจากที่เขาได้นั่งลงแล้วเขาก็นิ่งเงียบไปนานจนกระทั่งเธอนึกแปลกใจ จึงหันไปมองดูเขาตรงๆ ก็ได้เห็นเขากำลังจับตามองดูเธออยู่ก่อนแล้ว   ผดารู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้น   แต่ก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหนี ภิสัชก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงที่ทำให้ผดาต้องเลิกคิ้วมองดูอย่างประหลาดใจ   เขาเห็นกิริยาอาการของเธอ และพูดขึ้นว่า

“มองหน้าผมเพราะแปลกใจที่อยู่ๆ ก็เห็นผมหัวเราะขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”   และโดยไม่ฟังคำตอบรับจากเธอ เขาพูดต่อไปว่า   “ผมจะบอกให้ว่าผมนึกขันอะไรขึ้นมา   ผมนึกขันที่เมื่อก่อนนี้ ผมเคยเฝ้ามองดูเวลาที่คุณนั่งคุยอยู่กับพัจนานานๆ สองต่อสอง แล้วก็นึกว่าตัวเองคงจะไม่มีโอกาส ไม่มีโชคดีอย่างนั้นบ้าง”

“ภิสัช…”

“จริงๆ นะ ผดา”   เขายืนยันด้วยเสียงจริงจัง   “ผมไม่เคยได้มีโอกาสเข้าใกล้คุณเลย   แล้วก็คิดด้วยว่าคงจะไม่มีโอกาสอย่างที่ว่านี้อีกแล้วในชาตินี้   ผมไม่ต้องการอะไรมากนักดอก   เพียงแต่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณ   ได้ฟังคุณพูด คุยอย่างเป็นกันเอง   ได้มีโอกาสที่จะเล่าอะไรต่ออะไรให้คุณฟังก็นับว่าเป็นความสุขใจอย่างยิ่งแล้ว...   อย่าเพิ่งห้ามไม่ให้ผมพูดเลยครับ ผดา”   เขามองดูเธออย่างขอร้องเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะพูดอะไรออกมา ดวงตาและสีหน้าของเขาทำให้ผดาต้องจำยอม   เธอมองไปทางอื่นอย่างลำบากใจ ขณะที่ภิสัชกล่าวต่อไปว่า

“ผมจะไม่รบกวนคุณมากไปกว่าขอร้องให้คุณรับฟังผมเฉยๆ หรอก   เมื่อก่อนนี้ผมไม่กล้าพูดก็เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด เพราะว่าคุณมีพัจนาอยู่แล้ว”

“ภิสัช   นี่คุณคิดว่าพัจนา... ไม่มีชีวิตอยู่แล้วหรือคะ”   ผดาถามพร้อมกับหันมามองเขาอย่างตกใจ   ภิสัชรีบพูดเร็วว่า

“เปล่าๆ ผมไม่ได้หมายความว่าพัจนาจะ... เอ... พัจนาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้   ผมหมายความแต่เพียงว่า...”   เขามีท่าทางอิหลักอิเหลื่อเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า   “แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องราวระหว่างคุณกับพัจนาในตอนนี้น่ะเหมือนกับหนังตอนฟิล์มขาด   จะต่อติดหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่   คุณก็เลยถือเอาโอกาสนี้แหละเป็นเวลาพักผ่อนอิริยาบถ”

“ตายจริง”   ผดาอุทาน   ไม่แน่ใจตัวเองว่าเธอรู้สึกอย่างไรในคำเปรียบเทียบของเขา   แต่ถึงอย่างไรภิสัชก็เป็นคนที่เธอเชื่อได้ว่าเขามีความหวังดีต่อเธออย่างจริงใจ   “สำนวนอันนี้น่าจะเป็นของจ้าวศรีธรมากกว่าของคุณ”

“งั้นรึ”   ภิสัชเลิกคิ้ว   “เขาเป็นคนอย่างไรนะ จ้าวศรีธรคนนี้”

“โอ เป็นคนดีมากค่ะ”   ผดาตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด   “เป็นคนที่รื่นเริงและคบง่ายที่สุด   ดิฉันไม่ต้องระวังตัวเลยเมื่อพูดกับจ้าวศรีธร   แม้ว่าเพิ่งจะรู้จักกัน แต่ดิฉันก็เชื่อว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ดีทีเดียว”

“งั้นเทียวหรือ”   ภิสัชพูดอย่างอารมณ์ดี   “แล้วพี่ชายของเขาล่ะ เป็นอย่างไร”

“จ้าวศรีฟ้าน่ะหรือคะ”   ผดาถาม   “เขาเป็นผู้ชายที่สุภาพเรียบร้อย   เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วทีเดียว   แล้วก็เป็นคนใจอ่อนอีกด้วย   คุณถามทำไมคะภิสัช”

ชายหนุ่มมิได้ตอบคำถามของเธอ  เขากลับถามต่อไปว่า   “แล้วอีกคนเป็นยังไง”

“อีกคน”   ผดามองหน้าเขาอย่างสงสัย   “ยังมีใครอีกล่ะคะ”

“อะไร”   คราวนี้นายตำรวจเป็นฝ่ายมองดูเธอด้วยสายตาอันประหลาด   “จะต้องให้ผมบอกด้วยหรือว่าอีกคนหนึ่งนั้นจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่พลินทร์ พงศ์ราช”

ผดาถึงแก่อ้ำอึ้งไปด้วยคำพูดประโยคนั้น   พลินทร์เป็นอย่างไร   เธอจะอธิบายให้ภิสัชเข้าใจได้อย่างไรว่าพลินทร์เป็นคนอย่างไร ในเมื่อเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอเห็นเขาเป็นคนอย่างไร   เธอไม่แน่ใจแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองที่มีอยู่ต่อเขา   ผดา มองสบตาภิสัชที่จ้องมองดูเธออย่างจะขอฟังคำตอบให้ได้นั้นอย่างยุ่งยากใจเป็นที่สุด   และขณะนั้นเอง ทั้งเธอและภิสัช ก็ต้องสะดุ้งขึ้นทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งสวบสาบมุ่งตรงมายังทิศทางที่เธอและภิสัชนั่งคุยกันอยู่นั้น   ทั้งคู่ผลุดลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยเร็ว   และอย่างไม่คาดฝัน   เสียงปืนได้ระเบิดขึ้นในระยะใกล้นัดหนึ่ง   สัญชาติญาณของการป้องกันตัวทำให้ผดาหมอบวูบลงในฉับพลันนั้นเอง พร้อมๆ กับที่ภิสัชกระโดดเข้าไปทางสิ่งที่เห็นไหวๆ อยู่ในพุ่มไม้ด้านหน้า   อีกชั่วครู่เดียวต่อมา หญิงสาวก็เห็นเขาจับคอเสื้อใครคนหนึ่งลากออกมา   คนๆ นั้น ผดาจำได้ว่าเป็นพลตำรวจ   เขาถือปืนยาวอยู่ในมือ

“แกจะบ้าแล้วรึ”   ภิสัชคำรามขณะที่เขย่ามือที่จับคอเสื้อนั้นไปมาอย่างแรงจนทำให้หน้าตาหัวหูของพลตำรวจผู้นั้นสั่นไปหมด   “ดันยิงปืนออกมาได้   เคราะห์ดีที่ไม่ถูกใครเข้า   ถ้าถูกเข้าสักคนลื้อจะว่ายังไง หา..!”

พลตำรวจผู้นั้นมีท่าทางตระหนกตกใจและขวัญเสียอย่างเห็นได้ชัด   ดวงหน้าขาวซีดและดวงตา เหลือกลาน   เขายกมือขึ้นไหว้   “ผมขอโทษครับ สารวัตร”   เขาละล่ำละลักพูดจนเกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์   “ผมขอโทษครับ   ผมหนีไอ้พวกนั้นมา   พอได้ยินเสียงพึ่บพับขึ้นผมก็เลยยิงส่งๆ ออกไป”

ภิสัชหยุดเขย่า   แต่มือยังคงยึดแน่นอยู่ที่คอเสื้อ   “หนีใครมา   แกหนีใครมา   วันนี้เป็นเวรแกออกลาดตระเวนคู่กับจ่าคำไม่ใช่หรือ”   เสียงของเขาเด็ดขาด และดุดันอย่างที่ผดาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย   “แล้วนี่จ่าคำหายไปไหน   เล่ามาให้ละเอียดเร็ว”

“ครับๆๆ”   พลตำรวจผู้นั้นรับคำปากคอสั่น   “คืออย่างนี้ครับ สารวัตร   ผมกับจ่าคำออกสังเกตการณ์ตามที่สารวัตรสั่ง   เราเดินกันเพลินไปครับ   จนกระทั่งไปพบกับพวกเจ้าสากันเข้าโดยไม่รู้ตัว”

“ไปพบกันพวกสากัน”   ภิสัชทวนคำ   “แกแน่ใจเรอะ”

“แน่ใจครับ   ต้องเป็นพวกสากันแน่ๆ เพราะผมได้ยินเสียงมันร้องว่า... เฮ้ย พวกเถ้าแก่กิมออกมาสอดแนมโว้ย.. เอามันพวกเรา...   แล้วก็มีปืนระดมยิงมาที่เรา   มองไม่เห็นดอกครับว่ามันยิงมาจากทางไหนบ้าง   ผมเห็นว่าท่าทางจะสู้มันไม่ได้   ผมก็เลยวิ่งหนีมา”

“แล้วจ่าคำอยู่ที่ไหนล่ะ   ไปบอกให้มาหาฉันซิ”   ภิสัชสั่งพร้อมกับคลายมือที่ยึดคอเสื้อออก   พลตำรวจผู้นั้นยกมือขึ้นลูบคลำลำคออยู่ไปมา   ทันใดนั้นก็ได้รับคำสั่งซ้ำอย่างเฉียบขาดอีกครั้งหนึ่งว่า

“ว่ายังไงล่ะ   ฉันสั่งให้ไปตามตัวจ่าคำมาพบฉันเดี๋ยวนี้”

พลตำรวจผู้ขวัญเสียมองดูผู้บังคับบัญชาของตนเหมือนอย่างจะร้องไห้   บอกว่า   “จ่าคำถูกพวกนั้นจับตัวไปแล้วครับ”

“หา ว่าไงนะ”   เสียงของเขาดังจนกระทั่งผดาเกือบสะดุ้ง   “แกว่าจ่าคำถูกจับไปเรอะ   แกวิ่งมาแล้วแกจะรู้ได้ยังไงว่าจ่าคำถูกจับไป”

“ผมเดาเอาเองครับ   ตอนที่ต่างคนต่างออกวิ่ง   ผมได้ยินเสียงจ่าคำร้องว่าแกถูกยิงที่ขา วิ่งไม่ไหว   ให้ผมวิ่งมาก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงแก”

“แล้วแกก็วิ่งมา   ขี้ขลาดหมาไม่มองทีเทียว”   เขาบริภาษอย่างโกรธ   “ไหนเรื่องมันเกิดขึ้นที่ไหน   ทำไมที่นี่ถึงไม่ได้ยินเสียงปืน”

“ไกลจากที่นี่มากครับ   ลึกเข้าไปในป่าทางเหนือโน่น   ตอนที่เราคิดจะกลับกันนั้น   ผมมองดูนาฬิกา จึงได้เห็นว่าเราเดินกันอยู่ถึงสองชั่วโมงกว่า”

“สองชั่วโมงกว่า”   ภิสัชทวนคำ   “ทางไกลถึงขนาดนั้นแล้วแกยังอุตส่าห์วิ่งกลับมาถูกอีกนะ   ทั้งๆ ที่แกไม่ใช่คนเมืองนี้”

คราวนี้พลตำรวจผู้นั้นยิ้มออกมาได้เล็กน้อย   “ผมวิ่งมาตามเครื่องหมายครับ สารวัตร”   เสียงที่ตอบนั้นแสดงความภูมิใจในไหวพริบของตนยิ่งนัก   แต่แล้วแทนที่จะได้รับการชมเชยดังที่คาดหวังไว้   พลตำรวจผู้เคราะห์ร้ายกับต้องรู้สึกตระหนกอกสั่นจนขวัญบิน เมื่อคอเสื้อที่ถูกปล่อยมาหยกๆ นั้นกลับถูกขยุ้มเข้าไปอีก   เสียงของสารวัตรที่ยามใจดีก็ดีเหลือหลาย และยามดุก็ดุเหลือล้น ดังเข้าไปในหูจนแก้วหูแทบลั่นว่า

“ว่าอะไรนะ เครื่องหมายรึ   เครื่องหมายอะไรกัน”

“เครื่องหมายที่ผมทำเอาไว้ให้จำทางได้ครับ”   พลตำรวจโชคร้ายตอบปากคอสั่น   ตาที่มองดูผู้บังคับบัญชาเหลือกลานอย่างตกใจกลัว   ในทันใดที่ตอบออกไป เขาก็รู้สึกว่ามือที่รั้งคอเสื้อไว้นั้นรวบกระชับขึ้นอีก   และตัวเองก็ถูกจับเขย่าจนคอแทบจะหลุดออกจากบ่า   หูได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่สุดว่า

“แกเอ๋ย   เสือกทำเครื่องหมายไว้ทำไม   ทำไว้ให้พ่อแกตามมายิงทิ้งถึงที่นี่ยังงั้นรึ”   เขาเหวี่ยงร่างนั้นโดยแรงจนเซไปทางหนึ่ง   “หมดกัน... แผนการล้มเหลวหมดก็เพราะแกคนเดียว   ทำไมคนโง่อย่างแกถึงไม่ถูกผู้ร้ายคนอื่นมันยิงตายเสียก่อนที่จะมาร่วมงานกับฉันนะ อยากรู้นัก”

“แต่ สารวัตรครับ”   พลตำรวจเคราะห์ร้ายหน้าซีดปากสั่น   “ผมทำเครื่องหมายไว้ห่างๆ กัน   คงไม่มีใครทันสังเกตเห็นหรอกครับ”

“มีแต่ไอ้โง่อย่างแกน่ะซีที่จะไม่เห็น”   ภิสัชตวาด   “แต่ไม่ใช่คนอย่างสากัน   รู้ไหมว่าแกบอกให้มันรู้หมดแล้วว่ามีเหตุการณ์ผิดปรกติที่นี่   ถึงแกจะไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจก็เถอะ   แต่โจรจมูกไวอย่างสากัน จะต้องตามดมกลิ่นแกมาถึงที่นี่จนได้   ฉันสาบานให้ว่าอย่างช้าที่สุดภายในสองชั่วโมงนี้แหละมันก็จะรู้ว่าเรามาซุ่มอยู่คอยจะเล่นงานมัน”

คำชี้แจงอย่างแจ่มชัด เช่นนั้นคงจะทำให้พลตำรวจถึงกับช้อค   ผดาเห็นเขายืนตัวแข็งหน้าหมดสีเลือด พูดไม่ออกเอาทีเดียว   ในที่สุดก็ได้แต่พึมพำว่า

“ผม... ผมไม่ทันได้คิดครับ สารวัตร”

“เออ เพราะไอ้คนที่ไม่มีความคิดอย่างแกนี่แหละที่ทำให้คนตายมาเสียนักต่อนักแล้ว”   ภิสัชว่า   เดินกลับไปมาอย่างงุ่นง่าน   แล้ว ก็หันขวับมาทางผดา   คว้ามือเธอไว้ พูดด้วยเสียงเด็ดขาดอย่างตัดสินใจว่า   “ผดาครับ   กลับที่พักกันเถอะ   ช้าอยู่ไม่ได้แล้ว   ไอ้คนโง่ทำเสียเรื่องหมด   ผมจะต้องลงมือทำงานเดี๋ยวนี้”


อีกไม่ถึงห้านาทีต่อมา   พวกคนงานก็ถูกเรียกตัวมารวมกันหมดที่ลานดินกว้าง   เสียงไต่ถามกันให้เซ็งแซ่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็หามีใครตอบถูกไม่   และเสียงเซ็งแซ่นั้นยิ่งหนักขึ้นอีกเมื่อปรากฏว่าพวกคนงานที่มาจากกรุงเทพฯ นั้นได้แปลงร่างเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไปโดยถ้วนทั่วทุกตัวคน   พวกพ้อง “นายใหญ่” ออกมาชุมนุมกันอยู่ที่หน้าบ้าน   แต่ละคนมีใบหน้าเคร่งเครียด   และคนหนึ่งที่คนชอบเดินตระเวนไปเที่ยวคุยกับคนงานคนโน้นคนนี้อย่างเป็นกันเอง จนกระทั่งใครๆ พากันคิดว่าจะมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการนั้นเล่า   บัดนี้เกิดมากลายเป็นนายตำรวจไปเสียอีกแล้ว

ท่าทางที่เคยรื่นเริง   ชอบซักโน่นซักนี่เหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็นหายไปจนหมดสิ้น   กลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเด็ดขาด เอาจริงเอาจังอย่างน่าคร้ามเกรงยิ่งนัก

เทอดให้คนงานเข้าแถวเรียกชื่อเรียงตัวตามคำแนะนำของภิสัช   เมื่อแน่ใจว่าอยู่กันครบครันแล้ว ก็จัดให้แบ่งกันไปเป็นยามเฝ้าทางเข้าออกทุกทางด้านละสามคน มิให้ใครผ่านเข้าออกจนกว่าจะได้รับคำสั่ง   ส่วนคนงานที่เหลืออยู่นั้น ได้รับการขอร้องให้นั่งรวมกันอยู่ที่ลานดินนั่นเอง   ถ้าหากว่าจะมีสมุนหรือผู้ที่เอาใจฝักใฝ่ต่อสากันปะปนอยู่ในหมู่พวกคนงานพวกนี้   คนคนนั้นก็เป็นอันหมดหนทางที่จะนำข่าวออกไปแจ้งให้สากันรู้ได้

ผดานั่งอยู่กับอุ่นเรือนผู้มีดวงน่าอันซีดขาวอย่างหวั่นกลัวและตื่นเต้น   ดวงตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ร่างของภิสัช   นี่มิได้เป็นครั้งแรกที่เธอเคยเห็นเขาในเครื่องแบบ   แต่ทว่ามันเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาในเวลาที่กำลังปฏิบัติหน้าที่   ดูเขาช่างเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เด็ดขาด และแข็งแกร่งอย่างน่าเลื่อมใส   เขามิได้เป็นชายหนุ่มที่ปราดเปรียวคล่องแคล่ว ช่างพูดเล่นเจรจาในบางครั้งอีกต่อไป   แต่เป็นชายที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และอุดมไปด้วยลักษณะของการเป็นผู้นำ

คนที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือจ้าวศรีธร ผู้ซึ่งเดินขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างระเบียงหน้าบ้าน และลานดินไม่รู้จักกี่สิบครั้ง   จนกระทั่งจ้าวศรีฟ้าเวียนหัวต้องเรียกให้มานั่งอยู่ใกล้ๆ

“แหม ผมอยากไปกับเขาบ้างเหลือเกินจ้าวพี่”   ศรีธรพูด   เมื่อเห็นพี่ชายหันมาขมวดคิ้วก็รีบหัวเราะเรี่ยๆ บอกว่า   “ไม่ไปหรอกครับ   สู้อยู่คอยเตรียมหยูกเตรียมยาไว้ไม่ได้นะครับ คุณภิสัช”

ประโยคหลังเขาหันไปพยักพเยิดกับภิสัช ซึ่งขึ้นมาซักซ้อมความเข้าใจกับพลินทร์ และเทอดอีกครั้งหนึ่ง   นายตำรวจพยักหน้า บอกว่า

“ครับ เตรียมไว้ก็ดี   ถ้าเผื่อเจอกับสากัน   จ้าวก็มีหวังได้ฝึกงานอีก”

“ผมคงจะต้องเป็นหมอสำเร็จใหม่ที่เก่งที่สุดในปีนี้แน่ๆ ทีเดียว”   ศรีธรพูดหัวเราะๆ   พลินทร์ซึ่งมองไปทางอื่นพูดขึ้นโดยมิได้หันมาว่า

“คุณภิสัช   นั่นแน่ะ   สุภาพสตรีเดินมานั่นแล้ว   ท่าจะมาอวยชัยให้พรคุณละกระมัง”   ภิสัชหันไปมองตามสายตาของพลินทร์ ก็ได้เห็นผดาลุกแยกจากที่ที่เธอนั่งอยู่กับอุ่นเรือน เดินมุ่งมาทางเรือนพักหลังนี้ จึงบอกว่า

“ผมจะลงไปหาเธอ”   แล้วก็ลงบันไดไป   พลินทร์มองตามร่างที่สง่าผ่าเผยอยู่ในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งเดินมุ่งไปหาร่างอันละหงกลมกลึงนั้น   ทั้งสองคนหยุดยืนอยู่ในระยะที่ห่างเกินกว่าคนที่อยู่บนเรือนพักจะได้ยินคำสนทนา   คงเห็นแต่ความวิตกห่วงใยที่แสดงออกมาบนดวงหน้าของฝ่ายหญิง และดวงตาของฝ่ายชายที่จ้องจับอยู่บนดวงหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ยอมคลาดเคลื่อนนั้น   จ้าวหนุ่มสองพี่น้องซึ่งยืนอยู่ข้างหลังพลินทร์ ได้ยินเสียงเขาพูดว่า

“มาพนันกันไหมล่ะจ้าวว่าใครจะเป็นฝ่ายมีชัย”   แล้วเขาก็หันมา พูดหัวเราะว่าๆ   “ผมว่าสากันเห็นทีจะสิ้นชื่อกันคราวนี้เอง เพราะไม่มีแรงใจคอยช่วยเหมือนนายตำรวจของเรา”

จบบทที่ 29