จิ๊ปกลางสองคัน ถูกนำมาจอดคอยท่าอยู่ที่ลานดิน เตรียมพร้อมที่จะออกวิ่งกลับเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง ผดานั่งอยู่ที่หน้าต่างห้องพัก ทอดสายตามองออกมายังความโกลาหลวุ่นวายภายนอกอย่างเหม่อลอย แทบจะไม่รู้สึกตัวว่าเขาทำอะไรกันบ้าง เสียงนกหวีดเป่าเรียกแถวตำรวจ เสียงขานชื่อเสียงนับ เสียงรองเท้าหนังดังกระทบพื้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผ่านหูเธอไปแว่วๆ เหมือนลมพัด ผดาสะดุ้งขึ้นทั้งตัวเมื่อรู้สึกว่ามีมือเย็นๆ มาจับที่แขน เมื่อเหลียวไปดูจึงเห็นอุ่นเรือนยืนยิ้มอยู่
“คุณผดาคิดอะไรเพลินอยู่หรือคะ” อุ่นเรือนพูดและยิ้มอย่างขอโทษ “ดิฉันจับแขนเข้าเท่านั้นก็สะดุ้งสุดตัวทีเดียว”
“ค่ะ คิดอะไรอยู่นิดหน่อย” ผดายิ้มรับพลางลุกขึ้นยืน “คุณอุ่นเรือนมีอะไรจะใช้ดิฉันหรือคะ”
“แหม อย่าใช้คำว่าใช้เลยค่ะ ดิฉันกระดาก ดิฉันอยากจะขอให้คุณผดาช่วยแปลตรงนี้ให้สักหน่อยเท่านั้น” อุ่นเรือนยกมือข้างหนึ่งขึ้น ผดาจึงเห็นว่าหล่อนถือหนังสืออยู่ หน้าปกบอกให้รู้ว่าเป็นตำรากับข้าวภาษาอังกฤษ “คุณเทอดซื้อมาให้ บอกว่าเผื่อดิฉัน อยากจะลองทำอาหารแปลกๆ ดูบ้าง รู้สึกว่าอย่างนี้ชื่อมันน่าฟังดีค่ะ แต่ไม่เข้าใจอยู่หน่อยหนึ่ง คุณผดาช่วยหน่อยได้ไหมคะ”
หล่อนเปิดหน้าหนังสือที่ใช้นิ้วคั่นไว้นั้นส่งให้ผดา หญิงสาวรับมาดูพร้อมกับหัวเราะ “ตายละ จะแปลออกหรือเปล่าก็ไม่ทราบค่ะ ดิฉันเชื่อว่าตัวเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่าคุณอุ่นเรือนเลย อุ๊ย” คำอุทานตอนหลังนั้นเป็นเพราะว่าเธอทำหนังสือลื่นเกือบตกจากมือ ผดารีบตะครุบเอาไว้ได้ ขณะนั้นกระดาษขาวๆ เล็กๆ แผ่นหนึ่งก็ร่วงลงมาจากหนังสือ ผดาก้มลงเก็บจะสอดเข้าไว้ที่เดิม แต่แล้วก็ยั้งมือ เมื่อเห็นว่ากระดาษแผ่นนั้นคือภาพถ่ายขนาดสองนิ้วของหญิงสาว... ผู้หญิง ประพิมพ์ประพายคล้ายอุ่นเรือน แต่ทว่ามีอะไรอย่างหนึ่งที่บอกให้รู้ว่าหญิงสาวในภาพนั้นมีอารมณ์ อันอ่อนไหวและอ่อนเยาว์กว่ามาก
“รูปน้องของดิฉันเองค่ะ” อุ่นเรือนบอกเมื่อเห็นผดาสนใจ “ดิฉันใส่กรอบไว้ แล้วเผอิญเอามือไปปัดตกจากโต๊ะกระจกแตก ดิฉันก็เลยเอาออกจากรอบคั่นไว้ในหนังสือก่อน เพราะตอนนั้นกำลังดูหนังสือเล่มนี้อยู่ นี่แหละค่ะ เป็นรูปสุดท้ายของอาลัย”
“หน้าตาน่ารักนะคะ แหม ดิฉันอยากมีพี่หรือน้องผู้หญิงสักคนหนึ่งเหลือเกิน อยากเห็นว่าหน้าตาเราจะเหมือนกันไหม”
ขณะนั้น เสียงแตรรถได้ดังยาวขึ้น ทั้งผดาและอุ่นเรือน จึงหันไปมองดูหน้าต่างพร้อมกัน ก็ได้เห็นภิสัชและพัจนา รวมทั้งจ้าวศรีธร ยืนอยู่ข้างรถ ภิสัชกำลังมองมายังเธอพร้อมกับยกมือขึ้นโบก ผดามองดูพัจนา ก็เห็นว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่กับจ้าวศรีธร อุ่นเรือนบอกว่า
“ท่าจะไปกันแล้ว ดูเหมือนคุณภิสัช อยากจะพูดอะไรกับคุณผดากระมังคะ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะไปหาเขาสักประเดี๋ยว ทานโทษนะคะ คุณอุ่นเรือน” ผดายิ้มกับอุ่นเรือน ก่อนที่จะเดินจากมา มือยังคงถือหนังสือและภาพถ่ายใบนั้นติดไปด้วย
พัจนามองดูเธอเมื่อผดาเดินเข้าไปถึง แต่ก็ยังคงพูดกับญาติของเขาต่อไป ภิสัชยิ้มกับผดา บอกว่า “ว่าไงครับ ใจจืดจริงนะผดา จะไม่ได้พบกันอีกนาน จะไม่มากล่าวคำอำลากันบ้างหรือ”
“ก็ไหนคุณว่าเราอาจจะไปพบกันในเมืองยังไงเล่าคะ” ผดาย้อนถามยิ้มๆ แล้วหันไปทางพัจนา ถามว่า “พัจนาจะพักอยู่ในเมืองนานไหมคะนี่”
“พอให้การกับตำรวจแล้ว พัจนาจะต้องเข้าโรงพยาบาลทันที” ศรีธรเป็นคนตอบแทนแล้วหันไปกำชับพัจนาว่า “อย่าลืมนะพัจนา ไม่เข้าโรงพยาบาลไม่ได้”
“คำสั่งของคุณใหญ่ จ้าวคิดว่าผมจะลืมเทียวหรือ” พัจนาย้อนถาม แล้วหันกลับมาทางผดา “ผมลาเธอก่อนละ ผดา”
“ค่ะ” ผดารับคำอย่างใจหาย เป็นไปได้หรือนี่ ที่เธอกับพัจนาจะต้องกล่าวคำอำลาจากกัน เป็นไปได้เทียวหรือ ที่ทางชีวิตของเขาและเธอจะต้องแยกจากกันอย่างที่จะไม่มีวันได้กลับมาบรรจบกันอีก ในเมื่อไม่นานมานี่เอง เขาและเธอได้ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปชั่วนิรันดร์ อา... ชีวิตของคนเรา ช่างเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงไม่เที่ยงแท้เช่นนี้แหละหนอ
“นั่นคุณถืออะไรอยู่ในมือน่ะ ผดา” ภิสัชถามขึ้น ผดามองตามสายตาของเขา แล้วก็ยกมือข้างที่ถือหนังสือและภาพถ่ายน้องสาวของอุ่นเรือนขึ้น บอกว่า
“ตำรากับข้าวค่ะ”
“แล้วนั่นรูปใคร” ภิสัชมองดูรูปแผ่นนั้นอย่างสนใจ “ขอผมดูหน่อย”
“รูปน้องสาวคุณอุ่นเรือนค่ะ” ผดาตอบ ส่งรูปนั้นให้เขา “แหม นายตำรวจนี่เขาต้องให้ความสนใจต่อทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พบเห็นอย่างนี้เองหรือคะ”
แต่ภิสัชมิได้พลอยขบขันไปด้วยกับเธอ เขามองดูภาพนั้นอย่างพินิจครู่หนึ่งแล้วก็ส่งคืน ถามว่า “นี่รูปน้องสาวคุณอุ่นเรือนแน่หรือ”
“คุณอุ่นเรือนคงจะจำน้องสาวของเธอไม่ผิดหรอกค่ะ เอ ท่าทางและเสียงที่คุณพูดฟังดูคล้ายจะมีเรื่องลึกลับอะไรเกี่ยวกับน้องสาวคุณอุ่นเรือนอย่างนั้นแหละ บอกหน่อยได้ไหมคะว่าเรื่องอะไร”
“คุณรู้เรื่องนี้ดีหรือเปล่า” ภิสัชถาม “ไหน มาคุยกันทางนี้หน่อยซิครับ ขอโทษนะครับ” เขาหันไปกล่าวแก่ชายหนุ่มอีกสองคน พัจนาชำเลืองดูผดา แวบหนึ่ง แล้วก็ก้มศรีษะลงเล็กน้อยโดยมิได้พูดว่ากระไร ภิสัชพยักหน้ากับผดา ชวนเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่งของรถ ถามว่า “คุณรู้เรื่องของน้องสาวคุณอุ่นเรือนดีแค่ไหน ลองเล่าไปซิครับ”
แม้ว่าจะนึกพิศวง ผดาก็ได้เล่าให้เขาฟังตามที่อุ่นเรือนเคยเล่าแก่เธอ ภิสัชนิ่งฟังด้วยความสนใจตลอดเวลา เมื่อผดาเล่าจบลง และถามว่า “ว่ายังไงคะ คราวนี้คุณจะบอกดิฉันได้บ้างไหมว่ามันมีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”
นายตำรวจก็ส่ายหน้า เม้มริมฝีปากอย่างตรึกตรอง แล้วบอกว่า “แล้ววันหลังผมจะบอกให้คุณทราบ เมื่อเราพบกันในเมืองก็ได้ แต่อย่าเพิ่งให้บอกเดี๋ยวนี้เลย”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ” ผดาร้องอย่างแปลกใจ “บอกเดี๋ยวนี้ กับคอยต่อไปอีกไม่กี่วันมันจะให้ผลแตกต่างกันอย่างไร ไหนๆ จะบอกแล้วก็บอกเสียเดี๋ยวนี้จะเป็นยังไงไปคะ”
ภิสัชส่ายหน้าอีก คราวนี้เขามองดูเธออย่างล้อเลียนนิดๆ เมื่อบอกว่า “อย่าเลย ผมสงสารคุณ ประเดี๋ยวจะเป็นโรคเส้นประสาทไปเสียก่อนหรอก”
“เอ๊ะ ทำไมดิฉันจึงจะเป็นโรคเส้นประสาทเล่าคะ พูดให้เข้าใจหน่อยซิคะ”
“ไม่เอาน่า” ภิสัชว่า และเมื่อเห็นหญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่สบใจ เขาก็รีบพูดอย่างขอโทษและเอาใจว่า “เท่าที่คุณต้องมาพบกับเรื่องอะไรต่ออะไรร้อยแปดที่นี่ คุณก็จะแย่อยู่แล้ว จะแย่อยู่แล้วจริงๆ รู้ไหมผดา ก่อนที่จะเอาเรื่องใหม่ใส่ให้คุณ ผมต้องรอให้คุณค่อยสบายขึ้นกว่านี้ก่อน เอาเถอะผมสัญญาว่าถึงอย่างไรๆ ก็จะต้องบอกให้คุณรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน... เอ...” เขายกนาฬิกาขึ้นดู “เห็นจะได้ฤกษ์ยกพลเสียทีละ ผมลาก่อนครับ ผดา อีกสองสามวันพบกันใหม่ถ้าคุณจะกลับเข้าเมืองเร็ว”
ภิสัชเดินกลับไปหาพัจนา ซึ่งยังยืนอยู่กับจ้าวศรีธร ถามว่า “คุณจะไม่ขึ้นไปลาคุณพลินทร์ก่อนหรือ คุณพัจนา ผมก็จะไปเหมือนกัน”
พัจนานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า ตอบว่า “ไปก็ไปซิครับ”
จ้าวศรีธร มองตามชายหนุ่มทั้งสองที่เดินเคียงกันไปช้าๆ เพราะพัจนาขาเสียไปข้างหนึ่ง ต้องใช้ไม้ยันรักแร้ เขาหันมาทางผดา พูดขึ้นว่า “น่าสงสารพัจนาเหลือเกิน ผมเพิ่งทราบว่าเขาตัดสินใจอย่างไรในเรื่องคุณ ดูเขาเศร้าโศกเหลือเกินนะครับ คุณผดา”
“ค่ะ” ผดารับ “พัจนาตัดสินใจเอง แม้ว่าดิฉันจะพยายามทัดทานเขาก็ไม่ยอม จ้าวคิดว่าดิฉันจะถูกหาว่าเป็นหญิงใจดำไหมคะ ที่พอคนรักต้องมาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ เข้าก็เลยหันหลังให้”
“เปล่า เปล่าเลยครับ” จ้าวศรีธรปฏิเสธเร็วอย่างตกใจ “โธ่ ก็พวกเรารู้กันดีนี่นา ว่าคุณต้องจำใจปล่อยพัจนาไปเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง เรื่องนี้มันมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยไม่ใช่หรือ”
“เอ๊ะ จ้าวทราบมาจากไหนคะ” ผดามองดูเขาอย่างแปลกใจ ศรีธรตอบว่า
“พัจนาเป็นคนบอกเอง”
“พัจนาบอกเอง”
“ครับ พัจนาบอกว่าแม่สาวคนนั้นรักเขา หล่อนขู่ว่า ถ้าพัจนาไม่ยอมแต่งงานกับหล่อนละก็ หล่อนจะไม่ยอมให้ให้พ่อของหล่อนมาเป็นพยานให้ และพัจนาจะต้องถูกหาว่าเป็นคนฆ่าลูกชายเถ้าแก่กิม”
“โอ ช่างร้ายกาจจริงๆ ผดาร้อง” แต่ว่าจ้าวเชื่อหรือคะ ว่าที่พัจนาตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะเขากลัวคำขู่ของแม่คนนั้น จ้าวเชื่อหรือเปล่า”
“ผมไม่เชื่อดอกครับ คุณผดา” จ้าวศรีธรตอบพร้อมกับมองดูเธอด้วยดวงตาอันอ่อนโยน “ถ้าหากว่าเขายังคงเป็นเหมือนพัจนาคนเดิมทุกประการ ต่อให้สิบแม่นั่นก็ไม่อาจจะทำให้พัจนาผละไปจากคุณได้ แต่นี่ เราก็เห็นๆ กันอยู่แล้วพัจนาเจียมตัว เขาไม่ต้องการที่จะดึงชีวิตของคุณให้ลงมาจมอยู่กับคนที่พิการที่ไม่ต้องการปรากฏตัวในวงสังคมอย่างเขา พัจนาคิดถึงกาลไกลมาก คุณผดา”
“ค่ะ ดิฉันเข้าใจดี แม้ว่าเดี๋ยวนี้ร่างกายของเขาจะพิการไปบ้าง แต่น้ำใจของพัจนาก็มิได้พิการเลย เขาเป็นผู้ชายที่ซี่อสัตย์ต่อความตั้งใจของตัวเองเป็นที่สุด และมีความเป็นลูกผู้ชายโดยแท้”