อากาศภายในป่านี้ช่างมืดค่ำลงอย่างรวดเร็วเสียนี่กระไร ผดาคิดเมื่อออกมาจากห้องน้ำ และพบว่าอากาศได้มืดสลัวลงแล้วอย่างน่าประหลาดใจ อุ่นเรือนได้ทำหน้าที่แม่บ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เพียงชั่วระยะเวลาที่ผดาเข้าห้องน้ำ ซึ่งเธอกะว่าไม่เกินกว่าสิบนาที เมื่อออกมา ก็ได้เห็นเตียงนอนขนาดเดียวกันอีกเตียงหนึ่งถูกนำมาวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยที่นอนหมอนมุ้งกองเอาไว้ครบถ้วน ยังอยู่แต่จะกางและปูให้เรียบร้อยเท่านั้น เมื่อผดาทำท่าจะรับงานนั้นมาทำเสียเอง อุ่นเรือนซึ่งยังคงอยู่ในห้องนั้นก็รีบยุดมือเธอไว้ ห้ามว่า
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวดิฉันทำเอง คุณผดารีบแต่งตัวแล้วไปดูคุณพลินทร์ดีกว่า เผื่อเธอจะต้องการตัวคุณผดาบ้าง”
คำพูดที่พูดออกมาตามประสาซี่อของอุ่นเรือนทำให้ผดารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที อุ่นเรือนช่างพูดออกมาได้ว่าพลินทร์จะต้องการตัวผดา นี่ถ้าอุ่นเรือนได้รู้ความว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็น่ากลัวว่าหล่อนจะตกใจจนเกือบช็อคเป็นแน่ ผดามิได้โต้แย้งอย่างใดออกไปอีก เพราะไม่ต้องการให้อุ่นเรือนพูดต่อไป เธอละมือมายืนแต่งตัวเสียที่หน้ากระจก ผ้าซิ่นเข้ารูปด้ายแกมไหมสีเทาอมฟ้ายกเชิงด้วยไหมขาว และเสื้อแพรเนื้อเบาบางสีเดียวกัน ทำให้ผดาเห็นตัวเองแปลกไปจากเดิมจนผิดตา ขณะที่ใช้แปรงแปรงผมซึ่งตัดสั้นเพียงคอให้เข้ารูปนั้น ผดาเห็นว่าดวงหน้าของตนนั้นผ่องแผ้วขึ้นเป็นอันมาก แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะแสงตะเกียงที่ไม่สู้สว่างนักนั้นดอกกระมัง ที่ช่วยทำให้ผิวหน้าเธอดูนวลผ่องขึ้น ใครก็ไม่ทราบเคยพูดให้ฟังว่า ภาพที่จะสวยงามประทับใจ มักจะเป็นภาพที่มองดูคล้ายจะแอบแฝงอยู่ในความมืดสลัวมากกว่าภาพที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงที่แจ่มจ้า
เมื่อเธอหมุนตัวกลับมาจากหน้ากระจก อุ่นเรือนซึ่งกำลังดึงผ้าปูที่นอนให้ตึงอยู่นั้นก็ละจากงานที่ทำอยู่ มองดูเธอตรงๆ พร้อมกับชมว่า
“สวยจริงค่ะ คุณผดา”
ผดายิ้มรับคำชมนั้น อุ่นเรือนกล่าวต่อไปว่า “คุณผดาไปที่เรือนโน้นคนเดียวได้ไหมคะ ดิฉันจะดูเรื่องอาหารก่อน ประเดี๋ยวถึงจะไปกราบคุณพลินทร์ ดิฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักท่านเลย”
อุ่นเรือนช่างให้ความเคารพยกย่องพลินทร์เสียเหลือเกิน นี่ถ้าหล่อนได้รู้ว่าผดาเคยพูดจาโต้ตอบกับพลินทร์มาอย่างไรแล้วบ้าง หล่อนจะตกใจสักเพียงไหนหนอ ผดาคิดอยู่ในใจขณะที่เดินออกมาทางหน้าเรือน สวมรองเท้าแตะและก้าวลงไปยังพื้นดิน
ทั่วบริเวณลานกว้างขวางนั้นเกือบจะมืดสนิทถ้าจะไม่มีตะเกียงรั้วแสงจางๆ แขวนอยู่ที่เสาตรงปากทางเข้าสู่ลานนั้นดวงหนึ่ง แต่ที่เรือนพักหลังใหญ่นั้น บัดนี้ได้สว่างเจิดจ้าแล้วด้วยแสงตะเกียงเจ้าพายุ ผดาก้าวให้ช้าลงอีกเมื่อใกล้จะถึง เธอเข้ามาอยู่ในระยะที่ใกล้พอจะเห็นได้ชัดแล้วว่ามีใครอยู่ที่หน้าบ้านบ้าง พลินทร์นอนคว่ำหน้าอยู่กับหมอนบนเก้าอี้หรือแคร่ยาวๆ เตี้ยๆ ข้างกายเขามีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง จ้าวศรีธรกำลังทำอะไรวุ่นวายอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น ส่วนจ้าวศรีฟ้าเล่าก็เดินกลับไปกลับมาอย่างวุ่นวายใจใจเป็นกำลัง เมื่อเธอเดินเข้าใกล้ จ้าวศรีธรก็เหลือบมาเห็นเข้า แต่ยังเห็นไม่ถนัด เพราะเขาอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างจ้า ผดาได้ยินเสียงเขาพูดว่า
“นั่นยังไง คุณภิสัชมาพอดี”
เมื่อหญิงสาวก้าวขึ้นบันได ขึ้นไปสู่แสงไฟที่เจิดจ้าแล้วเขาจึงได้เห็นถนัดว่าเป็นใคร จ้าวศรีธรร้องว่า “อ้าว ไม่ยักใช่คุณภิสัช ที่แท้ก็คุณผดานั่นเอง” แล้วก็มองดูเธอนั่งเฉยอยู่
ผดายืนนิ่งอยู่เหนือขั้นบันได สายตาของชายทั้งสามที่จับจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียวกันนั้นมีอำนาจพอที่จะทำให้เกิดความประหม่าขึ้นมาได้ในฉับพลัน จ้าวศรีฟ้าหยุดเดิน และพลินทร์ก็ผงกศรีษะขึ้นจากหมอนที่ใช้รองอยู่ระหว่างครึ่งทรวงอกและดวงหน้าที่เอียงซบอยู่นั้น ผดาเดินไปที่โต๊ะข้างกายจ้าวศรีธร ซึ่งขณะนั้นเกะกะไปด้วยอ่างใส่สำลี ผ้าพันแผล ขวดยา กรรไกรและเครื่องมือปฐมพยาบาลหลายอย่าง พูดว่า
“ตายจริง นี่อะไรกันคะ เกิดอะไรขึ้นมาถึงได้มองดูดิฉันเหมือนกับไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างนี้ เกือบทำให้ดิฉันขาแกว่งแล้วไหมล่ะ”
จ้าวศรีฟ้าถอนใจยืดยาว ดวงตาที่เขามองดูเธอในขณะนั้นบอกถึงความรู้สึกในใจชัดแจ้งเสียจนกระทั่งผดาไม่กล้ามองสบตาเขาอีกเป็นครั้งที่สอง พลินทร์กลับเอียงหน้าลงซบกับหมอนดังเดิม จ้าวศรีธรเป็นผู้ตอบหญิงสาวด้วยเสียงที่รื่นเริงตามเคยของเขาว่า
“คุณผดาแปลกไปจนผมเกือบจะไม่เชื่อว่าเป็นคุณเสียอีก”
“ตายจริง” ผดาร้องออกมา “จ้าวนึกว่าเป็นใครล่ะคะถ้าไม่ใช่ดิฉัน”
“นึกว่าเป็น... เป็น... เอ้อ... เป็นใครก็ได้ครับที่ไม่ใช่คุณผดาคนเดิมนั่นแหละ”
“แต่ดิฉันก็ยังเป็นผดาคนเดิมนั่นเอง จ้าวจะเกณฑ์ให้เป็นคนอื่นได้ยังไงคะ”
จ้าวศรีฟ้ายกเก้าอี้เข้ามาตั้งให้ใกล้กับที่หญิงสาวยืนอยู่ บอกว่า “อย่าไปเถียงกับนายศรีธรเลยครับ คุณผดา เชิญนั่งซีครับ” เขาเดินไปเกาะลูกกรง มองฝ่าความมืดออกไปภายนอกอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะหันมาบอกกับเธอว่า “ศรีธรกำลังมองหาผู้ช่วยอยู่ คุณผดาเห็นคุณภิสัชไหมครับ”
“ไม่เห็นเลยค่ะ” ผดาตอบไปตามความจริง และศรีธรก็พูดขึ้นว่า
“ไม่รู้ว่าคุณภิสัชหายไปไหนเร็วเหลือเกิน พอมาถึงยังไม่ทันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็หายตัวไปเสียแล้ว”
ก่อนที่ผดาจะพูดอย่างใดออกมา ก็ได้ยินเสียงดังมาจากเก้าอี้ตัวยาวนั้นว่า “คงจะไปเที่ยวสืบหาร่องรอยคนร้ายกระมัง เขาไม่ได้มาทำหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์นี่นา จ้าวก็ อย่าไปคอยเขาดีกว่า จะผ่าก็รีบผ่าเสียเดี๋ยวนี้ ผมไม่อยากจะเก็บลูกปืนไว้กับตัวนานนักหรอก”
“เอา ผ่าก็ผ่า” จ้าวศรีธรตกลงอย่างว่าง่าย “เฮ้ นายคนนั้นน่ะ” เขาเรียกคนงานถือตะเกียงเจ้าพายุอีกดวงหนึ่งเดินออกมาจากทางด้านหลังป้าย และมาหยุดยืนหันรีหันขวางเก้ๆ กังๆ อยู่ สั่งว่า “เอาตะเกียงดวงนั้นมาแขวนไว้ตรงนี้ใกล้ๆ นี่แล้วไปถามคุณเทอดดูซิว่า น้ำเดือดหรือยัง”
เขาจับต้องสิ่งต่างๆ อย่างทะมัดทะแมง ชวนว่า “คุณผดาเป็นผู้ช่วยผมหน่อยนะครับ”
ก่อนที่ผดาจะตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ได้ยินจ้าวศรีฟ้าค้านว่า “จะดีหรือ ศรีธร คุณผดาเป็นผู้หญิงนะ เรื่องอย่างนี้มันน่าหวาดเสียวเกินกว่าที่ผู้หญิงจะทนได้”
“ถ้างั้นจ้าวพี่ก็ได้” จ้าวศรีธรบอก พี่ชายทำหน้าพิกล พลินทร์ผงกศีรษะขึ้น เขามองไปที่สหายของเขา มิได้มองมาที่ผดาเมื่อพูดว่า
“อย่าลืมนะจ้าว ว่าสุภาพสตรีของเราไม่ได้เป็นผู้หญิงประเภทที่บอบบางเหมือนฟองน้ำฟองสบู่ เรื่องแค่นี้คงจะไม่เป็นสิ่งสุดวิสัยที่ทำให้เธอถึงกับทนไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่า...” เขาเว้นระยะ เบนสายตามาผสานกับของหญิงสาวที่จ้องจับเขาเขม็งอยู่แล้ว แล้วจึงพูดต่อไปว่า “นอกเสียจากว่า การทำสิ่งใดให้นายพลินทร์ พงศ์ราช จะทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นการเสียเกียรติเท่านั้น”
เงียบสนิทนักเมื่อดวงตาสองคู่จ้องจับกันอยู่อย่างท้าทายและถือดี ไม่มีใครกล่าววาจาอย่างใดออกมา จ้าวหนุ่มสองพี่น้องชำเลืองสบตากันอย่างเงียบๆ แล้วก็หันไปเฝ้ามองดูอิริยาบถของหญิงชายทั้งสองต่อไป ในที่สุด เขาก็เห็นหญิงสาวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า
“ตกลงค่ะจ้าว ดิฉันจะเป็นผู้ช่วยของจ้าวเอง”
ดวงตาที่ยังคงจ้องมองสบตาชายหนุ่มนั้นวาววับขึ้นเล็กน้อย และก็เช่นเดียวกันกับพลินทร์ จ้าวศรีธรแลเห็นรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เหือดหายไปโดยเร็ว เขาเบือนหน้ามาทางนายแพทย์จำเป็น บอกว่า
“ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือจ้าว จะลงมือได้หรือยังเล่า”
“จะไหวหรือครับ คุณผดา” จ้าวศรีฟ้าก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาว ถามอย่างเป็นห่วง “อย่าฝืนใจเพราะฉิวพลินทร์นะคุณผดา เดี๋ยวพอเห็นเลือดเข้าจริงๆ เป็นลมเป็นแล้งไปละก็แย่เลย”
“ดิฉันไม่ได้ฉิวคุณพลินทร์ดอกค่ะ” ผดาตอบเรียบๆ หันหน้าจากคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้นมาทางคนที่เธอพูดด้วย “จะไปฉิวท่านได้อย่างไรคะ ท่านออกมีบุญคุณยอมให้ดิฉันได้ติดตามออกมาที่นี่ด้วย นับว่าท่านมีบุญคุณต่อดิฉันมากนักหนา เมื่อพอจะมีทางทำอะไรที่เป็นการทดแทนบุญคุณท่านได้ ดิฉันก็อยากจะทำ”
“ว้า” จ้าวศรีธรร้องพร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัว “ที่แท้คุณก็ยังเป็นคุณผดาคนเก่าอยู่นั่นเองแหละ ดูซี คุณพลินทร์แอบยิ้มแล้วเห็นไหมครับ”
พลินทร์จะยิ้มจริงหรือไม่นั้นผดาไม่ได้หันไปมอง เธอมองดูแต่ที่ดวงหน้าของจ้าวศรีธร เมื่อพูดยิ้มๆ ว่า
“คุณพลินทร์คงยิ้มเพราะนึกขันที่คนอย่างดิฉันก็ยังอุตส่าห์รู้สึก ระลึกถึงบุญคุณของใครเป็นเหมือนกัน แต่ว่าความจริงนั้น ดิฉันต้องขอรับสารภาพว่า ที่ดิฉันรับอาสานั้น มิได้เป็นเพราะดิฉันอยากจะตอบแทนบุญคุณแต่เพียงอย่างเดียวดอกค่ะ”
เธอหยุดพูดเพื่อให้โอกาสแก่ ใครคนใดคนหนึ่งที่จะตั้งคำถามซึ่งเธออยากจะให้ถาม และแล้วก็สมหวัง จ้าวศรีธรช่างถามได้ตรงกับที่เธออยากจะให้ถามนักว่า
“อ้อ ยังมีเหตุผลพิเศษอะไรอีกหรือครับ”
ผดาจับตามองดูศีรษะอันได้รูป ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทซึ่งวางอยู่บนหมอนสีขาวสะอาดนั้น ตอบคำถามช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ และอย่างจงใจที่สุดว่า
“มีแน่นอนค่ะ ดิฉันอยากจะได้ยินเสียงของคุณพลินทร์ พงศ์ราช ในเวลาที่ร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดรวดร้าวนั้น ว่าจะฟังไพเราะจับใจสักเพียงไร”
ใบหน้าที่แนบอยู่กับหมอนนั้นเงยขึ้นในทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับจ้องเขม็งมองมาสบตาหญิงสาวราวกับจะแผดเผาร่างอันสูงระหงกลมกลึงนั้นให้มอดไหม้เป็นจุลไปในพริบตา ครู่ใหญ่ ผดาจึงได้ยินเสียงเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างน่าพิศวงว่า
“ดีละ เธอคงจะได้ยินสมใจ มา จ้าว ลงมือเถอะ”
สิบนาทีต่อจากนั้นช่างดูนานราวกับสักสิบปีที่เต็มไปด้วยฝันร้าย ในที่สุด ผดาก็ได้พบตัวเธอเองยืนเช็ดเหงื่ออยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะยังคงคละคลุ้งอยู่รอบกายเธอ และผดาเป็นผู้ส่งเครื่องมือ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดวงหน้าอันอ่อนเยาว์ของจ้าวศรีธรที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มสนุกสนานราวกับไม่เคยรู้จักกับความทุกข์โศกนั้นเลย เคร่งขรึมอย่างเอาจริงเอาจัง ร่างของพลินทร์นอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น แผ่นหลังอันกว้างใหญ่แข็งแรงบ่งบอกถึงความสมบูรณ์แห่งพลานามัยของชายในวัยฉกรรจ์เปลือยเปล่าอยู่ท่ามกลางแสงอันสว่างไสวของตะเกียงเจ้าพายุ จ้าวศรีฟ้าซึ่งเป็นคนใจอ่อนเดินเลี่ยงไปทางสุดมุมเฉลียง เมื่อได้ยินเสียงน้องชายร้องถามว่า
“ทุกคนพร้อมแล้วหรือยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ” ผดาจำได้ว่าเธอฝืนใจตอบออกไปอย่างใจคอสั่นเต็มที เสียงจ้าวศรีธรถามพลินทร์ต่อไปว่า
“คุณพลินทร์เล่าครับ พร้อมแล้วหรือยัง”
“เดี๋ยว” พลินทร์บอก “เทอดช่วยจุดบุหรี่ใส่ปากผมตัวเถอะ”
เทอดทำตาม แม้แต่ผู้ชายที่มีประสาทแข็งแกร่งอย่างเทอดก็ยังอดที่จะมือสั่นไม่ได้ เขาจุดบุหรี่แล้วใส่ให้ในปากตามคำสั่ง พลินทร์อัดอย่างแรงและลึก ควันสีขาวอมเทาพ่นออกมาเป็นทางยาวสองข้างมุมปาก เขาถอนใจยาวลึกอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า
“เอาละจ้าว ผมพร้อมแล้ว”
และวินาทีแห่งความฝันร้ายก็มาถึง เมื่อจ้าวศรีธรจรดคมมีดอันคมกริบลงบนปากแผลที่ผดาจัดการทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้วนั้น เลือดสีแดงสดทะลักออกมาราวกับธารเลือด แผ่นเนื้อนั้นเต้นระริก ผดาได้ยินเสียงกรามบดกันดังกรอด เมื่อเธอมองดูดวงหน้า ที่เอียงซบอยู่ระหว่างท่อนแขนและมือทั้งสองข้างที่ยึดขอบเก้าอี้แน่นราวกับจะบีบให้มันพังยับไปกับมือนั้น ก็ได้เห็นบุหรี่ถูกขบแหลกละเอียดไปคาริมฝีปาก!
หลังจากที่จ้าวศรีธรทำความสะอาดแผลและพันผ้าให้เรียบร้อยแล้ว พลินทร์ยังคงต้องนอนเฉยอยู่เช่นนั้นอีกพักใหญ่ ตามคำสั่งของหมอจำเป็น จ้าวศรีฟ้าลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งลงตรงหน้าสหาย ถามอย่างเป็นห่วงว่า
“เป็นไงบ้างพลินทร์ ฝีมือหมอจำเป็น ผมละทนดูอยู่ไม่ไหวเลย คุณผดาเก่งมาก ใจแข็งเหลือเกิน ผมเห็นหน้าเธอซีดขาวทีเดียว กัดริมฝีปากแน่น นึกว่าจะเป็นลมเสียแล้วซี แต่ไม่ยักเป็น”
“ทำไมเขาถึงจะเป็นลม ในเมื่อมันเป็นความสุขของเขา ที่จะได้เห็นผมรู้สึกเจ็บปวดทรมาน” พลินทร์ว่า ยังคงหลับตาเฉยอยู่จนกระทั่งได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ และเสียงจ้าวศรีธรพูดขึ้นว่า
“นี่ครับ คุณพลินทร์ อาหารวิเศษสำหรับคนป่วย”
นั่นแหละเขาจึงได้ลืมตาแล้วผงกศีรษะขึ้น ก็ได้เห็นจ้าวศรีธรกำลังถือสิ่งหนึ่งไว้ในมือและยื่นมายังตรงหน้าเขา สิ่งนั้นคือถ้วยแก้วบรรจุน้ำข้นๆ สีเหลืองอำพันอ่อนๆ อยู่เกือบเต็ม จ้าวศรีธรบอกอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ดื่มให้หมดเลยครับ นมสด ไข่ไก่ และบรั่นดี เป็นยาบำรุงที่ดีเลิศทีเดียว”
พลินทร์เอื้อมมือออกไปรับมาถือไว้ด้วยความลำบาก เขาจ่อปากแก้วเข้าใต้จมูก สูดกลิ่นอันหอมหวานนั้นแล้วบอกว่า “ขอบใจมากจ้าว คุณหมอคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว” เลื่อนขอบแก้วมาจรดริมฝีปาก และดื่มทีละน้อยๆ จนหมดแก้ว แล้วก็ส่งแก้วเปล่าคืนให้ พูดยิ้มๆ ว่า “นี่ไปเรียนวิธีผสมเอ๊กน้อกมาจากไหน ฝีมือกลมกล่อมไม่เลวเลย”
“ไม่ใช่ฝีมือผมดอกครับ ฝีมือคุณผดาน่ะ” จ้าวศรีธรบอกเรียบๆ และเดินถือแก้วกลับเข้าไปทางหลังบ้านเสีย มิได้อยู่ดูว่าคำบอกเล่าของตนนั้นจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างไดกับผู้ฟังบ้าง