“แต่ในเวลานั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นใคร” พัจนาเล่าต่อไป “ผมจะรู้แต่ว่าคนที่ไว้หนวดเครานี้จะต้องเป็นหัวหน้าของคนพวกนั้นแน่ เพราะดูมันมีความเกรงอกเกรงใจอยู่มาก ผมได้ยินไอ้คนหนึ่งถามว่าจะจัดการอย่างไรกับไอ้ตี๋นั่น นั่นแหละครับ ผมจึงได้เข้าใจว่าต้องเป็นลูกชายเถ้าแก่กิมแน่ ที่เป็นเจ้าของเสียงร้องครวญครางนั้น คนหนึ่งเสนอว่า ว่าให้ปล่อยทิ้งไว้ให้เสือลากเอาไปกิน และ อีกคนหนึ่งเสนอว่า ให้เอาตัวไปมัดทิ้งไว้ที่หน้าค่ายเป็นการเยาะเย้ยเถ้าแก่กิม ผู้บิดาของชายเคราะห์ร้ายคนนั้น แต่สากันกลับหันไปตวาดเอา
“หยุดทีเถอะ ไอ้พวกกระหายเลือด เท่าที่เจ้านั่นมันได้รับอยู่เดี๋ยวนี้ ยังไม่ทรมานพออีกหรือ ข้าอยากให้เป็นเอ็งนักให้ตายซิ เอ็งจะได้รู้รสเสียบ้างว่าไอ้ความทรมานนี่มันมีรสชาติเป็นยังไง”
ผมนอนฟังพวกนั้นโต้แย้งกันอยู่ หัวหน้าต้องการจะให้ใครคนหนึ่งไปจัดการให้คนเจ็บพ้นไปจากความทรมานเสียโดยเร็ว แต่ลูกน้องไม่มีใครยอมทำ ทุกคนล้วนแต่กระหายเลือด อยากจะเห็นลูกชายของศัตรูสิ้นใจตายไปเอง เพราะความทรมานนั้น เจ้าคนหนึ่งพูดอย่างยะโสว่า
“พวกเราไม่มีใครต้องการให้มันพ้นทุกข์ไปเร็วนัก ถ้านายต้องการ นายก็ทำเองซี ลองยิงคนให้ดูเป็นขวัญตาสักทีเถอะ ข้าจะได้นับถือว่านายเก่งจริง ไม่ใช่ต้องนับถือเพราะพ่อเลี้ยงสั่ง”
“แกคิดว่าข้าไม่กล้าทำยังงั้นเรอะ” ผมได้ยินหัวหน้าพูดอย่างดุดัน “ดีละเมื่อแกไม่ทำก็ไม่เป็นไร ข้าจะจัดการเอง”
“แล้วเขาก็เดินผละไป ผมพยายามเหลียวมองตามไป จึงได้เห็นว่าไม่ไกลจากที่ผมนอนอยู่นั้น คือท่อนลำตัวของเครื่องบินที่ผมโดยสารมาพังยับเยินอยู่ แพนหางชี้ขึ้นเบื้องบน เขาเดินหายเข้าไปในนั้น อีกอึดใจเดียวต่อมาผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นแล้วเสียงร้องก็เงียบหายไป”
พัจนาจบคำบอกเล่าของเขาพร้อมด้วยอาการถอนใจใหญ่ ซึ่งพลอยพาให้คนอื่นถอนใจตามไปด้วย ภิสัชถามต่อไปว่า
“คุณว่าพรานส่วยอะไรนั่นก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยไม่ใช่หรือครับ คุณพัจนา แต่ผมยังไม่ได้ยินคุณกล่าวถึงพรานส่วยคนนี้เลยสักคำเดียว”
“พรานส่วยเข้ามาพอดีกับที่เสียงปืนดังขึ้นครับ” พัจนาบอก “พรานส่วยเดินเข้าไปหาสากันที่เครื่องบิน ก่อนที่คนอื่นจะเข้าไป และรู้เรื่องนี้ดี ผมคิดว่าพรุ่งนี้เมื่อคุณได้พบกับแก แกก็คงจะเล่าให้คุณฟัง... แล้วต่อจากนั้นแกกับสากันก็พาผมไปที่กระท่อมที่คุณไปพบนั่น ยาสมุนไพรของพรานส่วยทำให้อาการของผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ”
ภิสัชทำหน้าคล้ายจะยิ้มเมื่อได้ฟังคำพูดประโยคหลังของพัจนา เขาชำเลืองตามมาที่ผดา ซึ่งเธอพอจะเดาได้ว่าขณะนั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ถ้าคนเราสามารถอ่านความคิดของคนอื่นออกมาได้ดังๆ ผดาเชื่อว่าเธอจะต้องอ่านความคิดของภิสัชออกมาได้ข้อความดังนี้ ... ไม่ใช่แต่ได้ยาดีอย่างเดียวดอก หากแต่ได้นางพยาบาลดีด้วยน่ะซี
เสียงเก้าอี้เลื่อน เสียงต่างคนต่างเคลื่อนไหวอิริยาบถ ภายหลังจากที่ได้ตกอยู่ในความเคร่งเครียดมาเป็นเวลานาน จ้าวศรีธรร้องบอกแก่หญิงสาวด้วยเสียงแจ่มใสว่า
“คุณผดา เอาเท้าขึ้นจากน้ำได้แล้วครับ ประเดี๋ยวแทนที่จะรักษาเฉพาะข้อเท้าเคล็ดเพียงอย่างเดียว จะต้องรักษาโรคเท้าเปื่อยด้วยอีกอย่าง มาครับ ผมจะเช็ดเท้าให้ จะได้นวดด้วยน้ำมันแล้วพันผ้าไว้ รับรองว่าพรุ่งนี้คุณต้องวิ่งไปเตะรากไม้ได้อีกแน่ๆ”
วันรุ่งขึ้น ข้อเท้าที่เคล็ดของผดาก็เป็นปรกติ ภิสัชกำลังเตรียมตัวที่จะกลับเข้าเมืองเพราะ เจ้าหน้าที่ทางเมืองนี้ได้ทำการสอบสวนและบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้หมดสิ้นแล้ว เป็นที่ตกลงกันว่าพัจนาจะไปกับภิสัชด้วย เพราะเขาจะต้องไปให้การแก่เจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่งโดยละเอียด หลังจากนั้น ก็จะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตามคำสั่งของพลินทร์
พัจนาได้หาโอกาสมาพบกับผดาสองต่อสอง ในขณะที่เธอเลี่ยงออกมานั่งเล่นตามลำพังยังที่ที่เคยนั่ง และเป็นที่เดียวกันกับที่เขามาพบเธอและพลินทร์ เพียงแต่ได้เห็นหน้าเขาแวบแรก ผดาก็แทบจะเดาได้ว่าเขาต้องการจะพูดเรื่องอะไรกับเธอ พัจนาเองก็รู้ว่าเธอไม่มีอะไรที่เขาคิดแล้วเธอจะไม่รู้ เขาเคยพูดกับเธอเช่นนี้เสมอ
“คุณกำลังจะพูดกับฉันถึงเรื่องสีสิ่นใช่ไหมคะ พัจนา” ผดาเป็นผู้กล่าวนำขึ้นโดยไม่อ้อมค้อม พัจนาก้มหน้าลงอย่างเศร้าๆ บอกว่า
“เธอยังคงอ่านความคิดของผมออกตามเคย ผดา แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากจะขอให้เธอเข้าใจ ว่า สีสิ่น ไม่ได้เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจเช่นนี้ ลำพังเฉพาะสีสิ่น ไม่มีความสำคัญอันใดเลยที่จะทำให้ผม... ผละไปจากเธอ ผดา”
“ฉันเข้าใจค่ะ พัจนา” ผดามองดูเขาอย่างเห็นใจ “มันเป็นเพราะบาดแผลที่คุณได้รับจากอุบัติเหตุคราวนี้ด้วย แต่พัจนาคะ คุณกำลังเข้าใจผิด เพราะสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนเราอยู่ด้วยกันได้นั้นมิได้อยู่ที่รูปร่างเลย แต่อยู่จิตใจต่างหาก ถ้าคุณยังคงเป็นพัจนาคนเก่า ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจดั้งเดิมของเรา”
ดวงตาที่เขามองดูเธอนั้นเป็นประกายซึ้งด้วยความขอบใจ และพร้อมกันนั้นก็เต็มไปด้วยความปวดร้าวและอาลัยอาวรณ์ “เธอเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจประเสริฐที่สุด ผดา แต่ผมไม่อาจทนต่อการที่เธอจะต้องถูกคนมองแล้วหัวเราะเยาะ เมื่อคุณเดินไปกับผมได้ ดูผมซิ ผดา ดูเสียให้เต็มตาว่าเดี๋ยวนี้สาระรูปของผมเป็นอย่างไร”
เสียงของเขาสั่นสะท้าน ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ผดา มองภาพที่ทำให้ใจของเธอบังเกิดความสลดและเวทนา เธอเข้าใจดีว่าพัจนามิได้ตัดสินใจเพราะหวั่นวิตกว่าสีสิ่นจะไม่ยอมให้พ่อของหล่อนให้การเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของเขา ผู้หญิงอย่างสีสิ่นมิได้มีลักษณะอันใดที่จะแสดงให้เห็นว่าหล่อนจะรู้จักคำว่า เสียสละ เท่ากับความเห็นแก่ตัว ถ้าหากว่าเขาจะมิต้องได้รับบาดเจ็บจนถึงกับกลายเป็นคนเกือบจะพิการไปเช่นนี้ ก็เป็นที่เชื่อได้แน่ว่าเขาจะยืนหยัด ต่อสู้กับอุปสรรคทุกชนิดเพื่อเธอ
“ลืมผมเสีย” พัจนากระซิบ “ผมจะช่วยให้คุณลืมผมได้โดยง่ายและโดยเร็ว ด้วยการไม่กลับไปกรุงเทพฯ อีก คุณใหญ่ได้ตกลงที่จะให้ผมอยู่ทำงานที่นี่ตามที่ผมขอร้อง แล้วครั้งนี้ก็จะเป็นการพบครั้งสุดท้ายของเรา ผดา”
“คุณตั้งใจเช่นนี้จริงๆ หรือคะ พัจนา”
พัจนา ซ่อนความปวดร้าวไว้ด้วยการก้มหน้าลง ระงับใจอยู่เป็นครู่จึงได้ตอบรับว่า “ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผดา”
“ดิฉันเสียใจที่ต้องเป็นไปเช่นนี้” ผดาพึมพำ “ถ้าการพบครั้งนี้จะเป็นการลาจากกันก็ขอได้โปรดรับเหรียญห้อยคอของคุณกลับคืนไปเถอะค่ะ พัจนา”
พร้อมกับที่พูด หญิงสาวก็ปลดสายสร้อยออกมาจากคอ รูดเอาเหรียญออกมาส่งให้เขา พัจนามองดูเหรียญนั้นนิ่งเฉยอยู่นาน แล้วจึงหันไปทางอื่น บอกว่า
“เก็บเอาไว้เถอะครับ ผดา อย่างน้อยก็ขอให้ถือว่ามันเป็นของที่ระลึกจากผมผู้ซึ่งจะไม่มีวันลืมเธอได้เลย”
“คุณทำให้ฉันลำบากใจเหลือเกินค่ะ พัจนา ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บเหรียญนี้ไว้เลยจริงๆ ก่อนที่จะได้ทราบว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ ฉันเคยคืนให้คุณพลินทร์ครั้งหนึ่งแล้ว แต่คุณพลินไม่ยอมรับ บอกว่าให้ฉันคอยจนกว่าจะรู้แน่เสียก่อนว่าคุณได้ตายไปแล้วจริงๆ”
พัจนามองดูเธอด้วยสายตาประหลาดเมื่อทวนคำว่า “คุณใหญ่ไม่ยอมรับ นั่นหมายความว่าอย่างไรรู้ไหมครับ ผดา การที่คุณใหญ่ไม่ยอมรับเหรียญประจำสกุลคืนจากคุณ ก็แปลว่าคุณใหญ่ยินดีต้อนรับคุณเข้าไว้ในสกุล พงศ์ราช แล้วนั่นเอง โอ ผดา ถ้าเพียงแต่คุณใหญ่จะตัดสินใจอย่างนี้เสียก่อน ...”
“อย่าโทษคุณพลินทร์เลยค่ะ พัจนา” ผดาบอก “มันไม่ใช่ความผิดของคุณพลินทร์ ในเมื่อเขายังไม่เคยรู้จักดิฉันเลยในเวลานั้น...”
“แล้วเวลานี้เล่า” พัจนาย้อนถาม จ้องมองเธออย่างจะค้นหาความจริง เมื่อผดาไม่ตอบ เขาก็พูดต่อไปว่า “ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องตอบดอก เพราะเพียงแต่ผมได้เห็นกิริยาที่คุณใหญ่ปฏิบัติต่อเธอเมื่อวานนี้ตอนที่ผมมาถึง ผมก็พอจะทราบดี ว่าคุณใหญ่มีความรู้สึกอย่างใดในตัวเธอ”
“พัจนา” ผดาร้อง “เหลวไหลแท้ๆ นั่นเป็นเพราะฉันสะดุดหกล้ม เท้าแพลง คุณพลินทร์ จึงอยากจะดูว่าฉันเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง”
“เท่านั้นเอง...” พัจนาทวนคำ ยังคงจับตามองดูเธออยู่ แล้วก็ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ใช่เท่านั้นเองที่เธอคิดเลย ผดา เพราะคุณใหญ่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับผู้หญิงคนไหนเลย... แม้แต่คุณสิวิกา”