หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 20

รถจิ๊ปกลางของบริษัท   “ป่าไม้พงศ์ราช”   วิ่งโขยกเขยกกระดอนขึ้นกระดอนลงไปตามถนนแคบๆ ซึ่งตัดลึกเข้าไปในป่าอันกว้างใหญ่ ผดาผู้ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งตอนในชิดกับพนักหลังคนขับ ใช้สองมือยึดเอาที่นั่งไว้แน่น   ในขณะที่มองลอดประทุนรถออกไปยังภูมิภาพสองข้างทางที่ผ่านไป ซึ่งเป็นป่าทึบ ต้นไม้แต่ละต้นนั้นทั้งสูงทั้งใหญ่   ชูยอดเสียดเบียดกัน จนกระทั่งทำให้มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ผ่านลงมาได้น้อยเต็มที บรรยากาศภายในป่าดูวังเวงมืดทึบอย่างไรพิกล   มันทำให้ผดาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ  จะว่ากลัวก็ไม่ใช่   จะว่าตื่นเต้นก็ไม่เชิง  มันประหลาดๆ ก้ำกึ่งกันอย่างไรพิกลอยู่   เธอมองดูภิสัชซึ่งนั่งอยู่ถัดไปจากเธอ ก็เห็นเขานั่งเฉย สีหน้าสงบ ดวงตามองตรงออกไปเบื้องหน้า อันเป็นกิริยาการที่ผดา ซึ่งรู้จักกับเขามานาน รู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่อย่างลึกซึ้ง และไม่ต้องการให้ใครรบกวน  จ้าวศรีฟ้าซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามนั้นก็มีสีหน้าที่สงบเช่นเดียวกัน แต่สงบในแบบปรกติของเขา   ถัดไปจากจ้าวศรีฟ้าก็คือจ้าวศรีธรผู้น้องชาย หนุ่มน้อยผู้นี้มองออกไปนอกรถพลางผิวปากไปพลางอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งทำให้ผดา  อดที่จะยิ้มอย่างพลอยนึกสบายใจไปด้วยมิได้   แต่เมื่อมองเลยไปจากจ้าวศรีธรสิ  ผดารีบถอนสายตากลับเสียทันที   เขาจะกำลังมองมาทางเธอหรือไม่ก็ตาม   แต่ถ้าไม่เป็นการบังเอิญแล้ว   ผดาก็ไม่ต้องการที่จะได้ประสานสายตากับคนคนนั้น...   นายพลินทร์ พงศ์ราช...   นั่นเลย

ไม่น่าจะเป็นความจริงไปได้ ที่เธอจะได้มาเป็นคนหนึ่งในคณะที่เข้าป่าเพื่อค้นหาพัจนานี้ เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน   ว่าเหตุใด   พลินทร์ ซึ่งเต็มไปด้วยความรังเกียจเกลียดชังเธอ จึงได้ยอมให้เธอร่วมคณะมาด้วย   และเมื่อภิสัชขอติดตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง   เขาก็ยินยอมแต่โดยดี   บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาต้องการให้มีคนไปด้วยมากคนก็เป็นได้   และยิ่งภิสัชเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะยิ่งดีขึ้นมาก  แม้แต่ผดาเองก็ยังรู้สึกอุ่นใจ   ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แจ้งต่อสถานการณ์ดีนัก แต่หญิงสาวก็ยังพอจะเข้าใจได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ มีกลิ่นไอประหลาดๆ ที่ทำให้หายใจไม่สู้จะปลอดโปร่งนักแฝงอยู่   ไม่อย่างนั้น เทอด ผู้จัดการป่าไม้ของพลินทร์ คงจะไม่จัดให้คนงานสองคนถือปืนคอยนั่งคุมระวังหลังอยู่ดอก   ตัวเขาเองก็ถือปืนไรเฟิลนั่งขรึมอยู่เคียงข้างคนขับ   คนที่นั่งขนาบข้างเทอดอีกข้างหนึ่งนั้นเป็นชาวพื้นเมือง หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ลักษณะบอกชัดว่าเป็นคนที่ไร้การศึกษา   ชายคนนี้มาหาพลินทร์ที่คุ้มไศล แจ้งว่าเป็นคนของเถ้าแก่กิม มาขออาศัยติดรถไปลงที่ทางแยกซึ่งตัดแยกไปยังที่ทำการในป่าของเขาด้วย หลายคนพากันคัดค้าน   แต่พลินทร์ก็กลับยินยอมให้ไป   และเมื่อได้ยินจ้าวศรีฟ้าถามถึงเหตุผลที่พลินทร์ยอมให้ชายผู้นั้นอาศัยไปด้วย   ผดาก็กล่าวขึ้นอย่างจงใจจะเยาะเย้ยเขาว่า

“ดิฉันทราบดีค่ะจ้าว   ว่าทำไมคุณพลินทร์จึงได้ยอมให้ผู้ชายคนนี้ไป   ก็เพราะว่าเขาเป็นคนของเถ้าแก่กิม  และเถ้าแก่กิมเคยช่วยเหลือคุณพลินทร์ในการเอื้อเฟื้อให้พัจนาโดยสารเครื่องบินมาเชียงใหม่คราวนี้”   เธอใส่น้ำหนักตรงคำว่าเอื้อเฟื้ออย่างจงใจ   “คุณพลินทร์คงจะถือว่าเถ้าแก่กิมมีบุญคุณอยู่ด้วยมากมายเป็นแน่”   และยิ่งกว่านั้น เธอยังกล้าหาญชาญชัยพอที่จะหันไปถามเอากับเขาอีกด้วยว่า “จริงไหมล่ะคะคุณพลินทร์”

หญิงสาวมองประสานสายตากับเขาอย่างท้าทายและไม่หวาดหวั่น   เธอเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับความโกรธของเขา  แต่ผิดคาด   ดวงตาที่มองตอบมานั้นมิได้มีแววอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะส่อให้เห็นถึงความโกรธเคืองหรือไม่พอใจอย่างที่เธอคาดคิดไว้เลยแม้แต่น้อย มันมีแต่ความชาเย็นและเคร่งขรึมอย่างน่าอัศจรรย์   เขาตอบด้วยเสียงที่เรียบและหนักแน่นว่า

“เธอเข้าใจถูกแล้ว   เถ้าแก่กิมไม่ปฏิเสธ เมื่อฉันขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะฉะนั้น ฉันจึงปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน เมื่อเขาต้องการให้ฉันช่วยเหลือคนของเขา  ถ้าใครกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้น เพราะการที่ฉันรับคนคนนี้ไปด้วยแล้วจะถอนตัวไม่ไปก็ได้ ไม่มีใครว่า”

รถยังคงกระดอนขึ้นลงต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น เสียงจ้าวศรีธรบ่นว่า    “โอ้โฮ ถนนอย่างนี้ ถ้าต้องนั่งต่อไปอีกสักครึ่งวันเท่านั้น กลับไปบ้านเห็นจะต้องหาน้ำใบบัวบกมากินเป็นแน่”

“เราน่ะเป็นหมออะไรกันแน่”     จ้าวศรีฟ้าหันไปว่ากับน้องชาย     “เป็นหมอสมัยใหม่แต่กลับจะไปใช้ยาสมัยเก่า  ต่อไปถ้าไปรักษาคนไข้ที่ไหนละก็ใครเขาจะเชื่อมือแก”

“โธ่ จ้าวพี่”     ศรีธรร้องพลางขยับแว่นตา     “ของเก่าน่ะบางอย่างของใหม่สู้ไม่ได้เทียวนะครับ   จริงไหมครับ คุณผดา”

ประโยคสุดท้ายเขาหันมาขอความเห็นสนับสนุนจากผดา   แต่ก่อนที่ผดาจะตอบ เทอดก็หันมาบอกเสียก่อนว่า

“จ้าวคงจะไม่ต้องพึ่งน้ำใบบัวบกดอกครับ   อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงทางเลี้ยวแล้ว ต่อไปอีกหน่อยก็ถึงทางแยกเข้าที่ทำการของเรา”

“ถนนเป็นอย่างนี้มานานแล้วรึ เทอด”     พลินทร์ถามผู้จัดการของเขา   เทอดหันมาตอบด้วยท่าทางที่ถึงแม้จะไม่นอบน้อมถึงขนาดที่ผดาเคยเห็นชัชกระทำ   แต่ก็ยังเห็นประจักษ์ชัดว่าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงมากอยู่

“เมื่อก่อนนี้ดีกว่านี่ครับ   แต่มาตอนหลังนี่พอเกิดเรื่องยุ่งๆ กันขึ้น  ก็เลยไม่มีใครยอมทำ   ฝนตกบ้าง   แล้วรถก็วิ่งไปวิ่งมา   ถนนมันก็เลยเป็นอย่างนี้”

“ผดานั่งเงียบทีเดียว”     ภิสัชเป็นผู้ตั้งข้อสังเกตเอากับผดา   หญิงสาวยิ้ม   โดยมิได้ตั้งใจเธอเหลือบมองไปทางผู้ที่นั่งถัดออกไปจากศรีธร ก็ได้เห็นเขาผู้นั้นมองมาทางเธอแวบหนึ่ง แล้วเขาก็เบนสายตาออกไปนอกรถเสียในฉับพลัน  ผดาจึงหันมาหัวเราะกับภิสัช   บอกว่า

“กำลังคิดอะไรเพลินคะ”

“เสียดายที่ไม่ได้เอาคำรสมาด้วยนะฮะ   คุณผดา”

จ้าวศรีธรว่า และผดาก็รับรองคำพูดของเขาทันที     “จริงค่ะจ้าว  ถ้าเอาคำรสมาด้วย เราก็คงจะไม่ต้องนั่งสอดส่ายตาคอยดูว่าจะมีปากกระบอกปืนโผล่ออกมาจากที่ไหนบ้างหรือเปล่าอย่างนี้”

“คุณผดาพูดเหมือนกับว่าคำรสเป็นตัวแคล้วคลาดหรือนะจังงังอะไรยังงั้นแหละ”     จ้าวศรีฟ้าพูดพร้อมกับยิ้มมองดูหญิงสาวอย่างน่าเอ็นดู   ผดาหัวเราะ  บอกว่า

“ตายจริง  ไม่ใช่หรอกค่ะ  ดิฉันหมายความว่าเวลาคำรสมาด้วย เราคงจะคุยกันเสียงดังจนคนอื่นไม่สงสัยว่าเราจะมาร้ายต่างหากเล่าคะ   ยิ่งที่ถนนแคบๆ รกๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว ใครมาแอบซุ่มอยู่เราก็แทบจะมองไม่เห็นเอาเลย”

“คุณผดาคร้าบ”     จ้าวศรีธรร้องลากเสียงยาว    “เข้าป่าเขาห้ามพูดถึงเสือคร้าบ”

ทันใดนั้น ยังมิทันขาดคำของศรีธร เสียงกระสุนนัดหนึ่งก็ระเบิดดังสนั่นขึ้นในระยะใกล้ รถหยุดลงในทันที โดยแรง   จนกระทั่งผดาเกือบจะขมำตกจากที่นั่ง   แต่เธอก็ไม่มีเวลาที่จะสำนึกตัวหรือรับรู้ว่าเป็นเพราะอะไรเสียด้วยซ้ำ   เพราะในนาทีต่อมานั้น   เสียงดังอย่างหูดับตับไหม้ก็บังเกิดขึ้นตามติด   ท่ามกลางเสียงนั้น มีเสียงหนึ่งดังแหวกออกมาดังชัดเจนว่า

“ไอ้พวกเถ้าแก่กิม..   เอามันเลย !!”

“ผดา หมอบลง !”     เสียงภิสัชตะโกนอยู่ข้างหูของเธอ   มือข้างหนึ่งของเขาดึงร่างเธอลงไปจากที่นั่ง   แล้วตัวเขาเองก็กระโจนพรวดลงไปข้างล่าง  อีกอึดใจเดียวต่อมาก็ไม่มีผู้ชายคนใดเหลืออยู่ในรถแม้สักคนเดียว   ผดาใจหายวูบ   เสียงภิสัชร้องสั่งว่า

“พวกเรายิงต่อสู้กับมันเร็ว   ใช้ต้นไม้กับข้างรถเป็นที่กำบังเร็ว”

ผดาตัดสินใจกระโดดลงไปจากรถทันที ใครคนหนึ่งยึดแขนเธอไว้มั่น   เสียงหนักแน่นเด็ดขาดของพลินทร์   พงศ์ราชดังอยู่เกือบชิดหูเธอว่า

“ลงมาทำไม   กลับขึ้นไปหมอบอยู่บนรถเร็ว”

ไม่ทันจะมีเวลาคิดหาเหตุผลเสียด้วยซ้ำ   ผดาสะบัดแขนจนหลุดจากการเกาะกุมของเขา และออกวิ่งตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง   เสียงพลินทร์ร้องตามมาอย่างตกใจว่า

“ผดาอย่าไป   ที่นั่นไม่ปลอดภัย”

มีเสียงวิ่งตามหลังเธอมา พร้อมกับเสียงใครคนหนึ่งร้องว่า     “คุณพลินทร์ ระวังกระสุนหลงครับ”

กระสุนวิ่งวื้ดๆ  ผ่านเธอไป   มือซึ่งแข็งแกร่งทรงพลังมือหนึ่งจับแขนเธอ กระชากโดยแรง จนกระทั่งเธอเซถลาล้มลงไปหลังขอนไม้ท่อนหนึ่ง   ผดาฟุบอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจ ใต้ร่างอันกว้างใหญ่ร่างหนึ่งที่ก้มอยู่เหนือร่างของเธอในท่าปกป้องกำบัง และดูเหมือนจะในนาทีเดียวกันกับที่เธอล้มลงไปนั้น   เสียงหนึ่ง  ได้ตะโกนก้องขึ้นจนเกือบจะกลบเสียงปืนเสียสิ้นว่า

“พลินทร์ พงศ์ราช”     เสียงนั้นมิได้เป็นเสียงของใครคนหนึ่งในคณะของพลินทร์แน่นอน   แต่ทว่ามันก็ดังถนัดชัดเจนแก่หูของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นยิ่งนัก     “เฮ้ย   พวกเราหยุดยิง   นี่ไม่ใช่พวกเถ้าแก่กิม   หยุดยิง”

เสียงร้องบอกให้หยุดยิงดังต่อๆ กันไป  อีกเพียงชั่วอึดใจเดียวต่อมา  เสียงปืนก็เงียบหายไปเป็นปลิดทิ้ง   ทั่วทั้งป่าเงียบสนิทราวกับว่าเมื่ออึดใจมานี่เองมิได้มีการยิงกันอย่างหูดับตับไหม้บังเกิดขึ้น   ผดาค่อยๆ ทรงกายขึ้นนั่ง   และมองดูผู้ที่นั่งพิงขอนไม้อยู่ข้างกายเธออย่างเต็มตา   แต่ยังมิทันทีเธอจะได้พูดอะไรออกมา   ใครต่อใครก็พากันมามุงอยู่โดยรอบ   เสียงโจษกันจ้าระหวั่น

“คุณผดาถูกปืนหรือเปล่า”     จ้าวศรีฟ้าถามอย่างเป็นห่วงใย   เขาทรุดกายลงคุกเข่าอยู่ข้างๆ  หญิงสาว   มองดูทั่วร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างร้อนใจ  ผดาส่ายหน้าช้าๆ  ยังรู้สึกตกใจและมึนงงเกินกว่าจะพูดอะไรถูก   เธอยังคงมองดูพลินทร์อยู่   แต่เขาผู้นั้นมิได้มองมาทางเธอ   ดวงตาของเขามิได้จับอยู่ที่ผู้ใดทั้งสิ้น   หากแต่ว่ามองเหม่อไปทางเบื้องหน้าคล้ายตะลึง   เสื้อสีกากีเนื้อหนาสำหรับเดินป่าของเขา  บัดนี้มีน้ำสีแดงเข้มไหลออกมาชุ่มโชกตรงบริเวณบ่าเยื้องไปทางต้านหลัง   ผดาลืมตาโพลงร้องออกมาว่า

“อุ๊ย คุณพลินทร์   คุณถูกยิง”

ทุกคนมองตามสายตาของหญิงสาวแล้วร้อง อุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ   พลินทร์เอี้ยวคอไปมองดูบ้าง  ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เป็นปรกติ   เขาพูดเรื่อยๆ ว่า

“เอ   โดนเข้าเมื่อไหร่ไม่ยักรู้สึกตัว”

แม้แต่ในเวลาที่ได้รับบาดเจ็บจนเลือดตก ก็ไม่วายไว้ท่า   ผดาคิดอยู่ในใจ   มองดูดวงหน้าที่ซีดขาวหมดสีเลือดของจ้าวศรีฟ้าอย่างเห็นใจ  จะหาบุรุษใดที่มีดวงใจอันอ่อนโยนและจริงจังต่อความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่าบุรุษผู้นี้เห็นจะยากนักแล้ว

เทอดชะโงกหน้าเข้ามาดูบ้าง  หน้าเสียไปเหมือนกัน พึมพำว่า     “ท่าจะถูกเอาตอนที่วิ่งตามคุณผดามานั่นเองครับ   ตอนนั้นกำลังยิงกันนัวทีเดียว   ไม่ทราบว่ากระสุนมันวิ่งมาจากไหนไปไหนบ้าง”

“โอ้โฮ เลือดออกแดงทีเดียว”     จ้าวศรีธรจุ๊ปาก  เมื่อใช้ปลายนิ้วกดลงที่บริเวณเนื้อผ้าตรงที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้น    “ใครช่วยวิ่งไปเอากระเป๋ายาที่รถมาให้ผมหน่อยเถอะครับ   คุณพลินทร์ต้องถอดเสื้อออกก่อนละครับ”

ผดาถอยออกมานอกวง แต่ก็ไม่ไกลเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดกัน   ใครคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นคนงานของบริษัทป่าไม้พงศ์ราชวิ่งไปเอากระเป๋าของจ้าวศรีธรมาให้   ต่อมาก็ได้ยินเสียงศรีธรถามว่า  “เจ็บมากไหม คุณพลินทร์”

“ไม่เจ็บหรอกน่า”     เสียงจ้าวศรีฟ้าว่าอย่างฝืนให้รื่นเริง    “ไกลหัวใจตั้งเป็นกอง”

“ไกลหัวใจก็จริงครับ”     น้องชายบอก     “แต่ว่ากระสุนฝังในเสียแล้วซี”

“กระสุนฝังใน”     หลายเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน   หลายคนหันเข้ามองดูตากัน แล้วเทอดจึงพูดขึ้นคล้ายปรารภว่า

“กระสุนฝังใน   แล้วนี่เราจะทำอย่างไรกัน”

“ก็ผ่าเอาออก”     จ้าวศรีธรตอบง่ายๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน   พลินทร์ลุกขึ้นด้วย   เสื้อของเขาคลุมอยู่บนบ่าเฉยๆ ทำให้มองเห็นเสื้อยืดสีขาวสะอาดที่สวมใส่อยู่ข้างใน และเหรียญประจำสกุลซึ่งร้อยติดกับสายสร้อยทองคำขาวเส้นเล็ก   เหรียญซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกับที่เธอมีอยู่มิผิดเพี้ยน   เส้นผมของเขาตกลงมาปรกอยู่ที่หน้าผากปอยหนึ่ง   พลินทร์ พงศ์ราชในขณะนี้ดูช่างประหลาดตาอย่างน่าทึ่งน่าพิศวงทีเดียว

“จะผ่ากันได้ยังไงที่นี่   มีอยู่ทางเดียวคือ ต้องกลับเข้าเมือง”     จ้าวศรีฟ้าว่า และเทอดก็รับว่า    “จริงครับ ผ่าที่นี่ไม่ปลอดภัย เราต้องหันหน้ากลับเข้าเมืองเสียแล้ว”

ขณะนั้นพลินทร์ยืนหันข้างมาทางผดา   หญิงสาวมองเห็นสันคิ้วอันดกดำของเขาขมวดเข้าหากัน เสียงห้วนบอกถึงความไม่พอใจดังขึ้นว่า

“นี่พูดถึงเรื่องอะไรกัน”

“พลินทร์”   จ้าวศรีฟ้ายกมือขึ้นจับบ่าข้างที่มิได้รับบาดเจ็บของสหาย   พูดอย่างปลอบโยนคล้ายจะปลอบเด็กเล็กๆ     “เราต้องกลับเข้าเมืองเสียก่อน   คุณต้องไปให้หมอที่โรงพยาบาลผ่าเอากระสุนออก”

พลินทร์หันไปทางผู้จัดการป่าไม้ของเขา  ถามว่า     “คนงานของคุณเคยถูกเข้าอย่างนี้บ้างไหม  ผมหมายถึงแผลสดน่ะ”

“มีบ่อยครับ”     เทอดตอบซื่อๆ     “กระสุนหลงแบบนี้บ้าง   กินเหล้าเมาแล้วแทงกันเองบ้าง   โอยมันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินครับสำหรับที่นี่”

“แล้วคุณจัดการกันยังไง”

“ก็จัดการกันไปตามเรื่องตามราวแหละครับ”     เทอดตอบ     “ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจกองตรวจเขามาพบเข้า  เขาก็ช่วยจัดการให้เสร็จ ถ้าเขาไม่มา เราก็รักษากันไปเอง”

เขาจบคำพูดด้วยการหัวเรา  ะ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ขาดหายไปในทันทีที่ได้รับคำสั่งว่า

“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จัดการรักษาผมไปตามแบบของคุณ”

เทอดมองดูนายจ้างอย่างอ้อนวอนเมื่อบอกว่า     “แต่คุณพลินทร์   ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ   ที่นี่ไม่ปลอดภัยพอ   แล้วบาดแผลของคุณก็ไม่ใช่บาดแผลธรรมดา   คุณจะต้องผ่าเอากระสุนออกจากเนื้อ   เราต้องคิดถึงเรื่องความสะอาดให้มาก   หมอที่นี่ก็ไม่มี”

“เรื่องหมอไม่ต้องวิตกหรอก”     พลินทร์ว่า..   แล้วหันไปทางจ้าวศรีธร     “จ้าวคงจัดการผ่าให้ผมได้ ใช่ไหม”

“โอ๊ยโย่”     ศรีธรทำอาการคล้ายสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัว     “ผมยังไม่เคยผ่าสดเลยครับ คุณพลินทร์”

“อะไร”     คิ้วดกดำนั้นเริ่มขมวดเข้าหากันอีก     “จ้าวเรียนวิชาแพทย์มาจนจะสำเร็จได้รับปริญญาอยู่แล้ว ยังไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดเลยรึนี่”

“เคยแต่เข้าห้องผ่าตัดครับ”     จ้าวศรีธรว่า  “แต่ผ่าตัดนอกห้องนี่ซิครับที่ยังไม่เคยเลย แล้วผมก็ไม่ได้เตรียมยาชามาเสียด้วย”

“กลับเถอะน่าพลินทร์”     จ้าวศรีฟ้าเริ่มเกลี้ยกล่อมใหม่     “หายดีแล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่”

“หายดี”   พลินทร์ทวนคำ   “เมื่อไรล่ะที่ผมจะอยู่ในขีดที่เรียกว่าหายดีนั่นน่ะ สองอาทิตย์ สามอาทิตย์ หรือเดือนหนึ่ง   “เสียงที่เขาพูดเริ่มรุนแรงขึ้น   ลักษณะที่เขายืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางกลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่นั้นทำให้ผดาไม่อาจจะละสายตาไปมองทางอื่นเสียได้   อ้อ นี่เองหรือ   คือบุคลิกลักษณะของคนที่ไม่เคยเป็นที่สองรองจากใคร   นี่หรือคือคนที่เคยแต่การออกคำสั่ง   แต่ไม่เคยต้องได้รับคำสั่งจากใคร   เขา ผู้มีหัวใจชาเย็นแข็งกระด้างประดุจศิลา ซึ่งเธอปักใจเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่มีค่านั้น   ก็จะมีความรู้สึกดุจเดียวกันกับชีวิตของเขาเองเทียวหรือ

“ถ้าพัจนากำลังจะตาย พัจนาจะคอยผมได้รึ”     เสียงฉุนเฉียวเด็ดขาดนั้นยังคงดังต่อไป   เขายกมือขึ้นห้ามเมื่อจ้าวศรีฟ้าทำท่าจะค้าน     “เดี๋ยวก่อนสิ  ขอให้ผมพูดให้จบเสียก่อน  เอาละ   ถ้าหากว่าผมจะยอมกลับเข้าเมือง   จ้าวคิดว่าเรื่องมันจะหมดเพียงแค่นั้นรึ   เรื่องมันอาจจะอื้อฉาวไปไหนก็ได้   ผมไม่ต้องการจะทำเรื่องให้มันมากมายใหญ่โตไป   จ้าวครับ”     เขาจ้องหน้าเพื่อนผู้เป็นทั้งญาติ เน้นเสียงหนักเมื่อพูดต่อไปว่า    “ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่กลับออกไปจากที่นี่จนกว่าจะได้รู้เรื่อง พัจนา”

ผดาเดินช้าๆ กลับไปที่รถแล้วปีนกลับขึ้นไปนั่งยังที่ของเธอ   คนขับรถกำลังทำการสำรวจดูสภาพของรถอยู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนไปรอบๆ   ผดามองตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินกลับมาที่รถอย่างช้าๆ   แล้วก็นึกสะดุดใจขึ้นมาในฉับพลัน   เธอนึกถึงจำนวนคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน   ไหน  มีใครบ้าง   หนึ่ง – พลินทร์   สอง- เทอด   จ้าวทั้งสองด้วยเป็นสี่   เธอและภิสัชเป็น...   ภิสัช...   ภิสัช..   จริงสิ   ภิสัชมาด้วย   แล้วนี่เขาหายไปไหน   ภิสัชมิได้รวมอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังเดินมานั้น   เขาหายไปไหน   นอกจากนั้น   ผู้ชายคนที่เป็นคนของเถ้าแก่กิมซึ่งขออาศัยมาด้วยนั้นก็พลอยหายไปด้วย

ภิสัชหายไปไหน   หรือว่า...

ผดาใจหายวาบลุกพรวดจากที่นั่ง กระโดดลงจากรถในทันทีนั้นเอง

จบบทที่ 20