หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 5

ร้อยตำรวจเอก   ภิสัช นิติรักษ์   ลงบันไดจากชั้นบนมายังชั้นล่างด้วยลักษณะครึ่งเดินและครึ่งวิ่ง เขาก้าวเท้ายาวๆ ผ่านห้องกลางไปยังบันไดหน้า  ซึ่งจอดรถเทียบไว้   หยุดละงักเมื่อเห็นชายชราผู้หนึ่งกำลังจะก้าวลงบันไดไป

“คุณพ่อครับ”

ภิสัช ร้องเรียก   เมื่อสุภาพบุรุษชราผู้นั้นหันมาและหยุดยืนคอยทีอยู่ระหว่างขั้นบันได ชายหนุ่มก็สาวเท้าเข้าไปหาโดยเร็วพร้อมกับถามว่า

“คุณพ่อจะไปไหนครับ”

“จะไปธุระสักหน่อย   แกจะไปไหนละ   ไงวันนี้เลิกงานแต่วัน”

“นายตำรวจกองปราบทำงานไม่เป็นเวลาหรอกครับ”     บุตรชายตอบพลางหัวเราะ     “คุณพ่อจะไปไหนครับ ผมจะไปส่งให้ก็ได้”

“ดีเหมือนกัน”     พระนิตินัยบำรุงพูดอย่างอารมณ์ดี     “พ่อจะไปที่เทพสถิต”

หัวคิ้วของนายตำรวจหนุ่มมุ่นเข้าหากัน    “ไปทำไมกันครับที่ เทพสถิต”     เขาถามอย่างไม่สู้จะสบใจนัก

“คุณพลินทร์ให้คุณชัชโทรศัพท์ มาบอกว่าอยากจะพบพ่อ”     คุณพระตอบพลางเดินไปที่รถของบุตรชาย   เจ้าของรถเดินตามมาหยุดอยู่ใกล้ๆ  ถามต่อไปว่า

“เขามีธุระอะไรกับคุณพ่อครับ   ถ้าผมเป็นคุณพ่อผมไม่ยักไป  เมื่อมีธุระอยากจะพูดอะไรด้วยก็เชิญมาหาที่นี่ซิ   เรื่องอะไรถึงจะเรียกผู้ใหญ่ไปหา”

“ช่างเถอะ”     คุณพระตัดบทอย่างอารมณ์ดีตามเคย     “ถึงอย่างไรพ่อก็ต้องนึกถึงท่านเจ้าพระยาพงศ์ราชา   ท่านเคยมีบุญคุณล้นหัวพ่อมา   ถ้าท่านไม่ให้หลังคาคุ้มหัวมาแต่ก่อน  ป่านนี้พ่อก็คงไม่ได้เป็นพระนิตินัยบำรุง อาจจะเป็นเจ้านายอะไร   ไถนา ตัวดำเป็นเหนี่ยงอยู่ที่ราชบุรีโน่นก็ได้ และแกเองก็อาจจะไม่ได้เป็นนายร้อยตำรวจเอกภิสัชอย่างทุกวันนี้”

“แปลว่าเราจะต้องเป็นหนี้บุญคุณพวกพงศ์ราชนี่ ตลอดไปโดยไม่มีที่สิ้นสุดหรือยังไงครับ” ภิสัชถามด้วยเสียงค่อนข้างขุ่น ขณะที่เปิดประตูรถให้บิดาก้าวขึ้นไปนั่ง   และตัวเองเดินอ้อมไปนั่งยังที่คนขับ แต่ยังมิได้ติดเครื่อง

“ความรู้สึกระลึกถึงคุณคนเป็นนิสัยที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งของคนไทยเรานะลูก”

คุณพระว่า    ลูกชายของท่านยักไหล่เล็กน้อยเปิดสวิทซ์ไฟ และสต๊าร์ทเครื่องพารถแล่นวนอ้อมสนามออกประตูบ้านสู่ถนน

“แต่ถึงยังไงผมก็ทำใจให้นิยมยินดีในตัวนายพลินทร์ คนนี้ไม่ได้สนิทหรอกครับ คุณพ่อ” ภิสัชพูด เขาบังคับให้รถวิ่งไปเรียบๆ ตามสบาย     “ผมไม่ถูกชะตาเลยกับไอ้การวางท่าว่าข้าเป็นคนวิเศษกว่าใครของเขานี่จริงๆ รู้สึกว่าเขาจะเห็นคนอื่นโง่เง่าต่ำต้อยกว่าตัวเสียหมด”

“เป็นธรรมดาของคนที่ถูกยกย่องให้มีอำนาจ ไม่เคยต้องเป็นรองใครเลยตลอดมา”     คุณพระอธิบาย “แต่คุณพลินทร์เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ นะ   พ่อเองยังต้องยอมรับว่านับถือความสามารถของเขา   คนหนุ่มๆ ในวัยเดียวกันนี้น้อยคนนักที่จะมีความสามารถอย่างเขา”

บุตรชายท่านทำเสียงอย่างหนึ่งในคอก่อนที่จะพูดว่า    “ครับ ขึ้นชื่อว่าพวกพงศ์ราชแล้วเขาถือว่าเขาวิเศษกว่าคนอื่นทั้งนั้นแหละ”

คราวนี้คุณพระหันไปมองดูหน้าบุตรชายคนเดียวของท่านอย่างพิจารณาก่อนที่จะพูดว่า “เอ แกก็ไม่ค่อยจะรู้จักมักคุ้นกับเขานี่นะ ภิสัช   แต่ทำไมเสียงที่แกพูดถึงเขานั้นถึงได้ฟังดูคล้ายกับว่าแกจงเกลียดจงชังเขานัก”

ภิสัชหัวเราะแทนคำตอบ   นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามว่า

“คุณพ่อจะกลับเมื่อไหร่ครับ”

“แกไม่ต้องมารับพ่อหรอก”     คุณพระตอบ    “เวลาพอไม่ได้เอารถไป คุณพลินทร์เคยให้รถที่บ้านมาส่งพ่อทุกที   ถ้าคุณพัจนาอยู่ แกก็เคยขับ รถมาส่งพ่อ   แต่นี่คุณพัจนาก็ไปเชียงใหม่เสียแล้ว  เฮ้ย...     รถสวน ภิสัช”

ประโยคสุดท้ายท่านร้อง   ออกมา อย่างตกใจเมื่อเห็นว่ารถคันที่บุตรชายขับอยู่นั้นแฉลบออกกลางถนนจนเกือบจะประสานเข้ากับรถคันที่แล่นสวนมา   ภิสัชหักพวงมาลัยกลับโดยแรง   แล้วชะโงกหน้าออกไปหัวเราะกับคนขับรถคันที่สวนไปนั้น

พระนิตินัย ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อกล่าวกับบุตรชายว่า “หันมามองพ่อทำไม ขับรถก็ต้องมองถนนซีแก เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

“ขอประทานโทษครับ”     ลูกชายของท่านยังหัวเราะอยู่     “ไหนเมื่อกี้นี้คุณพ่อว่านายพัจนาเขาไปเชียงใหม่แล้วหรือครับ”

“คุณชัชบอกว่าไปเมื่อเช้านี้เอง ทำไมรึแกเดือดร้อนอะไรกับเขาด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ ไปเชียงใหม่เมื่อเช้านี้รึครับ”     ภิสัชขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ    “วันนี้เครื่องบินไปเชียงใหม่ไม่มีนี่ครับ   ดูเหมือนเขาว่าทัศนะวิสัยไม่ดี   นักบินเขาไม่ยอมเสี่ยง   เพื่อนผมจะไปยังไปไม่ได้ต้องเลื่อนไปพรุ่งนี้”

“นี่เผอิญมีคนเขาเช่าเครื่องบินพิเศษไป   ลูกชายเถ้าแก่กิมเจ้าของบริษัทป่าไม้ที่เชียงใหม่ คุณพลินทร์เลยให้คุณชัชจัดการฝากน้องชายไปด้วย”

“แปลว่าถ้าลงสั่งให้ไปวันนี้ก็ต้องให้ไปให้ได้ใช่ไหมครับ”

“ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ”     คุณพระตอบแบ่งรับแบ่งสู้     “คุณพลินทร์นี่ดูยาก บางทีก็ดูเป็นคนใจเย็น   แต่บางทีก็กลายเป็นคนใจร้อนไปได้อย่างประหลาด เฮ้อ..”     ท่านหยุดถอนใจแล้วหัวเราะ “นั่นแหละ   มันเป็นเรื่องของท่าน   ท่านพี่กันน้องกัน”

“เอ แล้วทำไมพัจนายอมไป”     ภิสัชพูดคล้ายรำพึง     “ก็กำลังจะแต่งงานอยู่อาทิตย์หน้านี่แล้ว”

คราวนี้คุณพระอดมิได้ที่จะออกอุทานด้วยความประหลาดใจขณะที่หันมามองหน้าบุตรชาย

“ฮ้า   คุณพัจนาน่ะเรอะ จะแต่งงานอาทิตย์หน้า   แกไปรู้ข่าวนี้มาจากที่ไหน   พ่อเองรู้แต่ว่าแกไปชอบพอผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ คุณพลินทร์ไม่เต็มใจ”

“จะผู้หญิงที่ไหน”     ภิสัชกระแทกเสียงในลำคอ    “คุณพ่อจำได้ไหมครับว่านายพัจนาเคยขับรถชนพ่อของเพื่อนผมตาย”

“เออ จำได้   แล้วไง”

“เขาจะแต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนผม”     ตาของผู้พูดเพ่งตรงไปเบื้องหน้า   เสียงของเขาก็เครียดขึ้นจนสะดุดหูผู้เป็นบิดา     “ลูกสาวของคนที่ถูกเขาขับรถชนนั่นแหละครับ”

“อ้าว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ”     พระนิติอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างแท้จริง “ผู้หญิงเขาไม่ได้โกรธเคืองคุณพัจนาดอกรึที่ทำพ่อเขาตาย”

“นั่นน่ะซีครับ”     เสียงภิสัชขุ่นมัว     “ไม่รู้ว่าโลกเรานี่มันบ้าบออะไร”

“อือ”     คุณพระครางในคอ   มองดูหน้าบุตรชายอย่างขันและพอจะรู้เท่า    “อ้าว.. อ้าว.. ถึงแล้วนี่ จอดส่งพ่อที่ประตูนอกนี่แหละ   แกไม่ต้องเข้าไปข้างในหรอก   พ่อจะเดินเข้าไปเอง”

ภิสัชหักพวงมาลัยรถเข้าจอดเทียบหน้าประตูเหล็กโปร่งแล้วจึงลงจากที่นั่งอ้อมไปเปิดประตูให้บิดา   คุณพระก้าวลงจากรถพร้อมกับถามบุตรชายว่า

“แกจะไปไหนต่อล่ะนี่”

ภิสัชก้าวขึ้นนั่งประจำที่   เอื้อมมือปิดประตูบอกว่า

“ผมจะไปบ้านเผด็จเพื่อนผม   พี่ชายของคู่หมั้นพัจนาเขานั่นแหละครับ”

คุณพระกำลัง จะเดินเข้าสู่ประตูใหญ่   หยุดชะงักหันกลับมาถามด้วยเสียงแสดงความประหลาดใจว่า     “หือ ไปบ้านใครนะ”

คุณพระไม่ได้รับคำตอบจากบุตรชาย   เขาเพียงแต่ยิ้มอยู่ในหน้าแล้วก็พารถวิ่งออกไปจากที่นั้น   ท่านจึงได้แต่เกาศีรษะ   บ่นพึมพำว่า

“เอ   นี่มันยังไงกันหว่า”

อีกสิบนาทีต่อมา   นายชมหัวหน้าคนใช้ก็พาคุณพระเข้าไปในห้องสมุดอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นห้องที่เจ้าของบ้านใช้ทำงาน   ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่สีดำเป็นมันปลาบ มีลวดลายแกะสลักอย่างงดงามเป็นสีทอง   ลุกขึ้นยืนต้อนรับพร้อมกับกล่าวว่า

“อ้อ คุณพระ   ขอบคุณที่มา   เชิญนั่งซิครับ”

พระนิตินัยเหลียวมองหาเก้าอี้   นายชมผู้ซึ่งรู้จักหน้าที่ของตนดี เดินไปยกเก้าอี้จากริมหน้าต่างมาวางลงตรงหน้าโต๊ะ   แล้วก็ถอยออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตูเสียด้วย   พระนิตินัยหย่อนกายลงนั่ง   พูดว่า

“คุณชัชบอกว่าคุณพลินทร์ อยากพบผม”

พลินทร์   พงศ์ราช   นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม   เอื้อมมือเปิดหีบซิการ์ เลื่อนมาทางเบื้องหน้า บอกว่า

“เชิญสูบบุหรี่ซิครับ”

พระนิตินัยหยิบขึ้นมาถือไว้มวนหนึ่ง  พลินทร์ละโงกกายเข้ามาจุดให้   ชายชราพ่นควันออกมาเป็นทางยาวก่อนที่จะถามว่า

“คุณพลินทร์ให้คุณชัชโทรศัพท์ ตามตัวผมมาด้วยเรื่องอะไรหรือครับ”

“คุณชัชคงบอกคุณพระแล้วว่า พัจนาไม่อยู่ไปเชียงใหม่”

“ครับ   คุณชัชบอกแล้ว”     พระนิตินัยตอบเรียบ ๆ  คอยฟังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะพูดอะไรต่อไป

“คุณพระทราบหรือเปล่าครับว่าพัจนาเขาจะแต่งงานอาทิตย์หน้านี้แล้ว”

“ผมก็พอจะทราบอยู่บ้างว่า คุณพัจนากำลังไปติดพันใครอยู่คนหนึ่ง”

พลินทร์มองสบตาชายผู้มีอาวุโสกว่าพูดต่อไปโดยเร็ว   “ผมไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ คุณพระ ผมไม่ต้องการต้อนรับผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้ามาเป็นสะใภ้ของพงศ์ราช”

พระนิตินัยถามเรื่อยๆ ว่า     “คุณพูดกับคุณพัจนาแล้วหรือครับ”

“ผมพูดแล้ว”     พลินทร์ตอบอย่างหงุดหงิด    “แต่พัจนาไม่ยอมฟังเสียงเลย ดูท่าทางเขาหลงเสน่ห์ แม่นั่นจนกระทั่งจะยอมเนรเทศตัวเองออกไปจากเทพสถิต ยอมคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมอบให้ ขอเพียงแต่ให้ได้แต่งงานกับแม่นั่นเท่านั้น”

“ขอโทษครับ”     พระนิตินัยขัดขึ้น     “คุณพลินทร์จะกรุณาบอกได้ไหมว่าจะใช้อะไรผม”

“ผมอยากจะขอให้คุณพระเป็นทูตไปช่วยเจรจากับแม่ผู้หญิงคนนั้น”     พลินทร์ตอบโดยเร็ว “เข้าใจไหมครับคุณพระ   กรุณาไปช่วยพูดให้แม่คนนั้นเลิกล้มความตั้งใจที่จะแต่งงานกับพัจนาทีเถิด”

พระนิตินัยมองหน้าผู้พูดอย่างงงงวยไปชั่วครู่   พลินทร์ชะโงกกายมาเบื้องหน้าอย่างร้อนใจว่า

“ได้ไหมครับคุณพระ    ช่วยไปพูดให้แม่นั่นปล่อยมือจากพัจนาเสียที”

พระนิตินัยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ถอนใจยาว

“คุณเอางานยากที่สุดในชีวิตของผมมาให้ทำเสียแล้ว คุ  ณพลินทร์”

“แต่ผมเชื่อว่าคุณพระต้องทำได้”     เสียงที่พูดนั้นหนักแน่นที่สุดจนผู้ฟังถึงกับต้องถอนใจ

“ผมไม่ทราบว่าจะไปพูดว่าอย่างไร   เฮ้อ   ลำบากใจเหลือเกิน”

“พูดยังไงก็ได้   ขอแต่ให้หล่อนเลิกคิดแต่งงานกับพัจนาเป็นใช้ได้ทั้งนั้น”

“ก็นั่นน่ะซี”     คุณพระถอนใจอีกครั้งหนึ่ง    “ผมไม่ทราบจะไปพูดอย่างไรจึงจะทำให้หล่อนเลิกล้มการแต่งงานนี้เสียได้”

“เอาอย่างนี้เถอะ”     พลินทร์ออกความคิด     “บอกกับหล่อนซิครับ ว่าเราจะให้เงินหล่อนอย่างจุใจทีเดียว  ถ้าหากว่าหล่อนจะไม่แต่งงานกับพัจนา”

พระนิตินัยผงกขึ้นตั้งตัวตรงมองผู้พูดตาค้าง     “คุณพลินทร์ นี่คุณหมายความอย่างนั้นจริงๆ หรือครับ”

พลินทร์ก้มศีรษะรับ     “ผมหมายความตามที่ผมพูดทุกคำครับคุณพระ”     เขาเน้นเสียงหนักแน่นเมื่อพูดต่อไปว่า     “ผมยอมเสียถึงแสนถ้าแม่นั่นจะเรียกร้องขอ   แต่ให้พัจนาได้พ้นจากแม่นั่นเท่านั้นผมก็พอใจแล้ว”

“เฮ้อ”     ทนายความชราถอนใจพลางโคลงศรีษะ     “ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณจะยอมเสียเงินตั้งแสนเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้”

ดวงตาสีเหล็กเป็นประกายกล้าเมื่อมองตรงมาสบตาพระนิตินัย

“เกียรติยศ และชื่อเสียงของพงศ์ราชไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะครับ คุณพระ”

ชายชรา เอื้อมมือไปเขี่ยเถ้าบุหรี่ลงในจานแก้ว   พึมพำว่า     “ผมเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยน่ะซิครับ”

“นี่คุณพระหมายความว่า......”

พระนิตินัยก้มศรีษะรับ     “ครับ ผมกลัวว่าจะเข้าทำนองคุณเล็กเสียอีกคนละก้อ คุณเล็กน่ะ ไม่ใช่เพราะคุณพ่อบังคับใจเรื่องแต่งงานหรือครับถึงได้เตลิดเปิดเปิงหายสาบสูญไปจนทุกวันนี้”

พลินทร์ผลักเก้าอี้ไปทางเบื้องหลัง ลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่าง หันหลังให้ทนายความประจำตระกูล   นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงหันกลับมาพูดด้วยเสียงต่ำๆ ว่า    “ผมไม่อยากพูดถึงตาเล็กเลย ผมรู้สึกว่าคุณพ่อทารุณกับแกเกินไป   แต่ก็รู้ว่าท่านทำถูก   เวลานี้ก็เหลืออยู่แต่พัจนาคนเดียวที่เป็นความหวังของพงศ์ราช   ผมถึงได้ไม่อยากเสียเขาไปเหมือนที่ เสียตาเล็กไปแล้ว”

“แต่ผู้หญิงคนนั้นอาจะเป็นคนดีก็ได้นะครับ คุณพลินทร์”     พระนิตินัยแย้ง   แต่ชายหนุ่มได้พูดตัดบทอย่างเด็ดขาดว่า

“ผมไม่ต้องการจะเอาชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลลงเสี่ยงแบบนี้   ผมต้องการให้พัจนาแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมมั่นใจว่าจะไม่นำความอัปยศเสื่อมเสียมาสู่พงศ์ราชในภายหลัง”

“แปลว่า..”     พระนิตินัยถอนใจอีกไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร     “ผมจะต้องทำหน้าที่ที่แสนจะลำบากใจนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ละซีนะครับ”

พลินทร์เดินกลับมาช้าๆ   มือทั้งสองท้าวขอบโต๊ะ  โน้มตัวลงมาเบื้องหน้าเล็กน้อย ความเด็ดเดี่ยวฉายชัดออกมาทางดวงตาที่มองสบตาชายชราเมื่อพูดว่า

“ผมขอร้องให้คุณพระทำ   ถึงแม้จะไม่เห็นแก่ผม   ก็ขอให้เห็นแก่คุณพ่อเถอะครับ”

“เฮ้อ ลำบากใจแท้ๆ”     พระนิตินัยรำพึงรำพัน

“ครับ ผมทราบดีว่าผมทำให้คุณพระต้องลำบากใจ   แต่ ผมก็ไม่เห็นใครอีกแล้ว ที่จะทำหน้าที่นี้ได้เหมาะเท่าคุณพระ   ผมขอร้องให้คุณพระทำเพื่อวิญญาณของคุณพ่อ   เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสูงส่งของสกุลพงศ์ราชที่ท่านรักษาและเป็นห่วงใย”

จบบทที่ 5