เมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปในห้องรับแขกนั้น ปรากฏว่าพลินทร์ได้ยืนอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว ร่างที่มีส่วนสูงทัดเทียมกันกับจ้าวศรีฟ้า แต่กว้างกว่านั้น ยืนพิงหน้าต่างหันหน้ามาทางประตู เขามองดูหญิงสาวด้วยดวงตาที่คมกริบ โดยมิได้เอ่ยวาจาอย่างใดออกมาเลย เจ้าบ้านหนุ่มเป็นผู้ที่กล่าวขึ้นก่อนว่า
“ว่าไงพลินทร์ เมื่อกี้นี้คุณบอกว่ายังมีธุระที่จะพูดกับคุณผดาอยู่อีกไม่ใช่หรือ”
นั่นแหละ เขาจึงได้ก้าวออกมาจากที่ที่ยืนอยู่ บอกว่า “เชิญสุภาพสตรีนั่งเสียก่อนไม่ดีหรือจ้าว”
จ้าวศรีฟ้าหันมาทางผดา เลื่อนเก้าอี้ให้พร้อมกับกล่าวว่า “เชิญนั่งซีครับ คุณผดา ผมจะออกไปจากห้องนี้สักครู่ เพื่อให้คุณทั้งสองพูดธุระกันได้โดยสะดวก ไม่ต้องเกรงใจผม”
ด้วยความรู้สึกหมันไส้ในการวางตนเหนือเจ้าของบ้านของพลินทร์ ที่เกิดขึ้นมาครามครัน ผดาจึงหันไปทางศรีฟ้า บอกว่า “จ้าวไม่ต้องออกไปก็ได้นี่คะ ดิฉันคิดว่าไม่มีความลับอะไรที่จะต้องพูดกันหรอกค่ะ”
“อยู่เถอะจ้าว” พลินทร์พูดขึ้นมาทันทีที่ผดาพูดจบ “สุภาพสตรีผู้นี้เธอจะได้อุ่นใจว่าจะมีคนคอยป้องกันไม่ให้ถูกทำร้าย จากนายพลินทร์ พงศ์ราช”
ผดาหันขวับไปทางเขา ดวงตาและกิริยาท่าทางของพลินทร์สงบและเยือกเย็นไม่แสดงออกมาให้สังเกตได้เลยว่าเขามีความรู้สึกอย่างใดเมื่อกล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา ทั้งสองจ้องมองกันเงียบๆ แต่ท้าทายอยู่ในขณะหนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวก็เป็นผู้กล่าวขึ้นมาว่า
“คุณไม่อาจจะทำร้ายดิฉันได้มากกว่าที่คุณได้ทำมาแล้วหรอกค่ะ คุณพลินทร์ และดิฉันก็จะไม่มีเวลาอยู่ที่นี่นานพอที่คุณจะทำร้ายดิฉันได้อีก ดิฉันจะคืนเหรียญนี้ให้คุณ แล้วดิฉันก็จะกลับไป ต่อจากนั้น เราก็จะไม่ได้พบกันอีกเลย”
ทั้งสองจ้องมองกัน ฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังและท้าทาย และอีกฝ่ายหนึ่งเงียบสงบ เหมือนพื้นน้ำที่นิ่งสนิท แต่มิได้มีผู้ใดที่อาจจะมองผ่านลงไปให้รู้แจ้งได้เลยว่าภายใต้อาการสงบราบเรียบนั้นจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ จ้าวศรีฟ้าซึ่งได้เฝ้ามองดูอากัปกิริยาของคนทั้งสองอยู่นั้น ได้ยกมือทั้งสองชูขึ้น ร้องออกมาด้วยเสียงปนหัวเราะว่า
“ให้ตายซี คุณทั้งสองทำให้ผมเกือบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว รู้ไหม”
รอยยิ้มระบายขึ้นที่ริมฝีปากของพลินทร์ เมื่อเขากล่าวกับชายหนุ่มผู้เป็นทั้งญาติและสหายของเขาว่า “ผมต้องขอโทษจ้าวด้วย” รอยยิ้มนั้นหายไป เมื่อเขาหันมาทางหญิงสาว และมองดูเธอด้วยสายตาที่เฉยชาแบบเดิมครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า “เราจะพบกันอีกก็ได้ แต่ฉันยังไม่รับเหรียญนั้นคืนจากเธอหรอก”
ผดารู้สึกประหลาดใจจนกระทั่งมิได้สังเกตเห็นดวงตาของจ้าวศรีฟ้าที่มองมาทางเธอ เป็นเชิงจะบอกว่า บอกแล้วไหมล่ะ
“เอ๊ะ ดิฉันไม่เข้าว่าทำไมคุณจึงไม่รับคืน คุณไม่กลัวว่าดิฉันจะทำให้ วงศ์สกุล ของคุณเสื่อมเสียดอกหรือคะ”
เขามิได้ตอบคำถามของเธอ แต่บอกว่า “ที่ฉันไม่รับคืน ก็เพราะว่าฉันไม่ได้เป็นคนให้เหรียญนี้แก่เธอ”
“คุณพูดคล้ายกับว่าจะให้ดิฉันคอยคืนเหรียญนี้ให้กับพัจนาเองอย่างงั้นแหละ” ผดาว่า เธอยังมิทันที่จะได้พูดอย่างใดต่อไป พลินทร์ก็มองมาด้วยสายตาที่คมปลาบราวกับรู้ว่าเธอตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป เขาบอกว่า
“ฉันเพียงแต่จะขอให้เธอ เก็บมันไว้จนกว่าจะรู้แน่เสียก่อนว่าพัจนาได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่ถ้าเขายังไม่ตาย เธอจะเก็บมันไว้ต่อไป หรือจะคืนให้เขาก็สุดแท้แต่ใจเธอ”
“คุณพลินทร์” ผดาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจและงงงวยอย่างสุดที่จะอธิบายได้ “นี่คุณหมายความว่ากระไร ดิฉันไม่เข้าใจเลย”
คำตอบที่เธอได้รับก็คือการมองตอบมา ด้วยดวงตาที่ราบเรียบนิ่งสนิทเหมือนพื้นน้ำเช่นเดิม ไม่มีทางที่เธอจะล่วงรู้ ถึงความรู้สึกภายในของเขาได้เลย
ขณะนั้น ขณะที่บรรยากาศภายในห้องเริ่มจะอึดอัดขึ้นทุกที ก็มีเสียงใครคนหนึ่งเดินอย่างเร่งรีบมาจากห้องกลาง แล้วเสียงที่เร่งร้อนและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ของเจ้าศรีธรก็ดังเข้ามา ก่อนที่ตัวของเขาจะโผล่เข้ามาว่า
“จ้าวพี่ครับ จ้าวพี่ ผมได้ข่าวพัจนาแล้ว”
ราวกับนัดกัน คนทั้งสามหันไปทางประตูพร้อมกันในทันที จ้าวศรีธรก้าวเข้ามา หน้าตาท่าทางตื่นเต้นไม่ต่างกับเสียงที่รายงานอย่างรัวเร็วว่า
“จ้าวพี่ คุณพลินทร์ ผมได้ข่าวพัจนาแล้วครับ” เขาเหลือบตามาเห็นผดาเข้า คำพูดที่กำลังจะพรั่งพรูออกมาจึงหยุดชะงักไป เขากล่าวทักหญิงสาวว่า “อ้อ คุณผดา” แล้วจึงหันกลับไปพูดกับพลินทร์ต่อไปว่า “พวกที่เข้าไปสำรวจหาที่ที่เครื่องบินตก กลับออกมาเมื่อเช้านี้เองครับคุณพลินทร์”
ผดารู้สึกคล้ายกับว่าจะสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งร่าง ขณะนั้นได้มีชายอีกคนหนึ่งก้าวตามหลังศรีธรเข้ามายืนอยู่ในห้องนั้นด้วย เธอได้ยินพลินทร์เรียกนามเขาผู้นั้นว่า “คุณเทอด”
“คุณเทอดกับผมไปพบกันที่นั่น พอรู้เรื่องก็เลยมาพร้อมกัน” ศรีธรรายงานต่อไป รู้เรื่อง... รู้ว่าพัจนาตายแล้วน่ะหรือ.... ผดารู้สึกว่าขาอ่อนเปลี้ยขึ้นมาจนเกือบจะพยุงร่างไว้ไม่อยู่ เสียงจ้าวศรีฟ้าเร่งให้น้องชายเล่าเรื่องอย่างคนใจร้อน พลินทร์ได้ชำเลืองมาทางเธอแวบหนึ่ง และได้ยินเขาพูดขึ้นว่า
“จ้าว ช่วยจัดการให้สุภาพสตรีนั่งลงก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวจะตื่นเต้นตกใจมากไปจะลำบาก” แล้วเขาก็หันไปบอกกับชายที่ชื่อเทอดว่า “นั่งลงก่อนซีคุณเทอด”
เทอดนั่งลงเงียบๆในขณะเดียวกันกับที่จ้าวสีฟ้าหันมาทางผดา ดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง เขากุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้มาใกล้ และบอกว่า คุณผดาครับ เชิญนั่งเสียก่อนดีกว่า แล้วก็โปรดทำใจให้ดีๆไว้ด้วย...”
“คุณผดาคือผู้ที่พัจนากำลังจะแต่งงานด้วย ศรีธร” พี่ชายหันไปตอบเรียบๆ แต่ก็เป็นผลให้จ้าวศรีธรถึงกับสะดุ้ง และเทอดหันมาจ้องมองเธอ อ้าปากค้าง ศรีธรร้องออกมาว่า
“คุณพระช่วย นี่เป็นความจริงหรือครับคุณผดา”
ผดารู้สึกมึนงงเกินกว่าที่มีสติจะตอบรับคำถามนั้น แต่จ้าวศรีธรก็ไม่ต้องการคำตอบ เขามองเธออย่างเห็นใจ พึมพำว่า “เป็นเรื่องที่ผมนึกไม่ถึงเลย ผมเสียใจด้วยครับ คุณผดา”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนนอกจากเทิด หันไปจ้องมองดูเขาเป็นตาเดียวกัน แต่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถ้อยอันเป็นคำถามออกมา เขากลัวคำตอบที่จะได้รับ อาจจะมิได้กลัวสำหรับตัวเอง แต่ก็ยังกลัวแทนหญิงเดียวที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่ในห้องนั้นด้วย
“เสียใจ” ผดาพึมพำเกือบไม่มีเสียง “นี่จ้าวหมายความว่า...”
เสียงของหญิงสาวขาดหายไปเพียงแค่นั้น เธอไม่กล้ากล่าวคำต่อไป จ้าวศรีธรมองดูคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างงุนงง ดูเหมือนจะค่อยเข้าใจในความรู้สึกของผู้ที่จ้องมองดูเขาอยู่นั้นขึ้นมา เขาร้องออกมาว่า “เปล่าครับเปล่า ยังไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คุณคิดกันหรอก”
ดูเหมือนจะมีเสียงถอนใจยาวพร้อมๆ กัน เสียงของพลินทร์เอ่ยขึ้นมาว่า
“ถ้างั้นก็แปลว่าพัจนายังไม่ตายน่ะซี ใช่ไหมจ้าว”
ผดาเหลือบมองไปทางผู้พูดแวบหนึ่ง แต่ถึงจะเป็นเพียงแวบเดียว เธอก็ยังได้ประสานสายตากับเขา แล้วพลินทร์ก็เป็นฝ่ายถอนสายตาไปทางเทอด กล่าวถามว่า “ใช่ไหมคุณเทอด”
“พวกที่เข้าไปสำรวจป่ากลับออกมาบอกว่าพบซากเครื่องบินแล้วครับ พร้อมด้วยศพสามศพ” ทั้งที่กำลังอยู่ในระหว่างความยุ่งยากไม่สบายใจอย่างหนัก ผดาก็ยังอดสังเกตไม่ได้ว่า กิริยาท่าทางที่ชายผู้มีนามว่าเทอดแสดงต่อพลินทร์ในขณะที่พูดกับเขานั้น ดูประจบและอ้อนน้อมไม่ต่างกับชายที่ภิสัชบอกว่าชื่อชัช ซึ่งเธอได้เห็นที่สถานีหัวลำโพงในวันที่ออกเดินทางมาเชียงใหม่นัก
“สามศพรึ” พลินทร์ทวนถาม “ใครบ้างล่ะ”
“นักบิน ผู้ช่วยนักบิน แล้วก็อีกศพหนึ่งนั่น จากหลักฐานที่ค้นพบ แสดงว่าเป็นลูกชายเถ้าแก่กิมครับ” เทอดบอก ผดาถอนใจยาว ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพัจนายังไม่ตาย เธอมองดูเหรียญห้อยคอที่ยังคงถืออยู่ในมือ กำมือเข้าหากันแน่น นึกภาวนาอยู่ในใจ เจ้าประคุณเอ๋ย ขอให้เขาได้มีชีวิตรอดอยู่เถิด พัจนาคนซื่อที่น่าสงสาร ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งมวลตลอดจนวิญญาณของบรรพบุรุษ ที่ล่วงลับไปแล้วของทั้งของเขา และของเธอได้ช่วยกันปกป้องให้เขาพ้นจากความตายด้วยเถิด
หญิงสาวได้ยินจ้าวสีฟ้าซักไซ้น้องชายต่อไปว่า “ถ้ายังงั้นพัจนาหายไปไหน”
“นั่นน่ะซีครับ” คำตอบของศรีธรไม่อาจทำให้ผู้ที่คอยฟังอยู่นั้นจะบังเกิดความสบายใจขึ้นมาได้เลย “เขายังสงสัยกันอยู่เลยว่าพัจนาหายไปไหน”
พลินทร์หันไปทางเทิด ออกคำสั่งว่า “ไหนคุณเทิด ลองเล่าให้ละเอียดซิว่าพวกนั้นเขาออกไปสำรวจได้ความว่ายังไงมาบ้าง ผมต้องการรายละเอียดนะ อย่าลืม”
เทิดรับคำสั่งนั้นและปฏิบัติตามโดยดุษณี เขาเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “เท่าที่ผมไปได้เรื่องราวมานั้นก็คือพวกเขาได้ไปพบซากเครื่องบินที่ตกในป่าลึก ตอนหัวหักละเอียดและถูกไฟไหม้ นักบินกับผู้ช่วยตายคาที่ ซากถูกไฟไหม้เกรียมอยู่ในนั้นแหละครับ แต่ท่อนลำตัวซึ่งเป็นที่นั่งของผู้โดยสารหักกระเด็นออกไปไกลจากท่อนหัว เขาสันนิษฐานว่าคงจะเกิดจากการตกลงมาปะทะกับต้นไม้อย่างแรงจนกระทั่งทำให้หลุดออกจากกัน”
“พัจนากับลูกชายเถ้าแก่กิมจึงได้รอดจากการถูกไฟครอกตายใช่ไหม” พลินทร์ถามต่อไป ผดาซึ่งนั่งเงียบคอยฟังอยู่นั้นได้ยินเทอดรับคำว่า
“ครับ แต่ก็คงได้รับบาดเจ็บมิใช่น้อย เพราะศพของลูกชายเถ้าแก่กิม ที่เขาค้นพบนั้นปรากฏว่าแขนหักละเอียดทั้งสองข้าง ขาข้างหนึ่งที่ถูกกระแทกอย่างแรงจนกระทั่งกระดูกทิ่ม ออกมานอกเนื้อ”
ผดานึกถึงภาพอันน่าหวาดเสียวนั้นได้โดยตลอดและชัดเจน จนกระทั่งเธอต้องยกมือขึ้นบิดปาก เมื่อรู้สึกว่าเกือบจะเปล่งเสียงอุทานออกมาดังๆ เธอได้ยินเสียงพลินทร์พูดขัดขึ้นในทันทีนั้นว่า
“คุณออกจะเล่าละเอียดเกินไปสักหน่อยละกระมัง คุณเทอด อย่าลืมว่าเรามีสุภาพสตรีนั่งฟังอยู่ด้วย” ผดาเห็นเทิดหันมาทางหล่อนและพึมพำเป็นเชิงขอโทษ หญิงสาวทรงกายขึ้นนั่งตัวตรงกล่าวว่า
“คุณเทิดไม่ควรจะได้รับการถูกตำหนิหรอกค่ะ คุณพลินทร์ เพราะคุณเทิดทำตามคำสั่งของคุณ แต่ถึงกระนั้นก็โปรดอย่าเป็นห่วงดิฉันดีกว่า เชิญตามสบายดีกว่า ดิฉันไม่ใช่เป็นคนประเภทบอบบางเหมือนฟองน้ำฟองสบู่หรอกค่ะ”
เจ้าของบ้านสองคนมองดูหน้ากัน แล้วจ้าวสีฟ้าจึงหันไปทางเทอด ซักว่า “แล้วไงต่อไปเล่าครับ คุณเทอด เขาไม่ได้ให้ข้อสันนิษฐานบ้างดอกหรือว่าพัจนาของเราหายไปไหน และหายไปได้ยังไง”
เทอดอ้ำอึ้ง ผดาเห็นเขาเหลือบมองมาทางเธอแล้วก็มองดูพลินทร์ ชายคนหลังนี้กล่าวขึ้นว่า
“คุณเทอดไม่น่าจะต้องวิตกอะไร เพราะสุภาพสตรีผู้นี้เธอรับรองแล้วว่า เธอมิได้บอบบางเหมือนฟองน้ำฟองสบู่ ประสาทของเธอแข็งแกร่งพอๆกับเรา หรือบางทีก็อาจจะแข็งกว่าเราเสียด้วยซ้ำ”
เสียงของเขาราบเรียบเหมือนทุกครั้งที่พูดซึ่งก็สามารถทำให้ผดารู้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมาได้เหมือนทุกครั้งที่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เธอมองดูเทอด และกล่าวกับเขาผู้นั้นว่า
“จริงอย่างที่คุณพลินทร์พูดค่ะ คุณเทิดเล่าต่อไปเถอะค่ะ ดิฉันฟังได้”
เมื่อเทอดยังคงลังเลอยู่ พลินทร์ก็กล่าวย้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า “อ้าว ว่าไงคุณเทอด ได้ยินสุภาพสตรีพูดแล้วไม่ใช่หรือ คุณจะยังลังเลอะไรอยู่อีกเล่า”
“แต่ว่าพลินทร์” จ้าวสีฟ้าซึ่งปรกติเป็นบุคคลที่มีจิตใจอ่อนอยู่เสมอได้กล่าวทัดทานขึ้นด้วยเสียงอ่อนๆ “ถ้ามันเป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวจนเกินไปละก็ ผมคิดว่าเราอย่าเพิ่งพูดกันในเวลานี้จะดีกว่ากระมัง”
“นั่นน่ะซีครับ” จ้าวศรีธรซึ่งนั่งเงียบมานานแล้วกล่าวขึ้นเป็นเชิงสนับสนุนพี่ชาย แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไป พลินทร์ก็ขัดขึ้นมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะเฉียบขาดอยู่สักหน่อยว่า
“ขอโทษครับจ้าว จ้าวท่าจะลืมไปเสียละกระมังว่าสุภาพสตรีผู้นี้มีสิทธ์ที่จะได้รับรู้เรื่องราวของพัจนาเหมือนกัน มีสิทธ์ที่จะได้ดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น เท่าๆกับเราหรือมากกว่าเราเสียด้วยซ้ำ”
ผดามองผู้พูดด้วยความประหลาดใจ นี่พลินทร์ พงศ์ราช พูดถึงสิทธ์ของเธอหรือ สิทธ์ของเธอที่มีต่อพัจนา สิทธ์ที่ครั้งหนึ่งเขาไม่ยอมรับรู้ ยิ่งกว่านั้นยังได้พยายามทำลายเสียด้วยซ้ำ บัดนี่เขาได้พูดถึงมัน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการรับรองต่อหน้าผู้อื่น นี่เขานึกอย่างไรขึ้นมา หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเชื่อว่าพัจนาได้ตายไปแล้วละกระมัง ถ้าพัจนาได้ตายไปแล้วจริง การรับรองสิทธิ์ของเธอก็ไม่อาจทำให้เขาเสียหายแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันกลับจะได้ประโยชน์ เพราะจะเป็นการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขามิได้ร้ายกาจอย่างที่เธอกล่าวหาเลย เขาสิยังมีใจกว้างขวางและกรุณาพอที่จะรับว่าเธอเป็นอะไรกับพัจนา เธอเสียอีกที่เป็นผู้กล่าวหาเขาแต่ผู้เดียว อา เขาเป็นคนที่ฉลาดล้ำอย่างน่ากลัวทีเดียว นายพลินทร์ พงศ์ราช คนนี้
“พวกที่ไปสำรวจบอกว่าที่ที่เครื่องบินตกนั้น เป็นป่าลึกมากครับ” ผดาได้ยินเสียงเทอดเล่าหลังจากที่ได้ถูกกระตุ้นอีกครั้งหนึ่ง “ไม่ค่อยจะมีคนเดินทางผ่านบ่อยนัก นอกจากนานๆจะมีพวกสำรวจป่า หรือพวกนิยมไพรเข้าไปสักที”
“บ๊ะ อ้อมค้อมจริง” พลินทร์ว่า “แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับการที่พัจนาหายไปจากที่นั่นด้วย”
อีกครั้งหนึ่งที่เทอดชำเลืองมาทางผดาอีกแวบหนึ่ง จ้าวศรีธรซึ่งถึงแม้จะมีจิตใจอ่อนโยนอย่างพี่ชายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่า และด้วยเหตุที่ยังอยู่ในวัยค่อนข้างเยาว์ซึ่งเป็นวัยแห่งความร้อนและเร็ว ไม่ชอบการลังเลซึ่งทำให้เกิดความรำคาญและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จ้าวหนุ่มผู้เยาว์จึงได้พูดทะลุกลางปล้องออกมาว่า
“เมื่อคุณเทอดลำบากใจมากนักก็ มา ผมจะเล่าเอง พวกนั้นเขาคิดว่าการที่พัจนาหายไปนั้นไม่น่าจะเป็นการหายไปเพราะได้มีคนมาพบเข้าและนำตัวไปรักษา เพราะทางนั้นไม่ใช่ทางคนผ่าน เขาว่าถ้าพัจนาไม่พยายามกระเสือกกระสนไปตายที่อื่นละก็ คงต้องถูกสัตว์ร้ายลากเอาไปกินแน่นอน”
คราวนี้ผดาทำไม่สำเร็จที่จะป้องกันมิให้เสียงร้องของเธอดังออกมา คำบอกเล่าของเจ้าศรีธรตรงไปตรงมาและน่าหวาดเสียวจนเกินไป เธอนึกภาพพัจนาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกำลังกระเสือกกระสนพาตัวไปตามพื้นดินขรุขระ ลดเลี้ยวไปด้วยพงหนามด้วยความหวังที่จะได้พบผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่โผล่ออกมาจากป่านั้นมิได้เป็นผู้ที่เขาหวังจะได้พบ แต่มันกลับกลายเป็น... โอ คุณพระช่วย มันทารุณร้ายกาจเกินไป ผดายกมือทั้งสองขึ้นบิดตา ราวกับจะขับไล่ภาพนั้นไปเสียให้พ้นจากความสำนึก
“จ้าวศรีธร” เธอได้ยินเสียงพลินทร์ร้องดังขึ้น “ดูเหมือนสุภาพสตรีของเราจะตกใจมากเกินไปเสียแล้วละครับ”
เสียงนั้นทำให้ผดารู้สึกตัว เธอลดมือลงและได้พบว่าจ้าวหนุ่มสองคนพี่น้องกำลังจับตามองดูเธอด้วยความห่วงใย จ้าวศรีธรก็เป็นผู้กล่าวขึ้นว่า
“ผมเสียใจครับ คุณผดา ที่ทำให้คุณตกใจ แต่ผมเห็นคุณรับรองแข็งแรงว่าคุณจะไม่เป็นอะไร ผมจึงได้พูดออกมา”
“หน้าคุณซีดขาวเทียวครับ คุณผดา” จ้าวศรีฟ้าพูดขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความห่วงใย ผดามองดูเขาอย่างขอบใจ บอกว่า
“ดิฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะจ้าว เพียงแต่เรื่องที่จ้าวศรีธรเล่านั้น มันน่าหวาดเสียวเกินไปหน่อยเท่านั้น พัจนาไม่น่าจะต้องเคราะห์ร้ายถึงขนาดนั้นเลย แต่ถ้าเขาต้องเคราะห์ร้ายถึงขนาดนั้นจริงๆ เดี๋ยวนี่เราก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เสียแล้ว”
“แต่ทว่ามันเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้นเองนะครับ” จ้าวศรีธรพูดขึ้นอย่างปลอบโยน ใครๆ ก็ต้องการที่จะปลอบโยนเธอด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่เทอดที่นั่งเงียบอยู่ก็ยังมองมายังเธอด้วยดวงตาที่บอกชัดถึงความสงสารและวิตกกังวล จะมีอยู่ก็เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ช่างสงบระงับอารมณ์ เก็บความรู้สึกได้มิดชิดอย่างน่าพิศวงนัก
“พัจนาอาจจะปลอดภัยก็ได้” จ้าวศรีธรกล่าวต่อไป และผดาก็ได้ยินเสียงตัวเอง กล่าวตอบจ้าวศรีธรออกไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น ก็เห็นจะต้องเป็นปาฏิหาริย์”
“ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในโลกนี้” อีกเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นเรียบๆ แต่หนักแน่น “ฉะนั้นมันก็อาจจะเกิดขึ้นแก่พัจนาได้ เช่นกัน”
เสียงนั้นเป็นเสียงของพลินทร์ พงศ์ราช