หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 30

จี๊ปกลางสองคันของค่ายป่าไม้พงศ์ราช ซึ่งบรรทุกตำรวจและอาวุธครบมือ ได้แล่นออกไปจากค่ายอย่างรวดเร็ว โดยมีพลตำรวจผู้ผจญกับพวกของสากันเข้าโดยบังเอิญเป็นผู้นำทาง   อากาศเริ่มมืดมัวลงทุกขณะ   ทุกคนจับอาวุธคู่มือไว้อย่างแน่นกระชับ   ดวงตาสอดส่ายอย่างระแวดระวังภัยตลอดทางที่รถแล่นผ่านไป   แต่ป่าทั้งป่าก็ดูเหมือนจะตั้งอยู่ในความสงบเป็นปรกติ   นานๆ จึงจะมีสัตว์ป่าบางตัวตื่นเสียงรถวิ่งเตลิดหนีสวบสาบไป

หลังจากที่รถวิ่งมานานประมาณยี่สิบนาที ทางก็เริ่มขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ   หนักเข้าบางตอนก็มีพืชล้มลุกขึ้นรกกั้นทางอยู่   ร้อนถึงตำรวจต้องลงไปถากถางทำทางให้รถแล่น   ทางเริ่มแคบเข้าทุกที   และในที่สุดก็หมดหนทางที่รถจะวิ่งได้ต่อไป   ภิสัชจึงสั่งให้ตำรวจทั้งหมดลงจากรถ และเดินต่อไปโดยอาศัยเครื่องหมายที่พลตำรวจผู้นั้นทำไว้   แต่ระวังที่จะไม่เคลื่อนไปในทางตรง   การเคลื่อนนั้นทำแบบกระจายออกไป   มีกองระวังหน้าเดินนำไปก่อน   เสียงรองเท้าที่บุกสวบสาบไปนั้นดูเหมือนจะดังน้อยกว่าเสียงเต้นของหัวใจของแต่ละคนเสียด้วยซ้ำ

ใกล้ค่ำ ทั้งหมดก็มาทะลุออกยังที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง   โดยทันทีทันใด ภิสัชก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนต่อไป

“สารวัตรครับ”   นายร้อยตรีผู้หนึ่งซึ่งตามติด เข้ามากระซิบด้วยเสียงตื่นเต้น   “นั่นกระท่อมนี่ครับ”

“ให้ทุกคนหลบเข้ากำบังหลังต้นไม้เร็ว”   ภิสัชสั่ง

“ทุกคนหลบเข้าบังหลังต้นไม้”   เสียงทวนคำสั่งเบาๆ ดังต่อๆ กันไป   เพียงชั่วอึดใจเดียวป่าทั้งป่าก็เงียบสนิทไปในฉับพลัน   ดวงตาหลายสิบคู่เพ่งเขม็งออกมาจากหลังที่ซ่อนตัว ในขณะที่อาวุธคู่มือถูกกระชับไว้แน่นพร้อมที่จะใช้การได้ทุกเมื่อ   ทุกคนกำลังรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา   ในขณะเดียวกันนั้นก็คอยอยู่อย่างอกใจเต้นระทึกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ภิสัชจับตาดูภาพกระท่อมเบื้องหน้า ตาแทบไม่กระพริบ แล้วก็มองสำรวจไปรอบๆ   ตรงหน้าเขาออกไปนั้นคือที่ราบโล่งเกือบจะเป็นวงกลม มีเนื้อที่ไม่เกินกว่าหนึ่งไร่ และเห็นได้ชัดว่ามิได้เป็นไปเองตามธรรมชาติ   หากแต่เกิดขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์สร้างสรรค์   ด้วยยังมีตอไม้ที่ถูกโค่นค้างอยู่หลายตอด้วยกัน   ตัวกระท่อมนั้นอยู่เกือบชิดกับป่าด้านหนึ่ง   คือหลังกระท่อมอยู่ห่างจากป่าออกมาเพียงไม่กี่สิบก้าว   เขากะว่าอยู่ในราวยี่สิบก้าวเท่านั้น

ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในสภาพเงียบสงัด... สงัดและวังเวงราวกับว่าไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่เลยแม้สักชีวิตเดียว

“คุณพาพรรคพวกอ้อมไปทางด้านตรงข้ามโน่นสักหกคน”   ภิสัชออกคำสั่งแก่นายร้อยตรี   “ผมจะพาอีกสาม คนอ้อมไปทางหลังบ้าน   นอกจากนั้นให้ซ่อนอยู่เงียบๆ ก่อน   คอยจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากฉัน เข้าใจไหม   เล็งปืนไปที่ประตู   ฉันจะบุกเข้าไป พวกเธอคอยยิงป้องกันไว้ด้วย”

เมื่อเห็นว่า ทุกคนเข้าใจในคำสั่งดีแล้ว เขาก็ให้สัญญาณให้นายร้อยตรีทำตามคำสั่ง   ขณะที่พวกนั้นค่อยๆ คลานอ้อมไปยังด้านตรงข้าม ภิสัชกับตำรวจอีกสามคนก็อ้อมไปทางด้านหลัง     ที่คิดว่าอาจจะพบพวกของสากันซุ่มซ่อนคอยโจมตีกระหนาบเข้ามาและล่อให้ไปจนมุมที่กระท่อมนั้นผิดพลาดไป เมื่อเขาพบว่ามิได้มีวี่แววว่าจะมีผู้ใดซุ่มซ่อนอยู่แม้แต่คนเดียว   กระท่อมหลังนั้นยังคงเงียบสนิทราวกับกระท่อมร้าง   ภิสัชตัดสินใจในทันทีทันใด

“วิ่งตรงไปที่กระท่อมเร็ว”   เขาร้องสั่งแก่ลูกน้อง พร้อมกันนั้นก็ออกวิ่งนำหน้าตรงไปที่กระท่อม   ใช้เท้าถีบประตูกระท่อมออกโดยแรงแล้วเบี่ยงตัวหลบที่ข้างประตู

“สารวัตรครับ”   เสียงดังแผ่วๆ ออกมาจากข้างใน

ภิสัชก้าวเข้าไปอย่างระวังตัว   ในกระท่อมนั้นหาได้มีพวกของสากันอยู่แม้แต่คนเดียวไม่   คงมีแต่ร่างๆ หนึ่งซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นดินตรงมุมขวา   ดวงตาของคนผู้นั้นขณะที่มองขึ้นมาสบตาภิสัชเต็มไปด้วยความปิติยิ่งนัก   เขาคือสิบตำรวจโทผู้ที่ออกมาดูลาดเลาและเจอเข้ากับสากันนั่นเอง

“นี่พวกของสากันไปไหนกันหมดล่ะ”   ภิสัชถามขณะที่คุกเข่าลงข้างร่างของจ่าคำ   “มันจับจ่ามาไม่ใช่หรือ”

“มันไปกันหมดแล้วครับ สารวัตร”   จ่าตำรวจผู้ได้รับบาดเจ็บบอก   “แต่มันมีอะไรแปลกอยู่อย่างหนึ่งครับสารวัตร”

“มีอะไรแปลกหรือ ลองบอกไปซิ”

“เจ้าโจรคนนั้นครับ”   จ่าคำเล่า   “คนที่ไว้หนวดไว้เคราดกดำนั่น มันสะกดรอยตามไอ้ผันไป   ผมว่ามันต้องรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน   เพราะพอมันกลับเข้ามา มันก็เข้ามาหาผมแล้วคำรามใส่ผมว่า   ไอ้พวกตำรวจ แกมันหาเรื่องให้พวกป่าไม้พงศ์ราชแท้ๆ   แกรู้ไหมว่าถ้าพวกข้ารู้ว่ามีตำรวจมาซุ่มอยู่คอยจะเล่นงานเราที่ป่าไม้พงศ์ราชละก็ ที่นั่นจะเป็นยังไง”

“มันว่าอย่างนั้นหรือ”   ภิสัชขมวดคิ้ว   “แปลกมาก แล้วไงต่อไป”

“แล้วมันก็ออกไป   ผมได้ยินเสียงเพื่อนของมันถามว่า ผมเป็นคนของใคร   มันกลับบอกว่าผมและไอ้ผันเป็นคนที่ทางเถ้าแก่กิมใช้ให้มาสอดแนม”

“โจรคนนั้น เธอว่ามันไว้หนวดไว้เครารุงรังเรอะ จ่า”   ภิสัชซัก   เขาเชื่อว่าต้องเป็นสากันแน่ๆ   และเขาคาดไม่ผิดเลย   สากันไหวตัวตามพลตํารวจผันไปจริงๆ อย่างที่เขาคิด   แต่จากคำบอกเล่าของจ่าคำ ที่ว่าสากันบอกแก่พรรคพวกว่าจ่าคำและผันเป็นคนของเถ้าแก่กิมนั้นเพื่อความประสงค์อะไร   เขาสงสัยนัก   ภิสัชหวนกลับไปนึกถึงวันที่ถูกสากันโจมตีเป็นครั้งแรกและล่าถอยไปเมื่อเห็นพลินทร์อีก   จะเป็นไปได้ไหมที่สากันแกล้งบอกพรรคพวกอย่างบิดเบือนความจริงไปเสียเช่นนี้ก็ด้วยเจตนาจะปัดภัยอันตรายให้พ้นไปจากตัวพลินทร์

“ครับ ผมได้ยินเพื่อนมันเรียกว่าสากัน   ผมเชื่อว่าต้องเป็นตัวเจ้าสากันเองจริงๆ ครับสารวัตร   พอมันบอกไอ้พวกนั้นว่าผมเป็นพวกเถ้าแก่กิม ไอ้พวกนั้นก็โกรธแค้นกันใหญ่   มันจะยกไปตีค่ายเถ้าแก่กิมให้ได้   เจ้าสากันพยายามที่จะทัดทานแต่ก็ไม่มีใครฟังครับ...   สารวัตรครับ…”

“หือ”   ภิสัชขานในคอ   เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“ผมคิดว่ามีอยู่คนหนึ่งที่มันพยายามจะทำตัวแข่งกับสากัน   ผมได้ยินมันเถียงกับสากันอยู่   มันชื่อเจ้าฮอดครับ   เจ้านี่แหละที่จะยิงผมทิ้งเสียตั้งแต่ทีแรก แต่สากันห้ามไว้   คราวนี้สากันจะให้พวกล่าถอยขึ้นทางเหนือออกจากเขตแดนไปชั่วคราว แต่เจ้าฮอดไม่ยอม   มันเกลี้ยกล่อมลูกน้องเสียจนเห็นดีไปกับมัน   เมื่อสากันเห็นว่าทุกคนไม่ยอม มันก็เลยต้องตามใจ”

“งั้นก็แปลว่ามันยกกันไปที่ค่ายป่าไม้เถ้าแก่กิมน่ะซินี่”   ภิสัชว่า

“ครับ ผมเชื่อว่าคงเป็นเช่นนั้น”   จ่าคำรับ   “ก่อนที่มันจะไปกัน   เพื่อนของมันบอกให้ยิงผมทิ้งเสีย   สากันรับอาสาจะเป็นคนยิง   บอกให้พรรคพวกล่วงหน้าไปก่อน”

“แล้วไง”   ภิสัชซัก

“แล้วสากันก็กลับเข้ามาหาผมครับ   ตอนนั้นน่ะผมคิดว่าผมคงต้องตายแน่ๆ แล้วครับ   มันเข้ามายืนจ้องมองดูผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยกปืนขึ้น   แต่แทนที่มันจะยิงมาที่ผม มันกลับยิงขึ้นหลังคาแล้วก็ออกไป”

ภิสัชลุกขึ้นยืนช้าๆ หน้าเคร่งอย่างใช้ความคิด   เขาสั่งให้ตำรวจสองคนช่วยกันทำแคร่หามเอาสิบตำรวจโทผู้บาดเจ็บไปด้วย   เมื่อเรียบร้อยแล้ว ภิสัชก็ออกคำสั่งให้ตำรวจทั้งหมดมุ่งหน้ากลับไปยังที่จอดรถไว้

ก่อนที่จะถึงรถ ก็ปรากฏว่ามีเสียงปืนดังขึ้นในระยะไกล   เป็นเสียงปืนที่ยิงออกมาจากปืนมากมายหลายกระบอก   ตํารวจทุกคนหยุดเดินในทันทีโดยมิได้นัดแนะกัน   เป็นเสียงยิงโต้ตอบกัน   ภิสัชนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก็แน่ใจว่าเสียงนั้นมิได้ดังมาจากทางค่าย พงศ์ราชแน่นอน

“รีบเดินไปให้ถึงรถโดยเร็วที่สุด”   ภิสัชสั่ง

ทุกคนทำตามทันที   ขณะที่เท้าย่ำลงไป หูก็คอยฟังเสียงปืนที่ระดมยิงซึ่งแว่วมาเป็นระยะๆ นั้น   ในไม่ช้าก็จะมาถึงที่ที่จอดรถไว้   ทุกคนรีบขึ้นรถ   ส่วนจ่าคำ นอนไปในรถคันหนึ่ง

“ไปทางค่ายของเถ้าแก่กิมเร็ว”   ภิสัชสั่ง   พอขาดคำรถก็พุ่งออกจากที่มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ได้รับคำสั่งให้ไปทันที

จิ๊ปบรรทุกกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนนั้นพุ่งพรวดเข้าจอดที่ปากทางจะเข้าไปสู่ค่ายของเถ้าแก่กิม   ตํารวจทุกคนกระโดดลงจากรถเมื่อได้รับคำสั่ง

“ลงจากรถแล้วกระจายกำลังกันอ้อมกระหนาบหลังเข้าไป เร็ว”

ทุกคนต่างก็ได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี และบางคนก็เคยต่อเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วบ่อยครั้ง   ดังนั้นชั่วเวลาไม่นาน พวกของสากันที่กำลังซุ่มยิงระดมอยู่กับพวกเจ้าของสถานที่ก็ถูกเจ้าหน้าที่กระหนาบไว้ทุกด้าน

เสียงปืนยังคงดังอยู่อย่างหนาแน่น เมื่อภิสัชตะโกนกรอกลงไปในลำโพงว่า

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ   นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ   ขณะนี้เราล้อมไว้หมดทุกด้านแล้ว   ขอให้ทุกคนวางอาวุธแล้วออกมามอบตัวเสียโดยดี   เราล้อมไว้หมดแล้ว   วางอาวุธแล้วออกมามอบตัวเสียดีๆ ”

เสียงปืนหยุดชะงักไปในทันทีทันใด   คงเป็นเพราะความตกตะลึงด้วยไม่คาดคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะยื่นมือเข้ามาจัดการโดยมิได้คาดฝันเช่นนี้   ขณะนั้นเป็นเวลามืดสนิทแล้ว   จากประกายปืนที่ระดมยิงกันอยู่นั้นบอกให้ภิสัชรู้ว่าเบื้องหน้าออกไปไม่ห่างนักคือที่ทำงานของพวกป่าไม้ค่ายเถ้าแก่กิม   และพรรคพวกของสากันก็อยู่หลังต้นไม้   ถูกขนาบอยู่ระหว่างตำรวจและพวกในค่ายนั่นเอง   เงียบอยู่อึดใจใหญ่ แล้วก็มีเสียงหนึ่ง แปร่งออกสำเนียงชาวเหนือตะโกนขึ้นมาว่า

“พวกเรายิงต่อไป   เมื่อตำรวจเข้ามายุ่งเราก็สู้ทั้งตำรวจ   สู้ทั้งพวกไอ้กิมนั่นแหละ”

“อย่าสู้เจ้าหน้าที่”   อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น   เป็นเสียงที่ชัดเจนไม่แปร่งเลยแม้แต่นิดเดียว   “พวกเรา ถอย”

“ไม่ถอยเว้ย”   เสียงแรกขัดขึ้นมาทันที   “วันนี้สู้ตาย   ใครถอยกูยิง   เอา ยิงมันเข้าไป”

เสียงปืนเริ่มระดมยิงขึ้นอีก   คราวนี้มันถูกเล็งมาทางที่ตำรวจซุ่มซ่อนตัวอยู่ด้วย   แม้ว่าจะเป็นการเดายิงอย่างสุ่มๆ มา แต่มันก็ร้ายแรงเอาการทีเดียว   ภิสัชพยายามที่จะตะโกนให้หยุดยิงอีกครั้งหนึ่ง   แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลจริงๆ แล้ว เขาก็ออกคำสั่งให้ยิงตอบไปบ้าง

การยิงต่อสู้กันนั้น ดำเนินไปนานอยู่ไม่น้อย   แต่ในที่สุดเสียงปืนก็เงียบลง   หลังจากที่ได้นิ่งคอยอยู่จนแน่ใจว่ามิได้เป็นการนิ่งเพื่อวางกลอุบายลวงอย่างใดแล้ว   ภิสัชจึงพาตำรวจรุกคืบเข้าไปอย่างระมัดระวัง   ไม่มีพรรคพวกของสากันคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว   คงมีแต่ศพถูกทิ้งไว้ไม่น้อย   ชายหนุ่มสั่งให้ตะโกนบอกพวกเถ้าแก่กิมให้รู้ว่าศัตรูล่าถอยไปแล้ว   อีกครู่ใหญ่ต่อมา   ตะเกียงเจ้าพายุก็ถูกจุดสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ   ศพพวกเหล่าร้ายถูกนำมาเรียงกันไว้   ทางเจ้าของสถานที่ก็ตายไปไม่น้อยเช่นกัน   ภิสัชสำรวจดูศพเหล่านั้นอย่างเร่งรีบ   ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะไว้หนวดเครารุงรัง

“ไอ้สากันรอดไปได้”   ผู้จัดการของเถ้าแก่กิมร้องออกมาอย่างเจ็บใจ   “มันคงจะต้องหวนกลับมาเล่นงานเราอีกแน่ๆ”

“ไอ้นี่ชื่อไอ้ฮอดครับ”   คนงานคนหนึ่งชี้ที่ศพชายหน้าตาเหี้ยมโหดที่นอนลืมตาค้างอยู่กลางดิน   มือของศพยังคงกำอาวุธร้ายคู่มือไว้แน่น   มีรอยถูกยิงที่ทรวงอก และตามลำตัวหลายแห่ง   “ไอ้นี่ละดุร้ายเป็นที่สุด   ใครถูกมันจับไปได้ละก็เคราะห์ร้าย   ไอ้ฮอดมันจะทรมานจนตาย   ดีแล้วที่มันตายเสียได้”

ทางตำรวจไม่ปรากฏว่าไม่มีใครได้รับอันตรายถึงตายแม้แต่คนเดียว   มีเพียงที่ถูกกระสุนปืนสามคน   คนหนึ่งโดนเข้าที่ขา   อีกคนที่แขน   และอีกคนหนึ่งเฉี่ยวชายโครงไป

“ทำคบเข้า   ส่องหาดูว่ามันไปทางไหนกัน”   ภิสัชสั่ง

“เจ้าสากันน่ะดูเหมือนจะถูกยิงไปครับ สารวัตร”   คนงานคนหนึ่งบอก   “ผมซุ่มอยู่หลังซุงใกล้กับพวกมันมาก   ได้ยินเสียงลูกน้องของมันร้องบอกว่าสากันถูกยิง   เสียง สากันสั่งให้ถอย แต่เจ้าฮอดไม่ยอม   มันวิ่งรุกเข้ามาเลยถูกยิงตาย”

การค้นหาร่องรอยเพื่อหาทิศทางที่พวกเหล่าร้ายหนีไปนั้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียดและละเอียดละออ   แสงคบสว่างไสวไปเกือบจะทั่วทั้งป่าในบริเวณนั้น   ในไม่ช้า ก็มีผู้พบรอยเลือดหยดเป็นทางหายเข้าไปในป่าลึก

“ท่าจะเป็นสากันเองที่หนีไปทางนี้”   ตำรวจคนหนึ่งออกความเห็น ขณะที่ต่างก็ก้มลงมองดูรอยเลือดนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์

“มีร่องรอยที่แสดงว่าพวกโจรล่าถอยไปหลายทางด้วยกันครับ สารวัตร”   ตำรวจที่ได้รับคำสั่งให้ตรวจดูบริเวณโดยรอบนั้นมารายงานต่อภิสัช   “เราพบปลอกกระสุนปืนซึ่งตกอยู่ในขณะที่พวกนั้นยิงพลางถอยพลาง   นอกจากนี้ยังมีรอยเสื้อผ้าที่ถูกกิ่งไม้เกี่ยวขาด แล้วก็อื่นๆ อีกครับ”

“ไอ้พวกนี้มันฉลาด”   ภิสัชว่า   “มันไม่หนีกันไปเป็นกลุ่ม แต่กระจายกันออกไป   แล้วมันก็ล้วนแต่เป็นผู้ชำนาญป่าด้วยกันทั้งนั้น   ป่านนี้มันก็เปิดกันไปคนละทางสองทางแล้ว”

“เป็นอันว่าคุณจะปล่อยให้เจ้าสากันลอยนวลไปได้อย่างสบายใจยังงั้นหรือ”   ผู้จัดการของกิม กระทุ้งถามเอากับภิสัช   ชายหนุ่มชำเลืองตามองดูอย่างขุ่นใจ ตอบว่า

“ผมเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ครับคุณ   ผมรู้หน้าที่ของผมดี และผมรู้ความเป็นไประหว่างพวกของสากันและของคุณด้วย   แต่ผมจะไม่พูดอะไรมากละ   หมอของคุณมีหรือเปล่าล่ะ   จัดการให้คนงานที่บาดเจ็บได้รับการรักษาเสียซี   ถ้าไม่มีก็รีบส่งเข้าเมือง   พรุ่งนี้ผมจะมาตรวจสถานที่เกิดเหตุและสอบสวนปากคำอีกครั้ง”

กล่าวจบเขาก็เดินจากมายังที่ตำรวจในบังคับบัญชาของเขายืนชุมนุมคอยฟังคำสั่งอยู่   บอกว่า   “กันจะตามรอยเลือดไป   มากับกันเพียงสองคนก็พอ   นอกนั้นให้กลับไปที่ค่ายป่าไม้พงศ์ราช   ขอให้จ้าวศรีธรจัดการกับคนที่ได้รับบาดเจ็บเสีย   กระเป๋าเวชชภัณฑ์มีอยู่ในห้องพักของกันพร้อมอยู่แล้ว”

จบบทที่ 30