หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 11

บ่ายวันนั้น   เทอด  ผู้จัดการบริษัท   ป่าไม้พงศ์ราชจึงได้มาหาพลินทร์ ข่าวที่เทอดมารายงานนั้นมิได้ทำให้พลินทร์รู้สึกเบาใจขึ้นเลย   การค้นหาพัจนายังคงดำเนินต่อไปไม่ได้  เพราะหมอกยังลงจัดอยู่   คนงานที่พากันหยุดงานก็ยังไม่ยอมฟังชี้แจงอย่างใดทั้งสิ้น

“พอคนที่จ้าวใช้ให้ไปบอกผมว่าคุณพลินทร์มาเชียงใหม่ไปถึงค่าย ผมก็รีบออกจากป่ามาทันที” เทอดรายงาน     “สวนกับพวกเจ้าหน้าที่ที่เขากำลังจะเข้าป่ากันตรงปากทาง   ตอนนี้หมอกจางลงหน่อยแล้วครับ ถ้าไม่กลับลงหนักอีกละก็ อีกสัก 3 – 4 วันก็คงรู้เรื่องคุณพัจนา”

“อีก 3 – 4 วัน”    พลินทร์พูดคล้ายคำราม     “กว่าจะถึงเวลานั้น พัจนาก็คงจะเหลือแต่...”    เขาชะงักคำต่อไป  หน้าซีดลง ผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ พูดต่อไปอย่างหงุดหงิดว่า     “ทำไมเราจะต้องคอยอาศัยพวกนี้ด้วยหรือ   เราจะจ้างคนของเราเข้าไปไม่ได้รึไง คุณเทอด”

“ก็ได้หรอก”     จ้าวศรีฟ้าเป็นคนตอบแทนเทอด     “แต่อากาศอย่างนี้ และในสถานการณ์เช่นนี้ผมว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก   พลินทร์   ถึงแม้ว่าเราจะให้ค่าจ้างเขาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม”

“ถ้าเราจะเพิ่มให้เป็นสามหรือสี่เท่าเล่า”     พลินทร์ถาม   พลางมองผู้จัดการของเขา   เทอดหลบสายตานั้น  พึมพำตอบว่า

“ผมยังไม่ได้ลองครับ”

“งั้นก็ลองเสียซิ”     เสียงที่พูดนั้นเฉียบขาดยิ่งนัก    “ผมยอมเสียเงินไม่จำกัด ขออย่างเดียวคือให้ได้รู้เรื่องอะไรขึ้นมาบ้างเท่านั้น  ขืนต้องอยู่มืดๆ งมๆ เรื่อยไปแบบนี้ ผมคงต้องเป็นบ้าแน่”

“เอา ตกลงเป็นอันว่าเราจะลองประกาศหาคนอาสาสมัครเข้าป่าไปค้นหาเครื่องบินที่ตก” จ้าวศรีฟ้าเป็นผู้สรุป

“แล้วเรื่องคนงานล่ะ เป็นยังไงคุณเทอด”     พลินทร์ซักต่อไป

“พวกคนงานเวลานี้กำลังแบ่งออกเป็นสองพวกครับ”     เทอดรายงาน “พวกหนึ่งยังยอมทำงานอยู่ แต่อีกพวกไม่ยอมทำงานจนกว่าเราจะยินยอมทำตามเงื่อนไขที่เขาเสนอมาครับ”

“เงื่อนไขอะไร”     พลินทร์ขมวดคิ้ว

“เขาต้องการค่าจ้างเพิ่มอีกเท่าตัวครับ”     เทอดตอบ  รู้สึกเหมือนหายใจไม่สะดวกเมื่อถูกสายตาของนายจ้างจับจ้องอยู่เช่นนั้น  เขาได้ยินเสียงที่เป็นกังวานแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดถามต่อไปว่า

“ทำไมเขาถึงได้ตั้งข้อเรียกร้องเอาอย่างนั้นเล่า   เงินค่าจ้างที่เราจ่ายอยู่ในเวลานี้ น้อยกว่าที่อื่นเขารึยังไง”

“ถ้าเป็นเวลาปรกติก็ไม่น้อยหรอกครับ”     เทอดอธิบาย     “แต่ทีนี้เรื่องมันยุ่งก็เพราะบริษัทของพ่อเลี้ยงบุญอินกับเถ้าแก่กิมเขาเกิดประมูลเพิ่มค่าแรงเพื่อแกล้งกัน  ทางนี้ให้เท่านี้ อีกทางก็เสนอให้มากขึ้นไปอีก   พอทางนี้รู้ว่าทางโน้นให้มากกว่า  ก็เลยต้องเพิ่มให้อีก  เป็นอย่างนี้แหละครับ หนักเข้าก็ยกพวกเข้าฆ่ากันเสียที”

“บัดซบ”    เป็นเสียงเหมือนคำราม     “แล้วคนงานของเราก็พลอยเป็นกับเขาไปด้วยงั้นซี”

“ก็คนพื้นบ้านนี่ครับ”     เทอดพูดคล้ายจะขอโทษแทนคนเหล่านั้น   แต่ความจริงแล้วไม่ใช่   แต่เป็นเพราะเขาเกรงว่าพลินทร์จะโกรธจัดมากกว่า    “ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลังอะไร เห็นเขาได้เงินมากก็เลยอยากจะได้บ้างเท่านั้นเอง”

เทอดได้เล่าต่อไปถึงคนงานบางคนที่ออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกเพราะไม่ได้งานที่อื่นทำ และลูกเมียต้องอดอยากเข้า  แต่อย่างไรก็ตาม  ยังเป็นความเบาใจอยู่ไม่น้อย  ที่พวกเถ้าแก่กิมหรือพวกของพ่อเลี้ยงบุญอินมิได้มาเกะกะระรานด้วยเลย

“สองพวกนี้ไม่ทำผู้อื่น”     เทอดบอก    “เขายุ่งกันอยู่ของเขาเท่านั้นเองครับ”

พลินทร์นิ่งเงียบอยู่นาน  เขานั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้  มือทั้งสองกำท้าวแขนแน่น คิ้วขมวดและดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย   อันเป็นอากัปกิริยาที่ชัชเลขานุการประจำตัวเข้าใจดีว่าเขากำลังตกอยู่ในความยุ่งยากใจ

“คุณเทอด”

“ครับ”

“ปล่อยเรื่องคนงานเอาไว้ก่อน    ผมจะคอยฟังข่าวคนที่เข้าไปค้นหาเครื่องบินที่ตก   เมื่อเสร็จธุระเรื่องนี้แล้ว  เราค่อยจัดการเรื่องคนงานต่อไป   เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ”

“อ้อ   ผมอยากจะให้คุณติดต่อกับคุณชัช   บอกให้รู้ว่าผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกโดยไม่มีกำหนด”

“พลินทร์”     จ้าวศรีฟ้าร้องขึ้น แต่เมื่อมองเห็นดวงตาที่ชำเลืองมาทางเขาแวบหนึ่งก็หยุด

พลินทร์สั่งงานแก่ผู้จัดการของเขาต่อไปว่า     “ถ้าคุณชัชมีอะไรจะรายงานผม ให้ติดต่อมาทางสำนักงานของเราที่นี่โดยผ่านมาทางคุณแล้วก็ให้เขาเรียนคุณแม่ของผมด้วย”

เมื่อเทอดกลับไปแล้ว จ้าวศรีฟ้าจึงได้หันไปทางเพื่อน กล่าวขึ้นอย่างพิศวงว่า     “คุณว่าจะอยู่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดหรือพลินทร์ ก็คุณกำลังจะหมั้นไม่ใช่รึ”

“การหมั้นของผมไม่สำคัญเท่าความเป็นความตายของพัจนา”    เป็นคำตอบอย่างเด็ดเดี่ยว     “ผมจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะรู้เรื่องของพัจนาโดยละเอียด  ถ้าไม่ทันกำหนดที่กะไว้  การหมั้นก็ต้องเลื่อนไป”

จ้าวศรีฟ้าถอนใจ   พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  กล่าวคล้ายรำพึงว่า    “คุณสิวิกาจะว่าอย่างไรอยากรู้นัก”     เขามองดูญาติหนุ่ม   เห็นพลินทร์กำลังหยิบซองบุหรี่ออกมา  เมื่อพลินทร์ยื่นซองมาทางเขา   จ้าวศรีฟ้าชะโงกไปหยิบมามวนหนึ่ง มองหน้าผู้ให้ พูดว่า     “งานและหน้าที่ต้องมาก่อนตามเคยนะ   พลินทร์  คุณไม่คิดบ้างหรือว่า   ผู้หญิงเขาต้องการอะไรที่เป็น...   เอ้อ...   เป็นพิเศษยิ่งกว่านั้น”

“จ้าวคงจะหมายถึงความรักที่ต้องการการพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจกระมัง”     พลินทร์ย้อนถามพลางหัวเราะ  ส่ายหน้าช้าๆ     “จ้าวช่างพูดเหมือนคุณแม่ของผม ถูกละจ้าว ผมเองก็อยากที่จะเอาอกเอาใจผู้หญิงของผม   แต่การเอาอกเอาใจ  การพะเน้าพะนอนั้นควรจะต้องมีขอบเขตไม่ใช่พร่ำเพรื่อไปโดยไม่มีการจำกัดเวลา   ผู้หญิงที่จะแต่งงานกับผมควรจะเข้าใจดีว่า ผม พลินทร์ พงศ์ราชไม่ใช่นักรัก”

“พูดคล้ายกับว่าคุณไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก”     ศรีฟ้าบ่น และก็ได้รับคำตอบในทันทีอย่างหนักแน่นว่า

“รักสิ ทำไมจะไม่รัก   สิวิการักผม  และที่ผมเลือกสิวิกาก็เพราะว่าผมรักเธอเหมือนกัน”

“แล้วก็เลือกเพราะเห็นว่าเธอเหมาะสมที่จะแต่งงานกับคุณมากกว่าผู้หญิงคนอื่นด้วย”     จ้าวศรีฟ้าว่าแล้วหัวเราะ   ลุกขึ้นยืน  พูดต่อไปทั้งที่เสียงหัวเราะยังไม่สิ้นไปว่า     “ผมคิดว่าผมเข้าใจคุณดี รู้จักคุณดี   แต่บางคราวผมก็รู้สึกว่าผมไม่รู้จักคุณเลย   ผมไม่รู้เลยว่าคุณเป็นอย่างไร”

“ผมเป็นอย่างไรน่ะหรือ”     พลินทร์ถามพร้อมกับลุกขึ้นยืนบ้างเช่นกัน ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ และน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและทระนงยิ่งนักเมื่อเขากล่าวต่อไปว่า “ผมก็เป็น...พลินทร์ พงศ์ราชน่ะซิ”

จ้าวศรีฟ้ามองดูร่างอันสูงสง่าผึ่งผายที่ยืนอยู่ตรงหน้านิ่งเฉยอยู่   ถูกละซิ  เขาอยากจะพูดออกมาเช่นนั้น   เป็นพลินทร์   พงศ์ราช  สัญลักษณ์ของสกุลพงศ์ราชที่ยิ่งใหญ่ แต่มิใช่ผู้ชายที่มีเลือดเนื้อมีชีวิตจิตใจเหมือนผู้ชายทั่วไป

การสนทนาสิ้นสุดลงด้วยเสียงรองเท้าล้นสูงที่เดินค่อนข้างเร็วเข้ามาในห้อง   จ้าวศรีชลาในเครื่องแต่งกายสำหรับออกจากบ้านในชุดที่เรียบร้อย  งดงามยิ้มแย้มตรงเข้ามาหาพี่ชายและญาติหนุ่มของเธอ

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่คะ   ไหนจ้าวพี่อาสาไว้ว่าวันนี้จะเป็นโชเฟอร์ให้น้อง”

“เออ จริงซีนะ”     จ้าวศรีฟ้าพูดอย่างเพิ่งนึกได้ แล้วหันไปทางพลินทร์ ชวนว่า “ไปเที่ยวตลาดกันไหม  พลินทร์     อยู่ว่างๆ”

พลินทร์ยิ้มส่ายหน้า บอกว่า “ขอบใจที่ชวน แต่อย่าเพิ่งเลยจ้าว เอาไว้วันหลังดีกว่า” เขาหันไปทางจ้าวศรีชลา ยิ้มกับหล่อนอย่างเอ็นดู “เอาไว้วันหลังนะครับจ้าว ผมจะขอรับอาสาเป็นโชเฟอร์แทนจ้าวพี่ของจ้าวเอง”

ศรีชลาทำตาโต   หัวเราะเสียงใส  พูดว่า     “ฮู้ย  ตายแล้ว คุณพลินทร์ พงศ์ราชจะมาเป็นคนขับรถให้ดิฉัน ออกจะเกินวาสนาไปหน่อยละคะ” หล่อนเอียงคอมองดูเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า     “มีคนเขาว่ากันว่าคุณพลินทร์ไม่เคยเดินไปซื้อของกับผู้หญิงคนไหนเลย จริงไหมคะ”

“ใครว่า”     พลินทร์ถามยิ้มๆ

“เอาเถอะค่ะ   มีคนว่าก็แล้วกัน  เป็นความจริงหรือเปล่าล่ะคะ”

“ท่าจะจริง”     พลินทร์ตอบ พร้อมกับหัวเราะ  จ้าวศรีชลาก็ค้อนเขาแล้วพูดว่า

“แล้วอย่างนี้ยังจะมาทำเป็นอาสาจะขับรถให้ดิฉัน  ไม่เอาละค่ะ   กลับจะเป็นข่าวใหญ่   เดี๋ยวคุณสิวิกาเข้าใจผิดจะร้องไห้แย่”    หล่อนหันไปทางพี่ชายชวนว่า “ไปกันเถอะค่ะจ้าวพี่”

“อยู่เฝ้าบ้านนะ พลินทร์”     เจ้าของบ้านหนุ่มหันมาสั่งก่อนที่จะเดินไปกับน้องสาว     “ขอโทษที่ปล่อยไว้คนเดียว   นายศรีธรก็ไม่อยู่เสียด้วย นายคนนั้นเขาเป็นโรคอยู่ไม่ติดบ้านสักวัน ไม่รู้ว่าเป็นยังไง”

เมื่อได้พบกันพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหารในตอนค่ำวันนั้น จ้าวศรีชลาได้พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “คุณพลินทร์คะ  ลองสังเกตดูจ้าวพี่ซีคะว่าวันนี้จ้าวพี่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง”

พลินทร์หันไปมองดูผู้ถูกกล่าวถึงซึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องซ้ายของเขา จ้าวศรีฟ้าหัวเราะคล้ายกระดาก ใบหน้าเป็นสีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากเป็นคนขาว   ศรีธรซึ่งหันมาเช่นกันหันกลับไปตักอาหารใส่จาน   บอกว่า     “ไม่เห็นเป็นยังไงนี่ หน้าตาก็ยังเป็นจ้าวพี่ศรีฟ้าคนเดิมนั่นแหละ”

“เธอมันคนตาสั้น ใช้การไม่ได้หรอก”     พี่สาวค้อนให้    “ฉันถามคุณพลินทร์จ้ะ”

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนอกจากว่า...”    พลินทร์มองดูใบหน้าของญาติหนุ่มอย่างพินิจ ซึ่งทำให้ผู้ถูกมองปรากฏสีเข้มขึ้นที่ใบหน้าอีก เขาจึงกล่าวว่า     “เอ   วันนี้ทำไมจ้าวถึงดูหน้าแดงเก่งผิดปรกติจริง”

“เฮ่ย”     เจ้าศรีฟ้าร้องอย่างกระดาก   พร้อมกันกับที่น้องสาวตบมือเบาๆ อย่างชอบใจ

“จริงด้วยซีคะ”     หล่อนรับรองความรู้สึกของพลินทร์เสียงใส พร้อมกับมองดูพี่ชายอย่างล้อเลียน “ขอกระซิบบอกวันนี้เราไปพบใครคนหนึ่งเข้าที่ตลาด คืนนี้สงสัยว่าจ้าวพี่จะนอนไม่หลับเสียละกระมังคะ”

อ้อ   มิน่าล่ะ   พลินทร์ร้องอุทานอยู่ในใจพลางมองดูเพื่อนอย่างนึกขัน  อย่างนี้นี่เองจ้าวศรีฟ้าถึงได้หน้าแดงแล้วแดงอีก  ทันใดนั้น  เขาก็นึกถึงดวงตาคู่หนึ่ง จะเป็นสีอะไรก็สุดที่จะจดจำไว้ได้   สิ่งเดียวที่เขาจะไม่มีวันลืม   ก็คือความเกลียดชังและดูหมิ่นเหยียดหยามที่บรรจุอยู่เต็มที่ในดวงตาคู่นั้น  อา...  หล่อนเป็นใคร   เหตุใดจึงมองดูเขาด้วยดวงตาเช่นนั้น

“หล่อนคือใคร”    เขาพึมพำออกไปคล้ายจะถามตัวเอง  แต่ศรีชลาก็ได้ยยิน หล่อนยกนิ้วขึ้นส่ายน้อยๆ  ตรงหน้า บอกว่า     “ยังค่ะ เรายังไม่บอกคุณพลินทร์หรอก ดิฉันจะแนะนำเธอให้รู้จักกับคุณพลินทร์พร้อมกันทั้งตัวและชื่อทีเดียว”

“เมื่อไรล่ะจ๊ะ”

พี่ชายของหล่อนถามอย่างเอ็นดู  และศรีชลาก็ตอบอย่างมั่นใจว่า    “เราจะเชิญเธอมานั่งกินข้าวที่นี่เร็วๆ นี้แหละค่ะ”

“แหม ดูเธอมั่นใจตัวเองเหลือเกินนะน้อง”     จ้าวศรีฟ้าว่า และน้องสาวของเขาก็ตอบสนองอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มที่ว่า

“จ้าวพี่คอยดูไปเถอะค่ะ  ว่าน้องจะทำให้ความฝันของจ้าวพี่กลายเป็นความจริงได้หรือไม่”

“แต่อย่าเพิ่งฝันให้ไกลเกินไปนะครับ จ้าวพี่”     จ้าวศรีธรเอ่ยขึ้นมา        “ในตอนนี้ควรจะฝันเพียงแค่ได้เห็นเธอมานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยก็พอแล้ว”

“แกมันบ้า”     จ้าวศรีฟ้าว่าน้องชาย   หน้าแดงเข้มขึ้นอีกจนสังเกตเห็นได้ชัด

เรื่องที่สนทนากันที่โต๊ะอาหารในคืนวันนั้นมิได้เหลือติดค้างอยู่ในความคิดของพลินทร์อีก เรื่องคนงานสะไตร๊ค์ และข่าวคราวที่เงียบหายไปของพัจนา   และขณะที่ทำการสำรวจเครื่องบินตก ทำความวิตกกังวลแก่จิตใจของเขาเพิ่มขึ้นทุกวัน   แม้กระนั้น  พลินทร์ยังอดสังเกตไม่ได้ว่าสหายของเขาสดชื่นรื่นเริงขึ้นทุกวัน   คนกำลังมีความรัก  พลินทร์นึกขันอยู่ในใจ  และหวนกลับมาคิดถึงตนเองด้วยความพิศวงว่าเขาเคยเป็นเช่นเดียวกันกับจ้าวศรีฟ้านี้หรือเปล่า   ดูเหมือนจะไม่เคยเลย

ความรักของเรามันต่างกัน   พลินทร์ลงความเห็นในที่สุด   จ้าวศรีฟ้าไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสชนะหัวใจของหญิงนั้นหรือไม่ จึงได้มีความตื่นเต้นกระตือรือร้นนัก   ส่วนเขา พอได้พบกับสิวิกาเป็นครั้งแรก เขาก็มั่นใจทันทีว่า ผู้หญิงคนนี้แหละที่ควรคู่กับคนอย่างเขาที่สุด  และเขามั่นใจทีเดียวว่าเขาจะต้องได้แต่งงานกับหล่อนอย่างแน่นอนโดยไม่มีอุปสรรค   ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดมา  ไม่มีสิ่งใดเลยที่เขาอยากจะได้แล้วไม่ได้สมใจ  เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้ละกระมัง ชีวิตของเขาจึงไม่สู้จะมีความตื่นเต้นเท่าไรนัก   มันดำเนินไปอย่างเรียบร้อย   เป็นระเบียบและไม่มีการผิดพลาด   เป็นชีวิตที่สมบูรณ์พรั่งพร้อมทุกประการอย่างน่าภาคภูมิใจ

แต่อย่างไรก็ตามเขาก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ว่าเหตุใดจ้าวศรีฟ้าจึงได้ด่วนติดอกติดใจในแม่หญิงคนนั้นรวดเร็วนัก  เพียงแต่ได้เห็นหน้ากันครั้งแรกก็ปักใจชอบเอาง่ายๆ เสียแล้ว คนอย่างเจ้าศรีฟ้าก็มิได้ต่ำต้อยกว่าพลินทร์ พงศ์ราชเลยแม้แต่น้อย   ควรหรือที่จะด่วนปักใจชอบในหญิงที่ตนเองยังไม่รู้จักแม้แต่ว่าหล่อนเป็นใคร  มาจากไหน   แต่ก็นั่นแหละ  มันเป็นเรื่องของจ้าวศรีฟ้า มิได้เกี่ยวข้องกับเขา หน้าที่ของเพื่อนและญาติที่ดีที่เขาพอจะทำได้ก็คือคอยเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ   ถ้าเห็นไม่ชอบมาพากลอย่างไรจึงค่อยให้สติตักเตือนกันในภายหลัง

เขาไม่ได้เอาใจใส่อีกต่อไปว่าเรื่องราวของจ้าวศรีฟ้าและแม่หญิงตาคมคนนั้นจะดำเนินไปอย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น   ได้ยินเสียงแจ๋วๆ ของจ้าวศรีชลาเอ่ยถึงชื่อเขา   พลินทร์จึงแกล้งกระแอมให้เสียงดังๆ เสียก่อนที่จะก้าวเข้าไป   แล้วถามว่า

“ได้ยินเสียงใครเอ่ยถึงพลินทร์ทำไมหนอ”

“ดิฉันเองค่ะ”    ศรีชลาหันมายิ้มรับอย่างอ่อนหวานตามเคย    “เราเชิญคุณพลินทร์เป็นแขกเกียรติยศในวันพรุ่งนี้”

“เนื่องในงานอะไรครับ”     เขาถามอย่างสงสัย  จ้าวศรีฟ้าเห็นผู้ตอบแทนน้องสาวว่า

“วันเกิดของเขาน่ะซิ”

“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของจ้าวหรือนี่”     พลินทร์ทำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย    “แล้วก็เชิญผมเป็นแขกเกียรติยศเสียด้วย โก้หรูอะไรเช่นนั้น”

“แต่ความจริงไม่โก้อย่างที่คุณพลินทร์คิดเลย” ศรีชลาหัวเราะชอบใจ “ถ้าคุณพลินทร์รู้จำนวนแขกเกียรติยศแล้วคุณพลินทร์จะตกใจ  คุณเป็นแขกเกียรติยศของฉัน คู่กับแขกเกียรติยศของจ้าวพี่”

“อ้อ   จ้าวก็มีแขกเกียรติยศด้วยเหมือนกัน ผู้หญิงหรือผู้ชาย   เอ  ใครกันนะ ผมรู้จักหรือเปล่า”

“ไม่รู้จักหรอกค่ะ”     ศรีชลาตอบอย่างสนุกสนาน    “แต่จะบอกใบ้ให้ว่าเป็นสาวสวย”

“อ้อๆ” พลินทร์ร้องพลางมองดูดวงหน้าที่เริ่มมีสีเข้มขึ้นของสหาย พูดยิ้มๆ ว่า     “เจ้าทำหน้าแดงยังงี้ทำให้ผมอดนึกถึงสายตาของจ้าวที่มองดูใครคนหนึ่งที่สถานีรถไฟไม่ได้เลย จะใช่คนนั้นเปล่าหนอ”

จ้าวศรีฟ้าหัวเราะอย่างกระดาก     “กระบวนเดาใจคนละก็ไม่มีใครเกินคุณเลยนะ พลินทร์”

“ใช่หรือ... ถ้าใช่ผมก็ดีใจด้วย”

“คุณคงไม่รังเกียจที่จะนั่งโต๊ะตรงข้ามกับหล่อน”     จ้าวศรีฟ้ากล่าวต่อไป

พลินทร์เลิกคิ้ว “ก็ทำไมผมถึงจะต้องรังเกียจด้วยล่ะ”   เขาว่า “ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นแขกเกียรติยศของจ้าวไม่ใช่หรือ   ผมมีความยินดีที่จะได้รู้จักกับ...   เอ้อ..  . สุภาพสตรีในดวงใจของจ้าวศรีฟ้า  ญาติและเพื่อนที่รักของผมเป็นที่สุด”

สุภาพสตรี   เขาได้พูดออกไปเช่นนั้นหรือ จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นสุภาพสตรี เขาเชื่อว่าไม่มีใคร แม้แต่ตัวจ้าวศรีฟ้าเอง   จะได้รู้จักหล่อนดีเท่าที่ควรจะรู้ แต่ถึงอย่างไรจ้าวศรีฟ้าก็ชอบหล่อนแน่ๆ   เขาอ่านกิริยาท่าทางของสหายออกอย่างชัดเจนทีเดียว   จ้าวศรีชลาเองก็ดูจะพลอยเห็นดีเห็นงามไปกับพี่ชายดีอยู่   แต่เอาเถอะ  พรุ่งนี้แล้วที่จะได้เห็นกันว่าหล่อนจะเป็นคนอย่างไร แล้วก็บางทีเขาอาจจะมีโอกาสได้รู้ด้วยบ้างกระมัง   ว่าเหตุใดหล่อนจึงได้มองดูเขาอย่างกับว่าเคยโกรธเกลียดกันมาตั้งหลายสิบปีเช่นนั้น

แขกคนสำคัญคนนั้นมาถึงคุ้มไศลเมื่อไรพลินทร์ไม่อาจทราบได้ เพราะหลังจากที่เขาได้ไปพบกับจ้าวศรีชลาที่ห้องของหล่อนในตอนเช้าเพื่ออวยพรวันเกิดแล้ว เขาก็ขอยืมรถของจ้าวศรีฟ้าขับไปที่ทำการของบริษัทที่ในเมือง และอยู่ที่นั่นเกือบทั้งวันจนกระทั่งเย็นจึงได้กลับ

พลินทร์อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่  เตรียมตัวสำหรับเข้านั่งโต๊ะอาหารในตอนค่ำ ขณะที่เขากำลังยืนสูบบุหรี่ผ่อนอารมณ์อยู่ที่หน้าต่างนั้น   เขาได้เหลือบมองลงไปข้างล่างโดยบังเอิญ และก็ได้เห็นภาพที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่งเข้าภาพหนึ่ง   ภาพนั้นคือจ้าวศรีฟ้าซึ่งกำลังเดินอยู่ในสวน ข้างกายของจ้าวหนุ่มมีใครคนหนึ่งเดินเคียงไปด้วย  ใครนั้นสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำ   แม้ว่าจะเห็นเพียงด้านหลัง   พลินทร์ก็ยังจำรูปร่างอันงดงามสมส่วนของหล่อนได้ในทันที   คนทั้งสองเดินเคียงกันไปช้าๆ   บางครั้งก็หยุดยืนที่กอไม้   ชี้มือเป็นการชวนชม

ออกจะสนิทสนมกันรวดเร็วดีอยู่มิใช่น้อย  พลินทร์คิดอย่างรู้สึกเป็นห่วงใย   แต่อย่างไรก็ตาม  ภาพที่ปรากฏอยู่ในสวนนั้นเป็นภาพที่น่าชมอยู่ไม่น้อย   เขาจึงได้มองดูภาพนั้นต่อไปอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งทั้งสองคนนั้นทำท่าจะหันกลับมา

พลินทร์จึงได้หลบเข้ามาเสีย   ประเดี๋ยวก็จะได้เห็นหล่อนเต็มตาแล้ว   ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้หล่อนรู้ว่าเขาแอบมองดูหล่อนอยู่หรอก

อยากรู้จริงว่าเขาคุยกันถึงเรื่องอะไร  พลินทร์คิดขณะที่หวีผมอยู่หน้ากระจก  อยากเห็นสายตาที่หล่อนใช้มองดูจ้าวศรีฟ้านักว่าจะมีลักษณะเดียวกันกับที่หล่อนมองดูเขาหรือไม่   คงไม่เหมือนกันแน่   ไม่เช่นนั้น  หล่อนก็คงจะไม่ยินยอมลงไปเดินเคียงคู่กันอยู่ในสวนตั้งนานอย่างนั้นหรอก  แต่ว่า   เออ   นี่เขาเป็นอะไรไปเสียแล้ว   ทำไมเขาจึงจะต้องไปสนใจกับผู้หญิงคนนี้ด้วยเล่า ในเมื่อหล่อนก็มิได้เป็นคนสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย  คนอย่างเขา พลินทร์ พงศ์ราช   มีความสนใจในหญิงที่ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้ามากมายถึงกับเก็บเอามาครุ่นคำนึง ใครรู้เข้าจะว่าอย่างไร  น่าขายหน้าแท้ๆ

เขาวางหวีลง   หยิบห่อของขวัญซึ่งซื้อมาจากในเมืองขึ้นมาถือไว้แล้วเดินลงไปข้างล่าง

ไม่มีใครที่ห้องกลางข้างล่าง   พลินทร์เดินเรื่อยๆ ไปทางระเบียงกว้างที่จะเลี้ยวไปทางด้านหลัง อยู่กันที่นี่เอง เขาบอกกับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงพูดกันดังแว่วมา   เสียงจ้าวศรีฟ้า   จ้าวศรีธร     แล้วก็เสียง...   เสียงลึกๆ ทุ้มๆ แปลกหูเสียงนั้น พลินทร์ลดฝีเท้าให้ช้าลงอีก   และเดินให้หนักขึ้นอีกเล็กน้อย ทันใดเขาก็ได้ยินเสียงจ้าวศรีฟ้าร้องมาว่า

“พลินทร์  นั่นพลินทร์ใช่ไหม”

แทนที่จะตอบรับออกไป  พลินทร์เดินช้าๆ  ไปยังชายสองและหญิงสามที่ยืนอยู่ใกล้ทางบันไดหลังที่ขึ้นมาจากสวน   จ้าวศรีฟ้าและจ้าวศรีธรจริงๆ อย่างที่เขานึกไว้ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น เขาไม่ได้มองให้เคลื่อนคลาดเกินไปกว่าช่อแคทลียาสีม่วงสดที่ประดับอยู่เหนืออกด้านซ้ายใกล้คอเสื้อสี่เหลี่ยมกว้างและตื้นของหล่อน   แต่แน่ละ  เขารู้ได้โดยสัญชาติญาณว่า  หล่อนกำลังจ้องมองดูเขาเขม็งทีเดียว

“นั่นคุณกำลังจะไปไหน พลินทร์”     จ้าวศรีฟ้าถาม  พลินทร์อดสังเกตไม่ได้ว่าหน้าตาของญาติของเขาวันนี้ช่างสดสว่างอย่างมีความสุขเหลือเกิน  จนเกือบทำให้ดูเป็นหนุ่มน้อยพอๆ กับน้องชายที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่นทีเดียว

“กำลังเดินหาจ้าวศรีชลา”     พลินทร์ตอบ     “ไปไหนเสียล่ะ เจ้าภาพ”

“อยู่ในห้องอาหารนั่นแน่ะ”     จ้าวศรีฟ้าทำหน้าบุ้ยใบ้ไปทางห้องที่เขากล่าวถึง จ้าวศรีธรเสริมว่า

“วันนี้ พวกผู้ชายถูกห้ามเข้าไปใกล้ห้องอาหารครับ ใครเข้าไปใกล้เป็นถูกไล่เปิดหมด”

“ปล่อยให้เขาสนุกสักวัน”     จ้าวศรีฟ้าพูดอย่างรื่นเริง “นี่พลินทร์ ผมขอแนะนำให้รู้จักกับสุภาพสตรีผู้ซึ่งคืนนี้จะเป็นแขกคนหนึ่งที่จะร่วมรับประทานอาหารกับเราด้วย...”

พลินทร์ จึงยอมให้ดวงตาของเขามองจับหล่อนอย่างเต็มที่ในตอนนี้   และก็ได้ประสานกับดวงตาของหล่อนที่จ้องมองตรงมายังเขาอยู่ก่อนแล้ว   อา...   เขามิได้เข้าใจผิดไปเลย ผู้หญิงคนนี้หล่อนต้องไม่ชอบเขาอย่างแน่นอน   ดูดวงตาของหล่อนซิ ดวงตาที่จ้องมองดูเขาอย่างเกลียดชังและดูหมิ่น   แต่ว่าขณะนี้   ดูเหมือนจะแฝงไว้ซึ่งความเยาะเย้ยและมีชัยอย่างประหลาด   หล่อนเป็นใครกันหนอ

“เธอผู้นี้คือ...”

จ้าวศรีฟ้ากำลังจะไขข้อข้องใจของเขาอยู่ ณ บัดนี้แล้ว

“ผดา ศาสตรวิจัย”

ผดา ศาสตรวิจัย   คุณพระช่วย  ให้ตายเถอะ  พลินทร์ พงศ์ราช   รู้สึกราวกับว่าฟ้าได้ผ่าลงมาในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนั้น

จบบทที่ 11