หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 6

เมื่อพระนิตินัยออกมาถึงชาลาหน้าตึกโดยมีชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินตามออกมาส่งด้วยนั้น ปรากฏว่ารถเก๋งคันงามสีอิฐกำลังแล่นเข้ามาเทียบที่บันไดข้าง   สตรีสาวสวยซึ่งนั่งตอนหลังของรถยกมือโบกกับพลินทร์ พร้อมกับส่งยิ้มหวานเป็นการทักทายก่อนที่จะก้าวลงจากรถซึ่งคนขับกุลีกุจอลงจากที่นั่งอ้อมมาเปิดให้   พลินทร์เดินลงบันไดไปหา   รับมือขาวเรียวที่ส่งมาให้นั้นบีบเบาๆ

“เย็นนี้พลินทร์ว่างหรือเปล่าคะ”     สิวิกาถามอย่างแจ่มใส    “ถ้าว่าง สิวิกาอยากจะชวนไปนั่งรถเที่ยวกันหน่อย”     ดวงตาคู่วาวหวานนั้นมองเหลือบไปบนชาลาซึ่งทนายความประจำตระกูลยังยืนพลางร้องทัก  “สวัสดีค่ะคุณพระ”     แล้วหันกลับมาถามชายหนึ่งซึ่งยังกุมมือหล่อนไว้ว่า

“พลินทร์ยังมีธุระอยุ่กับคุณพระหรือคะ”

“ธุระของผมเสร็จแล้ว”     ชายหนุ่มตอบ   ปล่อยมือจากมือของหญิงสาวแต่กลับจับข้อศอกพาเดินขึ้นบันไดไปยังที่พระนิตินัยยืนอยู่   กล่าวชวนว่า     “คุณพระอยู่ทานน้ำชาด้วยกันก่อนสินะครับ”

“ขอบคุณครับ   อย่าเพิ่งเลยไว้วันหลังดีกว่า”     ทนายความบอก “ผมอยากจะเลยลากลับเสียเลย”

“คุณพระจะไม่เข้าไปหาคุณแม่กันก่อนหรือครับ”     พลินทร์ชวนต่อไป

“อย่าเพิ่งเลยครับ”     พระนิตินัยปฏิเสธอีกวะระหนึ่ง   “ช่วยเรียนท่านว่าผมขอประทานโทษที่มาแล้วไม่ได้เข้าไปกราบเท้า   เออ... แต่ว่า...”     ลดเสียงลง เมื่อพูดประโยคต่อไปว่า “ว่าแต่คุณจะให้ผมไปพูดเรื่องนั้นเมื่อไรไม่ทราบ”

“พรุ่งนี้เป็นอย่างช้าที่สุด”     เป็นคำตอบ     “ขอบคุณ คุณพระที่รับทำให้ ผมจะถือว่าพงศ์ราชได้เป็นหนี้บุญคุณคุณพระอย่างสูงในครั้งนี้”

“อย่าถือว่าเป็นบุญคุณอะไรเลยครับ   ผมไม่มีทางปฏิเสธเมื่อคุณอ้างถึงท่านเจ้าคุณที่เสียไปแล้ว ซึ่งมีบุญคุณอยู่ท่วมหัวผม”

พลินทร์หัวเราะอยู่ในคอ    “ถึงงั้นผมก็ต้องขอบคุณคุณพระอยู่ดี   อ้อ   บางทีคุณชัชจะบอกคุณพระได้ว่าคุณพระจะไปพบกับแม่ผู้หญิงคนนั้นได้ที่ไหน   เชิญครับ นายชมบอกให้เขาเอารถออกมาคอยอยู่แล้ว”

พระนิตินัยหันไปกล่าวคำอำลาหญิงสาวก่อนที่จะเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง   พลินทร์มองตามพร้อมกับยิ้มอย่างพึงพอใจและมีชัย ระบายอยู่ทั่วใบหน้า   แล้วจึงหันมาทางหญิงสาว   บอกว่า

“กินน้ำชากันเสียก่อนแล้วค่อยไปหรืออย่างไรครับ  สิวิกา”

“เราเปลี่ยนที่รับทานของว่างกันสักวันดีไหมคะ พลินทร์”     หญิงสาวกล่าว   อาการเอียงคอและยิ้มของหล่อนคล้ายอาการของเด็กที่กำลังประจบขอให้ผู้ใหญ่ตามใจ    “สิวิกาเตรียมน้ำชาและของว่างมาแล้ว อยากจะชวนพลินทร์ไปหาที่นั่งร่มๆ ที่รังสิต”

พลินทร์มองดูกิริยานั้นอย่างเอ็นดู บอกว่า     “ตามใจสิวิกา   เปลี่ยนที่รับทานให้แปลกไปบ้างก็ดีเหมือนกัน   แต่ผมต้องไปเรียนคุณแม่เสียก่อน   ประเดี๋ยวท่านจะคอย   สิวิกาคอยเดี๋ยวนะครับ   จะนั่งคอยที่นี่หรือจะไปคอยในห้องนั่งเล่นก็ได้”

“สิวิกาไปกับพลินทร์ด้วยดีกว่าค่ะ   จะได้ไปกราบคุณแม่ของพลินทร์ด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นก็มาซีครับ”

เขาใช้ปลายมือแตะที่ศอกของหล่อนอย่างเคยชิน   พาเดินกลับเข้าไปในตึก   ผ่านห้องโถงกว้างขึ้นบันไดไปข้างบน

ห้องที่ท่านผู้หญิง   พงศ์ราช  อยู่นั้น   อยู่ทางริมสุดของปีกขวาของตัวตึกชั้นสอง เป็นห้องกว้างใหญ่ ปูลาดด้วยพรมเนื้อหนาสีเทาหม่นจนเต็มห้อง   ตามหน้าต่างและประตูแขวนม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินไม่เข้มนัก แต่ก็ไม่สดจนเกินไป ด้วยเป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าท่านหญิงนั้นป่วยเป็นโรคหัวใจและประสาท ไม่ถูกกับเสียงเอะอะอึกทึกและแสงสีที่เจิดจ้านัก   ตัวของท่านเอง นอกจากจะไม่ยอมไปในงานการใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว  ยังไม่ค่อยจะได้ออกนอกห้องด้วย  เว้นเสียแต่ในเวลารับประทานน้ำชา และอาหารว่างตอนบ่าย  ซึ่งเขาจะจัดให้ท่านที่ระเบียงกว้างหน้าห้อง ถ้าไม่ออกจากบ้านไปไหน พลินทร์ก็มักจะมาร่วมบริโภคอาหารว่างมื้อนี้กับมารดาเป็นประจำ   ยกเว้นเสียแต่ในวาระที่เขามีแขกพิเศษ ซึ่งไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับท่านอยู่ด้วยเช่นนั้น

ทันทีที่เข้าไปในห้องนอน สิวิกาก็เดินตรงเข้าไปคุกเข่าที่ข้างเตียงและประณมมือกราบลงบนที่นอนนุ่มที่ปูลาดด้วยนวมสีฟ้า อมเทา เป็นมันระยับ   แล้วจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มกับสุภาพสตรีชราผู้นั่งพิงพนักเตียงท่ามกลางกองหมอนอันอ่อนนุ่ม ร่างกายท่อนล่างซ่อนอยู่ในผ้านวมที่คลุมลาดอยู่นั้น สุภาพสตรีชราพยักหน้ายิ้มรับการเคารพนั้นอย่างอารมณ์ดีทักทายว่า

“อ้อ   หนูสิวิกา   มานานแล้วหรือจ๊ะ   นั่งเสียข้างบนเถอะ   พ่อใหญ่เลื่อนเก้าอี้ให้หนูสิวิกาหน่อยสิจ๊ะ”

“เพิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้เองค่ะ....   ขอบคุณค่ะพลินทร์”     ประโยคหลังหญิงสาวหันไปพูดและยิ้มให้ชายหนุ่ม   เขยิบกายขึ้นนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเลื่อนเข้ามาตั้งประเทียบให้ที่ข้างเตียง

เขายืนยิ้มมองสตรีทั้งสองซึ่งต่างก็เป็นคนสำคัญสำหรับเขาอย่างพอใจ

“อยู่รับประทานน้ำชากับเราด้วยสินะจ๊ะ”     ท่านผู้หญิงชวน

“เรากำลังจะเรียนคุณแม่ว่าวันนี้เราจะออกไปรับประทานกันข้างนอกครับ”     บุตรชายของท่านกล่าว   ท่านผู้หญิงพยักหน้ารับรู้

“อ้อ   ไปกินกันที่ไหนล่ะจ๊ะ”

“สิวิกาว่าจะชวนพลินทร์ขับรถไปดูที่ดินที่รังสิตค่ะ”     หญิงสาวพูดพลางยิ้มอย่างประจบแกมขออภัย    “สิวิกาจัดกระเช้าของว่างมาแล้วตั้งใจจะไปหาที่ร่มๆ นั่งรับทานกัน”

“อ้อ ดีเหมือนกัน”     สุภาพสตรีชราคล้อยตาม    “หมู่นี้พ่อใหญ่ต้องทำงานหนัก   เปลี่ยนที่พักผ่อนเสียบ้างก็ดี   ที่ของใครจ๊ะที่รังสิต ที่หนูจะไปดู”

“ที่ของคนอื่นค่ะ   เขาเอามาเสนอขายคุณแม่ไว้ เพราะว่าที่ถูกมาก   เจ้าของเขาจะขายเอาเงินไปถ่ายบ้าน”

ท่านผู้หญิงถอนใจใหญ่     “เฮอ การเงินสมัยนี้ดูแย่กันไปหมดจริงๆ นะจ๊ะ   ได้ยินแต่คนโน้นขายไอ้โน่น คนนี้ขายไอ้นี่  ฟังแล้วน่าใจหาย ทรัพย์สมบัติปู่ย่าตายายหาไว้ให้ต้องมาหมดกันในสมัยนี้เอง”

“แต่ คุณแม่ครับ   พลินทร์ค้านขึ้นอย่างอ่อนโยน     “ผมยังไม่เคย........”

“เปล่าจ๊ะ แม่ไม่ได้พูดถึงลูก”     ผู้เป็นมารดาปฏิเสธเสียก่อนที่เขาจะทันพูดจบ     “พ่อใหญ่เป็นลูกที่แม่มีความภาคภูมิใจอย่างที่สุด   ลูกทำตัวสมกับได้เป็นผู้นำของสกุลพงศ์ราชโดยแท้   ถ้าคุณพ่อมีชีวิตอยู่   ท่านจะต้องปลาบปลื้มยิ่งกว่าแม่หลายเท่านัก”

พลินทร์ยิ้มขรึมๆ   เงยหน้าขึ้นมองดูเพดานห้อง  ซึ่งแกะสลักเป็นลวดลายอย่างวิจิตร พูดคล้ายรำพึงกับตัวเองว่า

“ผมอยากให้คุณพ่อมีชีวิตอยู่เหลือเกินครับ คุณแม่   ผมคงจะไม่ต้องลำบากใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้”

“เอ๊ะ ลูกพูดว่าอะไรจ๊ะ พ่อใหญ่”     เสียงที่เต็มไปด้วยความพิศวงสงสัยของผู้เป็นมารดาทำให้ พลินทร์รู้สึกตัว ลดสายตาลงมามองสบตาท่าน   พูดหัวเราะๆ ว่า     “เปล่าครับ  ผมเพียงแต่คิดถึงคุณพ่อขึ้นมาเท่านั้นเอง   เอ้อ   ไปกันเสียทีดีไหมครับสิวิกา เดี๋ยวจะเย็นเกินไป”

“ดีเหมือนกันค่ะ”     สิวิกาว่า หันไปทางมารดาของพลินทร์ เลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ พนมมือกราบลงบนที่นอน   บอกว่า    “สิวิกาเลยขอประทานกราบลาเลยนะคะ”

“จ้ะ  จ้ะ   ไหว้พระเถิดแม่คุณ”     ท่านผู้หญิงพยักยิ้มอย่างเอ็นดู “ถ้าไม่เบื่อคนแก่ละก้อวันหลังแวะมาคุยอีกนะจ๊ะ”

พลินทร์ ก้าวเท้าออกมาจาก ปลายเตียงที่เขายืนอยู่   เข้าโน้มกายลงจับมือมารดาบีบเบาๆ บอกว่า     “ผมไปละนะครับคุณแม่”     บรรจงวางมือของท่านอย่างทะนุถนอมและเคารพ แล้วจึงถอยออกมา แตะข้อศอกสิวิกาแล้วพาเดินออกไปจากห้อง

“สั่งให้รถของเธอกลับบ้านก่อนเถอะนะ ครับ  สิวิกา   แล้วผมจะไปส่งคุณเอง”     พลินทร์ออกความเห็นขณะที่ทั้งสองเดินออกมาถึงชาลาหน้าตึกแล้ว

อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา   รถสปอร์ตคันยาวสีดำ เป็นมันปลาบก็หักเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามาจอดอยู่ใต้ร่มไม้ริมคลองซึ่งเปี่ยมไปด้วยน้ำใส  แม้ว่าจะรกไปด้วยหญ้าตรงชายฝั่ง พอรถจอดสนิท สิวิกาก็หงายศีรษะพิงเบาะ   สูดลมหายใจยาวอย่างชื่นบาน ออกอุทานว่า

“เฮ้อ   อากาศที่นี่ดีเหลือเกิน”

“ผมก็ชอบอากาศทุ่งนาอย่างนี้เหมือนกัน  พลินทร์ตอบพลางเหลียวไปมองดูรอบๆ และในที่สุดสายตาก็ไปจับอยู่ที่ทุ่งนาเขียวขจีซึ่งแลโล่งไปจนสุดสายตา

“ผมชอบกลิ่นต้นข้าว   ที่ทั้งหมดนี่นะหรือที่เขาต้องการจะขาย”

“ไม่ใช่ตรงนี้ค่ะ   โน่นถัดไปตรงโน้น ตรงที่มีต้นไม้ขึ้นแล้วก็มีหอนั่นยังไงคะ”

สิวิกาพูดพลางชี้มือประกอบ   พลินทร์มองไปตามทิศทางที่ปลายนิ้วซึ่งเคลือบด้วยสีชมพูเหลือบมุกชี้ไปนั้นอย่างสนใจ   สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขา คือภาพของสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งสูงโดนเด่นขึ้นมาเหนือยอดไม้ลึกเข้าไปจากริมถนนไม่ต่ำกว่าสองร้อยเมตร   มีลักษณะประดุจเสากลมมหึมาที่ยอดถูกโค่นลงและแหว่งวิ่นด้วยพายุร้าย

“อะไรนะครับ สิวิกานั่นน่ะ”     พลินทร์ถามขึ้นหลังจากที่ได้เพ่งมองอยู่ครู่ใหญ่     “มองดูคล้ายๆ กับหอคอยหรืออะไรก็ไม่รู้”

“หอคอยถูกแล้วคะพลินทร์”     สิวิการับรองความเข้าใจของเขา “เจ้าของที่เขาบอกว่าอีตาศาสตราจารย์บ้าวิชาอะไรก็ ไม่ทราบมาซื้อเอาไว้เมื่อสักสองปีมาแล้ว”

“นั่นสร้างยังไม่เสร็จหรืออย่างไร”     พลินทร์พูดต่อไป   ตายังคงจับจ้องที่ภาพเบื้องหน้าอย่างสนใจ     “ยอดมันถึงได้เว้าๆ แหว่งๆ อยู่อย่างนั้น”

“สร้างยังไม่เสร็จหรอกค่ะ”     สิวิกาตอบรับความเข้าใจของเขา     “ตาศาสตราจารย์นั่นแกตายไปเสียก่อน”

“อ้าว”     เขาอุทานด้วยเสียงเรียบๆ   สิวิกาเล่าต่อไปว่า

“เขาว่าแกทุ่มเทลงทุนลงแรงไว้มากมาย   ดูเหมือนว่าจะจำนำบ้านมาสร้างหอคอยนี่เสียด้วยซ้ำซีคะ”

“แกจะสร้างของแกเอาไว้ทำไมกันนะ”

“สร้างเอาไว้ดูดาวยังไงคะ   เจ้าของที่เก่าเขาพยายามอ้อนวอนขอซื้อที่คืนมาตั้งนานแล้ว แต่ทำยังไงเท่าไรแกก็ไม่ยอมขายคืน”

“ก็ขายเขาไปแล้วเรื่องอะไรถึงจะไปขอซื้อคืนมาอีกเล่าครับ”

“เขาอยากจะขายรวมกันทั้งผืนใหญ่น่ะซีคะ”     สิวิกาอธิบาย     “ที่ดินทั้งหมดของเขามีอยู่ด้วยกันแปดสิบสองไร่ แบ่งขายไปสองแปลง แปลงหนึ่งยี่สิบไร่ อีกแปลงหนึ่งสิบสองไร่ แปลงยี่สิบนั้นเขายอมขายคืนมาแล้ว แต่แปลงนี้แหละค่ะที่ไม่ยอมขาย”

“เมื่อเขาไม่ยอมขายก็ไม่เห็นจะน่าเดือดร้อนอะไร”     พลินทร์ไม่เห็นด้วย “มีเท่าไหร่ก็ขายไปเท่านั้นก็แล้วกัน”

“พลินทร์ไม่เข้าใจ”     สิวิกาแย้งพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนหวาน   การที่จะระบุออกไปว่าชายผู้นี้มีความบกพร่องหรือหย่อนไปในคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่สิวิกาไม่สามารถจะกระทำ หรือเมื่อจำเป็นต้องกระทำ สิวิกาก็จะพยายามหาวิธีที่นุ่มนวลที่สุดหลีกเลี่ยงมิให้บังเกิดความสะเทือนใจขึ้นแก่เขา     “ที่ที่ตาศาสตราจารย์แกซื้อไปนั้นน่ะมันผ่าอยู่ตรงกลางที่ค่ะ   คนซื้อเขาไม่พอใจเพราะมันทำให้ที่ไม่สวยอยากจะได้ทั้งหมดติดต่อเป็นผืนเดียวกัน”

“เอ   ทำไมเขาถึงยอมตัดที่ขายแบบนั้นนะแปลกนี่”     พลินทร์แสดงความพิศวง

“ตอนนั้นเขาคงจะร้อนเงิน ก็เลยต้องตามใจคนซื้อ”     สิวิกาคาดคะเน

“คุณแม่ของเธอ จะซื้อที่ผืนนี้ใช่ไหมครับสิวิกา”

สิวิกามีสีหน้าแดงระเรื่อขึ้น   หล่อนมองดูพลินทร์อย่างหยั่งถึงความรู้สึกของเขาจากเสียงและท่าทาง   แต่ขณะนั้นพลินทร์มิได้มองมาทางหล่อน   ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หอคอยนั้นอย่างสนใจ สิวิกาจึงกล่าวตอบเขาด้วยเสียงที่เป็นปรกติว่า

“คุณแม่สนใจค่ะ  แต่ท่านยังข้องใจเรื่องที่ที่เขาผ่ากลางขายไปนี้ เลยให้สิวิกามาดูว่ามันน่าเกลียดมากไหม”

“แล้วสิวิกาว่ายังไง”     พลินทร์หันมาทางหญิงสาว ถามยิ้มๆ อย่างรู้สึกเอ็นดู แล้วพูดต่อไปโดยไม่รอคำตอบจากหล่อนว่า “เดี๋ยวนี้ตัวศาสตราจารย์เจ้าของแกก็ตายไปแล้วไม่ใช่หรือครับ   คนรับมรดกเขาอาจจะยอมขายละกระมัง”

“ยอมอะไรได้ล่ะคะ”     สิวิกาทำท่าเหมือนจะค้อนใครที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น “เขาไม่ยอมขายหรอกค่ะ   เขาบอกว่าพ่อของเขาได้หวังไว้เป็นนักหนาที่จะทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จให้ได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะตายไปแล้วก็ตาม เขาก็พยายามสานต่องานที่พ่อทำค้างไว้ให้สำเร็จให้ได้”

สิวิกาคาดว่าเมื่อหล่อนพูดจบ ชายหนุ่มคงจะหัวเราะอย่างขบบัน หรือแสดงกิริยาวาจาอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีความหมายออกมา   แต่พลินทร์กลับเงียบกริบ   ดวงตาของเขาดูเคร่งขรึมลึกซึ้งอยู่ในความคิดที่สิวิกาไม่อาจจะหยั่งถึง   ความเงียบเข้ามาครอบครองอยู่นานจนสิวิกาไม่อาจจะทนต่อความอึดอัดใจต่อไปอีกได้   ต้องเอ่ยขึ้นว่า

“ทำไมเงียบไปเล่าคะ พลินทร์”

เขามองดูสิวิกา   ดวงตายังคงอยู่ในลักษณะเดิม เมื่อตอบว่า     “ผมกำลังนึกถึงตัวของผมเองกับลูกของศาสตราจารย์อะไรคนนี้   อยากรู้จริงว่าเขาคือใคร”

หญิงสาวทำหน้าคล้ายขบขัน   แต่หล่อนก็ตอบอย่างเอาใจว่า “ถ้าพลินทร์อยากทราบจริงๆ วันหลังสิวิกาจะเรียนถามคุณแม่ให้นะคะ   ท่านคงทราบ   ว่าแต่คุณมีความคิดยังไงคะในเรื่องที่ดินที่นี่   สิวิกาจะได้ไปเรียนคุณแม่   คุณแม่ละเชื่อความคิดคุณนักเทียวค่ะ”

พลินทร์หัวเราะ     “เป็นคำพูดที่ให้เกียรติยศผมมากเทียวนะ”     เขาว่า   เปลี่ยนเสียงเป็นจริงจังเมื่อพูดต่อไปว่า   อ “ถ้ามีเงิน ผมคิดว่าซื้อเอาไว้ก็ไม่เสียหาย   ราคาก็ไม่มีตกหรอก อีกหน่อยพอเมืองขยายออกมาถึงที่นี่ ราคาที่ดินแถวนี้ก็จะสูงขึ้นลิ่วๆ”

“เป็นอันว่าพลินทร์มีความเห็นว่าควรจะซื้อไว้นะคะ   ดีแล้ว   สิวิกาจะเรียนคุณแม่ไปตามนี้   แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราไปหาที่ร่มๆ รับประทานน้ำชากันดีกว่าคะ   สิวิกาชักจะหิวแล้ว”

“เอาซีครับ”     เขาคล้อยตามอย่างเอาใจพลางเหลียวมองดูโดยรอบเพื่อจะหาทำเลที่เหมาะแก่การบริโภคอาหารว่างมื้อนั้น   แล้วพยักหน้าไปทางไม้ยืนต้นต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ ลาดต่ำลงไปจากพื้นถนน ห่างจากที่รถจอดอยู่ประมาณยี่สิบก้าว   ถามว่า     “ที่ใต้ต้นไม้นั้นเป็นยังไง”

สิวิกามองตามสายตาเขาไปแล้วย่นจมูก เล็กน้อยตอบว่า     “ดูมันสกปรกไม่น่านั่งเลยแหละค่ะ   สิวิกาเห็นมีอยู่แห่งหนึ่งที่เหมาะกว่าที่นี่   พลินทร์ขับรถเลยไปอีกนิดได้ไหมคะ”

แทนคำตอบ   ชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดสวิทช์ไฟติดเครื่องนำรถแล่นออกไปจากที่นั้น พอพารถแล่นเอื่อยๆ มาสักครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงร้องบอกว่า

“ตรงนี้แหละค่ะ   พลินทร์ต้องเลี้ยวลงไปตรงทางแยกเล็กๆ นั่นหน่อยหนึ่งค่ะ   ทางซ้ายมือเห็นไหมคะ”

พลินทร์ทำตามที่หญิงสาวบอก   เขาพารถคันงามเลี้ยวลงสู่ทางแยกเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างขรุขระ แต่ความขรุขระของทางนั้นกลับเป็นเครื่องที่ช่วยส่งให้เห็นประจักษ์ถึงคุณภาพอันดีเลิศของยานพาหนะยิ่งขึ้น จนสิวิกาถึงกับแสดงความรู้สึกออกมาเป็นวาจาว่า

“รถของพลินทร์ช่างวิเศษเหลือเกิน   ถนนออกขรุขระถึงปานนี้ยังนั่งสบ๊าย สบาย ไม่กระเทือนเลย”

ชายหนุ่มยิ้มเรื่อยๆ รับคำชมนั้น   มันไม่ใช่ชองแปลกสำหรับเขาเลย   ทุกสิ่งทุกอย่างที่พลินทร์ พงศ์ราชเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือที่มีชีวิต จะต้องชื่อว่าอยู่ในอันดับที่ดีที่สุดในประเภทนั้น   รถเคลื่อนไปตามทางที่ขรุขระครู่หนึ่ง จนกระทั่งถึงหมู่ไผ่ที่ขึ้นรวมกันอยู่ดูร่มรื่น สิวิกาก็บอกให้เขาหยุดรถ

“เราเลือกที่นี่แหละนะคะเป็นที่รับทานของว่างกัน ร่มรื่นและไม่ประเจิดประเจ้อเหมือนที่ใกล้ถนน”

ทั้งสองช่วยกันลำเลียงกระเช้าอาหารและผ้าพลาสติกสำหรับปูนั่ง รวมทั้งหมอนแพรอีกสองใบที่สิวิกาจัดเตรียมมาไปที่ใต้ร่มไผ่ ซึ่งมีใบไผ่แห้งร่วงทับถมกัน   พลินทร์รู้สึกว่าอาหารมื้อนั้นให้ความรื่นรมย์แก่เขาไม่ใช่น้อย   ทั้งสองนั่งอยู่ที่นั่นจนใกล้ค่ำ   สิวิกาจึงเป็นฝ่ายออกปากชวนให้กลับ”

พลินทร์พารถเข้าจอดเทียบบันไดบ้านสิวิกาเมื่อเวลามืดสนิทแล้ว ภายในบ้านสว่างไปด้วยแสงไฟ ทันทีที่เขาดับเครื่อง สิวิกาก็แหงนหน้าพิงพนักรถ ออกอุทานอย่างรื่นเริงว่า

“แหม วันนี้สิวิกาสบายใจจริงๆ   พลินทร์ จะอยู่รับประทานข้าวด้วยหรือเปล่าคะ”

“ขอบใจ”     พลินทร์ตอบ เอื้อมมือข้ามตักหญิงสาวไปเปิดประตูออก “ขอโทษทีนะครับ ผมเห็นจะไม่ลง รำคาญตัวเองที่ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่า รู้สึกว่าออกจะเหม็นสาบเต็มที”

“ถ้าอย่างนั้นก็ เอาไว้วันหลังนะคะ”     สิวิกาคล้อยตาม  ค่อยๆ เคลื่อนกายลงจากรถ ในใจยังคงอาลัยอาวรณ์ในความสุขที่สิวิการู้สึกว่านานๆ จึงจะได้รับอย่างเต็มเปี่ยมอย่างนี้สักครั้ง   ขณะนั้นสาวใช้คนหนึ่งได้เดินมาด้วยอาการที่ค่อนข้างร้อนรนและยอบตัวลงนั่งเมื่อถึงนายสาว

“ช่วยเอาของหลังรถขึ้นไปข้างบนทีเถอะ”     สิวิกาสั่ง   สาวใช้ผู้นั้นมิได้กระทำตามคำสั่งที่หล่อนรายงานว่า

“ที่บ้านเทพสถิตมีโทรศัพท์มาถึงคุณพลินทร์ สองครั้งแล้วค่ะ   ครั้งนี้พอดิฉันจะวางหูคุณก็มาถึงพอดี”

พลินทร์ชะงักมือที่กำลังเอื้อมออกมาปิดประตูรถขมวดคิ้วถามว่า

“ถึงฉันน่ะรึ   เขาบอกหรือเปล่าว่ามีธุระอะไร”

“ไม่ได้บอกค่ะ”     แม่สาวใช้ตอบ “เวลานี้เขาก็ยังถือหู คอยคุณอยู่”

“เอ๊ะ ใครนะ”     พลินทร์บ่นเบาๆ เปิดประตูรถก้าวลง พาตัวขึ้นบันไดไปยังห้องกลางที่ไว้โทรศัพทฺ์อย่างคุ้นเคย   สิวิกาซึ่งตามไปติดๆ ได้เห็นเขายกหูโทรศัพท์ขึ้นพูดกรอกลงไปว่า

“นี่พลินทร์พูด   นั่นใครมีธุระอะไร”

หญิงสาวสังเกตเห็นว่าเขามีใบหน้าเคร่งขรึมคิ้วขมวดนิดๆ เมื่อพูดต่อไปว่า

“คุณพระหรือครับ   คุณพระไปทำอะไรอยู่ที่เทพสถิต เวลานี้ครับนั่น” และทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้เห็นว่าดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจเกินกว่าจะระงับไว้อยู่ซึ่งเป็นการผิดปรกตินิสัยของชายผู้เก็บความรู้สึกเก่งเช่นพลินทร์ผู้นี้

“ว่าไงครับ  พัจนาทำไม   คุณพระช่วย !   เป็นไปได้อย่างไรผมไม่เชื่อ”     อีกอึดใจเดียวต่อมา เขาก็วางหูโทรศัพท์ลงอย่างงงๆ   สิวิกาสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วถามว่า

“คุณพระพูดมาว่าอย่างไงคะพลินทร์   พัจนาทำอะไร”   แต่พลินทร์มีท่าทีเหมือนไม่ได้ยินคำถามของหล่อน   จนกระทั่งสิวิกาเข้าไปจับแขนเขาแล้วถามซ้ำ   ชายหนุ่มจึงได้หันมา ดวงหน้าของเขาขาวซีดผิดปรกติ เมื่อตอบว่า

“เครื่องบินที่พัจนาโดยสารไปประสบอุบัติเหตุตกเสียแล้ว สิวิกา”

หญิงสาวปล่อยมือที่เกาะแขนเขาออกขณะที่ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งอย่างลืมตัว ร้องอุทานว่า

“คุณพระช่วย”

“ผมต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้”     ชายหนุ่มกล่าวต่อไปโดยเร็ว และก่อนที่สิวิกาจะทันหาคำพูดอย่างไรต่อไป เขาก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้อง และอีกนาทีต่อมา หญิงสาวก็ได้ยินสต๊าร์ทเครื่อง และรถพุ่งออกไปจากที่อย่างเร็ว

จบบทที่ 6