หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 27

จิ๊ปกลางคันเดียวกับที่พาพลินทร์และคณะเข้ามายังที่ทำงานในป่านั้น   ถูกตรวจตราดูความเรียบร้อย เพื่อที่จะแล่นกลับออกไปอีกครั้งหนึ่ง     ผดาช่วยอุ่นเรือนตระเตรียมอาหารและน้ำสำหรับเป็นเสบียงให้ผู้ที่จะเดินทางไปกับรถคันนั้นบริโภคกลางทางอย่างเงียบๆ อยู่ที่โรงครัว   ในขณะที่พวกนั้นซึ่งมีเทอด ภิสัช และคนขับรถอีกคนหนึ่ง   กำลังวุ่นอยู่กับการตรวจรถและอาวุธที่จะนำไปป้องกันตัว   เมื่อเสบียงพร้อมสรรพ อุ่นเรือนก็นำไปส่งให้สามีที่รถ   ผดาเดินตามออกมาหยุดยืนมองดูห่างๆ   ภิสัชกำลังยืนคุยอยู่กับจ้าวหนุ่มสองพี่น้องใกล้กับที่รถจอดอยู่   เมื่อเหลือบมาเห็นเธอเข้า เขาก็ยิ้มและเดินตรงเข้ามาหา

ผดายิ้มรับถามว่า   “จะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้ละหรือคะ”

“ครับ”   ภิสัชรับคำ   “ต้องการอะไรที่ในเมืองบ้างไหม   เป็นต้นว่าหนังสืออ่านแก้เหงาหรือจะให้ส่งข่าวถึงเผด็จว่าอย่างไรบ้าง”

“ขอบคุณค่ะ   ถ้าคุณจะส่งข่าวถึงพี่เผด็จละก็ช่วยบอกด้วยก็แล้วกันว่าดิฉันสบายดี   เออ แล้วนี่คุณภิสัชจะไปแวะที่คุ้มของจ้าวหรือเปล่าคะ”

“มีธุระอะไรที่คุ้มหรือครับ”   ภิสัชย้อนถาม

“เวลานี้คำรสไปค้างอยู่เป็นเพื่อนจ้าวศรีชลา”   ผดาบอก   “ถ้าคุณจะช่วยกรุณาบอกคำรสด้วยว่าดิฉันสบายและปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงละก็จะเป็นพระคุณมากเชียวค่ะ”

“อ๋อ ถึงคุณไม่สั่ง ผมก็ต้องทำอยู่แล้ว”   รอยยิ้มอย่างประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วดวงหน้าของนายตำรวจ   “เพราะคุณพลินทร์ก็ขอให้ผมแวะไปบอกคุณคำรสด้วยเช่นเดียวกันว่าคุณปลอดภัยและเป็นสุขสบายดี”   เขายังคงยืนยิ้มมองดูเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหมุนตัวเดินไปที่รถ

เทอดและภิสัชออกรถไปแล้วไม่นานนัก ผดาจึงนำอาหารเช้าเข้าไปให้พลินทร์   พอผลักประตูเข้าไป เธอก็ได้สบสายตาของเขาทันที ราวกับว่าเขาได้คอยจ้องมองอยู่แล้ว   ขณะนั้นพลินทร์นั่งเอนอยู่บนเตียง มีหมอนหลายใบซ้อนอยู่ข้างหลัง   ดวงหน้าของเขาแม้ว่าจะซีดเซียวไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความวิตกกังวล   เขามิได้ยิ้มรับเธอ   แต่ดวงตาที่เขามองมายังเธอนั้นให้การต้อนรับเสียยิ่งกว่าการที่เขาจะยิ้มเสียอีก   ผดา หลบตาลงอย่างไม่ตั้งใจ   เธอถือถาดอาหารเช้าเดินตรงไปที่โต๊ะข้างเตียง   หยิบยาและหนังสือที่วางเกะกะอยู่บนโต๊ะแอบไว้เสียทางหนึ่งก่อนที่จะวางถาดลงในระยะที่เขาจะเอื้อมมือมาตักอาหารรับประทานได้โดยสะดวก   ขณะที่หญิงสาวคลี่ผ้าเช็ดมือออกปูให้ที่ตักเพื่อกันเปื้อนนั้น พลินทร์ก็ถามขึ้นว่า

“นายตำรวจของเราไปแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไปแล้วค่ะ”   ผดาตอบเรียบๆ   ใช้ช้อนคนซุปสองสามครั้งก่อนที่จะเลื่อนไปให้เขา   ซุปไก่กับขนมปังครีมแคร๊กเกอร์ สำหรับอาหารเช้าคงจะไม่ฝืดคอเกินไปนะคะ”

“แค่นั้นก็ดีเหลือล้นแล้ว”   พลินทร์ว่า   “อยู่ในป่าในดงจะเอาอะไรวิเศษพิสดารกันนักหนา”

คราวนี้ผดามองเขาเต็มตาพร้อมกับยิ้ม บอกว่า   “คุณพลินทร์ พงศ์ราช รู้จักยอมรับความอัตคัดขลาดแคลนแต่โดยดี   นี่ถ้าใครมาได้ยินเข้าเขาคงจะแปลกใจทีเดียว”

“จริง”   พลินทร์พูดเรียบๆ”   เขาจะคิดกันอย่างไรก็คิดได้ทั้งนั้นทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงเลยว่าความจริงมันเป็นอย่างไร”

“คุณพลินทร์คะ   ดิฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะ....”

“อย่าพยายามหลีกเลี่ยงความจริงซิ ผดา”   พลินทร์ขัดขึ้นเสียก่อนที่เธอจะทันพูดจบประโยค   “เธอเป็นคนเก่ง   เก่งกว่าทุกคนที่ฉันเคยได้พบและได้รู้จักมา”

“จริงค่ะ   ดิฉันคงเป็นผู้หญิงที่หยาบคายร้ายกาจที่สุดที่คุณเคยพบ”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น”   เขาส่ายหน้า   “เธอไม่ได้เป็นคนหยาบคายเลย”

“ไม่หยาบคายแต่ทว่าร้ายกาจใช่ใหมคะ”

คราวนี้ เขามองดูเธอนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพึมพำว่า   “จริง   ร้ายกาจ   เธอร้ายกาจมากเพราะเธอไม่เคยมีความกรุณาปรานีเลยเมื่อเธอพูดกับฉัน”

“คุณพลินทร์คะ”   ผดาพูดออกมาอย่างลำบากใจ   การที่จะขอโทษใครสักคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอโทษคนที่เธอเคยเกลียด เคยได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจจากการกระทำของเขามาแล้วนั้น ไม่ใช่จะเป็นของที่จะทำได้ง่ายๆ เลย   แต่ถึงอย่างไรเธอก็จะต้องทำ   นิสัยที่รักความยุติธรรมมันกระตุ้นเตือนเธออยู่ตลอดเวลา   “ดิฉันต้องขอประทานโทษคุณพลินทร์ ที่เคยว่าคุณขี้ขลาดตาขาวไม่กล้ามาเชียงใหม่ ทางเครื่องบินเหมือนอย่างที่คุณส่งพัจนามา   ฉันเข้าใจผิดไปค่ะ และเพิ่งทราบความจริงจากจ้าวศรรีฟ้า”

เธอคาดว่าคงจะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากเขา หรือกริยาอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีความหมายในทำนองเดียวกันนั้น   แต่แล้วด้วยความแปลกใจอย่างยิ่ง   ผดาเพียงแต่ได้ยินเข้าพูดเรียบๆ ราวกับว่า มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระเสียเต็มทีว่า

“อย่าไปสนใจกับมันดีกว่า   ไม่จำเป็นต้องขอโทษดอก   บางทีเธออาจจะพูดถูกก็ได้   ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวของฉันที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร   เธอทำหน้าแปลกใจ   แต่ฉันกำลังพูดความจริง.. ผดา..   ตลอดเวลาที่ผ่านมา และฉันจำความได้   ฉันแทบจะไม่มีเวลาที่จะทำอะไรได้ตามใจของตัวเลย”

“ก็เมื่อคุณยังเป็นเด็กอย่างไรเล่าคะ”   ผดาแย้ง

เธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในคอ   “เมื่อเป็นเด็กน่ะรึ   ฉันทำอะไรรู้ไหมล่ะ   ฉันต้องใช้เวลาวันละไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง กับการอบรมจากคุณพ่อ”

“อบรม”   ผดาทวนคำอย่างสนเท่ห์   “อบรมเรื่องอะไรคะ”

“อบรมให้รู้จักหน้าที่ ของผู้สืบสกุลอย่างไรเล่า   อบรมให้รู้จักหน้าที่   ให้รู้จักวิธีวางตัวว่าผู้ที่จะเป็นผู้นำของตระกูลนั้นจะต้องทำตัวอย่างไร   น่าขันไหมล่ะ   ตั้งแต่เล็กมาแล้ว   เมื่อฉันจะเล่นกับใครสักคน   แทนที่จะนึกว่าจะเล่นอะไรกันถึงจะดี ฉันกลับต้องนึกว่าฉันควรจะเล่นกับคนๆ นั้นหรือไม่   คนที่จะเป็นผู้นำของพงศ์ราชนั้น จะต้องเล่นกันคนอย่างไรถึงจะเหมาะสม ไม่ถูกคุณพ่อตำหนิ”

ผดารู้สึกว่าใจคอหดหู่ลงไปไม่น้อย   มันแทบจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อทีเดียว   “แล้วใครคะที่คุณเล่นด้วย”

“เปล่าเลย”   พลินทร์ตอบ   “ผมไม่เล่นกับใครเลย เพราะไม่แน่ใจว่าจะเล่นกับใครดี จึงตัดสินใจว่าไม่เล่นเสียเลยดีกว่า”

“ขอโทษนะคะ   ดิฉันเข้าใจว่า คุณพลินทร์ยังมีน้องอยู่อีกคนหนึ่ง”

“ตาเล็กน่ะรึ”   เขาย้อนถาม   “ผมไม่ยอมเล่นกับตาเล็กดอก   เราเคยปล้ำเล่นกันหนหนึ่ง   ปล้ำฟัดกันไปมาจนล้มคลุกลงไปในโคลน   ตาเล็กขึ้นมาขี่อยู่บนหลังฉัน   พอดีคุณพ่อมาพบเข้า   ฉันต้องถูกท่านเรียกไปอบรมเสียตั้งสามสี่ชั่วโมง ถึงวิธีที่จะวางตัวกับน้อง”

ผดาหารู้สึกตัวไม่ ว่าขณะนั้นเธอได้มองดูเขาด้วยสายตาที่ไม่เคยมองดูเขาเช่นนั้นมาก่อนเลย   และไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้ด้วยว่า สายตาของเธอนั้นได้ก่อให้เกิดความรู้สึกอย่างใดให้แก่ผู้ถูกมองบ้าง

“โฮ   ดิฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมคุณพลินทร์จึงได้เป็นอย่างนี้”

“ฉันเป็นอย่างไรในสายตาของเธอ ผดา”

“ไม่จำเป็นที่ดิฉันจะต้องบอกคุณทุกอย่างตามที่ดิฉันคิดไม่ใช่หรือคะ   ดิฉันอยากจะบอกแต่เพียงว่า   คุณพ่อของคุณ มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณมากเหลือเกิน”

“ก็ใครบ้างล่ะที่ไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิเพลของพ่อ”   เขากลับย้อนถามเธอ   “ถ้าคนนั้นจัดอยู่ในแบบฉบับของลูกที่ดี   แม้กระทั่งตัวเธอเอง”

“ตัวของดิฉันเอง”   ผดาทวนคำอย่างแปลกใจเป็นล้นพ้น   “คุณหมายความว่าอย่างไรคะ”

“ฉันหมายความว่ามันเป็นความจริงที่ว่าพ่อของเรามักจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา   ดังเช่น คุณพ่อของเธอก็มีอิทธิพลต่อชีวิตของเธอ   ความตั้งใจของคุณพ่อ   ความประสงค์ของคุณพ่อ   คือสิ่งที่เธอจะต้องปฏิบัติตามมิใช่หรือ   แม้ว่าท่านจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม”

“คุณพลินทร์คะ   นี่คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

“ฉันกำลังพูดถึงเรื่องหอดูดาวที่รังสิต”   เขาตอบอย่างชัดเจน


การสนทนาในตอนเช้าวันนั้นทำให้ผดาต้องเก็บเอาไปครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งวัน   พลินทร์ พงศ์ราช   เป็นบุคคลที่แปลกประหลาดเกินกว่าที่เธอจะนึกไปถึง   เขาช่างมีความรอบรู้อย่างน่าพิศวง   ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกับเขานานขึ้น ได้พูดคุยกับเขามากขึ้น   ผดาก็ยิ่งรู้สึกว่าความแปลกประหลาดในตัวเขายิ่งทวีขึ้นทุกที เกินกว่าที่เธอจะเข้าใจเขาให้แจ่มแจ้งได้   บ่ายวันนั้น ผดาเลี่ยงออกไปนั่งที่แคร่ใต้ต้นยางซึ่งอยู่ห่างจากโรงครัวอันเป็นที่สงบเงียบ   นอกจากเสียงนกที่อยู่บนต้นไม้แถบนั้น บินไปมาและส่งเสียงร้องเรียกกัน   แล้วก็มีเสียงเด็กๆ ลูกของคนงานซึ่งมีที่พักอยู่ทางด้านหลัง ห่างออกไปวิ่งไล่กัน   ผดาไม่รู้สึกตัวว่าเธอนั่งอยู่ที่นั่นนานเท่าไร   จนกระทั่งแว่วเสียงเดินมาทางเบื้องหลัง   เมื่อหันไปมองก็เห็นอุ่นเรือนกำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนตามเคย

“คุณผดา   มานั่งเหงาอยู่ที่นี่เองหรือคะ”   อุ่นเรือนถามเมื่อเดินเข้ามาถึงตัว   ผดาเขยิบที่ให้หล่อนนั่งพร้อมกับบอกว่า

“ไม่ได้เหงาหรอกค่ะ   ดิฉันมานั่งคิดอะไรเล่นเพลินๆ น่ะ”

“คิดถึงคุณพัจนาหรือคะ”   อุ่นเรือนถามต่อไป   “คุณเทอดบอกว่าคุณผดาเป็นคู่หมั้นของคุณพัจนา   ดิฉันเสียใจเหลือเกินที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณพัจนา”

“ถ้าหากว่าพัจนายังมีชีวิตอยู่จริงๆ ดังที่ เราคาดกัน   อีกไม่ช้าคุณอุ่นเรือนก็คงจะได้รู้จักเขาสมใจหรอกค่ะ”   ผดาพูดเรียบๆ แล้วถามว่า   “คุณอุ่นเรือนไม่เคยไปกรุงเทพฯ กับคุณเทอดเลยหรือคะ”

“ตั้งแต่แต่งงานกับคุณเทอดมานี่ ดิฉันยังไม่เคยกลับไปกรุงเทพฯเลยค่ะ”   อุ่นเรือนตอบ   ผดาทำตาโต ร้องว่า

“คุณอุ่นเรือนใช้คำว่ากลับกรุงเทพฯ   งั้นก็แปลว่าคุณอุ่นเรือนก็เป็น ชาวกรุงเทพฯ น่ะสิคะ”   หญิงสาวเอียงคอมองดู คู่สนทนายิ้มๆ   พูดต่อไปว่า   “คุณอุ่นเรือนเป็นชาวกรุงเทพฯ และดิฉันทายว่าคุณเคยเป็นครูมาแล้วด้วย”

คราวนี้อุ่นเรือนกลับต้องเป็นฝ่ายลืมตาโตและร้องอย่างแปลกใจออกมาบ้างว่า

“เอ๊ะ ทำไมคุณผดาทายถูกล่ะคะ   ว่าดิฉันเคยเป็นครู   จริงค่ะ   ดิฉันเป็นครูมานาน   เพิ่งจะมาสมัครเป็นชาวเชียงใหม่เมื่อสักสองปีมานี่เอง”

“แหม อยากซักคุณอุ่นเรือนจัง”   ผดา พูดพลางหัวเราะอย่างเกรงใจ   “แต่ไม่กล้า   กลัวจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป”

“ไม่ละลาบละล้วงดอกค่ะ” v อุ่นเรือนบอก   ผดารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรอย่างหนึ่งอยู่ในตัวซึ่งน่าสงสาร   อาจจะเป็นที่ความเศร้าซึ่งแฝง รวมอยู่กับความสงบเสงี่ยมเจียมตัวซึ่งประจักษ์ชัดอยู่ที่สีหน้าท่าทางและกิริยาอาการก็เป็นได้

“ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ”   อุ่นเรือนกล่าวต่อไป   “ที่มาเป็นชาวเชียงใหม่นี่ก็เพราะดิฉันมาเยี่ยมน้องดอกค่ะ   น้องสาวของดิฉันมาอยู่ที่นี่ค่ะ”

“แล้วคุณอุ่นเรือนก็เลยมาพบกับคุณเทอดเข้าที่นี่ ใช่ไหมคะ”   ผดาพูดล้อๆ   “แหม   อยากเห็นน้องคุณอุ่นเรือนจังเลย   เหมือนคุณอุ่นเรือนไหมคะ”

“อาลัยเขาสวยกว่าดิฉัน”   อุ่นเรือนตอบ   ตาเศร้ายิ่งขึ้น   ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏแววอย่างหนึ่งซึ่งเป็นความขมขื่นและเคียดแค้นขึ้นอีกด้วย   “คุณผดาไม่มีโอกาสได้เห็นเขาแล้วละค่ะ เพราะว่าอาลัยตายเสียแล้ว”

“อ้าว ตายจริง”   ผดาอุทาน   “น่าเสียดาย... อายุสั้นจริงนะคะ”

“ค่ะ อายุสั้นทั้งๆ ที่ไม่น่าสั้น   เขาตายเพราะการคลอดบุตรค่ะ   โธ่   ถ้าเขาจะไม่ไปคลอดบุตรในที่กลางป่ากลางดงอย่างนั้นก็คงจะไม่ตายดอก   นี่มดหมอก็ไม่มี”   เสียงของอุ่นเรือนขาดหายไปในคอ   เห็นได้ชัดว่าหล่อนต้องรักน้องสาวคนนี้มาก   เพียงแต่การพูดถึงก็สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของหล่อนให้เศร้าโศกขึ้นมาได้ในทันที   “ดิฉันไม่ได้พบเขามาตั้งสามปีแล้ว   พอได้รับโทรเลขจากสามีของเขาว่าอาลัยเจ็บมากก็รีบขึ้นมาเป็นการมาดูใจก่อนตายเท่านั้นเอง”

“คุณ... เอ้อ... สามีของคุณอาลัยเป็นคนเมืองนี้ซีนะคะ   คุณอาลัยจึงต้องมาอยู่ที่นี่”

“ไม่ใช่ดอกค่ะ”   อุ่นเรือนตอบ   “คุณพงษ์ น้องเขยของดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ เหมือนกัน   แต่ที่ต้องหลีกลี้หนีหน้ามาทำงานป่าไม้ถึงเชียงใหม่นี่ก็เพราะว่ามารักใคร่กับน้องสาวของดิฉัน   “เสียงของอุ่นเรือนบอกชัดถึงความขมขื่นและเกลียดชังอย่างล้นเหลือเมื่อหล่อนกล่าวต่อไป   “เขาเป็นพวกผู้ลากมากดีค่ะ   ญาติพี่น้องของน้องเขยดิฉันน่ะ   แต่น้องดิฉันเป็นคนจน   เป็นพวกที่เขาเรียกกันว่าไม่มีสกุลรุนชาติ จึงไม่ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องของสามี   มันเป็นเรื่องของฟ้าสูงแผ่นดินต่ำน่ะค่ะ   เป็นเรื่องของคนจนกับคนมีอย่างที่เคยปรากฏมาแล้วนั่นเอง   เรื่องธรรมดา”

อุ่นเรือนจบคำพูดด้วยเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นแกมเยาะ   ผดานิ่งอึ้งไป   ช่างเหมือนกันกับเรื่องของเธออะไรเช่นนั้น   แต่ว่า... ผดาคิดถึงพลินทร์ในตอนหลังๆ นี้ แล้วก็หวนสงสัยว่า คนมั่งมีนั้นมีความเข้าใจที่แท้จริงต่อคนจนอย่างไรหนอ   ความจนหรืออะไรแน่ที่เป็นเหตุให้เขาตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ คนที่เขาเรียกกันว่า ปราศจากสกุลรุนชาติ

“ดิฉันเสียใจเหลือเกิน”   อุ่นเรือนคร่ำครวญ   “เสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้อยู่กับน้อง   ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดแก   ไม่เช่นนั้นแกก็คงจะไม่อายุสั้นอย่างนี้   เพราะดิฉันจะสอนแกให้เจียมตัว   จะสอนแกว่าเราจนก็ควรที่จะคบหาสมาคมแต่กับพวกคนจนด้วยกัน   เราเป็นกา จะหวังที่จะไปรวมอยู่ในฝูงหงส์ได้อย่างไร   ไม่มีธรรมเนียม   ไม่มีวันที่จะได้รับความสุข”

“คุณอุ่นเรือนไม่ได้อยู่กับน้องของคุณดอกหรือคะ”

“เปล่าดอกค่ะ   ดิฉันเป็นครู   จำต้องอยู่ที่โรงเรียน   อาลัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งค่ะ   เราเรียกแกว่าป้า”

“คุณอุ่นเรือนคิดว่าถ้าคุณได้อยู่ด้วยกันละก็คุณจะสามารถทำให้น้องของคุณเลิกรักกับ... น้องเขยของคุณได้หรือคะ”

“แต่อย่างน้อย ดิฉันก็อาจจะพอรั้งแกไว้ได้บ้าง   ดีกว่าที่จะปล่อยให้คุณป้าจัดการด้วยวิธีของท่าน   แต่ในเวลานั้นดิฉันคิดไปไม่ถึง   น้องถึงได้ต้องเตลิดไปถึงเพียงนั้น   อาลัยถูกคุณป้าห้ามขาดไม่ให้ติดต่อกับคุณพงษ์ค่ะ   แกถึงได้ตัดสินใจหนีตามเขาไป”

“หนีมาอยู่ที่เชียงใหม่นี่หรือคะ”

“เขาจะพากันไปที่ไหนบ้างดิฉันก็ไม่ทราบ   ดิฉันไม่ได้รับข่าวคราวจากเขาถึงสามปี   พอได้รับข่าวครั้งแรก มันก็กลายเป็นครั้งสุดท้ายไปด้วย”

ผดารู้สึกใจคอหดหู่เมื่อเห็นหยาดน้ำตาไหลเป็นทางลงมาจากหัวตาของคู่สนทนา   อุ่นเรือนนั่งนิ่งเฉยเหม่อลอยอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งจึงได้รู้สึกตัว   หล่อนยกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตาออกทิ้งเสียโดยเร็ว   หัวเราะแล้วออกตัวว่า

“ดิฉันนี่ช่างเหลวไหลจริง   เอาเรื่องอะไรก็ไม่ทราบมาเล่าให้คุณผดาฟัง   พลอยทำให้คุณไม่สบายไปด้วย   ขอโทษทีเถอะนะคะ”

“ไม่เป็นไรดอกค่ะ”   ผดาบอก   “ดิฉันเห็นใจคุณอุ่นเรือนเหลือเกิน   คุณว่าน้องของคุณตายเพราะการคลอดบุตร   ก็แล้วบุตรของเธอเล่าค่ะ”

“ตายคะ”   อุ่นเรือนตอบ   “ตายตั้งแต่ก่อนคลอดแล้ว”

“โถ”   ผดาร้องออกมาด้วยความรู้สึกสลดใจจริงๆ   “คุณนั่นแกมิแย่หรือคะ   เสียทั้งลูกทั้งภรรยา   คงแทบเป็นบ้าไปเลย”

“นั่งซึมไม่พูดไม่จาเลยค่ะ   แม้แต่เรื่องศพเมียก็ต้องตกเป็นภาระของคนอื่น   เพื่อนฝูงช่วยกันคนละไม้คนละมือ   พอเสร็จเรื่องนี้ แกก็เลยเดินเข้าป่าไปเลย   ไม่ทราบว่าไปเป็นตายร้ายดีอย่างไรจนเดี๋ยวนี้”   หล่อนถอนใจยาว   รอยยิ้มอย่างเจ็บช้ำน้ำใจปรากฏที่ริมฝีปาก   “มันเป็นกรรมของเขาเองที่เผอิญมีญาติพี่น้องอย่างนั้น   ดิฉันจะไม่ลืมเลยว่าพี่น้องของดิฉันต้องเป็นไปอย่างนี้ก็เพราะคนพวกนี้แท้ๆ

“ไม่ลืมและไม่ยอมยกโทษให้ด้วยหรือคะ”

“แน่ละค่ะ”   อุ่นเรือนพูดอย่างหนักแน่นจนกระทั่งผดาเชื่อทันทีว่าหล่อนหมายความดังนั้นจริงๆ   “ชีวิตของน้องดิฉันทั้งคน   ดิฉันลืมไม่ได้ง่ายๆ ดอกค่ะ คุณผดา”

“ดิฉันเข้าใจดีค่ะ ว่าคุณอุ่นเรือนจะลืมไม่ได้   แต่คุณอุ่นเรือนคงจะไม่ถึงกับคิดแก้แค้นนะคะ”

“เรื่องแก้แค้นดิฉันยังตอบไม่ได้ดอกค่ะ   ดิฉันยังไม่เคยได้พบกับพวกพ้องทางคุณพงษ์ ต้องให้ถึงเวลานั้นเสียก่อน แล้วดิฉันคงจะรู้เองว่าดิฉันจะทำอย่างไร”   เมื่อพูดจบอุ่นเรือนก็ลุกขึ้นยืนขึ้น   ยิ้มเศร้า ๆ กับผดา   บอกว่า   “ดิฉันต้องขอตัวไปเตรียมของว่างละค่ะ   ดิฉันเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้คุณผดาต้องพลอยกลุ้มไปด้วย   ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ   คำพูดบางคำของดิฉันอาจจะรุนแรงไป ที่เกี่ยวกับเรื่องคนมีและคนจน   ดิฉันลืมไปค่ะว่า คุณผดาเป็นคู่หมั้นของคุณพัจนา น้องชายคุณพลินทร์”

“โธ่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ   ดิฉันเห็นใจคุณอุ่นเรือนจริงๆ”   ผดามิได้พูดออกไปด้วย ว่า.... เพราะเราต่างก็ถูกทำร้ายความรู้สึกด้วยมูลเหตุอย่างเดียวกัน

จบบทที่ 27