รถจิ๊ปกลางของบริษัท “ป่าไม้พงศ์ราช” วิ่งโขยกเขยกกระดอนขึ้นกระดอนลงไปตามถนนแคบๆ ซึ่งตัดลึกเข้าไปในป่าอันกว้างใหญ่ ผดาผู้ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งตอนในชิดกับพนักหลังคนขับ ใช้สองมือยึดเอาที่นั่งไว้แน่น ในขณะที่มองลอดประทุนรถออกไปยังภูมิภาพสองข้างทางที่ผ่านไป ซึ่งเป็นป่าทึบ ต้นไม้แต่ละต้นนั้นทั้งสูงทั้งใหญ่ ชูยอดเสียดเบียดกัน จนกระทั่งทำให้มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ผ่านลงมาได้น้อยเต็มที บรรยากาศภายในป่าดูวังเวงมืดทึบอย่างไรพิกล มันทำให้ผดาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ จะว่าตื่นเต้นก็ไม่เชิง มันประหลาดๆ ก้ำกึ่งกันอย่างไรพิกลอยู่ เธอมองดูภิสัชซึ่งนั่งอยู่ถัดไปจากเธอ ก็เห็นเขานั่งเฉย สีหน้าสงบ ดวงตามองตรงออกไปเบื้องหน้า อันเป็นกิริยาการที่ผดา ซึ่งรู้จักกับเขามานาน รู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่อย่างลึกซึ้ง และไม่ต้องการให้ใครรบกวน จ้าวศรีฟ้าซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามนั้นก็มีสีหน้าที่สงบเช่นเดียวกัน แต่สงบในแบบปรกติของเขา ถัดไปจากจ้าวศรีฟ้าก็คือจ้าวศรีธรผู้น้องชาย หนุ่มน้อยผู้นี้มองออกไปนอกรถพลางผิวปากไปพลางอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งทำให้ผดา อดที่จะยิ้มอย่างพลอยนึกสบายใจไปด้วยมิได้ แต่เมื่อมองเลยไปจากจ้าวศรีธรสิ ผดารีบถอนสายตากลับเสียทันที เขาจะกำลังมองมาทางเธอหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าไม่เป็นการบังเอิญแล้ว ผดาก็ไม่ต้องการที่จะได้ประสานสายตากับคนคนนั้น... นายพลินทร์ พงศ์ราช... นั่นเลย
ไม่น่าจะเป็นความจริงไปได้ ที่เธอจะได้มาเป็นคนหนึ่งในคณะที่เข้าป่าเพื่อค้นหาพัจนานี้ เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเหตุใด พลินทร์ ซึ่งเต็มไปด้วยความรังเกียจเกลียดชังเธอ จึงได้ยอมให้เธอร่วมคณะมาด้วย และเมื่อภิสัชขอติดตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง เขาก็ยินยอมแต่โดยดี บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาต้องการให้มีคนไปด้วยมากคนก็เป็นได้ และยิ่งภิสัชเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะยิ่งดีขึ้นมาก แม้แต่ผดาเองก็ยังรู้สึกอุ่นใจ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แจ้งต่อสถานการณ์ดีนัก แต่หญิงสาวก็ยังพอจะเข้าใจได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ มีกลิ่นไอประหลาดๆ ที่ทำให้หายใจไม่สู้จะปลอดโปร่งนักแฝงอยู่ ไม่อย่างนั้น เทอด ผู้จัดการป่าไม้ของพลินทร์ คงจะไม่จัดให้คนงานสองคนถือปืนคอยนั่งคุมระวังหลังอยู่ดอก ตัวเขาเองก็ถือปืนไรเฟิลนั่งขรึมอยู่เคียงข้างคนขับ คนที่นั่งขนาบข้างเทอดอีกข้างหนึ่งนั้นเป็นชาวพื้นเมือง หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ลักษณะบอกชัดว่าเป็นคนที่ไร้การศึกษา ชายคนนี้มาหาพลินทร์ที่คุ้มไศล แจ้งว่าเป็นคนของเถ้าแก่กิม มาขออาศัยติดรถไปลงที่ทางแยกซึ่งตัดแยกไปยังที่ทำการในป่าของเขาด้วย หลายคนพากันคัดค้าน แต่พลินทร์ก็กลับยินยอมให้ไป และเมื่อได้ยินจ้าวศรีฟ้าถามถึงเหตุผลที่พลินทร์ยอมให้ชายผู้นั้นอาศัยไปด้วย ผดาก็กล่าวขึ้นอย่างจงใจจะเยาะเย้ยเขาว่า
“ดิฉันทราบดีค่ะจ้าว ว่าทำไมคุณพลินทร์จึงได้ยอมให้ผู้ชายคนนี้ไป ก็เพราะว่าเขาเป็นคนของเถ้าแก่กิม และเถ้าแก่กิมเคยช่วยเหลือคุณพลินทร์ในการเอื้อเฟื้อให้พัจนาโดยสารเครื่องบินมาเชียงใหม่คราวนี้” เธอใส่น้ำหนักตรงคำว่าเอื้อเฟื้ออย่างจงใจ “คุณพลินทร์คงจะถือว่าเถ้าแก่กิมมีบุญคุณอยู่ด้วยมากมายเป็นแน่” และยิ่งกว่านั้น เธอยังกล้าหาญชาญชัยพอที่จะหันไปถามเอากับเขาอีกด้วยว่า “จริงไหมล่ะคะคุณพลินทร์”
หญิงสาวมองประสานสายตากับเขาอย่างท้าทายและไม่หวาดหวั่น เธอเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับความโกรธของเขา แต่ผิดคาด ดวงตาที่มองตอบมานั้นมิได้มีแววอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะส่อให้เห็นถึงความโกรธเคืองหรือไม่พอใจอย่างที่เธอคาดคิดไว้เลยแม้แต่น้อย มันมีแต่ความชาเย็นและเคร่งขรึมอย่างน่าอัศจรรย์ เขาตอบด้วยเสียงที่เรียบและหนักแน่นว่า
“เธอเข้าใจถูกแล้ว เถ้าแก่กิมไม่ปฏิเสธ เมื่อฉันขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะฉะนั้น ฉันจึงปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน เมื่อเขาต้องการให้ฉันช่วยเหลือคนของเขา ถ้าใครกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้น เพราะการที่ฉันรับคนคนนี้ไปด้วยแล้วจะถอนตัวไม่ไปก็ได้ ไม่มีใครว่า”
รถยังคงกระดอนขึ้นลงต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น เสียงจ้าวศรีธรบ่นว่า “โอ้โฮ ถนนอย่างนี้ ถ้าต้องนั่งต่อไปอีกสักครึ่งวันเท่านั้น กลับไปบ้านเห็นจะต้องหาน้ำใบบัวบกมากินเป็นแน่”
“เราน่ะเป็นหมออะไรกันแน่” จ้าวศรีฟ้าหันไปว่ากับน้องชาย “เป็นหมอสมัยใหม่แต่กลับจะไปใช้ยาสมัยเก่า ต่อไปถ้าไปรักษาคนไข้ที่ไหนละก็ใครเขาจะเชื่อมือแก”
“โธ่ จ้าวพี่” ศรีธรร้องพลางขยับแว่นตา “ของเก่าน่ะบางอย่างของใหม่สู้ไม่ได้เทียวนะครับ จริงไหมครับ คุณผดา”
ประโยคสุดท้ายเขาหันมาขอความเห็นสนับสนุนจากผดา แต่ก่อนที่ผดาจะตอบ เทอดก็หันมาบอกเสียก่อนว่า
“จ้าวคงจะไม่ต้องพึ่งน้ำใบบัวบกดอกครับ อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงทางเลี้ยวแล้ว ต่อไปอีกหน่อยก็ถึงทางแยกเข้าที่ทำการของเรา”
“ถนนเป็นอย่างนี้มานานแล้วรึ เทอด” พลินทร์ถามผู้จัดการของเขา เทอดหันมาตอบด้วยท่าทางที่ถึงแม้จะไม่นอบน้อมถึงขนาดที่ผดาเคยเห็นชัชกระทำ แต่ก็ยังเห็นประจักษ์ชัดว่าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงมากอยู่
“เมื่อก่อนนี้ดีกว่านี่ครับ แต่มาตอนหลังนี่พอเกิดเรื่องยุ่งๆ กันขึ้น ก็เลยไม่มีใครยอมทำ ฝนตกบ้าง แล้วรถก็วิ่งไปวิ่งมา ถนนมันก็เลยเป็นอย่างนี้”
“ผดานั่งเงียบทีเดียว” ภิสัชเป็นผู้ตั้งข้อสังเกตเอากับผดา หญิงสาวยิ้ม โดยมิได้ตั้งใจเธอเหลือบมองไปทางผู้ที่นั่งถัดออกไปจากศรีธร ก็ได้เห็นเขาผู้นั้นมองมาทางเธอแวบหนึ่ง แล้วเขาก็เบนสายตาออกไปนอกรถเสียในฉับพลัน ผดาจึงหันมาหัวเราะกับภิสัช บอกว่า
“กำลังคิดอะไรเพลินคะ”
“เสียดายที่ไม่ได้เอาคำรสมาด้วยนะฮะ คุณผดา”
จ้าวศรีธรว่า และผดาก็รับรองคำพูดของเขาทันที “จริงค่ะจ้าว ถ้าเอาคำรสมาด้วย เราก็คงจะไม่ต้องนั่งสอดส่ายตาคอยดูว่าจะมีปากกระบอกปืนโผล่ออกมาจากที่ไหนบ้างหรือเปล่าอย่างนี้”
“คุณผดาพูดเหมือนกับว่าคำรสเป็นตัวแคล้วคลาดหรือนะจังงังอะไรยังงั้นแหละ” จ้าวศรีฟ้าพูดพร้อมกับยิ้มมองดูหญิงสาวอย่างน่าเอ็นดู ผดาหัวเราะ บอกว่า
“ตายจริง ไม่ใช่หรอกค่ะ ดิฉันหมายความว่าเวลาคำรสมาด้วย เราคงจะคุยกันเสียงดังจนคนอื่นไม่สงสัยว่าเราจะมาร้ายต่างหากเล่าคะ ยิ่งที่ถนนแคบๆ รกๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว ใครมาแอบซุ่มอยู่เราก็แทบจะมองไม่เห็นเอาเลย”
“คุณผดาคร้าบ” จ้าวศรีธรร้องลากเสียงยาว “เข้าป่าเขาห้ามพูดถึงเสือคร้าบ”
ทันใดนั้น ยังมิทันขาดคำของศรีธร เสียงกระสุนนัดหนึ่งก็ระเบิดดังสนั่นขึ้นในระยะใกล้ รถหยุดลงในทันที โดยแรง จนกระทั่งผดาเกือบจะขมำตกจากที่นั่ง แต่เธอก็ไม่มีเวลาที่จะสำนึกตัวหรือรับรู้ว่าเป็นเพราะอะไรเสียด้วยซ้ำ เพราะในนาทีต่อมานั้น เสียงดังอย่างหูดับตับไหม้ก็บังเกิดขึ้นตามติด ท่ามกลางเสียงนั้น มีเสียงหนึ่งดังแหวกออกมาดังชัดเจนว่า
“ไอ้พวกเถ้าแก่กิม.. เอามันเลย !!”
“ผดา หมอบลง !” เสียงภิสัชตะโกนอยู่ข้างหูของเธอ มือข้างหนึ่งของเขาดึงร่างเธอลงไปจากที่นั่ง แล้วตัวเขาเองก็กระโจนพรวดลงไปข้างล่าง อีกอึดใจเดียวต่อมาก็ไม่มีผู้ชายคนใดเหลืออยู่ในรถแม้สักคนเดียว ผดาใจหายวูบ เสียงภิสัชร้องสั่งว่า
“พวกเรายิงต่อสู้กับมันเร็ว ใช้ต้นไม้กับข้างรถเป็นที่กำบังเร็ว”
ผดาตัดสินใจกระโดดลงไปจากรถทันที ใครคนหนึ่งยึดแขนเธอไว้มั่น เสียงหนักแน่นเด็ดขาดของพลินทร์ พงศ์ราชดังอยู่เกือบชิดหูเธอว่า
“ลงมาทำไม กลับขึ้นไปหมอบอยู่บนรถเร็ว”
ไม่ทันจะมีเวลาคิดหาเหตุผลเสียด้วยซ้ำ ผดาสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของเขา และออกวิ่งตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง เสียงพลินทร์ร้องตามมาอย่างตกใจว่า
“ผดาอย่าไป ที่นั่นไม่ปลอดภัย”
มีเสียงวิ่งตามหลังเธอมา พร้อมกับเสียงใครคนหนึ่งร้องว่า “คุณพลินทร์ ระวังกระสุนหลงครับ”
กระสุนวิ่งวื้ดๆ ผ่านเธอไป มือซึ่งแข็งแกร่งทรงพลังมือหนึ่งจับแขนเธอ กระชากโดยแรง จนกระทั่งเธอเซถลาล้มลงไปหลังขอนไม้ท่อนหนึ่ง ผดาฟุบอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจ ใต้ร่างอันกว้างใหญ่ร่างหนึ่งที่ก้มอยู่เหนือร่างของเธอในท่าปกป้องกำบัง และดูเหมือนจะในนาทีเดียวกันกับที่เธอล้มลงไปนั้น เสียงหนึ่ง ได้ตะโกนก้องขึ้นจนเกือบจะกลบเสียงปืนเสียสิ้นว่า
“พลินทร์ พงศ์ราช” เสียงนั้นมิได้เป็นเสียงของใครคนหนึ่งในคณะของพลินทร์แน่นอน แต่ทว่ามันก็ดังถนัดชัดเจนแก่หูของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นยิ่งนัก “เฮ้ย พวกเราหยุดยิง นี่ไม่ใช่พวกเถ้าแก่กิม หยุดยิง”
เสียงร้องบอกให้หยุดยิงดังต่อๆ กันไป อีกเพียงชั่วอึดใจเดียวต่อมา เสียงปืนก็เงียบหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทั่วทั้งป่าเงียบสนิทราวกับว่าเมื่ออึดใจมานี่เองมิได้มีการยิงกันอย่างหูดับตับไหม้บังเกิดขึ้น ผดาค่อยๆ ทรงกายขึ้นนั่ง และมองดูผู้ที่นั่งพิงขอนไม้อยู่ข้างกายเธออย่างเต็มตา แต่ยังมิทันทีเธอจะได้พูดอะไรออกมา ใครต่อใครก็พากันมามุงอยู่โดยรอบ เสียงโจษกันจ้าระหวั่น
“คุณผดาถูกปืนหรือเปล่า” จ้าวศรีฟ้าถามอย่างเป็นห่วงใย เขาทรุดกายลงคุกเข่าอยู่ข้างๆ หญิงสาว มองดูทั่วร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างร้อนใจ ผดาส่ายหน้าช้าๆ ยังรู้สึกตกใจและมึนงงเกินกว่าจะพูดอะไรถูก เธอยังคงมองดูพลินทร์อยู่ แต่เขาผู้นั้นมิได้มองมาทางเธอ ดวงตาของเขามิได้จับอยู่ที่ผู้ใดทั้งสิ้น หากแต่ว่ามองเหม่อไปทางเบื้องหน้าคล้ายตะลึง เสื้อสีกากีเนื้อหนาสำหรับเดินป่าของเขา บัดนี้มีน้ำสีแดงเข้มไหลออกมาชุ่มโชกตรงบริเวณบ่าเยื้องไปทางต้านหลัง ผดาลืมตาโพลงร้องออกมาว่า
“อุ๊ย คุณพลินทร์ คุณถูกยิง”
ทุกคนมองตามสายตาของหญิงสาวแล้วร้อง อุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ พลินทร์เอี้ยวคอไปมองดูบ้าง ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เป็นปรกติ เขาพูดเรื่อยๆ ว่า
“เอ โดนเข้าเมื่อไหร่ไม่ยักรู้สึกตัว”
แม้แต่ในเวลาที่ได้รับบาดเจ็บจนเลือดตก ก็ไม่วายไว้ท่า ผดาคิดอยู่ในใจ มองดูดวงหน้าที่ซีดขาวหมดสีเลือดของจ้าวศรีฟ้าอย่างเห็นใจ จะหาบุรุษใดที่มีดวงใจอันอ่อนโยนและจริงจังต่อความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่าบุรุษผู้นี้เห็นจะยากนักแล้ว
เทอดชะโงกหน้าเข้ามาดูบ้าง หน้าเสียไปเหมือนกัน พึมพำว่า “ท่าจะถูกเอาตอนที่วิ่งตามคุณผดามานั่นเองครับ ตอนนั้นกำลังยิงกันนัวทีเดียว ไม่ทราบว่ากระสุนมันวิ่งมาจากไหนไปไหนบ้าง”
“โอ้โฮ เลือดออกแดงทีเดียว” จ้าวศรีธรจุ๊ปาก เมื่อใช้ปลายนิ้วกดลงที่บริเวณเนื้อผ้าตรงที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้น “ใครช่วยวิ่งไปเอากระเป๋ายาที่รถมาให้ผมหน่อยเถอะครับ คุณพลินทร์ต้องถอดเสื้อออกก่อนละครับ”
ผดาถอยออกมานอกวง แต่ก็ไม่ไกลเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน ใครคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นคนงานของบริษัทป่าไม้พงศ์ราชวิ่งไปเอากระเป๋าของจ้าวศรีธรมาให้ ต่อมาก็ได้ยินเสียงศรีธรถามว่า “เจ็บมากไหม คุณพลินทร์”
“ไม่เจ็บหรอกน่า” เสียงจ้าวศรีฟ้าว่าอย่างฝืนให้รื่นเริง “ไกลหัวใจตั้งเป็นกอง”
“ไกลหัวใจก็จริงครับ” น้องชายบอก “แต่ว่ากระสุนฝังในเสียแล้วซี”
“กระสุนฝังใน” หลายเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน หลายคนหันเข้ามองดูตากัน แล้วเทอดจึงพูดขึ้นคล้ายปรารภว่า
“กระสุนฝังใน แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกัน”
“ก็ผ่าเอาออก” จ้าวศรีธรตอบง่ายๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน พลินทร์ลุกขึ้นด้วย เสื้อของเขาคลุมอยู่บนบ่าเฉยๆ ทำให้มองเห็นเสื้อยืดสีขาวสะอาดที่สวมใส่อยู่ข้างใน และเหรียญประจำสกุลซึ่งร้อยติดกับสายสร้อยทองคำขาวเส้นเล็ก เหรียญซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกับที่เธอมีอยู่มิผิดเพี้ยน เส้นผมของเขาตกลงมาปรกอยู่ที่หน้าผากปอยหนึ่ง พลินทร์ พงศ์ราชในขณะนี้ดูช่างประหลาดตาอย่างน่าทึ่งน่าพิศวงทีเดียว
“จะผ่ากันได้ยังไงที่นี่ มีอยู่ทางเดียวคือ ต้องกลับเข้าเมือง” จ้าวศรีฟ้าว่า และเทอดก็รับว่า “จริงครับ ผ่าที่นี่ไม่ปลอดภัย เราต้องหันหน้ากลับเข้าเมืองเสียแล้ว”
ขณะนั้นพลินทร์ยืนหันข้างมาทางผดา หญิงสาวมองเห็นสันคิ้วอันดกดำของเขาขมวดเข้าหากัน เสียงห้วนบอกถึงความไม่พอใจดังขึ้นว่า
“นี่พูดถึงเรื่องอะไรกัน”
“พลินทร์” จ้าวศรีฟ้ายกมือขึ้นจับบ่าข้างที่มิได้รับบาดเจ็บของสหาย พูดอย่างปลอบโยนคล้ายจะปลอบเด็กเล็กๆ “เราต้องกลับเข้าเมืองเสียก่อน คุณต้องไปให้หมอที่โรงพยาบาลผ่าเอากระสุนออก”
พลินทร์หันไปทางผู้จัดการป่าไม้ของเขา ถามว่า “คนงานของคุณเคยถูกเข้าอย่างนี้บ้างไหม ผมหมายถึงแผลสดน่ะ”
“มีบ่อยครับ” เทอดตอบซื่อๆ “กระสุนหลงแบบนี้บ้าง กินเหล้าเมาแล้วแทงกันเองบ้าง โอยมันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินครับสำหรับที่นี่”
“แล้วคุณจัดการกันยังไง”
“ก็จัดการกันไปตามเรื่องตามราวแหละครับ” เทอดตอบ “ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจกองตรวจเขามาพบเข้า เขาก็ช่วยจัดการให้เสร็จ ถ้าเขาไม่มา เราก็รักษากันไปเอง”
เขาจบคำพูดด้วยการหัวเรา ะ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ขาดหายไปในทันทีที่ได้รับคำสั่งว่า
“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จัดการรักษาผมไปตามแบบของคุณ”
เทอดมองดูนายจ้างอย่างอ้อนวอนเมื่อบอกว่า “แต่คุณพลินทร์ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ ที่นี่ไม่ปลอดภัยพอ แล้วบาดแผลของคุณก็ไม่ใช่บาดแผลธรรมดา คุณจะต้องผ่าเอากระสุนออกจากเนื้อ เราต้องคิดถึงเรื่องความสะอาดให้มาก หมอที่นี่ก็ไม่มี”
“เรื่องหมอไม่ต้องวิตกหรอก” พลินทร์ว่า.. แล้วหันไปทางจ้าวศรีธร “จ้าวคงจัดการผ่าให้ผมได้ ใช่ไหม”
“โอ๊ยโย่” ศรีธรทำอาการคล้ายสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัว “ผมยังไม่เคยผ่าสดเลยครับ คุณพลินทร์”
“อะไร” คิ้วดกดำนั้นเริ่มขมวดเข้าหากันอีก “จ้าวเรียนวิชาแพทย์มาจนจะสำเร็จได้รับปริญญาอยู่แล้ว ยังไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดเลยรึนี่”
“เคยแต่เข้าห้องผ่าตัดครับ” จ้าวศรีธรว่า “แต่ผ่าตัดนอกห้องนี่ซิครับที่ยังไม่เคยเลย แล้วผมก็ไม่ได้เตรียมยาชามาเสียด้วย”
“กลับเถอะน่าพลินทร์” จ้าวศรีฟ้าเริ่มเกลี้ยกล่อมใหม่ “หายดีแล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่”
“หายดี” พลินทร์ทวนคำ “เมื่อไรล่ะที่ผมจะอยู่ในขีดที่เรียกว่าหายดีนั่นน่ะ สองอาทิตย์ สามอาทิตย์ หรือเดือนหนึ่ง “เสียงที่เขาพูดเริ่มรุนแรงขึ้น ลักษณะที่เขายืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางกลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่นั้นทำให้ผดาไม่อาจจะละสายตาไปมองทางอื่นเสียได้ อ้อ นี่เองหรือ คือบุคลิกลักษณะของคนที่ไม่เคยเป็นที่สองรองจากใคร นี่หรือคือคนที่เคยแต่การออกคำสั่ง แต่ไม่เคยต้องได้รับคำสั่งจากใคร เขา ผู้มีหัวใจชาเย็นแข็งกระด้างประดุจศิลา ซึ่งเธอปักใจเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่มีค่านั้น ก็จะมีความรู้สึกดุจเดียวกันกับชีวิตของเขาเองเทียวหรือ
“ถ้าพัจนากำลังจะตาย พัจนาจะคอยผมได้รึ” เสียงฉุนเฉียวเด็ดขาดนั้นยังคงดังต่อไป เขายกมือขึ้นห้ามเมื่อจ้าวศรีฟ้าทำท่าจะค้าน “เดี๋ยวก่อนสิ ขอให้ผมพูดให้จบเสียก่อน เอาละ ถ้าหากว่าผมจะยอมกลับเข้าเมือง จ้าวคิดว่าเรื่องมันจะหมดเพียงแค่นั้นรึ เรื่องมันอาจจะอื้อฉาวไปไหนก็ได้ ผมไม่ต้องการจะทำเรื่องให้มันมากมายใหญ่โตไป จ้าวครับ” เขาจ้องหน้าเพื่อนผู้เป็นทั้งญาติ เน้นเสียงหนักเมื่อพูดต่อไปว่า “ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่กลับออกไปจากที่นี่จนกว่าจะได้รู้เรื่อง พัจนา”
ผดาเดินช้าๆ กลับไปที่รถแล้วปีนกลับขึ้นไปนั่งยังที่ของเธอ คนขับรถกำลังทำการสำรวจดูสภาพของรถอยู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนไปรอบๆ ผดามองตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินกลับมาที่รถอย่างช้าๆ แล้วก็นึกสะดุดใจขึ้นมาในฉับพลัน เธอนึกถึงจำนวนคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน ไหน มีใครบ้าง หนึ่ง – พลินทร์ สอง- เทอด จ้าวทั้งสองด้วยเป็นสี่ เธอและภิสัชเป็น... ภิสัช... ภิสัช.. จริงสิ ภิสัชมาด้วย แล้วนี่เขาหายไปไหน ภิสัชมิได้รวมอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังเดินมานั้น เขาหายไปไหน นอกจากนั้น ผู้ชายคนที่เป็นคนของเถ้าแก่กิมซึ่งขออาศัยมาด้วยนั้นก็พลอยหายไปด้วย
ภิสัชหายไปไหน หรือว่า...
ผดาใจหายวาบลุกพรวดจากที่นั่ง กระโดดลงจากรถในทันทีนั้นเอง