ผดาเอนหลังลงพิงกับลำต้นอันแข็งแรงใหญ่โตของต้นสักเหมือนอย่างจะทอดอารมณ์ แต่อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกในใจของเธอในขณะนั้นช่างว้าวุ่นยิ่งนัก เพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึงเดือนมานี้ ได้มีเหตุการณ์บังเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเธอมากมายหลายอย่างแทบจะไม่น่าเชื่อทีเดียว มันเกิดขึ้นรวดเร็วแสนจะแปลกประหลาด ไม่น่าจะเชื่อว่าจะเป็นความจริงไปได้เลย
เธอเกือบจะไม่เชื่อ ว่า เมื่อวานนี้เอง ที่เธอได้ไปพบกับพัจนา พัจนาผู้ที่เธอคิดและเชื่อว่าได้ตายไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เธอได้ถูกต้องตัวเขา และเขาก็ได้สัมผัสเคล้าเคลียอยู่กับมือของเธอ สภาพของพัจนาที่เธอได้พบเห็นเมื่อวานนี้ทำให้ผดาต้องนอนลืมตาตื่นอยู่เกือบตลอดทั้งคืน โอ้ นั่นหรือคือพัจนาผู้เคยมีรูปร่างที่ถึงจะไม่งดงามมากมายนัก แต่ก็แข็งแรงเต็มไปด้วยเสน่ห์ของชายในวัยหนุ่มฉกรรจ์ พัจนาผู้ซึ่งถึงแม้จะต้องทุกข์ระทมขมขื่นเพราะถูกบีบคั้นจิตใจด้วยสิ่งอันเรียกว่าชาติตระกูล แต่ก็ด้วยชาติตระกูลนั้นแล้วที่สรรค์สร้างกิริยามารยาทอันเหมาะเจาะน่าดูให้แก่เขา แต่พัจนาภายในกระท่อมกลางป่าหลังนั้นช่างน่าสงสารน่าสมเพชเวทนาเสียนี่กระไร
เสียงฝีเท้าย่ำมาเบาๆ แล้วก็มีเสียงดังขึ้นว่า “หนีมานั่งที่นี่อีกแล้วหรือ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของ พลินทร์ พงศ์ราช
ผดาหันไปมองดู ก่อนที่จะทันตอบ เจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาใกล้ ถามต่อไปว่า “กำลังเพลินเทียว ดูอะไรเพลิน หรือว่าคิดอะไรเพลิน”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างค่ะ” ผดาตอบอย่างเรียบร้อย “ดิฉันกำลังฟังเพลินต่างหากเล่าคะ แน่ะ ฟังซิคะ” หญิงสาวยกมือชี้ขึ้นไปข้างบน เอียงคอน้อยๆ ตามองดูเขาเป็นการชวนให้ทำตามที่เธอบอก “เสียงนกมันร้องเรียกกัน ได้ยินไหมคะ”
พลินทร์มิได้ทำตามที่หญิงสาวบอก เขามองเธอยิ้มๆ แล้วพูดว่า “เธอไม่เพียงแต่จะฟังอยู่อย่างเดียวดอก ผดา แต่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่ด้วย”
“คุณพลินทร์” ผดาเรียกชื่อเขา รู้สึกว่าใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นอีกแล้ว “ดิฉันรู้สึกว่าคุณชอบทำตนเป็นคนช่างทายใจคนอื่นเสียจริงๆ นะคะ”
“อาจจะเป็นจริงอย่างที่เธอว่าก็ได้” เขารับแต่โดยดี “ฉันควรจะเตือนตัวเองไว้เสมอว่าไม่มีใครดอกที่จะชอบให้คนอื่นมาล่วงรู้ความในใจของตน เอ้อ นี่เธอจะไม่ชวนให้ฉันนั่งลงก่อนหรือ”
ผดามองดูเขาอย่างชั่งใจ แล้วจึงตอบว่า “ก็ได้ค่ะ เชิญนั่งซิคะ ถ้าคุณต้องการ”
ดูเหมือนเขาจะซ่อนยิ้มน้อยๆ ไว้ในหน้าขณะที่หย่อนกายลงนั่งห่างออกไปจากเธอพอควร แล้วทันใดนั้น เขาก็ตั้งคำถามเอากับเธออย่างปุบปับว่า
“ผดา เธอยังตั้งใจที่จะไปค้นหาพัจนาต่อไปหรือเปล่า”
“เอ๊ะ” ผดาหันไปจ้องมองดูเขาเต็มตา “นี่ภิสัชยังไม่ได้บอกคุณพลินทร์ดอกหรือคะ”
“เอ๊ะ” คราวนี้พลินทร์กลับเป็นฝ่ายที่ต้องแปลกใจบ้าง “บอกเรื่องอะไรกัน เธอคิดว่าภิสัชมีเรื่องอะไรที่จะบอกกับฉัน”
“ก็เรื่องพัจนา” ผดาพูดโพล่งออกไปเมื่อคิดตกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดบังความจริงในเรื่องพัจนาไว้ ในเมื่อถึงอย่างไร พลินทร์ก็จะต้องรู้อยู่วันยังค่ำ “พัจนายังไม่ตาย ดอกค่ะ ดิฉันพบกับเขาแล้วเมื่อวานนี้ ภิสัชเป็นคนพาไป”
เธอพูดอย่างรวดเร็วจนกระทั่งรู้สึกว่าทำให้เขาถึงกับงุนงงไป พลินทร์จ้องมองดูเธอตาเขม็ง
“เธอว่าภิสัชเป็นคนพาเธอไปพบกับพัจนาหรือ ไปพบกันที่ไหน ทำไมเขาไม่บอกฉันว่าเขาพบพัจนาแล้ว ทำไมเขาถึงได้แอบพาเธอไปพบกับพัจนาเพียงคนเดียว”
คำถามที่เขาระดมใส่เธอนั้นล้วนแต่ทำให้ผดารู้สึกลำบากใจเกินกว่าที่จะตอบออกมาได้ในทันที ขณะที่หญิงสาวยังลังเลใจค้นหาคำตอบอยู่นั้น พลินทร์ก็ถามต่อไปว่า
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเธอถึงไม่พาเขากลับมาพร้อมกับเธอด้วย”
คำถามนี้ก็อีกที่เธอตอบไม่ได้ ผดาจึงเลือกตอบแต่ว่า “พัจนาได้รับบาดเจ็บหลายแห่งด้วยกันค่ะ แต่ว่าปลอดภัยแล้ว”
“ทำไมเธอและภิสัชจึงไม่พาเขากลับมาด้วย”
พลินทร์ถามซ้ำ จ้องมองดูเธออย่างบังคับให้ตอบ ผดาอ้ำอึ้ง และในทันใดนั้นราวกับว่าโชคจะช่วยให้เธอพ้นจากภาวะอันแสนจะอึดอัดใจนี้ เสียงหนึ่งก็ดังแหวกอากาศสะท้อนมาตามต้นไม้
“คุณผดาคร้าบ อยู่ไหน มีคนมาหาคร้าบ” เสียงนั้นเป็นเสียงของจ้าวศรีธร
ผดาผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาเป็นประกายเมื่อบอกว่า “พัจนามาค่ะ คุณพลินทร์ ต้องเป็นพัจนาแน่ๆ ทีเดียว”
หญิงสาวหมุนตัวกลับและออกเดินจะเกือบเป็นวิ่ง อารามรีบ ทำให้เธอมองไม่เห็นรากไม้ที่ผุดขึ้นมาเหนือพื้นดิน ปลายเท้าจึงเตะเอารากไม้นั้นเข้าโดยแรงจนทำให้เสียหลัก เซถลาหกล้มลงไปนั่ง ข้อเท้าปวดแปลบขึ้นมาทันที
พลินทร์กระโดดครั้งเดียวก็เข้าถึงตัวหญิงสาว เขาร้องอย่างตกใจและเป็นห่วง “ผดา..! โธ่ ก็ไม่ควรจะวิ่งนี่นา ไหนเป็นอย่างไรบ้าง”
ผดาใช้มือลูบคลำข้อเท้าอย่างเจ็บปวด “ข้อเท้าดิฉันคงจะแพลงเสียแล้ว”
และก่อนที่เธอจะรู้ตัว ชายหนุ่มก็จับเท้าข้างที่แพลงนั้นขึ้น ถอดรองเท้าออก และก้มลงมองดูเท้าที่เปลือยเปล่าข้างนั้น การกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ผดาไม่เคยคาดฝันมาก่อน มันถึงกับทำให้เธอ ตกตะลึงพรึงเพริดไป และเมื่อพลินทร์เงยหน้าขึ้นจากการสำรวจดูรอยบาดเจ็บที่ข้อเท้าอวบอูมกลมกลึงข้างนั้น ก็ได้ประสานสายตาเข้ากับดวงตาคู่ที่เบิกกว้างจ้องมองดูเขาอย่างตกใจและงงงวยเป็นที่สุด ราวกับนัยน์ตาของเด็กที่เต็มไปด้วยความพิศวงสงสัยไม่แน่ใจ ราวกับว่าโลกจะได้หยุดหมุนไปชั่วครู่ ขณะที่ดวงตาสองคู่จ้องมองกันอยู่อย่างลืมตัว ลืมทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จะไม่ลืมอยู่ก็แต่ความรู้สึกอันประหลาดล้ำที่อุบัติขึ้นในดวงใจของเขาเท่านั้น และด้วยลักษณะอาการดังกล่าวนี้เองที่บุรุษอีกสองนายมาพบเข้าพอดี
ผดาเป็นผู้เหลือบไปเห็นผู้ที่เพิ่งมาถึงเข้าก่อน เธอจึงพูดขึ้นเป็นเชิงบอกแก่คนที่อยู่ด้วยนั้นว่า “นั่นแน่ะค่ะ จ้าวศรีธรเข้ามาตามแล้ว ท่าจะ...”
คำพูดของเธอขาดหายไปในคอเมื่อมองเห็นผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังของจ้าวศรีธรถนัด พลินทร์ค่อยๆ วางเท้าของเธอลงแล้วก็ลุกขึ้นยืน หันไปทางคนทั้งสองอย่างเชื่องช้า
ขณะนั้นเอง ที่บุคลิกโดยเฉพาะของพลินทร์ พงศ์ราช ได้ประจักษ์แก่สายตาของผดาเป็นครั้งแรก
พลินทร์ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ แม้เมื่อเขามองเห็นพัจนาประจักษ์แก่ตาแล้ว ร่างสูงตรง ไหล่กว้างและดวงหน้าสงบ มันเป็นการสงบระงับอารมณ์อย่างดีเลิศจนกระทั่งผดาแทบจะไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดสามารถทำเช่นนั้นได้ การต้อนรับที่เขาให้แก่พัจนา แม้ว่าจะชาเย็นจนเกินไป แต่ก็เป็นความชาเย็นที่เต็มไปด้วยความสง่าภาคภูมิอย่างที่ไม่มีผู้ใดอาจจะทำได้เท่าเทียมเลย
อีกสิบนาทีต่อมา ผดาก็ได้กลับไปนั่งแช่เท้าข้างที่เจ็บนั้นในอ่างน้ำร้อนที่ระเบียงบ้านพักหลังใหญ่ จ้าวศรีธรนั่งขัดสมาธิอยู่แทบเท้าของเธอ เตรียมพร้อมที่จะนวดและพันผ้าให้ เขาบอกว่า
“มาป่าคราวนี้มีประโยชน์เหลือเกิน ผมได้ทำหน้าที่หมอเสียช่ำใจทีเดียว”
ห่างออกไปเล็กน้อย พลินทร์ พัจนา จ้าวศรีฟ้า เทอด และภิสัช นั่งล้อมวงกันอยู่ พัจนา กำลังเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา ตอนหนึ่ง ผดาได้ยินเสียงเขากล่าวอย่างชัดเจนว่า
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะสากันช่วยเอาไว้ ป่านนี้ผมก็คงไม่มีโอกาสได้มานั่งเล่าอยู่อย่างนี้ดอกครับ”
“คุณจะกรุณาให้ความสว่างในเรื่องที่ลูกชายเถ้าแก่กิมถูกยิงหน่อยได้ไหม” ภิสัจถาม ผดามองดูหน้าพัจนาเมื่อได้ยินเขาตอบว่า
“ดูเหมือนผมจะบอกกับคุณภิสัช แล้วว่าสากันเป็นคนยิง และพรานส่วยเป็นคนเห็นเหตุการณ์นี้ด้วย” เขาหันไปทางพลินทร์ เสียงของเขาดูเหมือนจะเป็นอ้อนวอนอย่างประหลาด เมื่อพูดว่า “แต่คุณใหญ่ครับ สากันไม่ได้ยิงคนๆ นั้น เพราะความเหี้ยมโหดเลย เป็นความจริง สากันฆ่าเขาเพราะความสงสาร ฆ่าเพราะความกรุณา”
ฆ่าเพราะความกรุณา... เธอได้ยินคำพูดประโยคนี้มาจากที่ใดหนอ... ผดาคิด
“ความจริงที่ว่าสากันมิได้ฆ่าลูกชายเถ้าแก่กิมด้วยความเหี้ยมโหด แต่เป็นความกรุณานี่น่ะ จำเป็นที่คุณพลินทร์ จะต้องทราบนักเทียวหรือครับ คุณพัจนา” ภิสัชถามด้วยเสียงประหลาด และก่อนที่ใครจะทันแสดงความคิดเห็นออกมา นายตำรวจหนุ่มก็กล่าวต่อไปโดยเร็วว่า “คุณอยู่ด้วยหรือเปล่า ตอนที่สากันยิงคนคนนั้น”
“ผมไม่ได้เห็น แต่ผมก็อยู่ในที่ใกล้ๆ กันนั้น และทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด” พัจนาตอบ “ตอนที่เครื่องบินเกิดระเบิดขึ้นมาและปักหัวลงสู่พื้นดินนั้น ผมหมดสติไป เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้เห็นว่าตัวเองนอนอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเพ่นพ่าน เต็มไปหมด เกือบทั้งบริเวณนั้น คนเหล่านั้นพูดภาษาพื้นเมืองและมีอาวุธปืนครบมือ ต่อมาผมจึงได้ทราบว่าคนเหล่านั้นคือสมุนของสากัน”
“ในตอนนั้นคุณรู้เรื่องสากันดีแล้วหรือ” ภิสัชซัก พัจนาตอบว่า
“ยังเลย ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียด้วยซ้ำ อย่างเดียวที่ผมรู้ก็คือความเจ็บปวดจนแทบชีวิตจะออกจากร่าง ผมยังสงสัยอยู่จนบัดนี้ว่า ทำไมผมจึงไม่ตายเสียในขณะนั้น” คำพูดของเขาประโยคหลังนี้ทำให้ผดาต้องเหลือบตาไปดูโดยมิได้ตั้งใจ ก็ได้เห็นว่าเขาก็มองมาที่เธอเช่นเดียวกัน ดวงตาของเขาช่างเศร้าสร้อยและปวดร้าวอะไรเช่นนั้น
“ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อค่อยชาชินเข้ากับความเจ็บปวดอย่างสาหัส และได้ยินเสียงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทางหัวผมพูดกับเพื่อนของมันว่า “ไอ้ใจปลาซิวนั่นร้องหนวกหูจริงวะ ให้ตายโหง”
“ก็จะไม่ให้มันร้องได้ยังไง” เพื่อนมันตอบ “แขนมันหักละเอียดทั้งสองข้าง กระดูกที่ขาก็ทะลุออกมานอกเนื้อ แล้วยังแผลตามเนื้อตามตัวอีกล่ะ เป็นเอ็งก็เถอะ ถ้าเอ็งโดนเข้ายังงี้แล้วไม่ร้องก็ค่อยมาเตะข้าซิ”
“ข้าไม่มีวันที่จะเป็นอย่างนี้หรอกวะ เพราะชาตินี้ทั้งชาติข้าคงไม่มีวาสนาได้ขึ้นเรือบินแบบเขาเป็นแน่”
นั่นแหละครับ ผมจึงได้รู้ว่านอกจากผมแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่จากอุบัติเหตุเครื่องบินตก แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร สักครู่ ผมก็ได้ยินเสียงมันบอกแก่กันว่า
“นั่นแน่ะ นายมานั่นแล้ว อยากรู้จริงว่าเขาจะทำอย่างไรกับมัน”
อีกอึดใจเดียวต่อมา ผมก็ได้เห็นคนคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เหนือร่างของผม คนคนนั้นมีหน้าตาที่รกรุงรังไปด้วยหนวดเครา และคนนี้เองที่เป็นผู้ช่วยชีวิตของผมไว้”
“สากัน” หลายเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน
“ครับ ถูกแล้ว สากัน” พัจนาก้มศีรษะรับ