หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 36

“แต่ในเวลานั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”   พัจนาเล่าต่อไป   “ผมจะรู้แต่ว่าคนที่ไว้หนวดเครานี้จะต้องเป็นหัวหน้าของคนพวกนั้นแน่ เพราะดูมันมีความเกรงอกเกรงใจอยู่มาก   ผมได้ยินไอ้คนหนึ่งถามว่าจะจัดการอย่างไรกับไอ้ตี๋นั่น   นั่นแหละครับ ผมจึงได้เข้าใจว่าต้องเป็นลูกชายเถ้าแก่กิมแน่ ที่เป็นเจ้าของเสียงร้องครวญครางนั้น   คนหนึ่งเสนอว่า ว่าให้ปล่อยทิ้งไว้ให้เสือลากเอาไปกิน และ อีกคนหนึ่งเสนอว่า ให้เอาตัวไปมัดทิ้งไว้ที่หน้าค่ายเป็นการเยาะเย้ยเถ้าแก่กิม ผู้บิดาของชายเคราะห์ร้ายคนนั้น   แต่สากันกลับหันไปตวาดเอา

“หยุดทีเถอะ ไอ้พวกกระหายเลือด   เท่าที่เจ้านั่นมันได้รับอยู่เดี๋ยวนี้ ยังไม่ทรมานพออีกหรือ   ข้าอยากให้เป็นเอ็งนักให้ตายซิ   เอ็งจะได้รู้รสเสียบ้างว่าไอ้ความทรมานนี่มันมีรสชาติเป็นยังไง”

ผมนอนฟังพวกนั้นโต้แย้งกันอยู่   หัวหน้าต้องการจะให้ใครคนหนึ่งไปจัดการให้คนเจ็บพ้นไปจากความทรมานเสียโดยเร็ว แต่ลูกน้องไม่มีใครยอมทำ   ทุกคนล้วนแต่กระหายเลือด อยากจะเห็นลูกชายของศัตรูสิ้นใจตายไปเอง เพราะความทรมานนั้น   เจ้าคนหนึ่งพูดอย่างยะโสว่า

“พวกเราไม่มีใครต้องการให้มันพ้นทุกข์ไปเร็วนัก   ถ้านายต้องการ นายก็ทำเองซี   ลองยิงคนให้ดูเป็นขวัญตาสักทีเถอะ   ข้าจะได้นับถือว่านายเก่งจริง   ไม่ใช่ต้องนับถือเพราะพ่อเลี้ยงสั่ง”

“แกคิดว่าข้าไม่กล้าทำยังงั้นเรอะ”   ผมได้ยินหัวหน้าพูดอย่างดุดัน   “ดีละเมื่อแกไม่ทำก็ไม่เป็นไร   ข้าจะจัดการเอง”

“แล้วเขาก็เดินผละไป   ผมพยายามเหลียวมองตามไป จึงได้เห็นว่าไม่ไกลจากที่ผมนอนอยู่นั้น คือท่อนลำตัวของเครื่องบินที่ผมโดยสารมาพังยับเยินอยู่   แพนหางชี้ขึ้นเบื้องบน   เขาเดินหายเข้าไปในนั้น   อีกอึดใจเดียวต่อมาผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นแล้วเสียงร้องก็เงียบหายไป”

พัจนาจบคำบอกเล่าของเขาพร้อมด้วยอาการถอนใจใหญ่ ซึ่งพลอยพาให้คนอื่นถอนใจตามไปด้วย   ภิสัชถามต่อไปว่า

“คุณว่าพรานส่วยอะไรนั่นก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยไม่ใช่หรือครับ  คุณพัจนา   แต่ผมยังไม่ได้ยินคุณกล่าวถึงพรานส่วยคนนี้เลยสักคำเดียว”

“พรานส่วยเข้ามาพอดีกับที่เสียงปืนดังขึ้นครับ”   พัจนาบอก   “พรานส่วยเดินเข้าไปหาสากันที่เครื่องบิน ก่อนที่คนอื่นจะเข้าไป และรู้เรื่องนี้ดี   ผมคิดว่าพรุ่งนี้เมื่อคุณได้พบกับแก แกก็คงจะเล่าให้คุณฟัง...   แล้วต่อจากนั้นแกกับสากันก็พาผมไปที่กระท่อมที่คุณไปพบนั่น   ยาสมุนไพรของพรานส่วยทำให้อาการของผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ”

ภิสัชทำหน้าคล้ายจะยิ้มเมื่อได้ฟังคำพูดประโยคหลังของพัจนา   เขาชำเลืองตามมาที่ผดา ซึ่งเธอพอจะเดาได้ว่าขณะนั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ   ถ้าคนเราสามารถอ่านความคิดของคนอื่นออกมาได้ดังๆ   ผดาเชื่อว่าเธอจะต้องอ่านความคิดของภิสัชออกมาได้ข้อความดังนี้ ...   ไม่ใช่แต่ได้ยาดีอย่างเดียวดอก หากแต่ได้นางพยาบาลดีด้วยน่ะซี

เสียงเก้าอี้เลื่อน   เสียงต่างคนต่างเคลื่อนไหวอิริยาบถ ภายหลังจากที่ได้ตกอยู่ในความเคร่งเครียดมาเป็นเวลานาน   จ้าวศรีธรร้องบอกแก่หญิงสาวด้วยเสียงแจ่มใสว่า

“คุณผดา   เอาเท้าขึ้นจากน้ำได้แล้วครับ   ประเดี๋ยวแทนที่จะรักษาเฉพาะข้อเท้าเคล็ดเพียงอย่างเดียว จะต้องรักษาโรคเท้าเปื่อยด้วยอีกอย่าง   มาครับ ผมจะเช็ดเท้าให้   จะได้นวดด้วยน้ำมันแล้วพันผ้าไว้   รับรองว่าพรุ่งนี้คุณต้องวิ่งไปเตะรากไม้ได้อีกแน่ๆ”


วันรุ่งขึ้น ข้อเท้าที่เคล็ดของผดาก็เป็นปรกติ   ภิสัชกำลังเตรียมตัวที่จะกลับเข้าเมืองเพราะ เจ้าหน้าที่ทางเมืองนี้ได้ทำการสอบสวนและบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้หมดสิ้นแล้ว   เป็นที่ตกลงกันว่าพัจนาจะไปกับภิสัชด้วย   เพราะเขาจะต้องไปให้การแก่เจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่งโดยละเอียด   หลังจากนั้น ก็จะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตามคำสั่งของพลินทร์

พัจนาได้หาโอกาสมาพบกับผดาสองต่อสอง ในขณะที่เธอเลี่ยงออกมานั่งเล่นตามลำพังยังที่ที่เคยนั่ง   และเป็นที่เดียวกันกับที่เขามาพบเธอและพลินทร์   เพียงแต่ได้เห็นหน้าเขาแวบแรก ผดาก็แทบจะเดาได้ว่าเขาต้องการจะพูดเรื่องอะไรกับเธอ   พัจนาเองก็รู้ว่าเธอไม่มีอะไรที่เขาคิดแล้วเธอจะไม่รู้   เขาเคยพูดกับเธอเช่นนี้เสมอ

“คุณกำลังจะพูดกับฉันถึงเรื่องสีสิ่นใช่ไหมคะ พัจนา”   ผดาเป็นผู้กล่าวนำขึ้นโดยไม่อ้อมค้อม   พัจนาก้มหน้าลงอย่างเศร้าๆ บอกว่า

“เธอยังคงอ่านความคิดของผมออกตามเคย ผดา   แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากจะขอให้เธอเข้าใจ   ว่า สีสิ่น ไม่ได้เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจเช่นนี้   ลำพังเฉพาะสีสิ่น ไม่มีความสำคัญอันใดเลยที่จะทำให้ผม... ผละไปจากเธอ   ผดา”

“ฉันเข้าใจค่ะ พัจนา”   ผดามองดูเขาอย่างเห็นใจ   “มันเป็นเพราะบาดแผลที่คุณได้รับจากอุบัติเหตุคราวนี้ด้วย   แต่พัจนาคะ คุณกำลังเข้าใจผิด   เพราะสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนเราอยู่ด้วยกันได้นั้นมิได้อยู่ที่รูปร่างเลย แต่อยู่จิตใจต่างหาก   ถ้าคุณยังคงเป็นพัจนาคนเก่า ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจดั้งเดิมของเรา”

ดวงตาที่เขามองดูเธอนั้นเป็นประกายซึ้งด้วยความขอบใจ   และพร้อมกันนั้นก็เต็มไปด้วยความปวดร้าวและอาลัยอาวรณ์   “เธอเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจประเสริฐที่สุด   ผดา   แต่ผมไม่อาจทนต่อการที่เธอจะต้องถูกคนมองแล้วหัวเราะเยาะ เมื่อคุณเดินไปกับผมได้   ดูผมซิ ผดา   ดูเสียให้เต็มตาว่าเดี๋ยวนี้สาระรูปของผมเป็นอย่างไร”

เสียงของเขาสั่นสะท้าน ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง   ผดา มองภาพที่ทำให้ใจของเธอบังเกิดความสลดและเวทนา   เธอเข้าใจดีว่าพัจนามิได้ตัดสินใจเพราะหวั่นวิตกว่าสีสิ่นจะไม่ยอมให้พ่อของหล่อนให้การเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของเขา   ผู้หญิงอย่างสีสิ่นมิได้มีลักษณะอันใดที่จะแสดงให้เห็นว่าหล่อนจะรู้จักคำว่า เสียสละ เท่ากับความเห็นแก่ตัว   ถ้าหากว่าเขาจะมิต้องได้รับบาดเจ็บจนถึงกับกลายเป็นคนเกือบจะพิการไปเช่นนี้ ก็เป็นที่เชื่อได้แน่ว่าเขาจะยืนหยัด ต่อสู้กับอุปสรรคทุกชนิดเพื่อเธอ

“ลืมผมเสีย”   พัจนากระซิบ   “ผมจะช่วยให้คุณลืมผมได้โดยง่ายและโดยเร็ว ด้วยการไม่กลับไปกรุงเทพฯ อีก   คุณใหญ่ได้ตกลงที่จะให้ผมอยู่ทำงานที่นี่ตามที่ผมขอร้อง   แล้วครั้งนี้ก็จะเป็นการพบครั้งสุดท้ายของเรา ผดา”

“คุณตั้งใจเช่นนี้จริงๆ หรือคะ พัจนา”

พัจนา ซ่อนความปวดร้าวไว้ด้วยการก้มหน้าลง   ระงับใจอยู่เป็นครู่จึงได้ตอบรับว่า   “ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผดา”

“ดิฉันเสียใจที่ต้องเป็นไปเช่นนี้”   ผดาพึมพำ   “ถ้าการพบครั้งนี้จะเป็นการลาจากกันก็ขอได้โปรดรับเหรียญห้อยคอของคุณกลับคืนไปเถอะค่ะ พัจนา”

พร้อมกับที่พูด หญิงสาวก็ปลดสายสร้อยออกมาจากคอ   รูดเอาเหรียญออกมาส่งให้เขา   พัจนามองดูเหรียญนั้นนิ่งเฉยอยู่นาน แล้วจึงหันไปทางอื่น   บอกว่า

“เก็บเอาไว้เถอะครับ ผดา   อย่างน้อยก็ขอให้ถือว่ามันเป็นของที่ระลึกจากผมผู้ซึ่งจะไม่มีวันลืมเธอได้เลย”

“คุณทำให้ฉันลำบากใจเหลือเกินค่ะ พัจนา   ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บเหรียญนี้ไว้เลยจริงๆ   ก่อนที่จะได้ทราบว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ ฉันเคยคืนให้คุณพลินทร์ครั้งหนึ่งแล้ว   แต่คุณพลินไม่ยอมรับ   บอกว่าให้ฉันคอยจนกว่าจะรู้แน่เสียก่อนว่าคุณได้ตายไปแล้วจริงๆ”

พัจนามองดูเธอด้วยสายตาประหลาดเมื่อทวนคำว่า   “คุณใหญ่ไม่ยอมรับ   นั่นหมายความว่าอย่างไรรู้ไหมครับ ผดา   การที่คุณใหญ่ไม่ยอมรับเหรียญประจำสกุลคืนจากคุณ ก็แปลว่าคุณใหญ่ยินดีต้อนรับคุณเข้าไว้ในสกุล พงศ์ราช แล้วนั่นเอง   โอ ผดา   ถ้าเพียงแต่คุณใหญ่จะตัดสินใจอย่างนี้เสียก่อน ...”

“อย่าโทษคุณพลินทร์เลยค่ะ พัจนา”   ผดาบอก   “มันไม่ใช่ความผิดของคุณพลินทร์   ในเมื่อเขายังไม่เคยรู้จักดิฉันเลยในเวลานั้น...”

“แล้วเวลานี้เล่า”   พัจนาย้อนถาม จ้องมองเธออย่างจะค้นหาความจริง   เมื่อผดาไม่ตอบ เขาก็พูดต่อไปว่า   “ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องตอบดอก   เพราะเพียงแต่ผมได้เห็นกิริยาที่คุณใหญ่ปฏิบัติต่อเธอเมื่อวานนี้ตอนที่ผมมาถึง   ผมก็พอจะทราบดี ว่าคุณใหญ่มีความรู้สึกอย่างใดในตัวเธอ”

“พัจนา”   ผดาร้อง   “เหลวไหลแท้ๆ   นั่นเป็นเพราะฉันสะดุดหกล้ม เท้าแพลง   คุณพลินทร์ จึงอยากจะดูว่าฉันเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง”

“เท่านั้นเอง...”   พัจนาทวนคำ   ยังคงจับตามองดูเธออยู่ แล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ   “ไม่ใช่เท่านั้นเองที่เธอคิดเลย ผดา   เพราะคุณใหญ่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับผู้หญิงคนไหนเลย... แม้แต่คุณสิวิกา”

จบบทที่ 36