หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 10

เช้าวันรุ่งขึ้น  พอพลินทร์ออกจากห้อง  เดินเลี้ยวมาสู่ห้องกลางซึ่งเป็นทางลงบันไดไปยังชั้นล่าง   เขาก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนกอดอกพิงหน้าต่างหันหน้ามาทางเขาและยิ้มอย่างกว้าวขวางคอยต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว   พลินทร์ร้องทักตอบอาการยิ้มนั้นออกไปว่า

“อ้าว  เป็นไงครับจ้าวศรีธร”

“สวัสดีครับ   คุณพลินทร์”     ชายหนุ่มผู้ที่เขาเรียกนามว่าจ้าวศรีธรกล่าวตอบพร้อมกับเดินเข้ามาหา     “เมื่อคืนนี้ผมกลับดึกไปหน่อยเลยไม่ได้พบกับคุณพลินทร์”

“จ้าวพี่ของจ้าวบอกแล้ว  ว่าจ้าวกำลังบำเพ็ญตนเป็นสถานีอนามัยเคลื่อนที่ได้”    พลินทร์พูดยิ้มๆ พลางพิศดูดวงหน้าที่เกลี้ยงเกลาคล้ายดวงหน้าเด็กซึ่งยิ้มแย้มบอกถึงความเป็นคนที่มีอารมณ์รื่นเริงอยู่ตลอดเวลา   แว่นสายตาสั้นที่สวมอยู่นั้นมิได้ทำให้น่าเกลียด   ตรงกันข้าม   หนุ่มน้อยผู้นี้จะน่าดูน้อยลงกว่านี้มากทีเดียว ถ้าหากว่าจะปราศจากแว่นอันนี้เสีย     “ผมกำลังจะลงไปข้างล่าง จ้าวจะลงหรือยัง”

“ลงครับ”     จ้าวศรีธรรับคำง่ายๆ  แล้วก็ออกเดินมาด้วยกัน  ขณะที่ก้าวลงมาตามขั้นบันไดนั้น  เขาได้กล่าวขึ้นอีกว่า     “เรื่องพัจนาทำให้เราตกใจกันมากครับ   ผมเสียใจที่....”

เขาพูดค้างอยู่เพียงแค่นั้น   เพราะพลินทร์ได้ขัดขึ้นเสียก่อนว่า     “พัจนาเคราะห์ร้ายมาก แต่เราอย่าเพิ่งคิดว่าเขาตายแล้วจะดีไหมจ้าว   บอกตรงๆ ว่าผมยังไม่คิดว่าเขาจะตายเลย”

ศรีธรชำเลืองดูหน้าคนพูดแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า     “ครับ ผมก็ยังไม่อยากจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน     แต่ว่า....”

“แต่ว่าอะไรหรือ”    พลินทร์ถาม ขณะที่ยังคงก้าวลงบันไดไปอย่างปรกติ ชายหนุ่มผู้อ่อนอาวุโสกว่านิ่งด้วยไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกของตนในขณะนั้นออกมาเป็นคำพูดว่ากระไร เมื่อคนทั้งสองก้าวจากบันได้ชั้นล่างสุดลงมายืนบนพื้นห้องเรียบร้อยแล้ว   พลินทร์ก็หันหน้าไปหาศรีธรพูดเรียบๆ ว่า

“เมื่อกี้นี้ดูเหมือนจ้าวยังพูดไม่จบไม่ใช่หรือ”

จ้าวศรีธรหัวเราะ     “ไม่มีอะไรหรอกครับ  ผมคิดไปเองว่า....”

“ตื่นแล้วหรือพลินทร์”

เสียงนั้นเป็นเสียงของจ้าวศรีฟ้าซึ่งโผล่ออกมาจากทางใดไม่มีใครสังเกตเห็น  แต่ก็ได้ช่วยให้น้องชายของเขาหายใจคล่องขึ้น  จากที่รอดตัวไม่ต้องตอบคำถามที่เขาแสนจะอึดอัดใจในการคิดหาคำตอบนั้น   ศรีธรจึงหันไปทางพี่ชาย   บอกอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสที่สุดว่า

“ผมกำลังขอโทษคุณพลินทร์อยู่ครับจ้าวพี่”

“ขอโทษที่เมื่อวานนี้ไม่คอยอยู่ต้อนรับน่ะหรือ”     พี่ชายถามพร้อมกับเดินมาสมทบ  ตรงไปยังห้องอาหาร

“ไหน เมื่อวานนี้ไปรักษาไข้ถึงไหน   ถึงได้กลับเอาดึกดื่น ลองเล่าไปหน่อยซิ”

พลินทร์หัวเราะเบาๆ     “นี่ยังต้องนั่งซักไซ้ไล่เลียงกันเป็นเด็กๆ อยู่อีกหรือนี่” เขาถามอย่างรู้สึกขัน   ศรีธรจึงหันมาหัวเราะ บอกว่า

“จ้าวพี่เป็นจ้าวพ่อคนที่สองของผมครับ”

“การที่เราเป็นพี่ใหญ่เขานี่ไม่ดีเลย”     ศรีฟ้าพูดคล้ายปรารภ    “บางครั้งเราไม่อยากถามจุกจิกก็ต้องถาม จ้าวพ่อท่านฝากหนักหนาตอนจะสิ้น คุณกับพัจนาก็แบบนี้เหมือนกัน ใช่ไหม”

พลินทร์นิ่งอึ้งไปเป็นครู่  ก่อนที่จะตอบด้วยเสียงต่ำๆ ว่า     “ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของพัจนาเลยไม่ว่าเขาจะทำอะไรถ้าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับการเสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล   พัจนามีสิทธิที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามความพอใจของเขา”

เสียงเช่นนั้นบอกให้จ้าวศรีฟ้าซึ่งรู้จักญาติและเพื่อนผู้นี้มานาน  รู้ในทันทีว่าผู้พูดเริ่มจะมีอารมณ์อันไม่แจ่มใสขึ้นมาแล้ว   จึงรีบกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเห็นใจว่า

“จริงซีนะ  ก็คุณต้องรู้จักรับผิดชอบมาตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่นี่   คุณจึงคิดว่าคนอื่นก็ควรจะต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเองเหมือนกัน”

“มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่รึจ้าว   พัจนาไม่ใช่ลูกแหง่   เขาไม่จำเป็นต้องรายงานตัวกับผมหรอก   เขามีหน้าที่อยู่อย่างเดียว   คือทำตามคำสั่งของผมเท่านั้น”

กังวานเสียงที่พูดนั้น ทำให้จ้าวหนุ่มสองพี่น้องต้องชำเลืองสบตากัน   แล้วจ้าวศรีฟ้าจึงเป็นผู้หัวเราะขึ้น  กล่าวว่า

“คุณได้รับการอบรมมาราวกับทหารเทียวนะ   พลินทร์”

“แต่ระเบียบและวินัยเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดเสมอมาไม่ใช่รึจ้าว”    พลินทร์ย้อนถาม     “ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือไม่ใช่ก็ตาม”

“ผมไม่ควรจะถกเถียงกับคุณเรื่องนี้”   จ้าวศรีฟ้ากล่าวตอบด้วยเสียงรื่นเริง     “เพราะผู้ใหญ่อบรมเรามาไม่เหมือนกัน”

การสนทนายุติลงเมื่อทั้งสามก้าวเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง   ซึ่งมีโต๊ะกลมปูผ้าสีขาวสะอาดตั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคไว้พร้อมสรรพแล้ว

“เป็นความคิดของน้องศรีชลา ที่จะให้เรากินอาหารเช้าในห้องนั่งเล่น”    จ้าวของบ้านหนุ่มบอก “เธอบอกว่ากินเสร็จแล้วจะได้ไม่ต้องโยกย้ายไปไหน   นั่งคุยกันอยู่ในนี้เลย  นั่งซีพลินทร์ ที่นี่ก็เหมือนบ้านของคุณเหมือนกัน”

พลินทร์หัวเราะ  นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง     “เมื่อคืนจ้าวก็บอกกับผมอย่างนี้   รู้ไหมว่าการที่พูดประโยคนี้บ่อยๆ จะยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของผม”

“งั้นหรือ”    ศรีฟ้าหัวเราะด้วย     “ถ้างั้นก็ต้องขอโทษ  เอาเถอะ  ผมสัญญาว่าจะไม่พูดอีก คุณลองข้าวต้มนี่ก่อนไหม”

“ดีเหมือนกัน”     พลินทร์บอก  มองดูภาชนะซึ่งจัดไว้สำหรับสามคน ถามว่า    “นี่จ้าวศรีชลาไปไหนเสียล่ะ   เธอไม่ลงมาร่วมวงกับเราด้วยหรอกหรือ”

“พี่ศรีชลารับอาหารเช้าในห้องครับ”    ศรีธรบอก     “ถือโอกาสที่หมอบอกว่าไม่ให้เหนื่อย   ให้พักผ่อนมากๆ จึงนอนตื่นสายเสียเลย”

“แกละหาเรื่อง”     จ้าวศรีฟ้าหันไปเอ็ดน้องชายด้วยสีหน้ายิ้มๆ   ใครๆ ย่อมรู้กันดีอยู่ทั้งนั้นว่าสามคนพี่น้องนี้รักใคร่กลมเกลียวกันเพียงไร     “ศรีชลาเขาตื่นสายที่ไหน เขาตื่นเช้ากว่าแกเสียอีก   ว่าแต่เมื่อคืนนี้ไปไหนมา   ยังไม่เห็นบอก  ไปอยู่เสียตั้งสองยามแปดทุ่ม”

“ไม่ถึงสองยามหรอกครับ”    น้องชายตอบพลางรินกาแฟใส่ลงในถ้วยของพลินทร์ “พอเขาตาย ผมก็มา”

“ตายรึ”  พี่ชายร้อง   “ใครตายกันอีกล่ะคราวนี้”

“จ้าวพูดราวกับว่าที่นี่น่ะมีใครต่อใครตายกันอยู่เสมอเทียวนะ”  พลินทร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ   และสหายของเขาก็หันมาตอบว่า

“ไม่ผิดหรอก  พลินทร์   ตั้งแต่เกิดเรื่องวิวาทกันระหว่างพวกป่าไม้ของพ่อเลี้ยงบุญอินกับเถ้าแก่กิมนี่   ประเดี๋ยวคนโน้นตาย  คนนี้ตายกันอยู่เรื่อยๆ”     เขาหันไปทางน้องชาย  ถามว่า “คราวนี้ใครล่ะ  ศรีธร”

“บุญเป็ง  คนของพ่อเลี้ยงครับ”     ศรีธรตอบ    “เมื่อคืนนี้มีโจรเข้าปล้นที่ปางไม้ของพ่อเลี้ยง   ยิงคนงานตายไปสามคน   หนานบุญเป็งบาดเจ็บสาหัส แต่ความที่อยากพบหน้าลูกเมีย  อุตส่าห์กระเสือกกระสนมาตายบ้านจนได้”

“แล้วพ่อเลี้ยงว่าไง”     ศรีฟ้าซัก

“ผมไม่ได้ถาม”    ศรีธรตอบ     “แต่จะว่ายังไง   มันก็ต้องแก้แค้นกันเท่านั้น”

“อ้าว ก็ไหนว่าพวกปล้น!”     พลินทร์ถามอย่างแปลกใจ     “ถ้าเป็นพวกปล้นล่ะก็จะไปแก้แค้นที่ไหนกันได้”

“ไม่ใช่พวกปล้นหรอกครับ”     ศรีธรอธิบาย “ก็พวกเถ้าแก่กิมนั่นแหละ   ยกมาแก้แค้นแทนลูกชายที่ตาย”

ลูกชายที่ตายของเถ้าแก่กิมก็คือคนที่เขาให้พัจนาอาศัยเครื่องบินมาด้วยนั่นเอง   พลินทร์รู้สึกว่ากาแฟที่มีกลิ่นหอมหวลนั้นผ่านพ้นลำคอเข้าไปได้ยากเย็นเต็มที   ได้ยินเสียงจ้าวศรีธรเล่าต่อไป     “เขาเชื่อกันว่าที่เครื่องบินตกคราวนี้ก็เพราะฝีมือของพวกพ่อเลี้ยงนั่นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน”

“ผมรู้แต่เพียงว่าคนงานของผมปั่นป่วนไปก็เพราะว่าสองบริษัทนี้เขาเกิดแก่งแย่ง  ประมูลขึ้นราคาค่าแรงกัน  แต่ไม่รู้เลยว่าเขามีเรื่องโกรธแค้นกันถึงกับยกพวกเข้าฆ่าแกงกัน”

“คนที่นี่อารมณ์เขารุนแรงมากครับ”     จ้าวศรีธรอธิบายเรื่อยๆ เหมือนเห็นเป็นของธรรมดา

“รักจริง   เกลียดจริง”

“มันเป็นมานานเท่าไรแล้วนะจ้าว ไอ้การฆ่าฟันกันนี่”     พลินทร์ซัก

“มันตั้งเค้ามานานแล้วล่ะ   ตั้ง 3 – 4 ปีเห็นจะได้”   เจ้าศรีฟ้าบอก   “แต่เพิ่งจะมารุนแรงกันก็ปีนี้แหละ  ตั้งแต่เกิดเรื่องมานี่คนตายไปหลายสิบแล้ว”

“เอ แล้วทางตำรวจเขาไม่ว่าอะไรหรือจ้าว”

“ทำไมเขาจะไม่ว่า”   จ้าวศรีฟ้าพูดพร้อมกับหัวเราะ  “ไอ้ว่าน่ะเขาต้องว่าแน่ละ แต่ถึงว่าก็ไม่รู้จะทำยังไง   เขาปล้นเขาฆ่ากันในป่า กว่าตำรวจจะเข้าไปถึง ก็ไม่มีอะไรแล้วนอกจากศพคนตาย   แล้วเรื่องที่จะไปสืบสวนหาพยานจากไหนน่ะหรือ   อย่าไปหวังเลย  ไม่มีใครยอมบอกหรอก   เขาถือเป็นธรรมเนียมว่า เขาจะต้องแก้แค้นกันเองมันถึงจะหายแค้น   เรื่องมันถึงได้คาราคาซังมาจนถึงแค่นี้”

“อันที่จริงก็สนุกดีนะครับ”     ศรีธรเสริมด้วยเสียงหัวเราะ     “ผลัดกันเป็นคนร้าย ผลัดกันเป็นเจ้าทุกข์อยู่เรื่อยๆ สนุกดีไม่เลว”

พลินทร์นิ่งเงียบไป   ท่าทางของเขาเงียบขรึมและเต็มไปด้วยการครุ่นคิดจนกระทั่งเจ้าของบ้านทั้งสองรู้สึกเกรงใจ ไม่กล้าชวนพูดคุยต่อไปอีก   หลังจากที่ได้นั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลุกออกมาจากโต๊ะอาหารแล้ว   พลินทร์ก็ขอตัวกลับขึ้นห้องพัก  ศรีธรมองตามหลังญาติหนุ่มขณะที่เขาเดินออกไปจากห้อง แล้วหันไปทางพี่ชายเป็นเชิงปรารภว่า

“คุณพลินทร์   นี่แกเป็นยังไงก็ไม่รู้นะจ้าวพี่   ท่าทางของแกยังไงชอบกล”

“เป็นยังไง”     จ้าวศรีฟ้าย้อนถาม

“ยังไงก็ไม่รู้  ไม่เหมือนพัจนา”

“จะเหมือนได้ยังไง”     จ้าวศรีฟ้าพูดเรื่อยๆ    “พลินทร์ถูกอบรมมาให้เป็นผู้นำ   ให้รู้จักรับผิดชอบ   ให้รู้จักนับถือความคิดของตัวเอง   เมื่อเล็กๆ พลินทร์เคยพูดเสมอว่าเขาจะต้องเป็นผู้นำของพงศ์ราชแทนเจ้าคุณพ่อเขา   ก่อนที่เจ้าคุณลุงจะเสียยังเรียกพลินทร์เข้าไปเอาคำมั่นสัญญา   ว่าจะป้องกันสกุลพงศ์ราชให้พ้นจากความด่างพร้อยจนสุดกำลังความสามารถ”

“ท่านช่างถือศักดิ์ถือสกุลเสียจริงๆ นะจ้าวพี่   คุณพลินทร์นี่ก็ดูท่าจะไม่ผิดกับเจ้าคุณลุงเท่าไร”     เมื่อพูดเช่นนั้น   ศรีธรนึกเห็นภาพชายชราผู้มีดวงหน้าเคร่งขรึม บึ้งตึงและดุดัน พร้อมด้วยหนวดอันดกดำเหนือริมฝีปากแล้วก็อดหัวเราะในการเปรียบเทียบของตนเองมิได้ เขาพูดต่อไปว่า     “ความจริงก็น่าเลื่อมใส  น่านับถือดีอยู่หรอก   แต่ก็ไม่ใช่คนที่เราจะพูดเล่นด้วยได้”

“พลินทร์เองก็ดูเหมือนว่าจะน้อยเนื้อต่ำใจอะไรอยู่เหมือนกัน เท่าที่ได้ยินจากเสียงที่เขาพูด” จ้าวศรีฟ้ากล่าวอย่างใช้ความคิด  เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ  แล้วก็โยนต่อไปให้น้องชายทั้งซอง “เขาพูดเป็นทำนองว่าพี่น้องไม่เห็นใจอะไรทำนองนี้แหละ”

“ก็น่าเห็นใจ   คุณพลินทร์ไม่ใช่คนที่ใครๆ จะอยากเข้าไปคุยประจ๋อประแจ๋ด้วยนี่ครับ” น้องชายว่า     “จ้าวพี่ให้เรือแล้วก็ไม่ให้พายด้วย”     เขาชูซองบุหรี่ขึ้นให้ดู แล้วก็รีบกางมือออกตะครุบที่จุดไฟที่พี่ชายโยนมาให้   ดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบตัวหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อไปว่า     “คุณพันธุ์พงศ์กับพัจนายังเข้ากับใครๆ  ได้สนิทกว่าพี่ชายใหญ่เป็นไหนๆ”

“ฮื้อ”     พี่ชายค้านอย่างไม่เห็นด้วย     “แกจะเอาพลินทร์มาเปรียบกับพันธุ์พงศ์หรือพัจนายังไงได้ คนที่ต้องปกครองคน ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอจะให้เหมือนกับคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยยังไงได้   แต่จำไว้เถอะว่า  ถ้าเราต้องพึ่งพาอาศัยใครสักคน   พลินทร์นี่แหละที่เราจะสามารถขอพึ่งพิงได้”

“จ้าวพี่ได้ยินคุณพลินทร์พูดอยู่เมื่อกี้นี้แล้วใช่ไหมครับ   ที่ว่าพัจนามีหน้าที่เพียงต้องทำตามคำสั่งของแกเท่านั้น   ผมเลยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี่คงจะไม่ปลอดโปร่งแจ่มใสเท่าใดนัก”

“พลินทร์หายใจเป็นหน้าที่เสียจนติดเป็นนิสัย”     จ้าวศรีฟ้ากล่าวพลางลุกขึ้นยืน “แต่พัจนาก็ไม่ควรจะคิดให้มากเกินไป ควรจะนึกให้มากว่าไม่ใช่เพราะพลินทร์ดอกหรือที่ทำให้ตัวพ้นออกมาจากสภาพลูกเมียน้อยที่ถูกเก็บไว้หลังบ้าน  ต้องกินข้าวในครัว   พลินทร์เป็นคนฉุดพัจนาขึ้นมา   ให้การศึกษา   ให้ที่อยู่  ให้งาน  ให้ทุกสิ่งทุอย่างที่พ่อของพัจนาเองก็ไม่อาจจะให้แก่ลูกของตัวเองได้”

ศรีธรลุกขึ้นยืน พูดว่า “จะมีประโยชน์อะไรกันครับที่เราจะมาพูดกันถึงพัจนากันในเวลานี้ ในเมื่อพัจนาก็ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว”

“จริงซี”     จ้าวศรีฟ้าถอนใจ    “น่าสงสารพัจนา ไม่น่าจะมีอายุสั้นเลย”     เขาหันหลังให้น้องชาย  พาเดินเรื่อยๆ ออกไปจากห้อง   ศรีธรเดินตามมาห่างๆ แล้วก็พูดขึ้นอย่างเรื่อยเปื่อยว่า

“เออ  จ้าวพี่ครับ  ผมไปบ้านคำรสมาด้วย”

“งั้นเรอะ”    จ้าวศรีฟ้าเหลียวหน้ามานิดๆ แล้วหันกลับไปดังเดิม    “พี่ก็พบคำรสเหมือนกันเมื่อวานนี้  เขาไป....”     เขานึกได้ หันขวับกลับมาทันใด ทั้งสีหน้าท่าทางตลอดจนเสียงที่พูดก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้น   จ้าวศรีฟ้าก้าวเข้ามาใกล้น้องชาย  คว้าแขนเสื้อไว้ ถามอย่างเร็วจนฟังเกือบจะไม่รู้เรื่องว่า “แกไปที่บ้านคำรสมา ถ้างั้นแกก็ได้พบกับ เอ้อ....”

ใบหน้าและดวงตาที่แสดงความฉงนสนเท่ห์ของน้องชายทำให้จ้าวศรีฟ้ารู้สึกตัวและนึกกระดากขึ้นมา   ปล่อยมือจากแขนเสื้อของศรีธร  พูดไม่ค่อยเต็มเสียงว่า

“ผู้หญิง...   เอ้อ...   เพื่อนของคำรสน่ะ  สวยดีไม่ใช่รึ”

“ครับ”     ศรีธรรับคำพลางยิ้มอยู่ในหน้า     “สวยมากทีเดียว”

“อ้อ”     เขาไม่รู้ว่าจะหาคำอุทานอย่างใดที่เหมาะยิ่งกว่านั้น   “แกรู้จักชื่อเสียงเขาแล้วซีนะว่าเขาชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน”

“ครับ”   จ้าวศรีธรรับคำ  ดวงตาเป็นประกายสุกใส  “ผมทราบแล้วว่าหล่อนเป็นใคร มาจากไหน”

จบบทที่ 10