พลินทร์ พงศ์ราช นั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่บนเตียงในห้องพักของเขา โคมรั้วดวงหนึ่งส่องแสงสลัวๆ อยู่บนโต๊ะแต่งตัว ความทรมานในขณะที่ได้รับจากการผ่าเอากระสุนออกผ่านพ้นไปแล้ว ยังคงเหลืออยู่แต่ความเจ็บปวดที่บาดแผลเท่านั้น เนื้อตรงนั้นเต้นตุบๆ อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจ้าวศรีธรจะให้ยาระงับปวดรับประทานแล้วสองครั้ง แต่มันก็ยังคงปวดหนึบอยู่นั่นเอง ครึ่งชั่วโมงหลังจากการผ่าตัด เขาก็ถูกพาเข้ามาในห้อง จ้าวศรีธรรวบรวมหมอนมากองซ้อนไว้ ครู่หนึ่งต่อจากนั้น เทอดก็พาภรรยาของเขาเข้ามาพร้อมกับถาดบรรจุอาหารค่ำ พลินทร์ปฏิเสธอาหารมื้อนั้น หลังจากที่เทอดและภรรยากลับไปแล้ว ภิสัชก็โผล่หน้าเข้ามา นายตำรวจไต่ถามถึงการผ่าตัดและอาการเจ็บปวดของพลินทร์ อยู่ครู่หนึ่งก็ออกจากห้องไป พลินทร์ได้ยินเสียงเขาคุยอยู่กับจ้าวหนุ่มสองพี่น้อง อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน นานๆ จึงจะมีเสียงสตรีสอดแทรกขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง
สตรีผู้นั้น.... อา... รสเครื่องดื่มอันกลมกล่อมอันเกิดแต่ฝีมือของหล่อนยังคงชุ่มชื่นอยู่ในลำคอของเขา หล่อน ผู้ซึ่งมีแต่วาจาอันเต็มไปด้วยความเกลียดชังเคียดแค้นในตัวเขา วาจาที่กล่าวออกมาด้วยจงใจจะเสียดแทงใจให้เขาเจ็บช้ำ เหตุใดจึงได้มีใจเอื้อเฟื้อถึงขนาดที่ลงมือปรุงเครื่องดื่มอันโอชะเพื่อเขา เมื่อเขาบอกขอบใจแก่หล่อนสำหรับเครื่องดื่มถ้วยนั้น หล่อนก็กล่าวแก่เขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสนจะเฉยเมยเป็นที่สุดว่า
“ไม่ต้องขอบใจดอกค่ะ ดิฉันเพียงแต่อยากจะปฏิบัติหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ของดิฉันให้สมบูรณ์เท่านั้น”
และเขาก็บอกหล่อนไปว่า “ต้องขอโทษเธอ ที่ทำให้ผิดหวังในความตั้งใจที่จะคอยฟังเสียงฉันร้องครวญคราง เพราะฉันรู้ตัวดีว่าเสียงของฉันไม่เพราะ จึงไม่อยากจะร้องไห้ใครได้ยิน”
เหมือนกับคำพูดของเด็กๆ มิใช่เป็นคำพูดที่พลินทร์ พงศ์ราช ควรจะพูด
พลินทร์เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้เขาพูดออกไปเช่นนั้น แต่เขาก็ได้พูดไปแล้ว และไม่เข้าใจตัวเองอยู่จนบัดนี้
เสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วจ้าวศรีธรก็เดินยิ้มเข้ามา พูดขณะที่เดินเข้ามาว่า
“เป็นยังไรบ้างครับ คุณพลินทร์ หิวไหมครับ อาหารเย็นก็ไม่ได้รับประทาน”
เขาลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตั้งลงตรงข้างเตียงด้วย นั่งลงแล้วพูดว่า “รู้สึกปวดแผลบ้างไหมครับ”
“พอทนได้” พลินทร์ตอบ “นี่จ้าวรับประทานอาหารเย็นเสร็จกันแล้วหรือ เสียงคุยดูเงียบไปนี่”
“เสร็จกันแล้วครับ พูดถึงเรื่องแผล พรุ่งนี้น่ากลัวว่าจะระบม คุณพลินทร์นอนพักเอาแรงไว้ดีกว่านะครับ” เขาหยิบนามบัตรออกมาวางคว่ำหน้าลงบนโต๊ะแผ่นหนึ่ง และวางยาลงบนนั้นสี่เม็ดด้วยกัน สองเม็ดเป็นสีแดงเข้ม มีขนาดเล็กกว่าอีกสองเม็ดซึ่งเป็นสีขาว จ้าวศรีธรอธิบายว่า
“สีแดงนี่ยานอนหลับครับ สีขาวนี่ระงับปวด คุณพลินทร์รับประทานยานอนหลับเสียก่อน ถ้าเกิดตื่นขึ้นมาในตอนดึกแล้วรู้สึกปวดแผล ค่อยรับประทานยาระงับปวด ผมอยากให้คุณพลินทร์นอนหลับเอาแรงไว้มากๆ”
“ขอบใจมากนะจ้าว” พลินทร์บอก ลังเลใจอยู่เพียงอึดใจเดียวก่อนที่จะถามออกมาว่า “นี่ผู้ช่วยของจ้าวกลับแล้วหรือ”
“คุณเทอดน่ะหรือครับ” จ้าวศรีธรย้อนถาม “คุณเทอดกลับ….”
“ไม่ใช่คุณเทอด” พลินทร์ขัดขึ้นเสียก่อนที่ญาติของเขาจะทันพูดจบ “เทอดกลับไปพร้อมกับภรรยาของเขานานแล้ว ผมหมายถึงผู้ช่วยอีกคนหนึ่งของจ้าวน่ะ”
อ๋อ คุณผดา” จ้าวศรีธรเพิ่งเข้าใจ “เพิ่งกลับไปเดี๋ยวนี้แหละครับ คุณภิสัชว่าจะเดินไปส่งที่เรือน พอสองคนเขาลงบันไดไป ผมก็เข้ามาหาคุณพลินทร์นี่แหละ”
จ้าวศรีธรช่วยปัดยุงแล้วครอบมุ้งลงให้อย่างว่องไว ก่อนที่จะออกไปจากห้อง เขากำชับกับพลินทร์อีกครั้งหนึ่งว่า “ประเดี๋ยวคุณพลินทร์รับทานยานอนหลับนะครับ หลับเสียได้จะได้สบายขึ้น ผมก็จะไปนอนอยู่เดี๋ยวนี้เหมือนกัน บอกตรงๆ ว่าที่ผมทำการผ่าตัดวันนี้ ผมรู้สึกคล้ายจะเจ็บมากเสียยิ่งกว่าคุณพลินทร์เองเสียอีก”
เขาหัวเราะพร้อมกับก้าวออกไปจากห้องและปิดประตูตามหลัง พลินทร์นั่งนิ่งอยู่ในมุ้งครู่หนึ่ง จึงค่อยทรงกายลุกขึ้นนั่งห้อยขา เปิดมุ้งออกและลุกขึ้นเดินช้าๆ มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่าง เพ่งสายตาออกไปภายนอก นอกจากแสงตะเกียงริบหรี่ที่แขวนอยู่เหนือยอดเสา ตรงปากทางเข้าออกแล้ว บริเวณทั่วไปก็ดูเหมือนจะถูกปกคลุมอยู่ด้วยความมืดจนหมดสิ้น การเคลื่อนไหวดังกล่าว ก่อให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นแก่บาดแผลอีกเป็นทวีคูณ แม้กระนั้น เมื่อเทียบกับความรู้สึกนึกคิดที่แสนจะสับสนวุ่นวายในสมองของเขาในบัดนี้แล้ว ความเจ็บก็ยังเป็นเพียงสิ่งที่ไม่สลักสำคัญอะไรเลย
เขามองออกไปเช่นนั้นโดยมีได้มีจุดหมายอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เมื่อสายตาเริ่มจะชินเข้ากับความมืด ความคิดที่กำลังกระจัดกระจายขยายตัวฟุ้งซ่านออกไปนั้นก็สะดุดหยุดลงในฉับพลัน และมารวมตัวเข้าที่จุดเดียว จุดนั้นคือภาพตะคุ่มๆ ของร่างสองร่างที่กำลังเดินเคียงข้างกันอย่างช้าๆ ช้ามากจนดูราวกับว่ามิได้มีการเคลื่อนไหวอย่างใดเกิดขึ้น ร่างทั้งสองนั้นมุ่งหน้าไปสู่ที่พักของเทอดและภรรยา ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จากจ้าวศรีฟ้ามาก่อน พลินทร์ก็จำได้ว่าในทันทีนั้นเองว่า ทั้งสองนั้นจะเป็นใครอื่นไปมิได้ นอกจาก ผดาและภิสัช
คนคู่นั้นมีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดกันนักหนา เขาสงสัยนัก ดูท่าทางเขาสนิทสนมกันมากมิใช่น้อย ในบางครั้ง เขาเคยได้ยินผดาเรียกนายตำรวจว่าภิสัชเฉยๆ โดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้า นี่ลูกชายพระนิตินัย ทนายของเขาไปมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน พัจนาก็คงจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วแต่มิได้บอกแก่เขา พลินทร์เพ่งสายตามองฝ่าความมืดออกไป บัดนี้ร่างตะคุ่มๆ ทั้งสองนั้นมิได้ปรากฏอยู่ในสายตาของเขาอีกแล้ว พลินทร์เดินกลับมาที่เตียง เปิดมุ้งเข้าไปแล้วเอนร่างลงบนเตียงช้าๆ ยาสี่เม็ดที่จ้าวศรีธรนำมาให้ยังคงวางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะข้างเตียงนั่นเอง บาดแผลก็ยังไม่เจ็บปวดจนถึงขั้นทนไม่ได้ เขาจะใช้ยาระงับปวดต่อเมื่อทนไม่ได้จริงๆ เสียก่อน ส่วนยานอนหลับนั้นเล่า คนอย่างพลินทร์ พงศ์ราช ไม่จำเป็นต้องใช้ยานอนหลับดอก เขาจะต้องไม่ยอมให้มีสิ่งใดมีอำนาจเหนือกำลังจิตของเขาได้ เขาจะต้องนอนหลับเมื่อเขาต้องการจะนอน ไม่จำเป็นต้องพึ่งยานอนหลับแม้แต่นิดเดียว
ในขณะเดียวกันนั้น ผดากับภิสัชยังหาได้ไปถึงเรื่องพักไม่ เขาทั้งสองยังคงนั่งอยู่บนซุงท่อนหนึ่ง ใกล้จะถึงเรือนพักนั่นเอง ภิสัชเป็นผู้ชวนให้ผดานั่งลง “คุยกันก่อน” ตามที่เขาว่า เมื่อเห็นผดาทำท่าลังเล เขาก็หัวเราะ ถามว่า “ทำไม กลัวจอมโจรสากัน หรือกลัวใครเขาจะมาว่า ว่ามานั่งคุยกับผมในที่มืดๆ สองต่อสอง”
ผดารู้ตัวดีว่านิสัย ของเธอเสีย อยู่อย่างหนึ่งตรงที่เชื่อใจตนเองมากเกินกว่าจะเเยแสในคำนินทาว่าร้ายอย่างใดทั้งสิ้น เมื่อภิสัชพูดเช่นนั้น เธอก็รุดกายนั่งลงห่างจากเขาพอสมควร เธอได้ยินเสียงชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อยู่ในคอ ภิสัชเองก็รู้จักใจเธอเช่นกัน
“คุณหายไปไหนมาตลอดเย็นนี้คะ ภิสัช”
“ผมไปด้อมๆ อยู่ในพวกคนงาน” ภิสัชตอบ “ได้ข่าวว่าคุณเป็นผู้ช่วยจ้าวศรีธรผ่าเอากระสุนออกจากบ่าคุณพลินทร์ไม่ใช่หรือ ผดา”
“ค่ะ” ผดาตอบ นึกถึงภาพอันน่าหวาดเสียวที่เกิดขึ้นใต้แสงตะเกียงเจ้าพายุอันสว่างไสวเมื่อตอนหัวค่ำแล้วยังอดใจคอวับๆ มิได้ “แหมใจคอสั่นหมดเลยดิฉัน พอเห็นเลือดเข้าเท่านั้นเกือบเป็นลม ต้องสะกดอกสะกดใจเสียแทบแย่”
“ทำไมถึงต้องสะกดใจ” ภิสัชว่า “ผู้หญิงกับเลือดน่ะใกล้กันไม่ได้ ใครๆ เขาก็รู้ดีอยู่แล้ว ถึงเป็นลมไป ก็คงจะไม่มีใครเขาว่าหรอกน่ะ”
“เป็นไม่ได้หรอกค่ะ” ผดาสั่นศีรษะ “ขายหน้านายพลินทร์แย่ แต่แหม ถ้าเขาร้องครวญครางออกมาสักหน่อยเดียวเท่านั้น ดิฉันก็เห็นจะเป็นลมเหมือนกัน”
ภิสัชหันหน้ามามองดูเธอ แต่เนื่องจาก ณ ที่นั้นมีแสงสว่างจากตะเกียงที่แขวนอยู่ตรง เสาหน้าระเบียงเรือนพักของเทอดสาดมาถึงแต่เพียงรางๆ สลัวๆ เท่านั้น ผดาจึงไม่อาจเห็นได้ว่าดวงตาของภิสัชในเวลานั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกอย่างใด แต่เสียงที่เขาพูดก็ยังคงเป็นปรกติเหมือนธรรมดาว่า
“นั่นซี ได้ยินจ้าวศรีฟ้าชมเปาะเทียวว่าคุณพลินทร์ช่างใจแข็งจริงๆ ไม่ร้องเลยสักแอะเดียว แต่ตัวจ้าวเองยังทนไม่ได้ ต้องเลี่ยงไปยืนเสียที่อื่น”
“จ้าวเป็นคนใจอ่อนค่ะ” ผดาว่า “ส่วนนายพลินทร์น่ะ จะใจแข็งจริงๆ หรือจะเป็นเพราะกลัวขายหน้าก็ไม่ทราบ ดิฉันกลัวเขาจะร้องก็เลยแกล้งว่าให้เจ็บใจเสียก่อน” ผดาพูดแล้วหัวเราะ ภิสัชยังคงมองฝ่าความมืดมายังเธออยู่ เมื่อเธอเล่าต่อไปว่า “แหม เนื้อยังงี้เต้นริกๆ เทียวค่ะ”
“ดูช่างสมเป็นพระเอกเสียจริงๆ เทียวนะนายพลินทร์คนนี้” ภิสัชว่า เสียงของเขาคล้ายจะมีหัวเราะปนอยู่ด้วย “เป็นพระเอก เป็นผู้กล้าหาญ เป็นสุภาพบุรุษ พร้อมทุกอย่างทีเดียว”
“นายพลินทร์น่ะหรือคะเป็นสุภาพบุรุษ” ผดาถามด้วยเสียงค่อนข้างแหลมพร้อมกับหัวเราะ “คุณเอาที่ไหนมาพูดคะภิสัช”
“เอาความจริงน่ะซีครับมาพูด” ภิสัชตอบในทันที “ถึงคุณเองก็ต้องยอมรับอยู่ว่ามันเป็นความจริง พลินทร์ได้รับบาดเจ็บคราวนี้ ไม่ใช่เพราะเขาวิ่งตามคุณออกไปดอกหรือ ถึงได้ถูกกระสุนเข้า”
“อาจจะเป็นการแสดงละครของเขาก็ได้” ผดาแย้งทั้งๆ ที่รู้สึกว่ามันไม่ตรงกับความจริงใจของเธอ เสียงภิสัชหัวเราะอยู่ในคอเมื่อเขาพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องนับว่าเขาใจกล้าพอดูที่จะเล่นละครกับกระสุนจริงๆ อย่างนี้”
“คนที่ไม่รู้จักไฟมักจะไม่กลัวไฟไหม้มือไม่ใช่หรือคะ”
“แต่คนๆ นั้นต้องไม่ใช่พลินทร์คนนี้”
“แหม ภิสัช” ผดาหัวเราะ “ทำไมวันนี้ถึงได้ทำตัวเหมือนจะเป็นทนายแก้ต่างให้นายพลินทร์นักคะ”
“เปล่าหรอก” ภิสัชตอบเรียบๆ “ผมเพียงแต่พูดไปตามที่ควรเท่านั้น เมื่อก่อนนี้ผมยอมรับว่าผมไม่ค่อยจะชอบเขาเหมือนกัน ผมคิดว่าเขาเป็นพวกผู้ดีหัวสูง ที่พูดด้วยเงินแต่เพียงอย่างเดียว ทำอะไรไม่เป็น เย่อหยิ่ง นึกว่าตัวเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่า สุภาพบุรุษที่แท้จริงนั้นเขาทำตัวกันอย่างไร”
“แล้วเดี๋ยวนี้เล่าคะ” ผดาพูดอย่างพยายามให้เห็นเป็นเรื่องขันมากกว่าจะตั้งใจจริงจัง ซึ่งตรงกันข้ามกับภิสัช เพราะเมื่อเขาตอบเธอนั้น เสียงของเขาเคร่งขรึมบอกถึงความจริงจังยิ่งนัก
“เดี๋ยวนี้ผมนึกถึงคุณพ่อ”
“ เอ๊ะ ทำไมไปนึกถึงคุณพ่อเล่าคะ” ผดาถามอย่างขันๆ และแปลกใจ
“เพราะคุณพ่อของผม ท่านเคยพูดถึงเสมอว่าคุณพลินทร์เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถเกินตัว แม้แต่ท่านเองก็ต้องยอมรับ”
“แต่ความสามารถของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับดิฉันหรอกค่ะ” ผดาตอบ “ดิฉันจำได้ก็แค่เรื่องราวที่เขาทำกับพัจนาเท่านั้นเอง นายพลินทร์อาจจะเป็นวีรบุรุษสำหรับคนอื่น แต่สำหรับดิฉันเขาก็ยังคงเป็นปีศาจร้ายตัวเดิมนั่นเอง”
แม้จะอยู่ในความมืด ผดาก็ยังรู้ได้ว่า ภิสัชกำลังจ้องมองเธออยู่อย่างเพ่งพินิจ ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเสียงต่ำๆ ของภิสัชก็เอ่ยขึ้นว่า
“ผมอยากให้ที่ตรงนี้มีแสงไฟสว่างเหลือเกิน”
“เอ๊ะ ทำไมคะ” ผดาถามอย่างแปลกใจ
“ผมจะได้เห็นหน้าคุณขณะที่พูดเช่นนี้น่ะซี”
“เอ๊ะ ทำไม….” ผดาชะงักคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อเริ่มเข้าใจความหมายของเขา เธอรู้สึกว่าผิวหน้าเริ่มร้อนนิดๆ เสียงแข็งขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวเมื่อพูดต่อไปว่า “คุณภิสัช ถ้าไม่อยากโกรธกันก็โปรดอย่าพูดอย่างนี้ต่อไปอีก”
“ผมไม่กลัวคุณโกรธดอกผดา” น้ำเสียงของเขามั่นคง บอกถึงความจริงใจอย่างเหลือเกิน ผมรู้ดีว่าคุณจะไม่โกรธผม เพราะคุณเข้าใจดีว่าผมไม่เคยหวังร้ายต่อคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำที่ผมพูด คุณก็รู้ดีว่าผมทำผมพูดด้วยความหวังดีทั้งสิ้น”
“คุณนี่สมเป็นทนายเหลือเกินนะคะภิสัช” ผดาไม่อาจที่จะทำใจขุ่นกับเขาต่อไปอีกได้ ภิสัชมิใช่คนชอบพูดพร่ำเพ้อเรื่อยเจื้อยอย่างหาสาระมิได้ ทุกสิ่งที่เขาพูด ผดารู้ดีว่าย่อมออกมาจากใจจริงทั้งสิ้น “บอกได้ไหมคะว่าทำไมถึงได้มาเป็นตำรวจ แทนที่จะเรียนกฎหมาย”
“นั่นซิ” ภิสัชเปลี่ยนเสียงเป็นสนุกสนานได้ในทันทีเหมือนกัน “คุณพ่อของผมเป็นทนาย แต่ท่านไม่อยากให้ผมเรียนกฎหมาย ท่านอยากจะให้ผมเป็นหมอ ถึงได้ตั้งชื่อให้ว่า ภิสัช แต่พอเอาจริงผมกลับไปเป็นตำรวจเสียนี่”
“ดีค่ะ เก่งกล้าแบบอัศวิน” ผดาผสมทำเสียงสนุกสนานไปกับเขาด้วย “แถมยังมีคารมคมคายอย่างหมอกฎหมายอย่างนี้ด้วย คุณจะได้ไม่ต้องจับผู้ร้ายด้วยปืน พูดเกลี้ยกล่อมสักพัก ผู้ร้ายก็คงจะยอมมอบตัวเป็นแถวๆ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี” ภิสัชพลอยเอออวยแล้ว ก็กลับย้อนมาพูดถึงเรื่องเก่าในทันทีนั้นเองว่า “แต่ว่าเรากำลังพูดถึงพลินทร์ พงศ์ราช ไม่ใช่หรือครับ ไม่ได้พูดถึงอัศวินคนไหน”
ผดานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “นี่ก็ผู้ร้ายเหมือนกันค่ะ ผู้ร้ายผู้ดีไงคะ เงียบๆ สุขุม แต่ว่าทำร้ายได้ลึกนัก”
“คุณยังพยายามยึดเรื่องพัจนาไว้อย่างเหนียวแน่นเทียวนะ” เสียงภิสัชหัวเราะอยู่ในคอ “ดูเหมือนจะพยายามยึดแน่นเสียยิ่งกว่าเมื่อตอนรู้เรื่องพัจนาใหม่ๆ เสียอีก”
“เอ๊ะ วันนี้ภิสัชเป็นอะไรไปคะ” ผดาพยายามที่จะจ้องให้เห็นหน้าเขา แม้รู้ว่าความมืดไม่ยอมอำนวยให้ “วันนี้ดิฉันเห็นคุณดื่มเบียร์เข้าไปเพียงขวดเล็กขวดเดียวที่โต๊ะอาหาร”
ภิสัชหัวเราะออกมาทันที “ทำไม” เขาถาม “นี่จะหาว่าผมเมาล่ะซี ถ้าอย่างงั้นก็เห็นจะต้องหยุดพูดถึงเรื่องนี้เสียก่อนที่จะเข้าตัวมากเกินไป เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า ผมอยากคุยกับเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายวันนี้”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย” ผดาทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่เราถูกดักยิง”
“อ๋อ มันก็เรื่องเก่าอีกแหละค่ะ” ผดาว่า และภิสัชก็ตอบออกมาในทันทีเช่นกันว่า
“จริงซี เรื่องเก่า ผมสงสัยว่าถ้าพวกนั้นยังไม่ยอมหยุดยิงแล้วป่านนี้พวกเราจะเป็นอย่างไร”
“ก็คงตายกันหมด” ผดาตอบพลางหัวเราะเบาๆ วันนี้เป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของเธอ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวใจหายใจคว่ำเช่นนี้มาก่อนเลย เสียงปืนที่ดังสนั่นลั่นหู และเสียงลูกปืนที่แล่นผ่านไปผ่านมายังคงฝังแน่นอยู่ในความจำของเธอ มันมีสภาพคล้ายครึ่งความฝันและครึ่งความจริง มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเธอจะไม่มีวันลืมเลย
“จริงซี คงตายกันหมด” ภิสัชคล้อยตาม “พวกของสากันไม่เคยไว้ชีวิตใครเลย”
“นี่คงเป็นความรู้ที่ได้มาจากการไปสำรวจ ตรวจตราตามพวกคนงานใช่ไหมคะ” ผดาถาม “งั้นก็โชคดีที่เขายอมไว้ชีวิตพวกเรา”
“จริงซี โชคดี” ภิสัชพึมพำ แล้วก็เปลี่ยนเสียงเป็นจริงจังขึ้นมาในทันที เมื่อถามเธอว่า “ทำไมเขาถึงได้ไว้ชีวิตเรา คุณรู้ไหม”
ผดางงในคำถามที่ได้รับในทันทีทันใดนั้นไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกว่า “คงเป็นเพราะเขาเห็นว่าเราไม่ใช่พวกเถ้าแก่กิมกระมังคะ”
“นั่นเป็นเพียงส่วนปลีกย่อย” ภิสัชพูดขรึมๆ “แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญกว่านั้น”
“อะไรคะ” ผดาซักอย่างสนใจ “ยังมีอะไรอีก”
ภิสัชนิ่งอึ้งไปคล้ายจะชั่งใจ แล้วผดาก็เกือบจะสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัวเมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดต่อไปอย่างชัดเจน เสียงของภิสัชดังก้องเข้าไปในโสตรประสาทของเธอในขณะนั้น และยังคงก้องอยู่ต่อมาอีกนานนักหนา
“สากันไว้ชีวิตพวกเราก็เพราะว่า” ภิสัชกล่าวอย่างหนักแน่นและจริงจังที่สุด “สากันรู้จักพลินทร์ พงศ์ราช”