หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 7

ข่าวที่พัจนาประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกนั้นแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว  แน่ละถึงแม้ว่าพัจนาไม่ใด้มีความสำคัญเท่าพลินทร์   แต่อย่างน้อย  เขาก็มีความสำคัญมากพอดูอยู่ในฐานะที่พลินทร์ ได้แสดงความมุ่งมั่นออกมา ว่า  พัจนาจะได้เป็นผู้นำของ พงศ์ราช ต่อไป   หากว่าไม่มีเขาและไม่มีทายาทโดยตรงจากเขา   วันรุ่งขึ้นเต็มไปด้วยเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่เรียกมาถามเขาและแสดงความเสียใจตลอดทั้งวัน   พลินทร์ เก็บตัวเงียบขรึมอยู่แต่ในห้อง ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอย่างไรและรู้สึกอย่างไร   นายชมคนใช้สนิทได้นำความไปปรารภกับภรรยาซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่ครัว  ขณะที่เก็บอาหารเช้าของประมุขของบ้านลงไปว่า

“คุณท่านเป็นอะไรก็ไม่รู้แม่สาย   เช้านี่ดื่มแต่กาแฟถ้วยเดียว  เมื่อวานนี้ก็แทบจะไม่ได้กินอะไรเลย”

“ก็จะให้ท่านเอาจิตใจที่ไหนมากินข้าวลง”     ภรรยาคู่ยากของเขากล่าวตอบ     “น้องของท่านเป็นไปอย่างนี้ทั้งคน”     หล่อนยกหลังมือขึ้นป้ายตาคร่ำครวญต่อไปว่า     “พุทโธ่ พุทถัง เอ๋ย   คุณพัจนา ยังเห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ แท้ๆ ทั้งหนุ่มทั้งแน่นไม่น่าจะอายุสั้นเลย”

“จุ๊ จุ๊ แม่สาย”     นายชมรีบโบกไม้โบกมือห้าม เหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่ก “อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไป ให้รู้แน่เสียก่อนว่าคุณพัจนาเป็นอะไรไปหรือเปล่า ประเดี๋ยวคุณท่านได้ยินเข้าจะหาว่าแช่งน้องท่าน”

สายรีบเช็ดน้ำตา กระซิบกระซาบถามว่า    “แล้วคุณท่านว่าอย่างไรบ้าง ท่านคิดว่าคุณพัจนาตายหรือไม่ตาย”

“ก็ไม่เห็นท่านว่าอย่างไรนี่”     นายชมตอบไปตามที่เขารู้สึก     “เห็นแต่ท่านนั่งขรึมอยู่อย่างเคย”

“เจ้าประคุณเอ๋ย   จะหาใครที่ใจแข็งประสาทแข็งเหมือนคุณใหญ่ เป็นไม่มีอีกแล้ว”     นางกล่าว     “ช่างเหมือนเจ้าคุณบนหิ้งไม่มีผิดกันเลย”

“ก็ท่านเป็นเจ้าคนนายคน   จะให้ท่านมาเอะอะโวยวายอย่างเรายังไงกันได้” นายชมแก้ แทนนายที่เขารักและภักดี     “แต่ว่าไม่ใช่ว่าท่านจะไม่เป็นห่วงคุณพัจนาหรอกนะ   เมื่อเช้านี้ฉันไปเอาที่เขี่ยบุหรี่ออกมาเท   เอ้อเฮอ   ก้นบุหรี่ยังงี้ล้นเลยทีเดียว   สงสัยว่าเมื่อคืนนี้ท่านคงจะไม่ได้นอนทั้งคืน”

“เออ   แล้วเมื่อวานนี้   คุณพี่นางของคุณพัจนามาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ได้ยินเสียงร้องไห้ตีโพยตีพายใหญ่โต”     นางสายว่า ทำท่าเหมือนจะค้อนควักใครสักคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในที่นั้น     “หมั่นใส้นัก ทีเมื่อก่อนนี้ละ ไม่เห็นเอาตาดูหูฟังว่าคุณพัจนาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ เหมือนลูกคนใช้ในบ้านก็ไม่ปาน   เดี๋ยวนี้ละจะมาทำรักใคร่ใยดีขึ้นมาทีเดียว บอกตรงๆ ว่าฉันละเกลียด ยายคุณพรทิพย์ ปากหวานก้นเปรี้ยวคนนี้”

“จุ๊ จุ๊”     นายชมรีบทำสัญญาณระวังภัยอีก     “ปากมีหู ประตูมีช่องนะแม่สาย เรามันเป็นเพียงคนใช้ นั่นท่านเป็นพี่กันน้องกัน   พูดไปดีไม่ดีเราจะลำบาก   ฉันไปละ   จะไปเตรียมเสื้อผ้าไว้เผื่อประเดี๋ยวคุณท่านจะออกไปไหน”

แต่เมื่อนายชมขึ้นไปถึงข้างบนนั้น   ยังไม่มีวี่แววเลยว่า  “คุณท่าน”     ของเขาจะออกไปข้างไหน  พลินทร์ ยังคงสวมเสื้อคลุมสำหรับใส่อยู่ในห้องนอน นั่งสูบบุหรี่เฉย อยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา   นายชมชำเลืองดูที่เขี่ยบุหรี่ ซึ่งเขาเพิ่งนำออกไปเทเมื่อเช้า   บัดนี้ได้มีก้นบุหรี่อยู่ในนั้นอีกเป็นจำนวนไม่น้อย

“คุณท่านสูบบุหรี่น่ากลัวเหลือเกิน”     นายชมคิดในใจขณะที่ถอยออกมาจากห้อง     “ท่านคิดอะไรของท่านกันนะ จึงได้สูบบุหรี่เป็นพายุบุแคมอย่างนั้นอยากรู้จริง”

พลินทร์กำลังคิดอะไรน่ะหรือ  ยากนักที่จะแจกแจงออกมาให้แจ่มแจ้งได้แม้แต่ตัวของเขาเอง สองคืนกับหนึ่งวันเต็ม ตั้งแต่เขาได้รู้ข่าวของพัจนา   ความรู้สึกนึกคิดของเขาดูช่างว้าวุ่น ปนเป กันไปหมด  จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร   รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งจิตใจและสมองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย   ในหูของเขาอื้ออึ้งไปด้วยเสียงพูดต่างๆ กัน นับตั้งแต่เสียงของพระนิตินัยบำรุง ซึ่งแจ้งข่าวร้ายของพัจนา  คำบอกเล่าของชัชและพระนิตินัยถึงสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินลำที่พัจนาโดยสารไปตก   มันมิได้เป็นอุบัติเหตุ หากแต่ว่ามันเป็นอาชญากรรมโดยเจตนาเลยทีเดียว

“คงต้องเป็นการกระทำของพวกพ่อเลี้ยงบุญอินแน่”     ชัชว่าเช่นนี้   พ่อเลี้ยงบุญอินคือคู่วิวาทของเถ้าแก่กิม   ทั้งสองฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความอาฆาตเกลียดชังกันถึงขนาดที่ต่างฝ่ายต่างยกพวกเข้าโจมตีทำลายชีวิตและทรัพย์สินของกันและกันอยู่เกือบตลอดเวลา    “พวกชาวบ้านป่าแถบนั้นบอกว่าได้ยินเสียงระเบิดก่อนที่จะได้ยินเสียงเครื่องบินตก   ทางการเขาสงสัยว่าอาจจะมีใครนำระเบิดเวลาไปซ่อนไว้ในเครื่องบิน”

ดูเถอะ   ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเก้าแก่กิมและพ่อเลี้ยงบุญอินมีความอาฆาตคอยจ้องจะล้างผลาญกันอยู่เช่นนี้ เขาก็ยังส่งพัจนาไปเชียงใหม่จนได้   คำพูดของพรทิพย์ผู้ซึ่งแต่งกายชุดสีดำร้องให้สะอึกสะอื้นมายังเทพสถิตตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อวานนี้ดังก้องขึ้นมาในหูอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อเขาทักพรทิพย์ว่าหล่อนมาแต่เช้า   หล่อนก็สะอึกสะอื้นใหญ่โตเมื่อตอบเขาว่า

“ก็ทำไมจะไม่ให้มาแต่เช้าล่ะ   น้องชายตกเครื่องบินตายทั้งคนจะให้เฉยได้อย่างไร”

“ใครบอกคุณพี่ครับว่าพัจนาตายแล้ว”     เขาได้ย้อนถามหล่อนไปเช่นนั้น  หล่อนก็ตอบสวนออกมาทันทีว่า

“จะต้องให้ใครมาบอก   ลงเครื่องบินตกละก้อ มีที่ไหนที่จะรอดตายบ้าง   พัจนาจะต้องตายแล้วแน่ๆ ทีเดียว”

“โธ่  คุณพี่อย่างเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิครับ”     พลินทร์ปลอบหล่อน   เขาพยายามคิดว่าพรทิพย์มีความเศร้าโศกอย่างจริงใจ   เพราะอย่างน้อยพัจนาก็เป็นน้องชายคนเดียวของหล่อนแม้จะต่างมารดากัน

“พัจนาอาจยังไม่เป็นอะไรก็ได้นะครับ”

“ตีตนไปก่อนไข้”     พรทิพยฺ์ส่งเสียงแหลมๆ พร้อมกับสะอึกสะอื้นยิ่งขึ้น “เจ้าประคุณเอ๋ย นี่น้องชายตกเรือบินตายทั้งคน คุณใหญ่จะให้นั่งร้องละครอยู่กับบ้านอย่างนั้นหรือคะ โธ่ คุณใหญ่นะคุณใหญ่ คุณแท้ๆ ที่ส่งพัจนาไปตาย”

พลินทร์ตกตะลึงไปในคำกล่าวหาอันฉกรรจ์นั้น   เขาร้องออกมาคำเดียวว่า “คุณพี่” แล้วก็นิ่งงันไป   รู้สึกเจ็บร้าวในอกจนเกินที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้

“จริงไหมล่ะ”     เสียงแหลมๆ ของพรทิพย์ดังต่อไปอย่างจงใจจะให้เขาบังเกิดความเจ็บช้ำยิ่งขึ้น     “เพราะพัจนาจะแต่งงานกับผู้หญิงที่คุณใหญ่ไม่ชอบ คุณใหญ่ถึงแกล้งใช้ให้มันไปเชียงใหม่เสีย   มันก็เลยไปตาย”     หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าคร่ำครวญต่อไปว่า “โธ่ พัจนา”

“คุณพี่”     พลินทร์พยายามบังคับเสียงให้เป็นปรกติ    “ขอได้โปรดเข้าใจเสียใหม่ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะส่งพัจนาไปตาย   จริงครับผมยอมรับว่าผมส่งพัจนาไปเชียงใหม่เพื่อจะหาทางขัดขวางการแต่งงานของเขา   ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไปนี้ก็ เพื่อป้องกันพงศ์ราชของเราให้พ้นจากความด่างพร้อย

“ก็ทำไมจะต้องให้มันไปเครื่องบิน”     พรทิพย์ไม่ยอมลดละ   ลองเป็นตัวคุณใหญ่เองซี   ถ้าคุณใหญ่กำลังจะแต่งงาน   คุณใหญ่จะยอมไปไหม ก็คงไม่ยอมช่ไหม”

พลินทร์มีความรู้สึกคล้ายกับว่าตัวของเขาจะได้สั่นสะท้านเพราะฤทธิ์โทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  เขาใช้ความพยายามในการที่จะอดกลั้นบังคับจิตใจอยู่นานกว่าจะสามารถพูดออกไปได้ว้า

“คุณพรทิพย์   ขอประทานโทษ  โปรดกลับไปเสียก่อนเถอะครับ เวลานี้ผมต้องการอยู่คนเดียว”

“โอ๊ย อย่ามาไล่เลยคุณใหญ่”     พรทิพย์ลุกขึ้นตีโพยตีพาย    “ฉันยังไม่กลับหรอกจนกว่าจะพูดกันให้รู้เรื่องเสียก่อน  พัจนามันเป็นเพียงญาติของคุณ   แต่มันเป็นน้องฉัน   ฉันมีหน้าที่จะต้องเอาใจใส่กับมันอีกอย่างหนึ่ง พัจนามันไม่ใช่ คนที่มีแต่ตัวนะคะ คุณใหญ่”

“อ๋อ”     พลินทร์จำได้ว่าเขาได้ใส่ความรู้สึกเยาะเย้ยและดูถูกดูแคลนลงไปในคำอุทานพยางค์เดียวนั้นอย่างเต็มที่     “ผมนึกว่าคุณพี่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนห่วงใยถึงพัจนาจริงๆ ที่แท้ก็หวงสมบัติของพัจนานี่เอง”     เขาหยุดเพื่อจะหัวเราะเยาะสำทับลงไปอีกวาระหนึ่ง     “อย่ากลัวเลยครับ   ขอให้รู้แน่ว่าพัจนาตายจริงเสียก่อนเท่านั้น   ผมจะจัดการมอบให้เรียบร้อยเลยทีเดียว พัจนาควรจะดีใจและภูมิใจมากที่มีพี่น้องอย่างนี้”

“คุณใหญ่”     พรทิพย์ทำท่าเหมือนถูกจี้ด้วยไฟ     “คุณใหญ่ไม่ต้องมาว่าแดกฉันนะ ฉันรู้ทันหรอก”

พลินทร์ชำเลืองตาดูหมิ่นแกมสังเวช บอกว่า     “ขอโทษครับ   คุณพี่กลับไปเสียก่อนดีกว่า   ไม่ต้องวิตกอะไรทั้งนั้น   ได้เรื่องอย่างไรผมจะให้คนไปบอกที่บ้าน”

“แต่.....”

“โปรดกลับไปก่อนครับ คุณพรทิพย์”     พลินทร์ขัดขึ้นอย่างเด็ดขาดก่อนที่พรทิพย์จะทันพูดต่อไปให้จบประโยค   เขาเดินตรงไปกดกริ่งสำหรับเรียกคนใช้ทันที   ในขณะเดียวกันนั้นเอง   นายชมก็เปิดประตูเข้ามาราวกับว่าได้เตรียมฟังสัญญาณเรียกตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้น   พลินท์ก้มศรีษะให้แก่ญาติของเขาเล็กน้อย เมื่อพูดว่า

“สวัสดีครับ   คุณพี่   แล้วผมจะให้คนไปส่งข่าวที่บ้าน”

พรทิพย์คว้ากระเป๋าใบใหญ่ที่วางไว้บนเก้าอี้มาถือด้วยอาการที่เกือบจะเป็นกระชาก สะบัดหน้ากลับ หันหลังเดินกระฟัดกระเฟียดเดินออกไปจากที่นั้นทันที   ครั้นประตูปิดลงพลินทร์ก็รู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาทั้งกายและใจ จนแทบจะทรงกายไว้ไม่ได้   ต้องถอยไปยึดขอบโต๊ะเป็นที่พิงร่างชั่วขณะ คำกล่าวหาของพรทิพย์ช่างร้ายกาจนัก   เขานั่นหรือตั้งใจส่งพัจนาไปตาย   โอ เป็นไปไม่ได้   เขาไม่เคยมีเจตนาที่เลวร้ายอย่างนั้นเลย  แม้กระนั้นคำพูดของพรทิพย์ก็ยังคงรบกวนทรมานเขาอยู่ตลอดคืน กระทั่งบัดนี้

นายชมเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเวลาใกล้จะสิบโมงเช้าเพื่อรายงานว่า ชัช เลขานุการประจำตัวของเขามา   ชัชได้รับคำสั่งให้เข้ามาพบ   พลินทร์ก็ก้าวเข้าไปใกล้ถามขึ้นอย่างใจร้อนซึ่งเป็นลักษณะที่ผิดปรกติวิสัยของชายผู้นี้

“ว่าไง คุณชัช   ได้ข่าวคืบหน้าว่ายังไงบ้าง”

“ข่าวไม่ค่อยจะดีครับ”     ชัชบอกไปตามตรง     “เขายังค้นหาเครื่องบินที่ตกไม่พบเพราะหมอกลงจัดเหลือเกิด   จะต้องคอยจนกว่าหมอกจะจางลงเสียก่อน”

“แล้วอีกสักเมื่อไหร่หมอกถึงจะจาง”     พลินทร์พูดอย่างหงุดหงิด ชัชถือว่าคำพูดประโยคนั้นมิได้เป็นคำถามที่พลินทร์เจาะจงถามเขา   และถึงพลินทร์จะถาม มันก็เหลือความสามารถที่เขาจะตอบได้  ชัชจึงนิ่งเสียมิได้พูดว่ากระไร   พลินทร์จุดบุหรี่สูบอีกตัวหนึ่ง พ่นควันยาวติดๆ กัน 3-4 ครั้ง

“นั่งลงก่อนซิ คุณชัช”     เขาพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชัชยังคงยืนอยู่ “สูบบุหรี่ซิ”

ชัชทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างเรียบร้อย แต่มิได้รับคำเชิญประการหลัง

พลินทร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ถามว่า     “เขาไม่รู้แม้กระทั่งที่ที่เครื่องบินตกเทียวรึ”

“ยังไม่ทราบเลยครับ”     ชัชตอบ พัจนาเป็นผู้ที่เขามีความสนิทสนมอยู่ด้วยไม่น้อยเช่นกัน   เพราะฉะนั้น เหตุร้ายที่กิดขึ้นแก่ชายหนุ่มผู้นี้จึงทำให้เขารู้สึกเศร้าสลดยิ่งนัก “ชาวป่าแถบนั้นบอกได้แต่ว่าได้ยินเสียงระเบิดขึ้นก่อน   สักครู่จึงมีเสียงดังเหมือนเสียงของใหญ่ๆ ตกลงมาปะทะกับต้นไม้ แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย”

“นี่เราจะต้องคอยอีกสักกี่วันถึงจะรู้เรื่อง”     พลินทร์ถามอย่างหงุดหงิด

“พวกที่ออกไปสำรวจพวกแรกต้องกลับออกมาเพราะหมอกลงจัดมากครับ”     ชัชอธิบายต่อ “ถ้าขืนคลำกันต่อไปอาจจะเกิดหลงป่ากันขึ้นได้   เขาจึงจะคอยให้หมอกจางลงเสียก่อนแล้วจะส่งคนออกไปอีก”

“ถ้าพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะต้องหนาวตายกันพอดี”     พลินทร์ว่า “หรือไม่ก็คงต้องอดอาหารตาย”     เขานิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วมองสบตาเลขานุการอย่างเคร่งขรึมกล่าวว่า “เอาอย่างนี้เถอะ คุณชัช”

“ครับ”     ชัชขยับตัว ตั้งท่าคอยรับฟัง

“ผมจะขึ้นไปเชียงใหม่เอง”

พลินทร์พูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งเลขานุการถึงกับอ้าปากค้าง เพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เป็นนายจ้างจะตัดสินใจเช่นนั้น     เมื่อรู้สึกตัว ชัช  ก็ละล่ำละลักค้านว่า

“ประทานโทษ   แต่มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยนี่ครับ ที่คุณพลินทร์จะต้องขึ้นไปเอง” ผมคิดว่าผมก็พอจะไปจัดการแทนคุณพลินทร์ได้”

“ผมเชื่อว่าคุณชัชจะจัดการแทนผมได้   แต่ว่าผมต้องการจะไปเอง”

ชัชถอนใจใหญ่   เขารู้จักนายจ้างดีพอที่จะรู้ว่า   ลงพลินทร์ได้ใช้น้ำเสียงเช่นนั้นแล้วละก็ป่วยการที่จะคัดค้านอย่างใดต่อไป

“ครับ”     ชัชรับคำอ่อยๆ แล้วตั้งคำถามต่อไปอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ถ้าคุณพลินทร์จะไปเชียงใหม่เสียแล้ว   ขอประทานโทษ   การหมั้นทางนี้เล่าครับ  พิธีหมั้นจะมีในวันที่ยี่สิบนี้จะทำอย่างไร”

พิธีหมั้นที่จะกระทำให้วันที่ยี่สิบ   เออ จริงซี   วันที่เขาจะได้ประกอบพิธีอันสูงส่งอันเป็นการประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าเขาและสิวิกาจะได้ร่วมชีวิตกันต่อไปในภายภาคหน้า สิวิกาผู้งามเฉิดโฉมเพียบพร้อมทั้งคุณสมบัติสามประการอย่างยากที่จะหาหญิงใดมาเปรียบเทียบได้ โอ สิวิกา   เขาปรารถนาและภาคภูมิใจยิ่งนักที่จะได้หล่อนเป็นเพชรประดับสกุลพงศ์ราช   สมควรละหรือที่เขาจะผัดผ่อนเลื่อนวาระที่แสนสำคัญนี้ไป แต่แล้วคำพูดที่เขาโต้ตอบกับพัจนาในยามวิกาล คืนก่อนที่พัจนาจะขึ้นเครื่องบินมรณะลำนั้นไปก็ดังก้องขึ้นมาในความคิดของเขาโดยฉับพลัน

“ผมกำลังจะแต่งงาน”     พัจนาร้องอุทธรณ์เมื่อได้รับคำสั่งให้เดินทางไปเชียงใหม่ เขาช่างเต็มไปด้วยความโกรธแม้ว่าจะได้พยายามระงับไว้เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว  มันก็ยังเหลือรอดออกมาให้พลินทร์สังเกตรู้ได้     “ถ้าหากว่าเป็นตัวคุณใหญ่เอง....”

พัจนาเผลอตัวพูดออกมาเช่นนั้น และพลินทร์ผู้ซึ่งเข้าใจดีว่าเขาจะพูดอะไร ต่อไป ก็ได้ขัดขึ้นมาเสียก่อนที่พัจนาจะพูดจบว่า

“อย่าเอาตัวเธอมาเปรียบกับฉัน   คนอย่างฉันไม่เคยเห็นแก่ความสุขของตัวเองมากกว่าหน้าที่เลย”

...คนอย่างฉันไม่เคยเห็นแก่ความสุขของตัวเองมากกว่าหน้าที่เลย...

เขาพูดออกไปแก่พัจนาเช่นนั้น  กระนี้แล้วเขาจะปล่อยให้พัจนามาหัวเราะเยาะเขาได้ในภายหลังเทียวหรือ

ดังนั้นคำทักของชัชจึงได้รับการตอบด้วยการพยักหน้า และคำพูดที่ว่า “การหมั้นต้องเลื่อนไป ผมต้องไปเชียงใหม่ด้วยตัวเอง”

“แล้วเรื่องคนงานป่าไม้ที่กำลังก่อหวอดนั้นเล่าครับ”

“ผมจะจัดการเอง   คุณเทิดคงจะช่วยผมได้   คุณช่วยผมแค่ว่าไปซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบินที่จะไปเชียงใหม่พรุ่งนี้มาให้ด้วยก็แล้วกัน”

“พรุ่งนี้  คุณพลินทร์จะไปพรุ่งนี้เลยเทียวหรือครับ”     ชัชกล่าวอย่างแปลกใจ

“ก็มีเหตุผลอะไรที่จะต้องล่าช้าเสียเวลาอยู่อีกต่อไปล่ะ”   พลินทร์ย้อนถาม   “ผมจะไปพรุ่งนี้แหละ   คุณช่วยโทรเลขไปที่คุ้มไศล  บอกให้จ้าวศรีฟ้าญาติของผมรู้ทีว่าผมจะไปพักที่นั่น   โทรเลขไปในนามของผมนะ ชัช”

“ครับ”   ชัชรับคำ    “แล้วไม่ต้องโทรเลขถึงคุณเทิดด้วยหรือครับ”

“เวลานี้คุณเทอดอาจจะอยู่ในป่า   คุณส่งโทรเลขไปที่ที่ทำงานในเมืองก็แล้วกัน สั่งให้เขาไปตามตัวคุณเทอดออกมาโดยเร็วที่สุดทันทีที่ได้รับโทรเลข   แต่ไม่ต้องบอกหรอกว่าผมจะไปถึงเมื่อไหร่  เดี๋ยวจะแห่กันไปรับ   ผมไม่ชอบ”

ท่านผู้หญิงพงศ์ราช รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้เห็นบุตรชายพาคนเข้าไปในห้องของท่านก่อนที่จะถึงเวลาน้ำชา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ทำมาก่อน   การพบปะกันระหว่างเขาและท่านดูเหมือนจะถูกจำกัดไว้แต่เฉพาะเวลาน้ำชาและเวลาเช้าบางวันก่อนที่เขาจะออกจากบ้านไปเท่านั้น นานทีจึงจะมีเวลาพิเศษเช่นนี้สักครั้งหนึ่ง   ท่านจึงอดที่จะรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจมิได้

“พ่อใหญ่ มีธุระอะไรหรือจ๊ะ   นี่ยังไม่ถึงเวลาน้ำชานี่นะ ยังอยู่อีกตั้งเกือบชั่วโมง”

ท่านเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาตั้งเรือนเล็กกะทัดรัด ทำเลียนรูปหนังสือมองดูวิจิตรและแปลกตาขึ้นมาดูเพื่อยืนยันความเข้าใจว่ามิได้ผิดพลาด   ในขณะที่บุตรชายของท่านเดินไปยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตั้งลงที่ข้างเตียง สุภาพสตรีชราเฝ้ามองดูการกระทำของเขาด้วยความสนใจและพิศวง

“ดูท่าทางเหมือนจะมีเรื่องสำคัญ”     ท่านเอ่ยขึ้นคล้ายรำพึง พลินทร์ซึ่งนั่งลงเรียบร้อยแล้วได้จับมือของท่านมากุมไว้ในมือของเขาอย่างอ่อนโยน แล้วจึงบอกว่า

“ผมจะไปเชียงใหม่พรุ่งนี้ครับ คุณแม่”

“จะไปเชียงใหม่พรุ่งนี้”     ท่านผู้หญิงทวนคำ ด้วยอาการแปลกใจมากกว่าตกใจ     “ไปทำไมกันจ๊ะ พ่อใหญ่ ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพัจนาแล้วหรือ”

“ก็เพราะว่ายังไม่ได้ข่าวอะไรเลยน่ะซีครับคุณแม่ผมถึงต้องไปเอง”     พลินทร์ถอนใจ “เขาว่าหมอกลงจัดมาก   ยังออกสำรวจป่าหาที่เครื่องบินตกไม่ได้   ผมทนรอคอยอยู่เฉยๆ ที่นี่ไม่ได้หรอกครับคุณแม่ ผมจะต้องทำอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นผมจะไม่สบายใจเลย”

“แม่เข้าใจ” มืออันแห้งเหี่ยวอีกข้างหนึ่งของท่านตบเบาๆ ลงบนมือของเขาอย่างกรุณาและรักใคร่ “แต่ว่าเรื่องที่จะไปหมั้นแม่สิวิกาเขานั่นล่ะจ๊ะ จะว่ายังไง มิต้องเลื่อนไปหรือลูก”

“ถ้าผมกลับมาไม่ทันก็จำเป็นจะต้องเลื่อนไปครับ”     พลินทร์ตอบ แม้จะได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว ก็ยังอดมิได้ที่จะถอนใจ

“แล้วทางแม่สิวิกา เขาจะไม่ว่าอะไรหรือจ๊ะ”     ท่านผู้หญิงแสดงความกังขา   พลินทร์มองตาสบตาท่าน   พูดด้วยเสียงที่มั่นคงแน่วแน่ว่า

“สิวิกาจะต้องเข้าใจครับคุณแม่   สิวิกาจะต้องเข้าใจดีว่าเขาจะต้องฝึกหัดใจให้พร้อม ไม่เฉพาะแต่เพื่อจะเป็นภรรยาของผมเท่านั้น   แต่เขายังจะต้องเป็นสุภาพสตรีคนที่หนึ่งของพงศ์ราชด้วย”

คำตอบของเขาทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับต้องถอนใจ     “แม่เชื่อว่าแม่สิวิกาคงจะเข้าใจ  แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็อยากจะเตือนพ่อใหญ่เอาไว้บ้าง ว่ายังไงๆ ละก็ ขอให้ลูกเห็นใจผู้หญิงเขาบ้าง เรื่องของการเข้าใจกับเรื่องของการทำใจน่ะ มันคนละเรื่องกันนะลูก แม่เคยรู้รสมาแล้ว แม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันดี”

พลินทร์มองสบตามารดา   ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพูดอย่างไม่แน่ใจว่า     “คุณแม่พูดคล้ายกับว่า....” เขาหยุดอย่างลังเลก่อนที่จะกล่าวต่อไป     “คล้ายกับว่าคุณแม่ไม่มีความสุขในการอยู่กับคุณพ่อ”

เขาหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการปฏิเสธอย่างแข็งขันในคำถามนั้น   แต่แล้วเขาก็กลับได้เห็นท่านก้มศีรษะรับอย่างสงบ เมื่อตอบว่า

“คนเราที่อยู่ด้วยกันโดยไม่มีความรักต่อกันนั้นจะมีความสุขไปได้อย่างไรเล่า ลูกเอ๋ย”

“คุณแม่”     พลินทร์ร้องออกมาได้เพียงคำเดียวแล้วก็นิ่งอั้นไป มือทั้งสองที่เกาะกุมมืออันเหี่ยวแห้งไว้นั้นคลายลงโดยไม่รู้ตัว ท่านผู้หญิงยิ้มเศร้าๆ

“แม่ไม่อยากจะบอกให้ลูกรู้”     ท่านกล่าวต่อไป     “อุตสาห์กล้ำกลืนเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลาหลายสิบปี เพราะกลัวว่าเมื่อลูกรู้เข้าแล้วลูกจะไม่สบายใจ   แต่เมื่อถึงเวลานี้ แม่คิดว่าสมควรที่ลูกจะได้รู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ลูกไม่เคยเข้าใจ”

“ยังมีอะไรอีกหรือครับคุณแม่ที่ผมยังไม่ทราบ ไม่เข้าใจ”

เสียงที่ถามนั้นช่างเต็มไปด้วยความทะนงเสียนี่กระไร ท่านผู้หญิงส่ายหน้าช้าๆ ยิ้มอย่างเอ็นดูระบายอยู่ทั่วดวงหน้า “ยังมีอีกหลายอย่างทีเดียวจ๊ะพ่อใหญ่   ที่ลูกยังไม่ข้าใจ  ประการที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกของผู้หญิง”

“คุณแม่หมายความถึงสิวิกา ?”

“แม่พูดถึงผู้หญิงทั่วไป   และเชื่อว่าแม่สิวิกาก็คงจะไม่มีข้อยกเว้นเป็นพิเศษในกรณีที่ต้องการจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนที่ตนรัก”

“คุณแม่คิดว่าสิวิกาจะไม่มีความสุขหรือครับถ้าจะแต่งงานกับผม”     พลินทร์ตั้งคำถามที่ริมฝีปากระบายไว้ด้วยรอยยิ้มนิดๆ คล้ายขบขัน แต่ที่หัวคิ้วก็ยังไม่วายทิ้งรอยที่บ่งบอกถึงความยุ่งยากใจไว้ด้วยเช่นกัน     “สิวิกายังจะต้องการอะไรอีก   ผมมีให้เขาทุกอย่างเท่าที่เขาต้องการ   เกียรติยศ   ความสุขสบาย   ความมีหน้ามีตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้หญิงปรารถนาจะได้เมื่อหล่อนจะแต่งงาน”

“ก็แล้วความรักเล่า     ลูกรักสิวิกาหรือเปล่าจ๊ะ พ่อใหญ่”

“ผมไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมากกว่าสิวิกาเลยครับคุณแม่   ผมคิดว่าผมรักเขา”

พลินทร์พูดโดยมิได้เสียเวลาขบคิดหรือลังเลใจแต่ประการใด   ต่อเมื่อพูดออกไปแล้ว เขาจึงหยุดคิดคล้ายจะสะดุดในคำพูดของตนเอง แล้วจึงพูดต่อช้าๆ อย่างจะใคร่ครวญไปด้วยในเวลาเดียวกัน

“แต่ความรักของผมไม่ได้เป็นอย่างที่เคยอ่านพบในหนังสือ หรือเคยเห็นมาในภาพยนตร์   เขาว่าความรักจะทำให้คนเราได้รับทั้งความทุกข์และความสุข   แต่ความรักของผมให้แต่ความภาคภูมิใจอย่างยิ่งแก่ผมแต่เพียงประการเดียวครับคุณแม่”

ท่านผู้หญิงถอนใจเบาๆ   ชายผู้นี้ แม้จะเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด เป็นสง่าน่าเกรงขามเพียงใดในสายตาของผู้อื่น แต่สำหรับท่านแล้ว เขาก็ยังเป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่งซึ่งยังอ่อนต่อความรอบรู้ชีวิตอีกมากมายหลายอย่างนัก   สายตาที่ท่านมองดูเขา จึงเต็มไปด้วยประกายแห่งความเอ็นดูและเมตตารักใคร่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อน”

“นั่นยังมิใช่ความรักอย่างที่คนเราพูดถึงดอกลูก”     ท่านว่า     “เพราะความรักจะไม่สะอาดถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่จืดชืดเย็นชาถึงเพียงนั้นเช่นกัน ความรักให้ทั้งความทุกข์และความสุข มัน....โอ”     ท่านหยุดพูด   หัวเราะคล้ายจะออกตัว “แก่เฒ่าแล้วยังจะมาพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ใครมาได้ยินเข้าคงจะนึกสังเวช   แต่ถึงอย่างไรแม่ก็อยากจะเตือนลูกว่าความรักสำคัญมากสำหรับชีวิตการครองเรือน.   แม่ไม่อยากให้ลูก และผู้หญิงที่มาเป็นภรรยาของลูกจะต้องหวานอมขมกลืนเข้าหากันจนตลอดชีวิต เหมือน....”

“เหมือนอย่างที่คุณแม่ และคุณพ่อ มีต่อกันใช่ไหมครับ”     พลินทร์พูดต่อเมื่อท่านหยุดชะงักไม่พูดต่อไป   เสียงของเขา แม้ว่าพยายามจะบังคับให้ราบเรียบเช่นปรกติ แม้กระนั้นก็ยังคงบ่งบอกถึงความสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง   ยากนักที่เขาจะรู้สึกเป็นปรกติอยู่ได้เมื่อได้ล่วงรู้ว่าภายใต้ผิวหน้าอันโอ่อ่า สูงส่งด้วยเกียรติ เป็นสง่าภาคภูมิน่าเกรงขามนั้น ที่แท้คือความขมขื่นแตกร้าวอย่างไม่อาจจะประสานกันได้สนิท

“คุณแม่ไม่รักคุณพ่อก็เพราะว่า....”

“เพราะว่าแม่มีคนรักของแม่อยู่แล้ว”     คราวนี้ท่านผู้หญิงเป็นผู้ต่อคำเสียเอง “และข้อสำคัญก็คือว่า คุณพ่อก็ไม่ได้รักแม่เหมือนกัน”

“เมื่อต่างคนต่างไม่รักกันแล้ว ทำไมจึงแต่งงานกันเล่าครับ   แต่งกันทำไม”

“แต่งทำไมน่ะหรือจ๊ะ”     ท่านผู้หญิงย้อนถามพลางหัวเราะ     “แต่งกันเพราะผู้ใหญ่เห็นว่าเรามีความเหมาะสมกันน่ะซี   แต่งเพราะว่าไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งคุณหญิงพงศ์ราชยิ่งไปกว่าแม่อีกแล้ว”

“คุณแม่”     ร้องได้คำเดียวแล้วพลินทร์ ก็นิ่งอั้นไป   มารดาของเขาพยักหน้าช้าๆ ดวงตาคู่ที่เริ่มขุ่นมัวเพราะความชรามองประสานกับดวงตาคู่ที่ยังเต็มไปด้วยความแข็งแรง   แต่บัดนี้เศร้าซึมไปด้วยถูกลดความภาคภูมิที่เคยมีอยู่เต็มเปี่ยมนั้นลง

“เพราะอย่างนั้นน่ะซีจ๊ะ   แม่ถึงได้อยากจะเตือนลูกเอาไว้   อยากจะให้ลูกแต่งงานกับผู้หญิงที่ลูกรักมากกว่าจะแต่งเพราะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเหมาะที่จะเป็นภรรยาของผู้นำของพงศ์ราชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

“แต่ผมก็ไม่เคยชอบใครเกินกว่าสิวิกาเลยครับ คุณแม่   ผมคิดว่าผมคงรักเขา และเชื่อว่าคงจะมีความสุขพอสมควรที่เดียวถ้าจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา”

คำตอบอันหนักแน่น มั่นคง   ของเขาทำให้ท่านผู้หญิงหัวเราะออกมาน้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ

“พ่อใหญ่นี่ช่างเหมือนคุณพ่อแท้ๆ”     ท่านว่า    “เอาเถอะ เมื่อลูกมั่นใจเช่นนั้นแม่ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว   ตกลงพรุ่งนี้เป็นอันว่าลูกจะไปเชียงใหม่แน่หรือจ๊ะ”

“ครับ”     พลินทร์รับคำ    “ผมจะไปพักอยู่กับจ้าวศรีฟ้า และสั่งให้เขาบุ๊คตั๋วเครื่องบินไว้

“ตายจริง พ่อใหญ่”     ท่านผู้หญิงยกมือขึ้นทาบอก     “นี่ลูกจะไปเครื่องบินหรือจ๊ะ”

พลินทร์เงยหน้าขึ้นมองดูท่านอย่างประหลาดใจ   รับคำเรียบๆ ว่า     “ครับ ผมจะไปเครื่องบิน”

ท่านฉวยเอามือของเขาไปกุมไว้เมื่อพูดว่า  “พ่อใหญ่ แม่ขอร้องอะไรสักอย่างหนึ่งได้ไหมจ๊ะ”

“อะไรครับ”

“แม่อยากจะขอไม่ให้พ่อใหญ่ไปเครื่องบิน”

“ทำไมเล่าครับ คุณแม่”     เขามองดูท่าน ด้วยความพิศวงและลำบากใจระคนกัน “ผมเคยไปไหนต่อไหนด้วยเครื่องบินบ่อยๆ ไป”

“แต่มันไม่เหมือนกันกับคราวนี้จ๊ะ   ไม่เหมือนในขณะที่พัจนา....”     เสียงของท่านขาดหายไปในลำคอ   ท่านยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นแตะขอบตาแล้วจึงพูดต่อไปว่า “แม่ขอร้องจ้ะพ่อใหญ่ เวลานี้แม่ก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพ่อใหญ่คนเดียว   แม่เหลือพ่อใหญ่คนเดียวจริงๆ”

“แต่คุณแม่ครับ”     พลินทร์ขัดขึ้นอย่างลำบากใจ     “ใครเขาจะคิดว่ายังไงเมื่อผมส่งพัจนาไป...”   เขาหยุดคำว่า ตาย  ไว้แค่ริมฝีปาก   “ผมส่งพัจนาไปทางเครื่องบิน จนกระทั่งเขาต้องมีอันเป็นไปอย่างนั้น แล้วตัวผมเองกลับไม่ยอมไป ใครๆ เขามิหาว่าผมเป็นไอ้หน้าขี้ขลาดหรือครับ”

“ไม่มีใครจะมารู้จักใจของเราได้ดีกว่าตัวเราดอกนะจ๊ะ พ่อใหญ่”     ท่านยกเหตุผลขึ้นกล่าว “ที่พ่อใหญ่จะไม่ไปเครื่องบินนี่น่ะไม่ใช่เพราะพ่อใหญ่ขี้ขลาด   แต่เป็นเพราะแม่ขอร้อง   แม่ไม่เคยของร้องอะไรพ่อใหญ่มาก่อนเลย   นี่เป็นการขอร้องครั้งแรก   พ่อใหญ่จะให้แม่ไม่ได้เทียวหรือจ๊ะ”

พลินทร์ก้มหน้า   ลำบากใจเกินกว่าที่จะบอกได้   ท่านผู้หญิงพูดต่อไป เสียงของท่านตอนนี้เริ่มจะสั่นเครือผิดปรกติที่เขาเคยได้ยิน

“ถ้าพ่อใหญ่สงสารแม่ ก็อย่าทำให้แม่ต้องทุรนทุรายทรมานใจเพราะห่วงใยเลย   พ่อใหญ่เป็นหลักสำคัญของพงศ์ราช   เป็นความชื่นใจอย่างเดียวที่แม่เหลืออยู่   สงสารแม่เถอะ   แม่เสียพ่อเล็กไปคนหนึ่งแล้ว   อย่าให้แม่ต้องเสียพ่อใหญ่ไปอีกคนหนึ่งเลย แม่ขอร้องเพียงเท่านี้ พ่อใหญ่จะให้แม่ไม่ได้เทียวหรือ”

แม่ขอร้องเท่านี้จะให้แม่ไม่ได้เทียวหรือ   ผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้ากล่าวแก่เขาเช่นนี้ เขาจะทำใจแข็งปฏิเสธได้ลงคอเทียวหรือ พลินทร์เม้มริมฝีปากแน่น   อำนาจของความกตัญญู ในบางครั้งก็สามารถที่จะบีบคั้นจิตใจให้ห่อเหี่ยวและอัดอั้นทรมานได้ถึงเพียงนี้เทียวหนอ

จบบทที่ 7