หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 25

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ   ผู้ที่เปิดประตูเข้ามานั้นคือ อุ่นเรือน   ภรรยาของเทอด.  ในมือข้างหนึ่งของอุ่นเรือนคือถาดเล็ก ๆ ใส่ชามย่อม ๆ ใบหนึ่ง   มีควันลอยขึ้นมาเป็นสายจากชามนั้น   หล่อนเดินจรดปลายเท้าเข้ามาอย่างระมัดระวัง   ผดารีบลุกขึ้นไปรับถาดมาจากมือของหล่อน

“ซุปไก่ใช่ไหมคะ”   ผดาถาม   “กลิ่นหอมฟุ้งทีเดียว”

หญิงสาวหยิบชามออกจากถาดวางลงบนโต๊ะส่งถาดคืนให้แก่อุ่นเรือน   ผู้ซึ่งเมื่อรับเอาไปแล้วก็ค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวังออกไปจากห้อง เช่นตอนเข้ามา   แต่ไม่ก่อนที่จะบอกกับผดาว่า

“ถ้าซุบเย็นเสียก่อนที่คุณพลินทร์ จะตื่นละก็   คุณผดาใช้ให้คนเอาไปให้ดิฉันนะคะ   ดิฉันจะอุ่นให้   คุณพลินทร์จะได้ทานร้อนๆ   แล้วก็ถ้ามีอะไรจะใช้ดิฉันละก็   คุณผดาเรียกใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ   คุณพลินทร์เป็นผู้มีพระคุณต่อดิฉันและคุณเทอด   ถ้ามีสิ่งใดที่ดิฉันพอจะรับใช้ท่านได้ละก็ ดิฉันเต็มใจรับใช้เสมอเทียวค่ะ”

อุ่นเรือนออกไปพร้อมกับงับประตูไว้อย่างเก่า   ผดาหันมาทางพลินทร์   ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเขยิบเก้าอี้เข้าไปใกล้เตียง ก้มหน้าไปใกล้ดวงหน้าที่แดงก่ำนั้น จนรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวจากร่างของเขา   ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเรียกให้เข้ารู้สึกตัวดีหรือไม่นั้น พลินทร์ก็ขยับกาย   ผดารีบถอยออกมา จ้องมองดูเขาตาแทบไม่กระพริบ   เธอได้ยินเสียงพลินทร์พูดอะไรพึมพำอยู่ในคอฟังดูคล้ายเสียงคราง....   อย่างขลาดๆ   หญิงสาวเอื้อมมือไปจับท่อนแขนของเขาที่ยื่นเปะปะออกมาจากนวมที่ห่มอยู่นั้น   เกือบจะสะดุ้งเมื่อได้สัมผัสกับความร้อนของผิวกายส่วนนั้น   เขย่าเบาๆ พร้อมกับร้องเรียก

“คุณพลินทร์คะ   คุณพลินทร์”

พลินทร์ครางอืออออยู่ในคอ   ดวงหน้าอันแดงก่ำนั้นส่ายไปมา   ริมฝีปากที่แห้งเผยอขึ้น   ผดาจับตาดูเขม็งจนแทบลืมหายใจ   เธอได้ยินเสียงเขาพูดออกมาเบาๆ ว่า

“คุณแม่ครับ.. คุณแม่”

เพ้อ   ผดาบอกกับตัวเองทันที   พลินทร์กำลังเพ้อเพราะพิษไข้ที่ขึ้นสูง   เธอตัดสินใจจับแขนเขาเขย่าอีกครั้งหนึ่ง แรงกว่าครั้งแรก แต่ไม่แรงจนกระทั่งจะทำให้เกิดความกระเทือนขึ้นแก่บาดแผลของเขา   เรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น   “คุณพลินทร์คะ   คุณพลินทร์”

คราวนี้ดวงตาของพลินทร์ค่อยๆ ลืมขึ้น   เขาเพ่งตาที่แดงเพราะพิษไข้นั้นมองดูเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ค่อยๆ หลับลงดังเดิม   “ผดา”

ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ... และ.... ผดาไม่แน่ใจว่ามันเป็นความยินดีหรืออะไร   เธอรีบขานรับว่า   “คะ   ดิฉันอยู่ที่นี่ค่ะ   คุณพลินทร์”

พลินทร์มิได้แสดงกิริยาอย่างใดที่เป็นการรับรู้ว่าเขาได้ยินคำตอบของเธอ   เขานอนนิ่งไปอีกครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นอีก   คราวนี้เสียงดังและชัดเจนยิ่งกว่าคราวแรก

“ผดา”   เขาเรียกชื่อเธออีกแล้ว   “ผดาอย่าวิ่งออกไป   ผดา   ระวังจะถูกกระสุนเข้า”

ผดานั่งตัวแข็ง   รู้สึกคล้ายกับว่ามีก้อนอะไรอย่างหนึ่งวิ่งจากส่วนลึกของร่างกายขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอของเธอ   พลินทร์ยังคงเพ้อต่อไปอีก

“พัจนา   ไม่ได้นะ   เธอจะแต่งงานกับคนที่เราไม่รู้จักไม่ได้เป็นอันขาด...   สิวิกา   ดูกระทงของเธอซี”

“คุณพลินทร์คะ”   ผดาจับแขนเขาสั่นเบาๆ   พยายามที่จะให้เขารู้สึกตัว   เธอรู้สึกคล้ายกับว่าเขาออกแรงสะบัด แต่แรงน้อยมาก   อาจจะเป็นเพราะเขาทำไปโดยไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้   พลินทร์ส่ายหน้าไปมา   ลมหายใจของเขาร้อนผ่าวจนผดารู้สึก   เขาพูดอีก

“หล่อนเกลียดผมนะจ้าว   ดูหล่อนจ้องผมซี   คุณแม่   คุณแม่ครับ   ผมต้องการไปเครื่องบิน   คุณแม่   ผมจะไปเครื่องบิน”   เสียงของเขาดังขึ้นจนกระทั่งผดาตกใจ   และก่อนที่เธอจะทำอย่างใด พลินทร์ก็พรวดพราดลุกขึ้นนั่ง   เขาลืมตาขึ้นแต่ก็ยังมองไม่เห็นเธอ   “ผมไม่ใช่ไอ้หน้าขี้ขลาด”   เขาร้องดังเกือบจะเป็นตะโกน   “พัจนาไปเครื่องบินได้ทำไมผมถึงจะไปไม่ได้   คุณแม่   ผมจะไปเครื่องบิน”

เขาทำท่าคล้ายจะถลันลงไปจากเตียง   ด้วยความตกใจ   ผดากางแขนออกกั้นแล้วรวบแขนทั้งสองข้างของเขาไว้แน่น   พลินทร์ดิ้นรนฮึดฮัด

“ปล่อย”   เขาตะโกน   “ผมจะไปเครื่องบิน   ผมไม่ใช่ไอ้หน้าขี้ขลาด   ปล่อย”

“คุณพลินทร์   อย่าไปค่ะ   คุณกำลังไม่สบายไปไหนไม่ได้”

ด้วยความตกใจ ผดาแทบจะไม่รู้สึกตัวว่าได้พูดอะไรออกไปบ้าง   สองมือออกแรงยึดร่างของเขาไว้แน่น   ทันทีนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยแรง   ชั่วครู่ต่อมา จ้าวหนุ่มสองพี่น้องก็ช่วยกันจัดการให้พลินทร์เงียบลงได้ดังเดิม   โดยมีผดาเป็นผู้ช่วยจ้าวศรีฟ้าจับพลินทร์ไว้ในขณะที่จ้าวศรีธรฉีดยาให้เขา

พอยาออกฤทธิ์ พลินทร์ก็นอนหลับไป   ทั้งสามเฝ้าดูอยู่จนแน่ใจว่าเขาหลับจริงๆ แล้วจึงได้พากันออกไปนอกห้อง   ผดาเลี่ยงออกไปยังเฉลียงหน้าบ้าน   ครู่ใหญ่จ้าวศรีฟ้าจึงได้ตามออกมาบ้าง   เขาเห็นหญิงสาวยืนหันหลังให้   มือทั้งสองวางพักอยู่บนพลึงลูกกรง ศีรษะก้มลงน้อยๆ ท่าทางเช่นเดียวกันกับคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หรือไม่ก็คิดเพลินจนลืมตัว   แม้ว่าเขาจะได้ยืนอยู่ข้างหลังนานถึงห้านาทีแล้วก็ตาม หญิงสาวก็ยังมิได้มีท่าอย่างใดที่จะแสดงว่ารู้สึกตัว   ในที่สุด จ้าวหนุ่มก็ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อนว่า

“คุณผดาออกมายืนอยู่คนเดียวเงียบๆ ตรงนี้เอง”   เมื่อหญิงสาวหันมา ก็พูดต่อไปว่า   “ยังตกใจไม่หายรึครับ ที่พลินทร์เกิดเอะอะขึ้นมา”

ผดายิ้มให้เขาอย่างเพลียๆ ตอบว่า   “หายแล้วค่ะ   เมื่อตะกี้นี้ซีคะตกใจมาก   คงจะเป็นเพราะไข้สูงมากนั่นเอง เลยถึงกับเพ้อ”

“ครับ”   จ้าวศรีฟ้ารับ   “ผมเองก็ใจคอไม่ค่อยดีเลย   คนอื่นเจ็บค่อยยังชั่ว แต่นี่มาเป็นพลินทร์เสียด้วย”

“ทำไมคะ”   ผดาถาม   อดรู้สึกไม่ได้ว่าความรู้สึกเกลียดชังหมั่นไส้อย่างรุนแรง ที่เคย มีต่อชายผู้มีนามว่าพลินทร์ พงศ์ราช นั้น จางลงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ   “คนอื่นกับคุณพลินทร์แตกต่างกันอย่างไร”

“ต่างกันตรงที่พลินทร์ถูกเลี้ยงมาอย่างเป็นคนสำคัญจริงๆ”   จ้าวศรีฟ้าตอบด้วยเสียงราบเรียบและชัดเจน   “พงศ์ราชเป็นตระกูลที่ใหญ่โตมาก   ถ้าจะสมมุติให้เป็นนิยาย   พลินทร์ก็คือเจ้าชายที่ได้รับตำแหน่งรัชทายาทมาตั้งแต่เกิดทีเดียว”

“ดิฉันพอจะเข้าใจ   คงจะเป็นอย่างแบบที่เขาเรียกกันว่า ทะนุถนอมแบบไข่ในหินใช่ไหมคะ”   ผดากล่าว   และเมื่อจ้าวศรีฟ้าแสดงว่าเห็นด้วยกับคำเปรียบเทียบของเธอ หญิงสาวก็พูดต่อไปว่า   “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะต้องเป็นคนอ่อนแอซีคะ   แต่เมื่อตอนที่จ้าวศรีธรผ่าเอาลูกปืนออก คุณพลินทร์ไม่ได้ร้องออกมาเลย สักแอะ เดียว   จะว่าเป็นคนอ่อนแอได้อย่างไร”

“ไม่มีใครว่าพลินทร์เป็นคนอ่อนแอเลยนี่ครับ”   จ้าวศรีฟ้าพูด   ดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววอ่อนโยนอยู่เป็นนิจของเขามองสบตาเธออย่างเคร่งขรึมไม่ต่างจากน้ำเสียง   “ตรงกันข้ามทีเดียว   พลินทร์เป็นคนที่มีใจเข้มแข็งที่สุด   ความเย่อหยิ่งในตัวเองและความถือตัวทำให้คนเราสามารถเป็นคนที่เข้มแข็งได้นะครับ คุณผดา   เข้มแข็งเสียจนบางครั้ง และบางคนอาจจะกลายเป็นคนใจเหี้ยม และดูเหมือนโหดร้ายทารุณไปในบางกรณี   พลินทร์ก็เช่นเดียวกัน   ตราบใดที่สติยังมีอยู่กับตัว   พลินทร์จะไม่ยอมให้ใครหัวเราะเยาะเขาได้อย่างเด็ดขาด   สิ่งเดียวที่พลินทร์จะทนไม่ได้ก็คือเสียงหัวเราะเยาะ”

“นั่นเป็นปมด้อยของคุณพลินทร์รึคะ จ้าว”

“ถ้าหากว่าจะเป็นปมด้อย ก็เป็นปมด้อยที่แม้แต่ผมเองก็พอใจและเต็มใจที่จะมีบ้างเหลือเกิน”

จ้าวศรีฟ้ากล่าวอย่างหนักแน่น พลางพิศดูดวงหน้าอันเรียวยาวที่เบือนน้อยๆ มองออกไปยังทิวไม้ที่ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่รอบด้านอย่างใช้ความคิด   ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงเอ่ยถามขึ้นมาลอย ๆ โดยมิได้หันมาว่า

“ใครคือสิวิกาคะ จ้าว”

“คุณสิวิกาคือ ผู้หญิงที่พลินทร์ จะแต่งงานด้วย”   ชายหนุ่มบอก แล้วย้อนถามว่า   “คุณถามทำไมหรือครับ คุณผดา”

“เมื่อตะกี้นี้คุณพลินทร์เพ้อถึงชื่อนี้”   ผดา เล่าไปตามจริง แต่มิได้บอกด้วยว่าพลินทร์ก็ได้เอ่ยชื่อเธอออกมาเช่นกัน   จ้าวศรีฟ้ามีทีท่าว่าสบายใจขึ้นมาอย่างประหลาด   เขาเล่าต่อไปอย่างเต็มใจว่า   “คุณสิวิกาเป็นผู้หญิงที่จะแต่งงานกับเขา”

ผู้หญิงที่จะแต่งงานกับเขา...   เขาเป็นกังวลถึงหล่อนมากจนกระทั่งเก็บเอามาเพ้อถึงในยามที่สติสัมปชัญญะไม่อยู่กับตัวเทียวหรือ   เขาเพ้อว่าอะไรหนอ   อ้อ เขากล่าวถึงกระทง... กระทงอะไร   มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตัวเขาและผู้หญิงที่มีนามว่าสิวิกาอย่างไร

“ไม่ใช่แต่จะเพ้อถึงคุณสิวิกาเท่านั้นดอกคะ”   ผดาพูดต่อไป   “คุณพลินทร์ยังเพ้อถึงคุณแม่ของเขาอีก   ตะโกนเสียเสียงดังบอกคุณแม่ว่าจะไปเครื่องบิน แล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา   ดิฉันจับเสียแทบแย่   พอดีจ้าวเข้ามา   ถ้าช้าอีกหน่อยดิฉันก็คงเอาไว้ไม่อยู่เป็นแน่เทียวค่ะ”

จ้าวศรีฟ้ามองดูหญิงสาวอย่างตรึกตรอง   พลินทร์เพ้อว่าเขาต้องการจะไปเครื่องบิน นั่นย่อมแสดงว่า เรื่องนี้จะต้องตามรบกวนทำร้ายจิตใจเขาอย่างเหลือเกิน   ชายหนุ่มนึกถึงวันแรกที่พลินทร์และผดาได้เผชิญหน้ากัน ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร   ผดาได้เอ่ยขึ้นมาว่าเธออยากจะนั่งเครื่องบิน และน้องชายของเขาก็พลอยพาซื่อถามออกมาว่า   “คุณผดาอยากนั่งเครื่องบิน   ทำไมตอนที่จะมาเชียงใหม่นี่ถึงไม่มาทางเครื่องบินเล่าครับ”   และทันใดนั้นหญิงสาวก็ตอบออกมาว่า   “ที่ดิฉันไม่มาทางเครื่องบินก็เพราะว่าดิฉันกลัวตายน่ะซีคะ   ดิฉันเป็นคนขลาดค่ะ   ขี้ขลาดตาขาวอย่างที่สุด   เลยคิดว่าปล่อยให้คนอื่นเขามาทางเครื่องบินดีกว่า   จะตายก็ช่างเขา   เรามาทางรถไฟปลอดภัย”   แล้วก็ทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างจงใจ

อา... แม้แต่เขาเองยังจำคำพูดนั้นได้   ก็ตัวพลินทร์เองเล่า   คำพูดนั้นจะทำร้ายความรู้สึกของเขาสักเพียงใด

แต่ในตอนนั้น เมื่อได้ยินคำพูดดังได้กล่าวนั้นเป็นครั้งแรก จ้าวศรีฟ้าก็ยังไม่เข้าใจอะไรนัก   เพียงแต่รู้สึกแปร่งหูเล็กน้อย   ต่อมาสิ เมื่อเขาได้รับรู้เรื่องราวที่เกี่ยวพันกันระหว่างคนทั้งสาม   คือ ผดา พลินทร์ และพัจนา   กอปรทั้งในวันที่พลินทร์ตัดสินใจจะเข้าไปป่าเพื่อค้นหาพัจนาด้วยตัวเอง   และเขาได้ทัดทานไว้ โดยอ้างเอาท่านผู้หญิงมารดาของพลินทร์ขึ้นมาเป็นข้อใหญ่นั้น   พลินทร์ได้ร้องออกมาอย่างขมขื่น เต็มไปด้วยความรู้สึกบีบคั้นในจิตใจอย่างที่สุดว่า

“หยุดพูดถึงคุณแม่ทีเถอะจ้าว   ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คุณแม่ขอร้องไม่ให้ผมมาทางเครื่องบินดอกหรือ   ผมถึงต้องถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้คนขี้ขลาดตาขาวอย่างที่ได้รับอยู่นี้”

เสียงเช่นนั้น   ลูกผู้ชายด้วยกันย่อมจะเข้าใจกันดีว่าผู้พูดมีความรู้สึกอย่างไร   จ้าวศรีฟ้าก็เช่นกัน   เขามองดูหน้าผดา   กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า   “ผมทราบดีครับ คุณผดา   ว่าคุณเคยคิดว่าพลินทร์เป็นคนขลาด ที่มาทางเชียงใหม่ทางรถไฟในเมื่อให้พัจนามาเครื่องบินจนกระทั่งมาเกิดอุบัติเหตุ   คุณไม่ทราบดอกว่าที่พลินทร์ต้องมาทางรถไฟนั้นก็เพราะว่าคุณแม่ของเขาขอร้อง”

“คุณแม่ของเขา ขอร้อง”   ผดา ทวนคำ   “เขาบอกจ้าวเช่นนั้นหรือคะ”

“เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกหรอก”   จ้าวศรีฟ้าว่า   “แต่เป็นเพราะผมโกรธเขาในเรื่องที่ผมทัดทานเรื่องที่เขาจะเข้าป่านี่แล้วเขาไม่เชื่อ   ผมก็เลยพูดออกมาว่าผมอยากจะให้ท่านผู้หญิงแม่ของเขามาอยู่ที่นี่ด้วยนัก   เท่านั้นแหละครับ พลินทร์ก็เลย.....”

ผดาหันหน้าออกไปสู่ด้านนอกช้าๆ   ความรู้สึกของเธอในขณะนั้นยากเกินกว่าจะอธิบายได้   เธอเงียบไปครู่หนึ่ง จ้าวศรีฟ้าจึงได้พูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า

“แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณดอกครับคุณผดา   ไม่ใช่ความผิดของคุณจริงๆ ที่คุณเห็นว่าพลินทร์ เป็นคนขลาด   คุณไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร   คนที่ไม่รู้ความจริงก็ต้องคิดอย่างนี้ด้วยกันทุกคน”

ผดา นิ่งเงียบไปนาน   ในที่สุด จึงได้พึมพำออกไปว่า   “ดิฉันเสียใจค่ะจ้าว ที่ได้ว่า คุณพลินทร์ออกไปเช่นนั้น   ดิฉันเสียใจจริงๆ   และเต็มใจที่จะขอโทษเขา”

เมื่อพูดออกไปแล้ว ผดาก็มั่นใจทีเดียวว่าเธอหมายความอย่างนั้นจริง ๆ

จบบทที่ 25