พัจนา เปิดประตู พาตัวเข้าไปในห้อง ภายในนั้น ใกล้กับเตาผิงปลอมทำเลียนแบบยุโรป เหนือเตาผิงประดับด้วยงาช้างและนาฬิกาทองเหลืองสุกปลั่งมีครอบแก้ว ชายผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่เงียบๆ ร่างสูงผึ่งผ่ายที่มีเสื้อคลุมสวมทับเสื้อนอนทำด้วยแพรเนื้อหนาอย่างดีสีแดงเข้มเป็นมันระยับ ประกอบทั้งภาพเขียนสีน้ำมันแผ่นใหญ่ที่แขวนเด่นอยู่เหนือเตาผิงนั้น ทำให้พัจนาอดรู้สึกมิได้ว่า บรรยากาศภายในห้องช่างอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของชาวตะวันตกเสียนี่กระไร ทั้งชายที่ยืนตัวตรงเป็นสง่าอกผายไหล่ผึ่งอยู่ ณ เบื้องหน้าของเขานั้นเล่า แทนที่จะเป็นเพียงผู้ชายไทยธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งสืบสายโลหิตมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ พัจนาก็กลับรู้สึกประดุจว่า ตัวของเขาเองนั้น กำลังยืนอยู่ต่อหน้าท่านขุนนางอังกฤษในรัชสมัยพระนางวิคทอเรียโน้นทีเดียว บุรุษผู้นั้นคอยจนพัจนาปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า “เกือบสี่นาฬิกาแล้วซิ เธออยากจะได้เครื่องดื่มอะไรบ้างเล่า”
“ไม่ครับ” พัจนาปฏิเสธแล้วเดินเข้าไปใกล้ พูดขึ้นอย่างใจร้อนว่า “นายชมบอกว่าคุณใหญ่อยากพบผม”
อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินมาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ลึกซึ่งตั้งเยื้องๆ อยู่บนพรมหน้าเตาผิง ชี้มือไปที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งบอกว่า “นั่งลงก่อนซี พัจนา”
พัจนานั่งลงด้วยลักษณะที่เอาท้ายจ่อมไว้บนเก้าอี้แต่เพียงส่วนน้อย แขนทั้งสองพาดอยู่บนเข่า โน้มตัวลงมาข้างหน้า ร้อนใจที่ใคร่จะได้ฟังข้อความอันเป็นสาระสำคัญเสียโดยเร็ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนจะไม่รู้ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เสีย เขาผู้นั้นเอื้อมมือไปเปิดหีบเงินที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างกาย หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างวางอารมณ์ แล้วจึงยื่นหีบนั้นมาข้างหน้า บอกว่า
“สูบบุหรี่ซิ พัจนา”
“ไม่ครับ ขอบคุณ” พัจนาปฏิเสธอีกเป็นคำรบสอง รู้สึกอึดอัดในอากัปกิริยาของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเหลือประมาณ “ผมอยากทราบว่าคุณใหญ่อยากจะพบผมด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบครับ”
พลินทร์ พงศ์ราช เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นทางยาวแล้วจึงเอ่ยขึ้น ดวงตามิได้มองไปทางผู้ที่เขาพูดด้วย หากจับอยู่ที่โคมแก้วระย้ากลางเพดาน
“คืนนี้ เธอก็ยังอุตส่าห์ไม่อยู่บ้านจนได้นะพัจนา”
“ผมเรียนคุณใหญ่ไว้ก่อนแล้ว” พัจนาพูดขึ้นโดยเร็วทันทีที่พลินทร์พูดจบ “ผมบอกแล้วตั้งแต่ได้ทราบว่าจะมีงานกัน แต่อย่างไรก็ตามการที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมงานเสียคนเดียวนั้น คงจะไม่ทำให้ใครแปลกใจนักไม่ใช่หรือครับ”
“สำหรับคนอื่นก็ไม่สู้เท่าใดนัก แต่สำหรับ สิวิกาซิ รู้สึกว่าเขาผิดหวังมาก เธอรู้ดีแล้วนะว่าสิวิกาอยากให้จัดงานคืนนี้ขึ้นเพื่อเธอคนเดียว”
“น่าขอบคุณ คุณสิวิกา แต่ทว่าความหวังของเธอ จะไม่ทำให้เกิดผลดีอะไร แก่ผมเลยนี่ครับ คุณใหญ่ก็ทราบดีอยู่แล้ว”
พลินทร์ลดสายตามองดูหน้าญาติผู้น้อง พูดเอื่อยๆ ว่า “อย่าพูดเช่นนั้นซิพัจนา ความหวังดีของสิวิกาจะเป็นประโยชน์แก่เธอแน่นอน ถ้าหากว่าเธอเต็มใจและตั้งใจจะรับ แต่นี่เธอก็ไม่... เขายกไหล่นิดหนึ่ง แล้วพูดต่อไปคล้ายรำพึงว่า “อันที่จริงเด็กคนนั้นน่ารักพอใช้ รูปสมบัติน่าดูพอตัว ทรัพย์สมบัติก็มี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือได้รับการอบรมมาดีพอที่จะไม่ทำให้ พงศ์ราช ของเราเกิดความด่างพร้อยขึ้นในภายหลัง”
พัจนาหัวเราะออกมาอย่างขันแกมรำคาญใจก่อนที่จะพูดว่า “นี่คุณใหญ่คงจะไม่ได้ตั้งใจจะเกลี่ยกล่อมให้ผมหันกลับมาหาแม่คนนี้นะครับ ในเมื่อผมเรียนให้ทราบแล้วว่า ผมกำลังจะแต่งงานอยู่อาทิตย์หน้านี่แล้ว”
“แปลว่าเธอยังยืนยันความตั้งใจของเธออยู่อีก งั้นรึ”
“ผมขอยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดจะสามารถทำให้ผมเลิกล้มความตั้งใจนี้เสียได้เป็นอันขาด ถึงแม้คุณใหญ่จะว่าผมเป็นคนอกตัญญูก็ตาม ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะว่าเธอเช่นนั้น ทั้งยังได้เคยพูดให้ทุกๆ คนรวมทั้งตัวเธอเองเข้าใจแล้วว่าการที่ฉันทำอะไรๆ ให้เธอทั้งหมดนั้นก็เพราะฉันถือว่ามันเป็นหน้าที่ของฉันเท่านั้น ถ้าเธอจะเป็นคนอกตัญญู เธอก็อกตัญญูต่อวงศ์ตระกูล มิใช่ต่อฉันเป็นแน่”
“อกตัญญูต่อวงศ์ตระกูล อ้อการที่ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักนั้นเป็นการอกตัญญูต่อวงศ์ตระกูลด้วยหรือครับ”
“แน่ละถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ในฐานะที่วงศ์ตระกูลไม่ปรารถนาจะต้อนรับไว้เป็นสะใภ้”
วงศ์ตระกูลไม่ต้อนรับ? พัจนาอยากจะพูดออกมาเหลือเกินว่า วงศ์ตระกูลหรือตัว พลินทร์เองกันแน่ แต่ก็นั่นแหละจะพูดว่าตระกูลพงศ์ราชหรือพูดว่าพลินทร์ก็ได้ความอย่างเดียวกัน เมื่อใครคนหนึ่งพูดถึงพลินทร์ ก็แปลว่าเขาผู้นั้นได้พูดถึงพงศ์ราชด้วย หรือเมื่อใครคนนั้นพูดถึงพงศ์ราช ผู้ฟังก็ย่อมจะอนุมานเอาได้เองเลยทีเดียว ว่าข้อสำคัญที่ยิ่งใหญ่ใจความนั้น ผู้พูดย่อมหมายถึงพลินทร์ ส่วนพงศ์ราชอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีความหมายเอาเสียเลย เช่นตัวเขาเองเป็นต้น พลินทร์ เป็นผู้เดินนำหน้าพงศ์ราช แต่เขาสิต้องเป็นผู้ตาม ตามไปทุกวิถีทางที่สิ่งอันไม่มีรูปลักษณ์ แต่ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเรียกกันว่า “วงศ์ตระกูล” ลิขิตให้ ไม่ว่าทางนั้นจะนำตรงขึ้นสู่สวรรค์หรือพาดิ่งลงนรก ไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยความประสงค์ของตนก็ตาม เขามีหน้าที่อยู่อย่างเดียวคือต้องตามเท่านั้น
“ผมแปลกใจจริงว่าทำไมคุณใหญ่จึงได้คิดไปได้ว่า ผดาของผมจะมาเป็นผู้ทำให้วงศ์ตระกูลด่างพร้อย” พัจนาพยายามทำใจเย็นขณะที่พูด “ในเมื่อผมแน่ใจทีเดียวว่า คุณใหญ่และพงศ์ราชทุกคนไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนเลย”
“ก็นั่นน่ะ ยังไม่เป็นเหตุผลที่ดีพอแล้วหรือ ในการที่เราไม่เต็มใจต้อนรับผู้หญิงของเธอ”
“แต่มันไม่ยุติธรรมเลยนี่ครับ ในการที่ทุกคนจะพากันตัดสินไปในทางที่ไม่ดีเช่นนั้นโดยที่อีกคนหนึ่งไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตนเองเลย”
พลินทร์เอี้ยวกายไปเขี่ยเถ้าบุหรี่ลงในที่เขี่ยข้างกาย แต่ดวงตาของเขายังชำเลืองมาทางญาติผู้น้อง ถามด้วยเสียงที่แฝงความมีชัย และเยาะเย้ยนิดๆ ว่า
“อ้อ นี่แปลว่าเขาก็ขอโอกาสที่จะแสดงตนให้พวกเราได้รู้จักเหมือนกันหรือ”
“เปล่าเลยครับ” พัจนาพูดขึ้นโดยเร็ว ใบหน้าแดงเรื่อ “ผดาไม่เคยพูดเช่นนั้นเลย ผมเชื่อว่าเขาไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำ เขาไม่ได้สนใจในตัวผมเพราะว่าผมเป็นคนหนึ่งในพงศ์ราช แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าผมจะเป็นใครมาจากไหน ถ้าหาก ผดา เห็นผมดีกว่าคนอื่น เธอก็จะแต่งงานกับผมแน่นอน”
“แต่นี้เธอก็เผอิญเป็น พงศ์ราช เสียด้วย” พลินทร์ว่า ยังคงแฝงความหมายอย่างเดิมไว้ในน้ำเสียง
“ถูกแล้วครับ ผมเป็นพงศ์ราช” พัจนา รับคำโดยไม่พยายามที่จะซ่อนเร้นความขมขื่นที่พลุ่งขึ้นมาในทันทีนั้น “ผมอยากจะพูดว่าเป็นเคราะห์ร้ายของผมและผดา ที่ผมเผอิญเกิดมาเป็นคนหนึ่งในสกุลพงศ์ราช”
ดวงตาสีเหล็กเพ่งมองดูเขาอย่างเย็นชา ทั้งน้ำเสียง ก็มีลักษณะอย่างเดียวกันเมื่อกล่าวว่า “พัจนา ฉันเสียใจเหลือเกินที่ได้ยินเลือดเนื้อของพงศ์ราชพูดออกมาเช่นนี้”
พัจนาก้มหน้า เม้มริมฝีปาก ตอบว่า “ผมก็เสียใจเหมือนกันครับคุณใหญ ที่ต้องพูดอย่างนี้”
“นี่เธอคงคิดว่าพวกเราโหดร้ายทารุณต่อตัวเธอ ต่อผู้หญิงของเธอเสียเต็มทีละซีนะพัจนา”
“ผมทราบดีครับว่าคุณใหญ่มีหน้าที่ที่จะต้องรักษาเกียรติยศของวงศ์ตระกูล” พัจนาตอบทันที เขาไม่แน่ใจว่าเสียงของจะเป็นไปในทำนองประชดประชันหรือเปล่า เพราะพลินทร์ได้หัวเราะขึ้น พร้อมกับบอกว่า
“เสียงของเธอฟังดูเหมือนประชด แต่ถึงยังงั้นฉันก็ยังต้องขอบใจเธออยู่ดี แล้วก็อยากจะให้เธอเข้าใจเสียใหม่ว่าพวกเราทุกคน ล้วนแต่หวังดีต่อเธอทั้งนั้น”
ผมก็ต้องขอบคุณทุกคนเหมือนกัน แต่ทว่าไม่มีอะไรที่ใครควรจะต้องมาห่วงใยในตัวผมหรอกครับ” พัจนาหัวเราะในคอเมื่อเน้นเสียงพูดต่อไปว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่ผมจะแต่งงานกับผดา”
“เธอจะห้ามเขาไม่ได้หรอกสำหรับเรื่องนี้” พลินทร์พูดด้วยเสียงเรื่อยๆ “ในเมื่อเธอไปคว้าเอาผู้หญิงที่เราไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายตีน มาร่วมวงศ์สกุลด้วย อีกอย่างหนึ่งการที่เขาจะแต่งงานกับเธอนี่น่ะดูมันแปลกยังไงอยู่”
“แปลกยังไงครับ”
“ก็การที่เขายอมแต่งงานกับเธอ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อของเขาต้องตายนี่นะไม่แปลกหรอกรึ”
“คุณใหญ่ครับ” พัจนาผุดลุกขึ้นยืนอย่างสุดจะอดกลั้น “ผดาเข้าใจดีนะครับว่าผมไม่ได้ตั้งใจ คุณพ่อของเธอเลี้ยวรถมาโดยไม่ให้สัญญาณ ทั้งยังไม่ได้เบาเครื่อง เท่าที่เธอยอมให้อภัยผมและยอมแต่งงานด้วยนี้ ไม่แสดงว่าเธอเป็นคนดีหรอกหรือครับ”
“ไม่ใช่เพราะเธอเป็นพงศ์ราช ดอกรึ”
คำถามประโยคนั้นทำให้พัจนาหน้าร้อนวูบขึ้นมา นี่ถ้าเป็นคนอื่น ที่มิใช่พลินทร์ผู้ซึ่งมีบุญคุณล้นเหลือต่อเขาพูดแล้ว พัจนาก็คงต้องตอบแทนผู้พูดด้วยการสอนให้เขารู้จักประหยัดปากคำ ซึ่งเต็มไปด้วยการเหยียดหยามดูหมิ่นผู้อื่นเสียบ้างแล้ว แต่นี้เป็่นพลินทร์ อย่างเดียวที่พัจนาจะทำได้ในขณะนั้นก็คือเดินออกจากห้องไปเสีย
“อ้าว นั่นจะไปไหนล่ะ” เสียงของพลินทร์มีอำนาจพอที่จะหยุดขาซึ่งก้าวไปเกือบจะถึงประตูห้องได้ในทันที พัจนามิได้หันหน้ามา เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ และได้ยินเสียงพลินทร์พูดต่อไปว่า
“เรายังพูดกันไม่เสร็จนี่นะ”
“ถ้าหากว่าธุระที่คุณใหญ่ต้องการจะพูดกับผมมีเพียงแค่นี้ละก็ ขอประทานโทษครับ ผมเห็นจะต้องขอลาไปนอนเสียที”
“แต่เรายังไม่ได้พูดธุระกันสักคำเลยนะ พัจนา”
พัจนาถอนใจ หันหน้ากลับมา แล้วจึงเดินมาหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตัวเดิม “ผมกำลังคอยฟังอยู่แล้วครับ คุณใหญ่”
พลินทร์เอื้อมมือไปเปิดหีบบุหรี่ออกมาจุดสูบอีกตัวหนึ่ง พ่นควันอย่างสำราญใจโดยมิได้สนใจกับอาการอึดอัดของอีกฝ่ายหนึ่ง
“คุณใหญ่มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“ฉันจะให้เธอไปเชียงใหม่” พลินทร์บอกโดยมิได้มองหน้าพัจนา ผู้ซึ่งพอได้ฟังคำสั่งก็ขมวดคิ้ว ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อย่างลืมตัวถามว่า
“ไปเชียงใหม่ ไปทำไมกันครับ”
พลินทร์ ชายหางตามาดูอย่างแสดงความแปลกเมื่อพูดว่า “เธอไม่รู้หรอกรึว่าเวลานี้พวกคนงานป่าไม้ของพ่อเลี้ยงคำอิน กับพวกของเถ้าแก่กิม กำลังมีเรื่องวุ่นวายกันขนาดหนัก ซึ่งทำให้คนงานของเราพลอยเป็นบ้าไปกับเขาด้วย”
“ผมทราบแล้วครับ” พัจนาตอบ “แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณใหญ่จึงเลือกผม คุณชัช ชำนาญงานเช่นนี้มากกว่าผมทำไมคุณใหญ่จึงไม่ให้คุณชัชไป”
“คุณชัชมีงานที่ต้องทำทางนี้” เป็นคำตอบจากพลินทร์ “ฉันต้องการให้เธอไป พัจนา”
“แต่ผมไม่มีความชำนาญพอนะครับคุณใหญ่ ผมอาจทำงานนี้ไม่สำเร็จ”
ดวงตาสีเหล็กมองตรงมาที่เขาขณะที่เจ้าของดวงตาคู่นั้นพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังเน้นถ้อยคำชัดเจนทุกวรรคทุกพยางค์ว่า “พัจนา ป่าไม้นี้เป็นสมบัติของพงศ์ราช ฉันกำลังขอเธอให้ไปทำหน้าที่พิทักษ์รักษาสมบัติของตระกูล แล้วก็ฉันอยากจะให้เธอนึกไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรที่เลือดเนื้อของพงศ์ราชจะทำไม่ได้”
“จริงครับ” พัจนารับคำอย่างขมขื่น “มันน่าภาคภูมิใจเบาไปรึที่เกิดมาดีวิเศษกว่ามนุษย์ธรรมดาเขาถึงเพียงนี้”
พลินทร์มองหน้าของญาติผู้น้องเฉยอยู่ครู่หนึ่ง “ตกลงเธอจะรับทำงานนี้หรือไม่”
พัจนาถอนใจ “แต่คุณใหญ่ครับผมกำลังจะแต่งงานอยู่อาทิตย์หน้านี่แล้ว”
“เธออาจกลับมาทันถ้าเธอมีความสามารถพอ แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากไปเสียมากกว่าใช่ไหม”
“ผมกำลังจะแต่งงานครับคุณใหญ่” พัจนาพูดช้าๆ อย่างพยายามบังคับอารมณ์ แม้กระนั้นก็อดมิได้จะพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นคุณใหญ่....”
พัจนาไม่มีโอกาสที่จะพูดให้จบประโยค เพราะร่างที่สามเสื้อคลุมสีแดงเข้มนั้นผุดลุกขึ้นยืนโดยเร็วและแรง จนทำให้เก้าอี้นวมที่เขาผู้นั้นนั่งอยู่เขยื้อนไปเบื้องหลัง เสียงพูดที่เฉียบขาดและดุดันดังขึ้นว่า “อย่าเปรียบกับฉัน เพราะคนอย่างฉันไม่เคยนึกถึงตัวเองมากกว่าหน้าที่ ตามใจเธอ พัจนา ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป อยู่หาความสุขเถอะ ฉันจะไปเอง”
ด้วยความเกรงกันที่มีอยู่จนติดเป็นนิสัยและอาจจะเป็นด้วยนานครั้งจึงจะได้เห็นพลินทร์แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดแจ้งเช่นนี้สักที พัจนาจึงบังเกิดความไม่สบายใจในวาจาที่ตนได้กล่าวออกไป เขาอ้ำอึ้งอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วก็พูดออกไปอย่างคนที่ตัดสินใจแล้วว่า
“คุณใหญครับ”
พลินทร์มิได้ขานรับ เขากำลังยืนหันข้างให้และเพียงแต่ชำเลืองตามามองดูเท่านั้น พัจนากัดริมฝีปากตัวเองก่อนที่จะพูดต่อไป
“ผมจะไปเชียงใหม่”
พลินทร์ยังคงไม่ขยับเขยื้อนอิริยาบถ “แน่ใจแล้วรึ” เขาถาม “ฉันไม่ต้องการบังคับใจใครหรอกนะ พัจนา”
“ครับ ผมทราบดีว่าคุณใหญ่ไม่ได้บังคับผม” พัจนาพูดอย่างขมขื่น น้ำเสียงของเขารุนแรงไปด้วยความปั่นป่วนของอารมณ์ “แต่ผมต้องบังคับใจของผมเอง ผมจะไป ไม่ใช่เพราะคิดว่า ตัวเองเก่งกล้าสามารถเพราะเกิดมาเป็นพงศ์ราช หรือว่าไปทำหน้าที่รักษาทรัพย์สมบัติของตระกูล แต่ผมจะไปเพราะถือว่าเป็นคำสั่งของคนที่มีบุญคุณต่อผมสั่งให้ผมไป”
พลินทร์เดินห่างออกไปจากที่ยืนอยู่ สองสามก้าวแล้วจึงหันกลับมา เสียงที่เขาพูดนั้นแสดงถึงความพึงพอใจอย่างเปิดเผย “ขอบใจพัจนา ที่อย่างน้อยเธอก็ยังพอจะทำให้ฉันมีความภาคภูมิใจเหลืออยู่นิดหน่อย ว่า เธอยังมีจิตใจเป็นพงศ์ราชอยู่บ้าง ในเรื่องการรู้จักคำสั่งและการระลึกถึงบุญคุณ ดีละเธอยังมีอะไรข้องใจที่ต้องการถามฉันอีกไหม”
พัจนาลุกขึ้นยืนช้าๆ ดวงตาหรี่ลงในขณะที่เขาจ้องมองดูญาติผู้ยิ่งกว่าเขาด้วยประการทั้งมวล “ถ้าทราบขัอข้องใจของผมแล้ว คุณใหญ่จะตอบหรือครับ”
ผู้ถูกถามมองดูเขาอย่างแปลกใจ “แน่ละ” เป็นคำตอบ “ทำไมฉันถึงจะไม่ตอบเธอถ้าหากว่าคำถามนั้นเป็นคำถามที่ฉันตอบได้” ถามมาซิข้องใจเรื่องอะไรล่ะ หวังว่าคงจะเกี่ยวกับการที่จะไปเชียงใหม่คราวนี้นะ”
“ครับ เกี่ยวแน่นอน เป็นพระคุณที่อนุญาตให้ถาม และผมหวังว่าคุณใหญ่คงจะตอบให้ผมทราบ ว่าการที่มีคำสั่งให้ผมไปเชียงใหม่คราวนี้นั้นเป็นแผนการที่จะขัดขวางการแต่งงานของผมใช่ไหมครับ”
ช่างเป็นคำถามที่อาจหาญอะไรเช่นนั้น มันสามารถทำให้ผู้ถูกถามถึงกับตะลึงงันไปในทันทีที่ได้ฟัง อีกอึดใจต่อมา อาการตกตะลึงนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความไม่พอใจ และต่อมาเป็นความพิศวงงงงวยอย่างเอกอุ พลินทร์ พงศ์ราช จ้องมองดูดวงหน้าของญาติผู้อ่อนอาวุโสของเขาอยู่นานจึงได้เอ่ยออกมาเป็นวาจาว่า
“เก่ง เก่งแท้ๆ ฉันขอชมด้วยความจริงใจที่เธอกล้าใช้คำถามประโยคนี้ และฉันก็กล้าพอที่จะยอมรับว่า เธอเข้าใจถูกแล้ว” เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้าพัจนา ดวงตาวาวโรจน์ไปด้วยความพึงพอใจอย่างประหลาดล้ำเหลือที่จะอธิอบายได้” เอาละ เราจะถือเสียว่ามันเป็นการพนันขันต่อกันระหว่างเธอและฉัน ถ้าเธอไปทำงานที่เชียงใหม่สำเร็จกลับมาทันกำหนดแต่งงานของเธอ ก็เป็นอันว่าเธอจะได้ทำสิ่งที่เธอต้องการโดยไม่มีใครขัดขวาง แต่ถ้าเธอไม่มีความสามารถพอที่จัดการกับงานทางโน้นให้เรียบร้อยได้ทันเวลาก็เป็นอันว่า...”
เขายกไหล่ทิ้งคำพูดค้างไว้แค่นั้นโดยไม่ต่อให้จบประโยค พัจนาขบกรามแน่น สงบนิ่งระงับอารมณ์และความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในเป็นครู่ใหญ่ จึงได้พูดออกมา แม้กระนั้นเสียงก็ยังไม่วายสั่น
“ตกลงครับ ขอบคุณที่บอกให้ทราบ เป็นอันว่าเราจะถือเสียว่าการไปเชียงใหม่คราวนี้เป็นการพนันระหว่างคุณใหญ่กับผม ผมจะไปได้เมื่อไหร่ครับ”
“พรุ่งนี้เช้า คุณชัชจะจัดการซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้ที่นี่”
แม้จะตกลงใจเรียบร้อยแล้ว พัจนาก็ยังอดที่จะออกอุทานออกมาไม่ได้ว่า “พรุ่งนี้... ผมจะต้องไปพรุ่งนี้หรือครับ”“ก็จะเสียเวลาชักช้าอยู่อีกทำไมล่ะ เธอเองก็มีธุระสำคัญรออยู่ที่นี่เหมือนกันไม่ใช่รึ”
มีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่ทำให้พัจนารู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมา เขาจึงตอบออกไปด้วยเสียงที่เกือบจะห้วนว่า “ตกลงครับ ผมจะไปเชียงใหม่พรุ่งนี้”
“ดีแล้ว กว่าเครื่องบินจะออก ก็คงจะยังพอมีเวลาล่ำลาใครต่อใครทันหรอก”
คำพูดที่ค่อนข้างจะรุนแรงพลุ่งขึ้นมารออยู่ที่ริมฝีปากของพัจนา เขาเม้มริมฝีปากสะกดมันไว้แน่น แล้วจึงพูดว่า “ผมไปได้แล้วหรือยังครับ”
พลินทร์ยิ้มออกมาได้อย่างแจ่มใสเป็นครั้งแรกนับแต่พัจนาย่างเข้ามาในห้องนั้น บอกว่า “ไปได้แล้ว ขอบใจ ฉันดีใจมากที่เราพูดกันรู้เรื่อง”
พัจนามองสบตาผู้พูด มีความรู้สึกอยากจะพูดอยากจะระบายอะไรต่ออะไรที่มันอัดอยู่ในใจออกมาให้หมดสิ้น พลินทร์ เลิกคิ้วมองดูอย่างประหลาดใจ พูดซ้ำว่า
“ไปได้แล้ว ขอบใจ”
นั้นแหละ พัจนาจึงได้หมุนตัวกลับเดินออกไปจากห้องนั้น ถ้าเขาหันกลับไปมองดูอีกสักครั้งหนึ่ง เขาคงจะได้เห็นดวงตาของพลินทร์ที่มองตามหลังด้วยความยินดี และเต็มไปด้วยความมีชัยยิ่งนัก