หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 16

เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปในห้องรับแขกนั้น  ปรากฏว่าพลินทร์ได้ยืนอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว   ร่างที่มีส่วนสูงทัดเทียมกันกับจ้าวศรีฟ้า  แต่กว้างกว่านั้น  ยืนพิงหน้าต่างหันหน้ามาทางประตู   เขามองดูหญิงสาวด้วยดวงตาที่คมกริบ  โดยมิได้เอ่ยวาจาอย่างใดออกมาเลย เจ้าบ้านหนุ่มเป็นผู้ที่กล่าวขึ้นก่อนว่า

“ว่าไงพลินทร์   เมื่อกี้นี้คุณบอกว่ายังมีธุระที่จะพูดกับคุณผดาอยู่อีกไม่ใช่หรือ”

นั่นแหละ เขาจึงได้ก้าวออกมาจากที่ที่ยืนอยู่ บอกว่า   “เชิญสุภาพสตรีนั่งเสียก่อนไม่ดีหรือจ้าว”

จ้าวศรีฟ้าหันมาทางผดา เลื่อนเก้าอี้ให้พร้อมกับกล่าวว่า   “เชิญนั่งซีครับ คุณผดา ผมจะออกไปจากห้องนี้สักครู่ เพื่อให้คุณทั้งสองพูดธุระกันได้โดยสะดวก ไม่ต้องเกรงใจผม”

ด้วยความรู้สึกหมันไส้ในการวางตนเหนือเจ้าของบ้านของพลินทร์ ที่เกิดขึ้นมาครามครัน ผดาจึงหันไปทางศรีฟ้า   บอกว่า   “จ้าวไม่ต้องออกไปก็ได้นี่คะ   ดิฉันคิดว่าไม่มีความลับอะไรที่จะต้องพูดกันหรอกค่ะ”

“อยู่เถอะจ้าว”  พลินทร์พูดขึ้นมาทันทีที่ผดาพูดจบ  “สุภาพสตรีผู้นี้เธอจะได้อุ่นใจว่าจะมีคนคอยป้องกันไม่ให้ถูกทำร้าย จากนายพลินทร์ พงศ์ราช”

ผดาหันขวับไปทางเขา   ดวงตาและกิริยาท่าทางของพลินทร์สงบและเยือกเย็นไม่แสดงออกมาให้สังเกตได้เลยว่าเขามีความรู้สึกอย่างใดเมื่อกล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา   ทั้งสองจ้องมองกันเงียบๆ  แต่ท้าทายอยู่ในขณะหนึ่ง   ในที่สุดหญิงสาวก็เป็นผู้กล่าวขึ้นมาว่า

“คุณไม่อาจจะทำร้ายดิฉันได้มากกว่าที่คุณได้ทำมาแล้วหรอกค่ะ คุณพลินทร์  และดิฉันก็จะไม่มีเวลาอยู่ที่นี่นานพอที่คุณจะทำร้ายดิฉันได้อีก   ดิฉันจะคืนเหรียญนี้ให้คุณ แล้วดิฉันก็จะกลับไป   ต่อจากนั้น เราก็จะไม่ได้พบกันอีกเลย”

ทั้งสองจ้องมองกัน   ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังและท้าทาย   และอีกฝ่ายหนึ่งเงียบสงบ เหมือนพื้นน้ำที่นิ่งสนิท   แต่มิได้มีผู้ใดที่อาจจะมองผ่านลงไปให้รู้แจ้งได้เลยว่าภายใต้อาการสงบราบเรียบนั้นจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่   จ้าวศรีฟ้าซึ่งได้เฝ้ามองดูอากัปกิริยาของคนทั้งสองอยู่นั้น  ได้ยกมือทั้งสองชูขึ้น   ร้องออกมาด้วยเสียงปนหัวเราะว่า

“ให้ตายซี   คุณทั้งสองทำให้ผมเกือบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว รู้ไหม”

รอยยิ้มระบายขึ้นที่ริมฝีปากของพลินทร์ เมื่อเขากล่าวกับชายหนุ่มผู้เป็นทั้งญาติและสหายของเขาว่า   “ผมต้องขอโทษจ้าวด้วย”   รอยยิ้มนั้นหายไป เมื่อเขาหันมาทางหญิงสาว และมองดูเธอด้วยสายตาที่เฉยชาแบบเดิมครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า  “เราจะพบกันอีกก็ได้   แต่ฉันยังไม่รับเหรียญนั้นคืนจากเธอหรอก”

ผดารู้สึกประหลาดใจจนกระทั่งมิได้สังเกตเห็นดวงตาของจ้าวศรีฟ้าที่มองมาทางเธอ เป็นเชิงจะบอกว่า  บอกแล้วไหมล่ะ

“เอ๊ะ ดิฉันไม่เข้าว่าทำไมคุณจึงไม่รับคืน   คุณไม่กลัวว่าดิฉันจะทำให้ วงศ์สกุล ของคุณเสื่อมเสียดอกหรือคะ”

เขามิได้ตอบคำถามของเธอ แต่บอกว่า   “ที่ฉันไม่รับคืน ก็เพราะว่าฉันไม่ได้เป็นคนให้เหรียญนี้แก่เธอ”

“คุณพูดคล้ายกับว่าจะให้ดิฉันคอยคืนเหรียญนี้ให้กับพัจนาเองอย่างงั้นแหละ”   ผดาว่า  เธอยังมิทันที่จะได้พูดอย่างใดต่อไป  พลินทร์ก็มองมาด้วยสายตาที่คมปลาบราวกับรู้ว่าเธอตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป เขาบอกว่า

“ฉันเพียงแต่จะขอให้เธอ เก็บมันไว้จนกว่าจะรู้แน่เสียก่อนว่าพัจนาได้ตายไปแล้วจริงๆ   แต่ถ้าเขายังไม่ตาย เธอจะเก็บมันไว้ต่อไป หรือจะคืนให้เขาก็สุดแท้แต่ใจเธอ”

“คุณพลินทร์”   ผดาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจและงงงวยอย่างสุดที่จะอธิบายได้ “นี่คุณหมายความว่ากระไร   ดิฉันไม่เข้าใจเลย”

คำตอบที่เธอได้รับก็คือการมองตอบมา ด้วยดวงตาที่ราบเรียบนิ่งสนิทเหมือนพื้นน้ำเช่นเดิม ไม่มีทางที่เธอจะล่วงรู้ ถึงความรู้สึกภายในของเขาได้เลย

ขณะนั้น   ขณะที่บรรยากาศภายในห้องเริ่มจะอึดอัดขึ้นทุกที ก็มีเสียงใครคนหนึ่งเดินอย่างเร่งรีบมาจากห้องกลาง   แล้วเสียงที่เร่งร้อนและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ของเจ้าศรีธรก็ดังเข้ามา ก่อนที่ตัวของเขาจะโผล่เข้ามาว่า

“จ้าวพี่ครับ  จ้าวพี่  ผมได้ข่าวพัจนาแล้ว”

ราวกับนัดกัน  คนทั้งสามหันไปทางประตูพร้อมกันในทันที  จ้าวศรีธรก้าวเข้ามา หน้าตาท่าทางตื่นเต้นไม่ต่างกับเสียงที่รายงานอย่างรัวเร็วว่า

“จ้าวพี่   คุณพลินทร์   ผมได้ข่าวพัจนาแล้วครับ”   เขาเหลือบตามาเห็นผดาเข้า คำพูดที่กำลังจะพรั่งพรูออกมาจึงหยุดชะงักไป   เขากล่าวทักหญิงสาวว่า   “อ้อ คุณผดา”   แล้วจึงหันกลับไปพูดกับพลินทร์ต่อไปว่า   “พวกที่เข้าไปสำรวจหาที่ที่เครื่องบินตก กลับออกมาเมื่อเช้านี้เองครับคุณพลินทร์”

ผดารู้สึกคล้ายกับว่าจะสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งร่าง   ขณะนั้นได้มีชายอีกคนหนึ่งก้าวตามหลังศรีธรเข้ามายืนอยู่ในห้องนั้นด้วย  เธอได้ยินพลินทร์เรียกนามเขาผู้นั้นว่า “คุณเทอด”

“คุณเทอดกับผมไปพบกันที่นั่น   พอรู้เรื่องก็เลยมาพร้อมกัน”   ศรีธรรายงานต่อไป   รู้เรื่อง...   รู้ว่าพัจนาตายแล้วน่ะหรือ....   ผดารู้สึกว่าขาอ่อนเปลี้ยขึ้นมาจนเกือบจะพยุงร่างไว้ไม่อยู่   เสียงจ้าวศรีฟ้าเร่งให้น้องชายเล่าเรื่องอย่างคนใจร้อน   พลินทร์ได้ชำเลืองมาทางเธอแวบหนึ่ง และได้ยินเขาพูดขึ้นว่า

“จ้าว ช่วยจัดการให้สุภาพสตรีนั่งลงก่อนดีกว่า   ประเดี๋ยวจะตื่นเต้นตกใจมากไปจะลำบาก”   แล้วเขาก็หันไปบอกกับชายที่ชื่อเทอดว่า   “นั่งลงก่อนซีคุณเทอด”

เทอดนั่งลงเงียบๆในขณะเดียวกันกับที่จ้าวสีฟ้าหันมาทางผดา   ดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง   เขากุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้มาใกล้ และบอกว่า คุณผดาครับ   เชิญนั่งเสียก่อนดีกว่า แล้วก็โปรดทำใจให้ดีๆไว้ด้วย...”

“คุณผดาคือผู้ที่พัจนากำลังจะแต่งงานด้วย ศรีธร”   พี่ชายหันไปตอบเรียบๆ   แต่ก็เป็นผลให้จ้าวศรีธรถึงกับสะดุ้ง  และเทอดหันมาจ้องมองเธอ อ้าปากค้าง   ศรีธรร้องออกมาว่า

“คุณพระช่วย นี่เป็นความจริงหรือครับคุณผดา”

ผดารู้สึกมึนงงเกินกว่าที่มีสติจะตอบรับคำถามนั้น  แต่จ้าวศรีธรก็ไม่ต้องการคำตอบ เขามองเธออย่างเห็นใจ พึมพำว่า   “เป็นเรื่องที่ผมนึกไม่ถึงเลย   ผมเสียใจด้วยครับ คุณผดา”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนนอกจากเทิด  หันไปจ้องมองดูเขาเป็นตาเดียวกัน   แต่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถ้อยอันเป็นคำถามออกมา   เขากลัวคำตอบที่จะได้รับ   อาจจะมิได้กลัวสำหรับตัวเอง   แต่ก็ยังกลัวแทนหญิงเดียวที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่ในห้องนั้นด้วย

“เสียใจ”   ผดาพึมพำเกือบไม่มีเสียง   “นี่จ้าวหมายความว่า...”

เสียงของหญิงสาวขาดหายไปเพียงแค่นั้น   เธอไม่กล้ากล่าวคำต่อไป   จ้าวศรีธรมองดูคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างงุนงง   ดูเหมือนจะค่อยเข้าใจในความรู้สึกของผู้ที่จ้องมองดูเขาอยู่นั้นขึ้นมา   เขาร้องออกมาว่า  “เปล่าครับเปล่า ยังไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คุณคิดกันหรอก”

ดูเหมือนจะมีเสียงถอนใจยาวพร้อมๆ กัน   เสียงของพลินทร์เอ่ยขึ้นมาว่า

“ถ้างั้นก็แปลว่าพัจนายังไม่ตายน่ะซี  ใช่ไหมจ้าว”

ผดาเหลือบมองไปทางผู้พูดแวบหนึ่ง   แต่ถึงจะเป็นเพียงแวบเดียว เธอก็ยังได้ประสานสายตากับเขา  แล้วพลินทร์ก็เป็นฝ่ายถอนสายตาไปทางเทอด   กล่าวถามว่า   “ใช่ไหมคุณเทอด”

“พวกที่เข้าไปสำรวจป่ากลับออกมาบอกว่าพบซากเครื่องบินแล้วครับ พร้อมด้วยศพสามศพ” ทั้งที่กำลังอยู่ในระหว่างความยุ่งยากไม่สบายใจอย่างหนัก   ผดาก็ยังอดสังเกตไม่ได้ว่า กิริยาท่าทางที่ชายผู้มีนามว่าเทอดแสดงต่อพลินทร์ในขณะที่พูดกับเขานั้น   ดูประจบและอ้อนน้อมไม่ต่างกับชายที่ภิสัชบอกว่าชื่อชัช ซึ่งเธอได้เห็นที่สถานีหัวลำโพงในวันที่ออกเดินทางมาเชียงใหม่นัก

“สามศพรึ”   พลินทร์ทวนถาม   “ใครบ้างล่ะ”

“นักบิน   ผู้ช่วยนักบิน   แล้วก็อีกศพหนึ่งนั่น  จากหลักฐานที่ค้นพบ แสดงว่าเป็นลูกชายเถ้าแก่กิมครับ”   เทอดบอก   ผดาถอนใจยาว   ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพัจนายังไม่ตาย   เธอมองดูเหรียญห้อยคอที่ยังคงถืออยู่ในมือ  กำมือเข้าหากันแน่น นึกภาวนาอยู่ในใจ   เจ้าประคุณเอ๋ย ขอให้เขาได้มีชีวิตรอดอยู่เถิด  พัจนาคนซื่อที่น่าสงสาร   ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งมวลตลอดจนวิญญาณของบรรพบุรุษ ที่ล่วงลับไปแล้วของทั้งของเขา และของเธอได้ช่วยกันปกป้องให้เขาพ้นจากความตายด้วยเถิด

หญิงสาวได้ยินจ้าวสีฟ้าซักไซ้น้องชายต่อไปว่า   “ถ้ายังงั้นพัจนาหายไปไหน”

“นั่นน่ะซีครับ”   คำตอบของศรีธรไม่อาจทำให้ผู้ที่คอยฟังอยู่นั้นจะบังเกิดความสบายใจขึ้นมาได้เลย   “เขายังสงสัยกันอยู่เลยว่าพัจนาหายไปไหน”

พลินทร์หันไปทางเทิด ออกคำสั่งว่า   “ไหนคุณเทิด  ลองเล่าให้ละเอียดซิว่าพวกนั้นเขาออกไปสำรวจได้ความว่ายังไงมาบ้าง   ผมต้องการรายละเอียดนะ อย่าลืม”

เทิดรับคำสั่งนั้นและปฏิบัติตามโดยดุษณี เขาเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า   “เท่าที่ผมไปได้เรื่องราวมานั้นก็คือพวกเขาได้ไปพบซากเครื่องบินที่ตกในป่าลึก   ตอนหัวหักละเอียดและถูกไฟไหม้ นักบินกับผู้ช่วยตายคาที่ ซากถูกไฟไหม้เกรียมอยู่ในนั้นแหละครับ  แต่ท่อนลำตัวซึ่งเป็นที่นั่งของผู้โดยสารหักกระเด็นออกไปไกลจากท่อนหัว  เขาสันนิษฐานว่าคงจะเกิดจากการตกลงมาปะทะกับต้นไม้อย่างแรงจนกระทั่งทำให้หลุดออกจากกัน”

“พัจนากับลูกชายเถ้าแก่กิมจึงได้รอดจากการถูกไฟครอกตายใช่ไหม”   พลินทร์ถามต่อไป ผดาซึ่งนั่งเงียบคอยฟังอยู่นั้นได้ยินเทอดรับคำว่า

“ครับ แต่ก็คงได้รับบาดเจ็บมิใช่น้อย  เพราะศพของลูกชายเถ้าแก่กิม ที่เขาค้นพบนั้นปรากฏว่าแขนหักละเอียดทั้งสองข้าง   ขาข้างหนึ่งที่ถูกกระแทกอย่างแรงจนกระทั่งกระดูกทิ่ม ออกมานอกเนื้อ”

ผดานึกถึงภาพอันน่าหวาดเสียวนั้นได้โดยตลอดและชัดเจน จนกระทั่งเธอต้องยกมือขึ้นบิดปาก เมื่อรู้สึกว่าเกือบจะเปล่งเสียงอุทานออกมาดังๆ   เธอได้ยินเสียงพลินทร์พูดขัดขึ้นในทันทีนั้นว่า

“คุณออกจะเล่าละเอียดเกินไปสักหน่อยละกระมัง คุณเทอด   อย่าลืมว่าเรามีสุภาพสตรีนั่งฟังอยู่ด้วย”   ผดาเห็นเทิดหันมาทางหล่อนและพึมพำเป็นเชิงขอโทษ หญิงสาวทรงกายขึ้นนั่งตัวตรงกล่าวว่า

“คุณเทิดไม่ควรจะได้รับการถูกตำหนิหรอกค่ะ คุณพลินทร์   เพราะคุณเทิดทำตามคำสั่งของคุณ แต่ถึงกระนั้นก็โปรดอย่าเป็นห่วงดิฉันดีกว่า   เชิญตามสบายดีกว่า  ดิฉันไม่ใช่เป็นคนประเภทบอบบางเหมือนฟองน้ำฟองสบู่หรอกค่ะ”

เจ้าของบ้านสองคนมองดูหน้ากัน แล้วจ้าวสีฟ้าจึงหันไปทางเทอด ซักว่า  “แล้วไงต่อไปเล่าครับ คุณเทอด  เขาไม่ได้ให้ข้อสันนิษฐานบ้างดอกหรือว่าพัจนาของเราหายไปไหน และหายไปได้ยังไง”

เทอดอ้ำอึ้ง   ผดาเห็นเขาเหลือบมองมาทางเธอแล้วก็มองดูพลินทร์  ชายคนหลังนี้กล่าวขึ้นว่า

“คุณเทอดไม่น่าจะต้องวิตกอะไร เพราะสุภาพสตรีผู้นี้เธอรับรองแล้วว่า เธอมิได้บอบบางเหมือนฟองน้ำฟองสบู่   ประสาทของเธอแข็งแกร่งพอๆกับเรา  หรือบางทีก็อาจจะแข็งกว่าเราเสียด้วยซ้ำ”

เสียงของเขาราบเรียบเหมือนทุกครั้งที่พูดซึ่งก็สามารถทำให้ผดารู้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมาได้เหมือนทุกครั้งที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น  เธอมองดูเทอด และกล่าวกับเขาผู้นั้นว่า

“จริงอย่างที่คุณพลินทร์พูดค่ะ  คุณเทิดเล่าต่อไปเถอะค่ะ   ดิฉันฟังได้”

เมื่อเทอดยังคงลังเลอยู่   พลินทร์ก็กล่าวย้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า   “อ้าว  ว่าไงคุณเทอด   ได้ยินสุภาพสตรีพูดแล้วไม่ใช่หรือ  คุณจะยังลังเลอะไรอยู่อีกเล่า”

“แต่ว่าพลินทร์”   จ้าวสีฟ้าซึ่งปรกติเป็นบุคคลที่มีจิตใจอ่อนอยู่เสมอได้กล่าวทัดทานขึ้นด้วยเสียงอ่อนๆ   “ถ้ามันเป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวจนเกินไปละก็   ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งพูดกันในเวลานี้จะดีกว่ากระมัง”

“นั่นน่ะซีครับ”   จ้าวศรีธรซึ่งนั่งเงียบมานานแล้วกล่าวขึ้นเป็นเชิงสนับสนุนพี่ชาย แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไป   พลินทร์ก็ขัดขึ้นมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะเฉียบขาดอยู่สักหน่อยว่า

“ขอโทษครับจ้าว   จ้าวท่าจะลืมไปเสียละกระมังว่าสุภาพสตรีผู้นี้มีสิทธ์ที่จะได้รับรู้เรื่องราวของพัจนาเหมือนกัน  มีสิทธ์ที่จะได้ดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น เท่าๆกับเราหรือมากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ”

ผดามองผู้พูดด้วยความประหลาดใจ   นี่พลินทร์ พงศ์ราช พูดถึงสิทธ์ของเธอหรือ สิทธ์ของเธอที่มีต่อพัจนา   สิทธ์ที่ครั้งหนึ่งเขาไม่ยอมรับรู้   ยิ่งกว่านั้นยังได้พยายามทำลายเสียด้วยซ้ำ  บัดนี่เขาได้พูดถึงมัน  ซึ่งก็เท่ากับเป็นการรับรองต่อหน้าผู้อื่น   นี่เขานึกอย่างไรขึ้นมา หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเชื่อว่าพัจนาได้ตายไปแล้วละกระมัง ถ้าพัจนาได้ตายไปแล้วจริง การรับรองสิทธิ์ของเธอก็ไม่อาจทำให้เขาเสียหายแต่อย่างใด   ตรงกันข้าม มันกลับจะได้ประโยชน์ เพราะจะเป็นการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขามิได้ร้ายกาจอย่างที่เธอกล่าวหาเลย   เขาสิยังมีใจกว้างขวางและกรุณาพอที่จะรับว่าเธอเป็นอะไรกับพัจนา   เธอเสียอีกที่เป็นผู้กล่าวหาเขาแต่ผู้เดียว อา  เขาเป็นคนที่ฉลาดล้ำอย่างน่ากลัวทีเดียว  นายพลินทร์ พงศ์ราช คนนี้

“พวกที่ไปสำรวจบอกว่าที่ที่เครื่องบินตกนั้น เป็นป่าลึกมากครับ”   ผดาได้ยินเสียงเทอดเล่าหลังจากที่ได้ถูกกระตุ้นอีกครั้งหนึ่ง   “ไม่ค่อยจะมีคนเดินทางผ่านบ่อยนัก นอกจากนานๆจะมีพวกสำรวจป่า หรือพวกนิยมไพรเข้าไปสักที”

“บ๊ะ อ้อมค้อมจริง”  พลินทร์ว่า   “แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับการที่พัจนาหายไปจากที่นั่นด้วย”

อีกครั้งหนึ่งที่เทอดชำเลืองมาทางผดาอีกแวบหนึ่ง   จ้าวศรีธรซึ่งถึงแม้จะมีจิตใจอ่อนโยนอย่างพี่ชายอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่มากเท่า และด้วยเหตุที่ยังอยู่ในวัยค่อนข้างเยาว์ซึ่งเป็นวัยแห่งความร้อนและเร็ว ไม่ชอบการลังเลซึ่งทำให้เกิดความรำคาญและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์   จ้าวหนุ่มผู้เยาว์จึงได้พูดทะลุกลางปล้องออกมาว่า

“เมื่อคุณเทอดลำบากใจมากนักก็ มา ผมจะเล่าเอง   พวกนั้นเขาคิดว่าการที่พัจนาหายไปนั้นไม่น่าจะเป็นการหายไปเพราะได้มีคนมาพบเข้าและนำตัวไปรักษา เพราะทางนั้นไม่ใช่ทางคนผ่าน เขาว่าถ้าพัจนาไม่พยายามกระเสือกกระสนไปตายที่อื่นละก็ คงต้องถูกสัตว์ร้ายลากเอาไปกินแน่นอน”

คราวนี้ผดาทำไม่สำเร็จที่จะป้องกันมิให้เสียงร้องของเธอดังออกมา   คำบอกเล่าของเจ้าศรีธรตรงไปตรงมาและน่าหวาดเสียวจนเกินไป   เธอนึกภาพพัจนาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกำลังกระเสือกกระสนพาตัวไปตามพื้นดินขรุขระ ลดเลี้ยวไปด้วยพงหนามด้วยความหวังที่จะได้พบผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือ  แต่สิ่งที่โผล่ออกมาจากป่านั้นมิได้เป็นผู้ที่เขาหวังจะได้พบ  แต่มันกลับกลายเป็น...   โอ  คุณพระช่วย  มันทารุณร้ายกาจเกินไป   ผดายกมือทั้งสองขึ้นบิดตา ราวกับจะขับไล่ภาพนั้นไปเสียให้พ้นจากความสำนึก

“จ้าวศรีธร”  เธอได้ยินเสียงพลินทร์ร้องดังขึ้น  “ดูเหมือนสุภาพสตรีของเราจะตกใจมากเกินไปเสียแล้วละครับ”

เสียงนั้นทำให้ผดารู้สึกตัว   เธอลดมือลงและได้พบว่าจ้าวหนุ่มสองคนพี่น้องกำลังจับตามองดูเธอด้วยความห่วงใย   จ้าวศรีธรก็เป็นผู้กล่าวขึ้นว่า

“ผมเสียใจครับ  คุณผดา  ที่ทำให้คุณตกใจ   แต่ผมเห็นคุณรับรองแข็งแรงว่าคุณจะไม่เป็นอะไร ผมจึงได้พูดออกมา”

“หน้าคุณซีดขาวเทียวครับ คุณผดา”   จ้าวศรีฟ้าพูดขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความห่วงใย ผดามองดูเขาอย่างขอบใจ บอกว่า

“ดิฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะจ้าว   เพียงแต่เรื่องที่จ้าวศรีธรเล่านั้น มันน่าหวาดเสียวเกินไปหน่อยเท่านั้น   พัจนาไม่น่าจะต้องเคราะห์ร้ายถึงขนาดนั้นเลย แต่ถ้าเขาต้องเคราะห์ร้ายถึงขนาดนั้นจริงๆ   เดี๋ยวนี่เราก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เสียแล้ว”

“แต่ทว่ามันเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้นเองนะครับ”   จ้าวศรีธรพูดขึ้นอย่างปลอบโยน   ใครๆ ก็ต้องการที่จะปลอบโยนเธอด้วยกันทั้งนั้น   แม้แต่เทอดที่นั่งเงียบอยู่ก็ยังมองมายังเธอด้วยดวงตาที่บอกชัดถึงความสงสารและวิตกกังวล   จะมีอยู่ก็เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ช่างสงบระงับอารมณ์ เก็บความรู้สึกได้มิดชิดอย่างน่าพิศวงนัก

“พัจนาอาจจะปลอดภัยก็ได้”   จ้าวศรีธรกล่าวต่อไป และผดาก็ได้ยินเสียงตัวเอง กล่าวตอบจ้าวศรีธรออกไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น ก็เห็นจะต้องเป็นปาฏิหาริย์”

“ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในโลกนี้”   อีกเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นเรียบๆ แต่หนักแน่น   “ฉะนั้นมันก็อาจจะเกิดขึ้นแก่พัจนาได้ เช่นกัน”

เสียงนั้นเป็นเสียงของพลินทร์ พงศ์ราช

จบบทที่ 16