หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 22

อากาศภายในป่านี้ช่างมืดค่ำลงอย่างรวดเร็วเสียนี่กระไร   ผดาคิดเมื่อออกมาจากห้องน้ำ และพบว่าอากาศได้มืดสลัวลงแล้วอย่างน่าประหลาดใจ     อุ่นเรือนได้ทำหน้าที่แม่บ้านได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ   เพียงชั่วระยะเวลาที่ผดาเข้าห้องน้ำ ซึ่งเธอกะว่าไม่เกินกว่าสิบนาที   เมื่อออกมา ก็ได้เห็นเตียงนอนขนาดเดียวกันอีกเตียงหนึ่งถูกนำมาวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว   พร้อมด้วยที่นอนหมอนมุ้งกองเอาไว้ครบถ้วน   ยังอยู่แต่จะกางและปูให้เรียบร้อยเท่านั้น   เมื่อผดาทำท่าจะรับงานนั้นมาทำเสียเอง   อุ่นเรือนซึ่งยังคงอยู่ในห้องนั้นก็รีบยุดมือเธอไว้   ห้ามว่า

“ไม่ต้องค่ะ   เดี๋ยวดิฉันทำเอง   คุณผดารีบแต่งตัวแล้วไปดูคุณพลินทร์ดีกว่า   เผื่อเธอจะต้องการตัวคุณผดาบ้าง”

คำพูดที่พูดออกมาตามประสาซี่อของอุ่นเรือนทำให้ผดารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที   อุ่นเรือนช่างพูดออกมาได้ว่าพลินทร์จะต้องการตัวผดา   นี่ถ้าอุ่นเรือนได้รู้ความว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว   ก็น่ากลัวว่าหล่อนจะตกใจจนเกือบช็อคเป็นแน่   ผดามิได้โต้แย้งอย่างใดออกไปอีก เพราะไม่ต้องการให้อุ่นเรือนพูดต่อไป   เธอละมือมายืนแต่งตัวเสียที่หน้ากระจก   ผ้าซิ่นเข้ารูปด้ายแกมไหมสีเทาอมฟ้ายกเชิงด้วยไหมขาว และเสื้อแพรเนื้อเบาบางสีเดียวกัน   ทำให้ผดาเห็นตัวเองแปลกไปจากเดิมจนผิดตา   ขณะที่ใช้แปรงแปรงผมซึ่งตัดสั้นเพียงคอให้เข้ารูปนั้น   ผดาเห็นว่าดวงหน้าของตนนั้นผ่องแผ้วขึ้นเป็นอันมาก   แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะแสงตะเกียงที่ไม่สู้สว่างนักนั้นดอกกระมัง  ที่ช่วยทำให้ผิวหน้าเธอดูนวลผ่องขึ้น     ใครก็ไม่ทราบเคยพูดให้ฟังว่า  ภาพที่จะสวยงามประทับใจ มักจะเป็นภาพที่มองดูคล้ายจะแอบแฝงอยู่ในความมืดสลัวมากกว่าภาพที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางแสงที่แจ่มจ้า

เมื่อเธอหมุนตัวกลับมาจากหน้ากระจก   อุ่นเรือนซึ่งกำลังดึงผ้าปูที่นอนให้ตึงอยู่นั้นก็ละจากงานที่ทำอยู่  มองดูเธอตรงๆ พร้อมกับชมว่า

“สวยจริงค่ะ   คุณผดา”

ผดายิ้มรับคำชมนั้น   อุ่นเรือนกล่าวต่อไปว่า   “คุณผดาไปที่เรือนโน้นคนเดียวได้ไหมคะ   ดิฉันจะดูเรื่องอาหารก่อน   ประเดี๋ยวถึงจะไปกราบคุณพลินทร์   ดิฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักท่านเลย”

อุ่นเรือนช่างให้ความเคารพยกย่องพลินทร์เสียเหลือเกิน   นี่ถ้าหล่อนได้รู้ว่าผดาเคยพูดจาโต้ตอบกับพลินทร์มาอย่างไรแล้วบ้าง   หล่อนจะตกใจสักเพียงไหนหนอ   ผดาคิดอยู่ในใจขณะที่เดินออกมาทางหน้าเรือน   สวมรองเท้าแตะและก้าวลงไปยังพื้นดิน

ทั่วบริเวณลานกว้างขวางนั้นเกือบจะมืดสนิทถ้าจะไม่มีตะเกียงรั้วแสงจางๆ แขวนอยู่ที่เสาตรงปากทางเข้าสู่ลานนั้นดวงหนึ่ง   แต่ที่เรือนพักหลังใหญ่นั้น   บัดนี้ได้สว่างเจิดจ้าแล้วด้วยแสงตะเกียงเจ้าพายุ   ผดาก้าวให้ช้าลงอีกเมื่อใกล้จะถึง   เธอเข้ามาอยู่ในระยะที่ใกล้พอจะเห็นได้ชัดแล้วว่ามีใครอยู่ที่หน้าบ้านบ้าง   พลินทร์นอนคว่ำหน้าอยู่กับหมอนบนเก้าอี้หรือแคร่ยาวๆ เตี้ยๆ   ข้างกายเขามีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง   จ้าวศรีธรกำลังทำอะไรวุ่นวายอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น   ส่วนจ้าวศรีฟ้าเล่าก็เดินกลับไปกลับมาอย่างวุ่นวายใจใจเป็นกำลัง     เมื่อเธอเดินเข้าใกล้   จ้าวศรีธรก็เหลือบมาเห็นเข้า   แต่ยังเห็นไม่ถนัด เพราะเขาอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างจ้า   ผดาได้ยินเสียงเขาพูดว่า

“นั่นยังไง   คุณภิสัชมาพอดี”

เมื่อหญิงสาวก้าวขึ้นบันได ขึ้นไปสู่แสงไฟที่เจิดจ้าแล้วเขาจึงได้เห็นถนัดว่าเป็นใคร   จ้าวศรีธรร้องว่า   “อ้าว   ไม่ยักใช่คุณภิสัช   ที่แท้ก็คุณผดานั่นเอง”   แล้วก็มองดูเธอนั่งเฉยอยู่

ผดายืนนิ่งอยู่เหนือขั้นบันได   สายตาของชายทั้งสามที่จับจ้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียวกันนั้นมีอำนาจพอที่จะทำให้เกิดความประหม่าขึ้นมาได้ในฉับพลัน   จ้าวศรีฟ้าหยุดเดิน และพลินทร์ก็ผงกศรีษะขึ้นจากหมอนที่ใช้รองอยู่ระหว่างครึ่งทรวงอกและดวงหน้าที่เอียงซบอยู่นั้น   ผดาเดินไปที่โต๊ะข้างกายจ้าวศรีธร ซึ่งขณะนั้นเกะกะไปด้วยอ่างใส่สำลี   ผ้าพันแผล   ขวดยา   กรรไกรและเครื่องมือปฐมพยาบาลหลายอย่าง   พูดว่า

“ตายจริง   นี่อะไรกันคะ   เกิดอะไรขึ้นมาถึงได้มองดูดิฉันเหมือนกับไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างนี้   เกือบทำให้ดิฉันขาแกว่งแล้วไหมล่ะ”

จ้าวศรีฟ้าถอนใจยืดยาว   ดวงตาที่เขามองดูเธอในขณะนั้นบอกถึงความรู้สึกในใจชัดแจ้งเสียจนกระทั่งผดาไม่กล้ามองสบตาเขาอีกเป็นครั้งที่สอง   พลินทร์กลับเอียงหน้าลงซบกับหมอนดังเดิม   จ้าวศรีธรเป็นผู้ตอบหญิงสาวด้วยเสียงที่รื่นเริงตามเคยของเขาว่า

“คุณผดาแปลกไปจนผมเกือบจะไม่เชื่อว่าเป็นคุณเสียอีก”

“ตายจริง”   ผดาร้องออกมา   “จ้าวนึกว่าเป็นใครล่ะคะถ้าไม่ใช่ดิฉัน”

“นึกว่าเป็น... เป็น... เอ้อ... เป็นใครก็ได้ครับที่ไม่ใช่คุณผดาคนเดิมนั่นแหละ”

“แต่ดิฉันก็ยังเป็นผดาคนเดิมนั่นเอง   จ้าวจะเกณฑ์ให้เป็นคนอื่นได้ยังไงคะ”

จ้าวศรีฟ้ายกเก้าอี้เข้ามาตั้งให้ใกล้กับที่หญิงสาวยืนอยู่   บอกว่า   “อย่าไปเถียงกับนายศรีธรเลยครับ   คุณผดา   เชิญนั่งซีครับ”   เขาเดินไปเกาะลูกกรง   มองฝ่าความมืดออกไปภายนอกอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะหันมาบอกกับเธอว่า   “ศรีธรกำลังมองหาผู้ช่วยอยู่   คุณผดาเห็นคุณภิสัชไหมครับ”

“ไม่เห็นเลยค่ะ”   ผดาตอบไปตามความจริง   และศรีธรก็พูดขึ้นว่า

“ไม่รู้ว่าคุณภิสัชหายไปไหนเร็วเหลือเกิน   พอมาถึงยังไม่ทันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็หายตัวไปเสียแล้ว”

ก่อนที่ผดาจะพูดอย่างใดออกมา ก็ได้ยินเสียงดังมาจากเก้าอี้ตัวยาวนั้นว่า   “คงจะไปเที่ยวสืบหาร่องรอยคนร้ายกระมัง   เขาไม่ได้มาทำหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์นี่นา   จ้าวก็   อย่าไปคอยเขาดีกว่า   จะผ่าก็รีบผ่าเสียเดี๋ยวนี้   ผมไม่อยากจะเก็บลูกปืนไว้กับตัวนานนักหรอก”

“เอา   ผ่าก็ผ่า”   จ้าวศรีธรตกลงอย่างว่าง่าย   “เฮ้   นายคนนั้นน่ะ”   เขาเรียกคนงานถือตะเกียงเจ้าพายุอีกดวงหนึ่งเดินออกมาจากทางด้านหลังป้าย   และมาหยุดยืนหันรีหันขวางเก้ๆ กังๆ อยู่   สั่งว่า   “เอาตะเกียงดวงนั้นมาแขวนไว้ตรงนี้ใกล้ๆ นี่แล้วไปถามคุณเทอดดูซิว่า น้ำเดือดหรือยัง”

เขาจับต้องสิ่งต่างๆ อย่างทะมัดทะแมง   ชวนว่า   “คุณผดาเป็นผู้ช่วยผมหน่อยนะครับ”

ก่อนที่ผดาจะตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ได้ยินจ้าวศรีฟ้าค้านว่า   “จะดีหรือ   ศรีธร   คุณผดาเป็นผู้หญิงนะ   เรื่องอย่างนี้มันน่าหวาดเสียวเกินกว่าที่ผู้หญิงจะทนได้”

“ถ้างั้นจ้าวพี่ก็ได้”   จ้าวศรีธรบอก   พี่ชายทำหน้าพิกล   พลินทร์ผงกศีรษะขึ้น   เขามองไปที่สหายของเขา   มิได้มองมาที่ผดาเมื่อพูดว่า

“อย่าลืมนะจ้าว   ว่าสุภาพสตรีของเราไม่ได้เป็นผู้หญิงประเภทที่บอบบางเหมือนฟองน้ำฟองสบู่   เรื่องแค่นี้คงจะไม่เป็นสิ่งสุดวิสัยที่ทำให้เธอถึงกับทนไม่ได้หรอก   นอกเสียจากว่า...”   เขาเว้นระยะ   เบนสายตามาผสานกับของหญิงสาวที่จ้องจับเขาเขม็งอยู่แล้ว   แล้วจึงพูดต่อไปว่า   “นอกเสียจากว่า การทำสิ่งใดให้นายพลินทร์  พงศ์ราช   จะทำให้เธอรู้สึกว่ามันเป็นการเสียเกียรติเท่านั้น”

เงียบสนิทนักเมื่อดวงตาสองคู่จ้องจับกันอยู่อย่างท้าทายและถือดี   ไม่มีใครกล่าววาจาอย่างใดออกมา   จ้าวหนุ่มสองพี่น้องชำเลืองสบตากันอย่างเงียบๆ   แล้วก็หันไปเฝ้ามองดูอิริยาบถของหญิงชายทั้งสองต่อไป   ในที่สุด เขาก็เห็นหญิงสาวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย   พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า

“ตกลงค่ะจ้าว   ดิฉันจะเป็นผู้ช่วยของจ้าวเอง”

ดวงตาที่ยังคงจ้องมองสบตาชายหนุ่มนั้นวาววับขึ้นเล็กน้อย   และก็เช่นเดียวกันกับพลินทร์   จ้าวศรีธรแลเห็นรอยยิ้มจางๆ   ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เหือดหายไปโดยเร็ว   เขาเบือนหน้ามาทางนายแพทย์จำเป็น   บอกว่า

“ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือจ้าว   จะลงมือได้หรือยังเล่า”

“จะไหวหรือครับ   คุณผดา”   จ้าวศรีฟ้าก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาว   ถามอย่างเป็นห่วง   “อย่าฝืนใจเพราะฉิวพลินทร์นะคุณผดา   เดี๋ยวพอเห็นเลือดเข้าจริงๆ เป็นลมเป็นแล้งไปละก็แย่เลย”

“ดิฉันไม่ได้ฉิวคุณพลินทร์ดอกค่ะ”   ผดาตอบเรียบๆ   หันหน้าจากคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้นมาทางคนที่เธอพูดด้วย   “จะไปฉิวท่านได้อย่างไรคะ   ท่านออกมีบุญคุณยอมให้ดิฉันได้ติดตามออกมาที่นี่ด้วย   นับว่าท่านมีบุญคุณต่อดิฉันมากนักหนา   เมื่อพอจะมีทางทำอะไรที่เป็นการทดแทนบุญคุณท่านได้   ดิฉันก็อยากจะทำ”

“ว้า”   จ้าวศรีธรร้องพร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัว   “ที่แท้คุณก็ยังเป็นคุณผดาคนเก่าอยู่นั่นเองแหละ   ดูซี   คุณพลินทร์แอบยิ้มแล้วเห็นไหมครับ”

พลินทร์จะยิ้มจริงหรือไม่นั้นผดาไม่ได้หันไปมอง   เธอมองดูแต่ที่ดวงหน้าของจ้าวศรีธร เมื่อพูดยิ้มๆ ว่า

“คุณพลินทร์คงยิ้มเพราะนึกขันที่คนอย่างดิฉันก็ยังอุตส่าห์รู้สึก ระลึกถึงบุญคุณของใครเป็นเหมือนกัน   แต่ว่าความจริงนั้น ดิฉันต้องขอรับสารภาพว่า   ที่ดิฉันรับอาสานั้น มิได้เป็นเพราะดิฉันอยากจะตอบแทนบุญคุณแต่เพียงอย่างเดียวดอกค่ะ”

เธอหยุดพูดเพื่อให้โอกาสแก่ ใครคนใดคนหนึ่งที่จะตั้งคำถามซึ่งเธออยากจะให้ถาม และแล้วก็สมหวัง   จ้าวศรีธรช่างถามได้ตรงกับที่เธออยากจะให้ถามนักว่า

“อ้อ   ยังมีเหตุผลพิเศษอะไรอีกหรือครับ”

ผดาจับตามองดูศีรษะอันได้รูป ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทซึ่งวางอยู่บนหมอนสีขาวสะอาดนั้น   ตอบคำถามช้าๆ   ชัดถ้อยชัดคำ และอย่างจงใจที่สุดว่า

“มีแน่นอนค่ะ   ดิฉันอยากจะได้ยินเสียงของคุณพลินทร์   พงศ์ราช ในเวลาที่ร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดรวดร้าวนั้น   ว่าจะฟังไพเราะจับใจสักเพียงไร”

ใบหน้าที่แนบอยู่กับหมอนนั้นเงยขึ้นในทันที   ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับจ้องเขม็งมองมาสบตาหญิงสาวราวกับจะแผดเผาร่างอันสูงระหงกลมกลึงนั้นให้มอดไหม้เป็นจุลไปในพริบตา   ครู่ใหญ่ ผดาจึงได้ยินเสียงเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างน่าพิศวงว่า

“ดีละ   เธอคงจะได้ยินสมใจ   มา   จ้าว   ลงมือเถอะ”

สิบนาทีต่อจากนั้นช่างดูนานราวกับสักสิบปีที่เต็มไปด้วยฝันร้าย   ในที่สุด ผดาก็ได้พบตัวเธอเองยืนเช็ดเหงื่ออยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน   กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะยังคงคละคลุ้งอยู่รอบกายเธอ   และผดาเป็นผู้ส่งเครื่องมือ   ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา   ดวงหน้าอันอ่อนเยาว์ของจ้าวศรีธรที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มสนุกสนานราวกับไม่เคยรู้จักกับความทุกข์โศกนั้นเลย   เคร่งขรึมอย่างเอาจริงเอาจัง   ร่างของพลินทร์นอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น   แผ่นหลังอันกว้างใหญ่แข็งแรงบ่งบอกถึงความสมบูรณ์แห่งพลานามัยของชายในวัยฉกรรจ์เปลือยเปล่าอยู่ท่ามกลางแสงอันสว่างไสวของตะเกียงเจ้าพายุ   จ้าวศรีฟ้าซึ่งเป็นคนใจอ่อนเดินเลี่ยงไปทางสุดมุมเฉลียง เมื่อได้ยินเสียงน้องชายร้องถามว่า

“ทุกคนพร้อมแล้วหรือยัง”

“พร้อมแล้วค่ะ”   ผดาจำได้ว่าเธอฝืนใจตอบออกไปอย่างใจคอสั่นเต็มที   เสียงจ้าวศรีธรถามพลินทร์ต่อไปว่า

“คุณพลินทร์เล่าครับ   พร้อมแล้วหรือยัง”

“เดี๋ยว”   พลินทร์บอก   “เทอดช่วยจุดบุหรี่ใส่ปากผมตัวเถอะ”

เทอดทำตาม   แม้แต่ผู้ชายที่มีประสาทแข็งแกร่งอย่างเทอดก็ยังอดที่จะมือสั่นไม่ได้   เขาจุดบุหรี่แล้วใส่ให้ในปากตามคำสั่ง   พลินทร์อัดอย่างแรงและลึก   ควันสีขาวอมเทาพ่นออกมาเป็นทางยาวสองข้างมุมปาก   เขาถอนใจยาวลึกอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะบอกว่า

“เอาละจ้าว   ผมพร้อมแล้ว”

และวินาทีแห่งความฝันร้ายก็มาถึง   เมื่อจ้าวศรีธรจรดคมมีดอันคมกริบลงบนปากแผลที่ผดาจัดการทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้วนั้น   เลือดสีแดงสดทะลักออกมาราวกับธารเลือด   แผ่นเนื้อนั้นเต้นระริก   ผดาได้ยินเสียงกรามบดกันดังกรอด   เมื่อเธอมองดูดวงหน้า ที่เอียงซบอยู่ระหว่างท่อนแขนและมือทั้งสองข้างที่ยึดขอบเก้าอี้แน่นราวกับจะบีบให้มันพังยับไปกับมือนั้น   ก็ได้เห็นบุหรี่ถูกขบแหลกละเอียดไปคาริมฝีปาก!

หลังจากที่จ้าวศรีธรทำความสะอาดแผลและพันผ้าให้เรียบร้อยแล้ว   พลินทร์ยังคงต้องนอนเฉยอยู่เช่นนั้นอีกพักใหญ่ ตามคำสั่งของหมอจำเป็น   จ้าวศรีฟ้าลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งลงตรงหน้าสหาย   ถามอย่างเป็นห่วงว่า

“เป็นไงบ้างพลินทร์   ฝีมือหมอจำเป็น     ผมละทนดูอยู่ไม่ไหวเลย   คุณผดาเก่งมาก   ใจแข็งเหลือเกิน   ผมเห็นหน้าเธอซีดขาวทีเดียว   กัดริมฝีปากแน่น   นึกว่าจะเป็นลมเสียแล้วซี   แต่ไม่ยักเป็น”

“ทำไมเขาถึงจะเป็นลม   ในเมื่อมันเป็นความสุขของเขา   ที่จะได้เห็นผมรู้สึกเจ็บปวดทรมาน”   พลินทร์ว่า   ยังคงหลับตาเฉยอยู่จนกระทั่งได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ และเสียงจ้าวศรีธรพูดขึ้นว่า

“นี่ครับ   คุณพลินทร์   อาหารวิเศษสำหรับคนป่วย”

นั่นแหละเขาจึงได้ลืมตาแล้วผงกศีรษะขึ้น   ก็ได้เห็นจ้าวศรีธรกำลังถือสิ่งหนึ่งไว้ในมือและยื่นมายังตรงหน้าเขา   สิ่งนั้นคือถ้วยแก้วบรรจุน้ำข้นๆ สีเหลืองอำพันอ่อนๆ อยู่เกือบเต็ม   จ้าวศรีธรบอกอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า   “ดื่มให้หมดเลยครับ   นมสด   ไข่ไก่   และบรั่นดี   เป็นยาบำรุงที่ดีเลิศทีเดียว”

พลินทร์เอื้อมมือออกไปรับมาถือไว้ด้วยความลำบาก   เขาจ่อปากแก้วเข้าใต้จมูก   สูดกลิ่นอันหอมหวานนั้นแล้วบอกว่า   “ขอบใจมากจ้าว   คุณหมอคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”   เลื่อนขอบแก้วมาจรดริมฝีปาก และดื่มทีละน้อยๆ จนหมดแก้ว   แล้วก็ส่งแก้วเปล่าคืนให้   พูดยิ้มๆ ว่า   “นี่ไปเรียนวิธีผสมเอ๊กน้อกมาจากไหน   ฝีมือกลมกล่อมไม่เลวเลย”

“ไม่ใช่ฝีมือผมดอกครับ   ฝีมือคุณผดาน่ะ”   จ้าวศรีธรบอกเรียบๆ และเดินถือแก้วกลับเข้าไปทางหลังบ้านเสีย   มิได้อยู่ดูว่าคำบอกเล่าของตนนั้นจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างไดกับผู้ฟังบ้าง

จบบทที่ 22