หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 4

พัจนา เปิดประตู   พาตัวเข้าไปในห้อง   ภายในนั้น   ใกล้กับเตาผิงปลอมทำเลียนแบบยุโรป   เหนือเตาผิงประดับด้วยงาช้างและนาฬิกาทองเหลืองสุกปลั่งมีครอบแก้ว ชายผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่เงียบๆ ร่างสูงผึ่งผ่ายที่มีเสื้อคลุมสวมทับเสื้อนอนทำด้วยแพรเนื้อหนาอย่างดีสีแดงเข้มเป็นมันระยับ   ประกอบทั้งภาพเขียนสีน้ำมันแผ่นใหญ่ที่แขวนเด่นอยู่เหนือเตาผิงนั้น   ทำให้พัจนาอดรู้สึกมิได้ว่า บรรยากาศภายในห้องช่างอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของชาวตะวันตกเสียนี่กระไร   ทั้งชายที่ยืนตัวตรงเป็นสง่าอกผายไหล่ผึ่งอยู่ ณ เบื้องหน้าของเขานั้นเล่า แทนที่จะเป็นเพียงผู้ชายไทยธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งสืบสายโลหิตมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ   พัจนาก็กลับรู้สึกประดุจว่า ตัวของเขาเองนั้น กำลังยืนอยู่ต่อหน้าท่านขุนนางอังกฤษในรัชสมัยพระนางวิคทอเรียโน้นทีเดียว บุรุษผู้นั้นคอยจนพัจนาปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า     “เกือบสี่นาฬิกาแล้วซิ เธออยากจะได้เครื่องดื่มอะไรบ้างเล่า”

“ไม่ครับ”     พัจนาปฏิเสธแล้วเดินเข้าไปใกล้   พูดขึ้นอย่างใจร้อนว่า “นายชมบอกว่าคุณใหญ่อยากพบผม”

อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินมาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ลึกซึ่งตั้งเยื้องๆ อยู่บนพรมหน้าเตาผิง   ชี้มือไปที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งบอกว่า     “นั่งลงก่อนซี พัจนา”

พัจนานั่งลงด้วยลักษณะที่เอาท้ายจ่อมไว้บนเก้าอี้แต่เพียงส่วนน้อย   แขนทั้งสองพาดอยู่บนเข่า โน้มตัวลงมาข้างหน้า   ร้อนใจที่ใคร่จะได้ฟังข้อความอันเป็นสาระสำคัญเสียโดยเร็ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนจะไม่รู้ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เสีย   เขาผู้นั้นเอื้อมมือไปเปิดหีบเงินที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างกาย หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างวางอารมณ์ แล้วจึงยื่นหีบนั้นมาข้างหน้า  บอกว่า

“สูบบุหรี่ซิ   พัจนา”

“ไม่ครับ  ขอบคุณ”     พัจนาปฏิเสธอีกเป็นคำรบสอง รู้สึกอึดอัดในอากัปกิริยาของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเหลือประมาณ     “ผมอยากทราบว่าคุณใหญ่อยากจะพบผมด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบครับ”

พลินทร์ พงศ์ราช เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง   ยกขาขึ้นไขว่ห้าง   พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นทางยาวแล้วจึงเอ่ยขึ้น   ดวงตามิได้มองไปทางผู้ที่เขาพูดด้วย  หากจับอยู่ที่โคมแก้วระย้ากลางเพดาน

“คืนนี้ เธอก็ยังอุตส่าห์ไม่อยู่บ้านจนได้นะพัจนา”

“ผมเรียนคุณใหญ่ไว้ก่อนแล้ว”     พัจนาพูดขึ้นโดยเร็วทันทีที่พลินทร์พูดจบ     “ผมบอกแล้วตั้งแต่ได้ทราบว่าจะมีงานกัน  แต่อย่างไรก็ตามการที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมงานเสียคนเดียวนั้น คงจะไม่ทำให้ใครแปลกใจนักไม่ใช่หรือครับ”

“สำหรับคนอื่นก็ไม่สู้เท่าใดนัก   แต่สำหรับ สิวิกาซิ   รู้สึกว่าเขาผิดหวังมาก เธอรู้ดีแล้วนะว่าสิวิกาอยากให้จัดงานคืนนี้ขึ้นเพื่อเธอคนเดียว”

“น่าขอบคุณ คุณสิวิกา  แต่ทว่าความหวังของเธอ จะไม่ทำให้เกิดผลดีอะไร  แก่ผมเลยนี่ครับ คุณใหญ่ก็ทราบดีอยู่แล้ว”

พลินทร์ลดสายตามองดูหน้าญาติผู้น้อง   พูดเอื่อยๆ ว่า    “อย่าพูดเช่นนั้นซิพัจนา ความหวังดีของสิวิกาจะเป็นประโยชน์แก่เธอแน่นอน ถ้าหากว่าเธอเต็มใจและตั้งใจจะรับ   แต่นี่เธอก็ไม่...   เขายกไหล่นิดหนึ่ง แล้วพูดต่อไปคล้ายรำพึงว่า     “อันที่จริงเด็กคนนั้นน่ารักพอใช้   รูปสมบัติน่าดูพอตัว   ทรัพย์สมบัติก็มี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือได้รับการอบรมมาดีพอที่จะไม่ทำให้ พงศ์ราช ของเราเกิดความด่างพร้อยขึ้นในภายหลัง”

พัจนาหัวเราะออกมาอย่างขันแกมรำคาญใจก่อนที่จะพูดว่า     “นี่คุณใหญ่คงจะไม่ได้ตั้งใจจะเกลี่ยกล่อมให้ผมหันกลับมาหาแม่คนนี้นะครับ   ในเมื่อผมเรียนให้ทราบแล้วว่า ผมกำลังจะแต่งงานอยู่อาทิตย์หน้านี่แล้ว”

“แปลว่าเธอยังยืนยันความตั้งใจของเธออยู่อีก งั้นรึ”

“ผมขอยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดจะสามารถทำให้ผมเลิกล้มความตั้งใจนี้เสียได้เป็นอันขาด   ถึงแม้คุณใหญ่จะว่าผมเป็นคนอกตัญญูก็ตาม   ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย”

“ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะว่าเธอเช่นนั้น   ทั้งยังได้เคยพูดให้ทุกๆ คนรวมทั้งตัวเธอเองเข้าใจแล้วว่าการที่ฉันทำอะไรๆ ให้เธอทั้งหมดนั้นก็เพราะฉันถือว่ามันเป็นหน้าที่ของฉันเท่านั้น   ถ้าเธอจะเป็นคนอกตัญญู   เธอก็อกตัญญูต่อวงศ์ตระกูล  มิใช่ต่อฉันเป็นแน่”

“อกตัญญูต่อวงศ์ตระกูล   อ้อการที่ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักนั้นเป็นการอกตัญญูต่อวงศ์ตระกูลด้วยหรือครับ”

“แน่ละถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ในฐานะที่วงศ์ตระกูลไม่ปรารถนาจะต้อนรับไว้เป็นสะใภ้”

วงศ์ตระกูลไม่ต้อนรับ?   พัจนาอยากจะพูดออกมาเหลือเกินว่า วงศ์ตระกูลหรือตัว พลินทร์เองกันแน่   แต่ก็นั่นแหละจะพูดว่าตระกูลพงศ์ราชหรือพูดว่าพลินทร์ก็ได้ความอย่างเดียวกัน เมื่อใครคนหนึ่งพูดถึงพลินทร์   ก็แปลว่าเขาผู้นั้นได้พูดถึงพงศ์ราชด้วย   หรือเมื่อใครคนนั้นพูดถึงพงศ์ราช   ผู้ฟังก็ย่อมจะอนุมานเอาได้เองเลยทีเดียว ว่าข้อสำคัญที่ยิ่งใหญ่ใจความนั้น ผู้พูดย่อมหมายถึงพลินทร์   ส่วนพงศ์ราชอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีความหมายเอาเสียเลย เช่นตัวเขาเองเป็นต้น พลินทร์ เป็นผู้เดินนำหน้าพงศ์ราช   แต่เขาสิต้องเป็นผู้ตาม   ตามไปทุกวิถีทางที่สิ่งอันไม่มีรูปลักษณ์ แต่ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเรียกกันว่า  “วงศ์ตระกูล” ลิขิตให้   ไม่ว่าทางนั้นจะนำตรงขึ้นสู่สวรรค์หรือพาดิ่งลงนรก   ไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยความประสงค์ของตนก็ตาม เขามีหน้าที่อยู่อย่างเดียวคือต้องตามเท่านั้น

“ผมแปลกใจจริงว่าทำไมคุณใหญ่จึงได้คิดไปได้ว่า ผดาของผมจะมาเป็นผู้ทำให้วงศ์ตระกูลด่างพร้อย”     พัจนาพยายามทำใจเย็นขณะที่พูด     “ในเมื่อผมแน่ใจทีเดียวว่า คุณใหญ่และพงศ์ราชทุกคนไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนเลย”

“ก็นั่นน่ะ ยังไม่เป็นเหตุผลที่ดีพอแล้วหรือ ในการที่เราไม่เต็มใจต้อนรับผู้หญิงของเธอ”

“แต่มันไม่ยุติธรรมเลยนี่ครับ   ในการที่ทุกคนจะพากันตัดสินไปในทางที่ไม่ดีเช่นนั้นโดยที่อีกคนหนึ่งไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตนเองเลย”

พลินทร์เอี้ยวกายไปเขี่ยเถ้าบุหรี่ลงในที่เขี่ยข้างกาย   แต่ดวงตาของเขายังชำเลืองมาทางญาติผู้น้อง ถามด้วยเสียงที่แฝงความมีชัย และเยาะเย้ยนิดๆ ว่า

“อ้อ   นี่แปลว่าเขาก็ขอโอกาสที่จะแสดงตนให้พวกเราได้รู้จักเหมือนกันหรือ”

“เปล่าเลยครับ”     พัจนาพูดขึ้นโดยเร็ว   ใบหน้าแดงเรื่อ     “ผดาไม่เคยพูดเช่นนั้นเลย ผมเชื่อว่าเขาไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำ   เขาไม่ได้สนใจในตัวผมเพราะว่าผมเป็นคนหนึ่งในพงศ์ราช   แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะเป็นใครมาจากไหน ถ้าหาก ผดา เห็นผมดีกว่าคนอื่น เธอก็จะแต่งงานกับผมแน่นอน”

“แต่นี้เธอก็เผอิญเป็น พงศ์ราช เสียด้วย”     พลินทร์ว่า   ยังคงแฝงความหมายอย่างเดิมไว้ในน้ำเสียง

“ถูกแล้วครับ ผมเป็นพงศ์ราช”     พัจนา รับคำโดยไม่พยายามที่จะซ่อนเร้นความขมขื่นที่พลุ่งขึ้นมาในทันทีนั้น     “ผมอยากจะพูดว่าเป็นเคราะห์ร้ายของผมและผดา ที่ผมเผอิญเกิดมาเป็นคนหนึ่งในสกุลพงศ์ราช”

ดวงตาสีเหล็กเพ่งมองดูเขาอย่างเย็นชา   ทั้งน้ำเสียง ก็มีลักษณะอย่างเดียวกันเมื่อกล่าวว่า     “พัจนา   ฉันเสียใจเหลือเกินที่ได้ยินเลือดเนื้อของพงศ์ราชพูดออกมาเช่นนี้”

พัจนาก้มหน้า เม้มริมฝีปาก   ตอบว่า     “ผมก็เสียใจเหมือนกันครับคุณใหญ ที่ต้องพูดอย่างนี้”

“นี่เธอคงคิดว่าพวกเราโหดร้ายทารุณต่อตัวเธอ   ต่อผู้หญิงของเธอเสียเต็มทีละซีนะพัจนา”

“ผมทราบดีครับว่าคุณใหญ่มีหน้าที่ที่จะต้องรักษาเกียรติยศของวงศ์ตระกูล”     พัจนาตอบทันที เขาไม่แน่ใจว่าเสียงของจะเป็นไปในทำนองประชดประชันหรือเปล่า   เพราะพลินทร์ได้หัวเราะขึ้น พร้อมกับบอกว่า

“เสียงของเธอฟังดูเหมือนประชด   แต่ถึงยังงั้นฉันก็ยังต้องขอบใจเธออยู่ดี   แล้วก็อยากจะให้เธอเข้าใจเสียใหม่ว่าพวกเราทุกคน  ล้วนแต่หวังดีต่อเธอทั้งนั้น”

ผมก็ต้องขอบคุณทุกคนเหมือนกัน   แต่ทว่าไม่มีอะไรที่ใครควรจะต้องมาห่วงใยในตัวผมหรอกครับ”     พัจนาหัวเราะในคอเมื่อเน้นเสียงพูดต่อไปว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่ผมจะแต่งงานกับผดา”

“เธอจะห้ามเขาไม่ได้หรอกสำหรับเรื่องนี้”     พลินทร์พูดด้วยเสียงเรื่อยๆ     “ในเมื่อเธอไปคว้าเอาผู้หญิงที่เราไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายตีน  มาร่วมวงศ์สกุลด้วย อีกอย่างหนึ่งการที่เขาจะแต่งงานกับเธอนี่น่ะดูมันแปลกยังไงอยู่”

“แปลกยังไงครับ”

“ก็การที่เขายอมแต่งงานกับเธอ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเขาต้องตายนี่นะไม่แปลกหรอกรึ”

“คุณใหญ่ครับ”     พัจนาผุดลุกขึ้นยืนอย่างสุดจะอดกลั้น     “ผดาเข้าใจดีนะครับว่าผมไม่ได้ตั้งใจ   คุณพ่อของเธอเลี้ยวรถมาโดยไม่ให้สัญญาณ ทั้งยังไม่ได้เบาเครื่อง   เท่าที่เธอยอมให้อภัยผมและยอมแต่งงานด้วยนี้   ไม่แสดงว่าเธอเป็นคนดีหรอกหรือครับ”

“ไม่ใช่เพราะเธอเป็นพงศ์ราช ดอกรึ”

คำถามประโยคนั้นทำให้พัจนาหน้าร้อนวูบขึ้นมา   นี่ถ้าเป็นคนอื่น ที่มิใช่พลินทร์ผู้ซึ่งมีบุญคุณล้นเหลือต่อเขาพูดแล้ว   พัจนาก็คงต้องตอบแทนผู้พูดด้วยการสอนให้เขารู้จักประหยัดปากคำ ซึ่งเต็มไปด้วยการเหยียดหยามดูหมิ่นผู้อื่นเสียบ้างแล้ว   แต่นี้เป็่นพลินทร์ อย่างเดียวที่พัจนาจะทำได้ในขณะนั้นก็คือเดินออกจากห้องไปเสีย

“อ้าว นั่นจะไปไหนล่ะ”     เสียงของพลินทร์มีอำนาจพอที่จะหยุดขาซึ่งก้าวไปเกือบจะถึงประตูห้องได้ในทันที   พัจนามิได้หันหน้ามา เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่   และได้ยินเสียงพลินทร์พูดต่อไปว่า

“เรายังพูดกันไม่เสร็จนี่นะ”

“ถ้าหากว่าธุระที่คุณใหญ่ต้องการจะพูดกับผมมีเพียงแค่นี้ละก็  ขอประทานโทษครับ ผมเห็นจะต้องขอลาไปนอนเสียที”

“แต่เรายังไม่ได้พูดธุระกันสักคำเลยนะ พัจนา”

พัจนาถอนใจ หันหน้ากลับมา   แล้วจึงเดินมาหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตัวเดิม     “ผมกำลังคอยฟังอยู่แล้วครับ คุณใหญ่”

พลินทร์เอื้อมมือไปเปิดหีบบุหรี่ออกมาจุดสูบอีกตัวหนึ่ง   พ่นควันอย่างสำราญใจโดยมิได้สนใจกับอาการอึดอัดของอีกฝ่ายหนึ่ง

“คุณใหญ่มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“ฉันจะให้เธอไปเชียงใหม่”     พลินทร์บอกโดยมิได้มองหน้าพัจนา ผู้ซึ่งพอได้ฟังคำสั่งก็ขมวดคิ้ว   ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อย่างลืมตัวถามว่า

“ไปเชียงใหม่   ไปทำไมกันครับ”

พลินทร์ ชายหางตามาดูอย่างแสดงความแปลกเมื่อพูดว่า     “เธอไม่รู้หรอกรึว่าเวลานี้พวกคนงานป่าไม้ของพ่อเลี้ยงคำอิน กับพวกของเถ้าแก่กิม กำลังมีเรื่องวุ่นวายกันขนาดหนัก ซึ่งทำให้คนงานของเราพลอยเป็นบ้าไปกับเขาด้วย”

“ผมทราบแล้วครับ”   พัจนาตอบ   “แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณใหญ่จึงเลือกผม คุณชัช ชำนาญงานเช่นนี้มากกว่าผมทำไมคุณใหญ่จึงไม่ให้คุณชัชไป”

“คุณชัชมีงานที่ต้องทำทางนี้”   เป็นคำตอบจากพลินทร์   “ฉันต้องการให้เธอไป พัจนา”

“แต่ผมไม่มีความชำนาญพอนะครับคุณใหญ่   ผมอาจทำงานนี้ไม่สำเร็จ”

ดวงตาสีเหล็กมองตรงมาที่เขาขณะที่เจ้าของดวงตาคู่นั้นพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังเน้นถ้อยคำชัดเจนทุกวรรคทุกพยางค์ว่า    “พัจนา ป่าไม้นี้เป็นสมบัติของพงศ์ราช ฉันกำลังขอเธอให้ไปทำหน้าที่พิทักษ์รักษาสมบัติของตระกูล   แล้วก็ฉันอยากจะให้เธอนึกไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรที่เลือดเนื้อของพงศ์ราชจะทำไม่ได้”

“จริงครับ”   พัจนารับคำอย่างขมขื่น   “มันน่าภาคภูมิใจเบาไปรึที่เกิดมาดีวิเศษกว่ามนุษย์ธรรมดาเขาถึงเพียงนี้”

พลินทร์มองหน้าของญาติผู้น้องเฉยอยู่ครู่หนึ่ง     “ตกลงเธอจะรับทำงานนี้หรือไม่”

พัจนาถอนใจ   “แต่คุณใหญ่ครับผมกำลังจะแต่งงานอยู่อาทิตย์หน้านี่แล้ว”

“เธออาจกลับมาทันถ้าเธอมีความสามารถพอ   แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากไปเสียมากกว่าใช่ไหม”

“ผมกำลังจะแต่งงานครับคุณใหญ่”   พัจนาพูดช้าๆ อย่างพยายามบังคับอารมณ์ แม้กระนั้นก็อดมิได้จะพูดว่า     “ถ้าหากว่าเป็นคุณใหญ่....”

พัจนาไม่มีโอกาสที่จะพูดให้จบประโยค เพราะร่างที่สามเสื้อคลุมสีแดงเข้มนั้นผุดลุกขึ้นยืนโดยเร็วและแรง จนทำให้เก้าอี้นวมที่เขาผู้นั้นนั่งอยู่เขยื้อนไปเบื้องหลัง เสียงพูดที่เฉียบขาดและดุดันดังขึ้นว่า     “อย่าเปรียบกับฉัน   เพราะคนอย่างฉันไม่เคยนึกถึงตัวเองมากกว่าหน้าที่ ตามใจเธอ พัจนา ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป   อยู่หาความสุขเถอะ ฉันจะไปเอง”

ด้วยความเกรงกันที่มีอยู่จนติดเป็นนิสัยและอาจจะเป็นด้วยนานครั้งจึงจะได้เห็นพลินทร์แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดแจ้งเช่นนี้สักที   พัจนาจึงบังเกิดความไม่สบายใจในวาจาที่ตนได้กล่าวออกไป เขาอ้ำอึ้งอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วก็พูดออกไปอย่างคนที่ตัดสินใจแล้วว่า

“คุณใหญครับ”

พลินทร์มิได้ขานรับ   เขากำลังยืนหันข้างให้และเพียงแต่ชำเลืองตามามองดูเท่านั้น พัจนากัดริมฝีปากตัวเองก่อนที่จะพูดต่อไป

“ผมจะไปเชียงใหม่”

พลินทร์ยังคงไม่ขยับเขยื้อนอิริยาบถ     “แน่ใจแล้วรึ”     เขาถาม     “ฉันไม่ต้องการบังคับใจใครหรอกนะ พัจนา”

“ครับ ผมทราบดีว่าคุณใหญ่ไม่ได้บังคับผม”     พัจนาพูดอย่างขมขื่น น้ำเสียงของเขารุนแรงไปด้วยความปั่นป่วนของอารมณ์     “แต่ผมต้องบังคับใจของผมเอง ผมจะไป ไม่ใช่เพราะคิดว่า ตัวเองเก่งกล้าสามารถเพราะเกิดมาเป็นพงศ์ราช หรือว่าไปทำหน้าที่รักษาทรัพย์สมบัติของตระกูล   แต่ผมจะไปเพราะถือว่าเป็นคำสั่งของคนที่มีบุญคุณต่อผมสั่งให้ผมไป”

พลินทร์เดินห่างออกไปจากที่ยืนอยู่ สองสามก้าวแล้วจึงหันกลับมา   เสียงที่เขาพูดนั้นแสดงถึงความพึงพอใจอย่างเปิดเผย     “ขอบใจพัจนา ที่อย่างน้อยเธอก็ยังพอจะทำให้ฉันมีความภาคภูมิใจเหลืออยู่นิดหน่อย  ว่า เธอยังมีจิตใจเป็นพงศ์ราชอยู่บ้าง   ในเรื่องการรู้จักคำสั่งและการระลึกถึงบุญคุณ   ดีละเธอยังมีอะไรข้องใจที่ต้องการถามฉันอีกไหม”

พัจนาลุกขึ้นยืนช้าๆ   ดวงตาหรี่ลงในขณะที่เขาจ้องมองดูญาติผู้ยิ่งกว่าเขาด้วยประการทั้งมวล “ถ้าทราบขัอข้องใจของผมแล้ว คุณใหญ่จะตอบหรือครับ”

ผู้ถูกถามมองดูเขาอย่างแปลกใจ “แน่ละ”   เป็นคำตอบ  “ทำไมฉันถึงจะไม่ตอบเธอถ้าหากว่าคำถามนั้นเป็นคำถามที่ฉันตอบได้”   ถามมาซิข้องใจเรื่องอะไรล่ะ หวังว่าคงจะเกี่ยวกับการที่จะไปเชียงใหม่คราวนี้นะ”

“ครับ เกี่ยวแน่นอน   เป็นพระคุณที่อนุญาตให้ถาม   และผมหวังว่าคุณใหญ่คงจะตอบให้ผมทราบ   ว่าการที่มีคำสั่งให้ผมไปเชียงใหม่คราวนี้นั้นเป็นแผนการที่จะขัดขวางการแต่งงานของผมใช่ไหมครับ”

ช่างเป็นคำถามที่อาจหาญอะไรเช่นนั้น   มันสามารถทำให้ผู้ถูกถามถึงกับตะลึงงันไปในทันทีที่ได้ฟัง   อีกอึดใจต่อมา  อาการตกตะลึงนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความไม่พอใจ และต่อมาเป็นความพิศวงงงงวยอย่างเอกอุ   พลินทร์ พงศ์ราช   จ้องมองดูดวงหน้าของญาติผู้อ่อนอาวุโสของเขาอยู่นานจึงได้เอ่ยออกมาเป็นวาจาว่า

“เก่ง เก่งแท้ๆ ฉันขอชมด้วยความจริงใจที่เธอกล้าใช้คำถามประโยคนี้   และฉันก็กล้าพอที่จะยอมรับว่า เธอเข้าใจถูกแล้ว”   เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้าพัจนา   ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยความพึงพอใจอย่างประหลาดล้ำเหลือที่จะอธิอบายได้”     เอาละ เราจะถือเสียว่ามันเป็นการพนันขันต่อกันระหว่างเธอและฉัน   ถ้าเธอไปทำงานที่เชียงใหม่สำเร็จกลับมาทันกำหนดแต่งงานของเธอ ก็เป็นอันว่าเธอจะได้ทำสิ่งที่เธอต้องการโดยไม่มีใครขัดขวาง   แต่ถ้าเธอไม่มีความสามารถพอที่จัดการกับงานทางโน้นให้เรียบร้อยได้ทันเวลาก็เป็นอันว่า...”

เขายกไหล่ทิ้งคำพูดค้างไว้แค่นั้นโดยไม่ต่อให้จบประโยค   พัจนาขบกรามแน่น สงบนิ่งระงับอารมณ์และความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในเป็นครู่ใหญ่   จึงได้พูดออกมา แม้กระนั้นเสียงก็ยังไม่วายสั่น

“ตกลงครับ   ขอบคุณที่บอกให้ทราบ   เป็นอันว่าเราจะถือเสียว่าการไปเชียงใหม่คราวนี้เป็นการพนันระหว่างคุณใหญ่กับผม   ผมจะไปได้เมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้เช้า   คุณชัชจะจัดการซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้ที่นี่”

แม้จะตกลงใจเรียบร้อยแล้ว พัจนาก็ยังอดที่จะออกอุทานออกมาไม่ได้ว่า     “พรุ่งนี้... ผมจะต้องไปพรุ่งนี้หรือครับ”

“ก็จะเสียเวลาชักช้าอยู่อีกทำไมล่ะ   เธอเองก็มีธุระสำคัญรออยู่ที่นี่เหมือนกันไม่ใช่รึ”

มีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่ทำให้พัจนารู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมา  เขาจึงตอบออกไปด้วยเสียงที่เกือบจะห้วนว่า     “ตกลงครับ ผมจะไปเชียงใหม่พรุ่งนี้”

“ดีแล้ว   กว่าเครื่องบินจะออก ก็คงจะยังพอมีเวลาล่ำลาใครต่อใครทันหรอก”

คำพูดที่ค่อนข้างจะรุนแรงพลุ่งขึ้นมารออยู่ที่ริมฝีปากของพัจนา   เขาเม้มริมฝีปากสะกดมันไว้แน่น แล้วจึงพูดว่า     “ผมไปได้แล้วหรือยังครับ”

พลินทร์ยิ้มออกมาได้อย่างแจ่มใสเป็นครั้งแรกนับแต่พัจนาย่างเข้ามาในห้องนั้น   บอกว่า “ไปได้แล้ว ขอบใจ ฉันดีใจมากที่เราพูดกันรู้เรื่อง”

พัจนามองสบตาผู้พูด   มีความรู้สึกอยากจะพูดอยากจะระบายอะไรต่ออะไรที่มันอัดอยู่ในใจออกมาให้หมดสิ้น   พลินทร์ เลิกคิ้วมองดูอย่างประหลาดใจ พูดซ้ำว่า

“ไปได้แล้ว   ขอบใจ”

นั้นแหละ  พัจนาจึงได้หมุนตัวกลับเดินออกไปจากห้องนั้น   ถ้าเขาหันกลับไปมองดูอีกสักครั้งหนึ่ง   เขาคงจะได้เห็นดวงตาของพลินทร์ที่มองตามหลังด้วยความยินดี และเต็มไปด้วยความมีชัยยิ่งนัก

จบบทที่ 4