หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 26

พิษไข้ที่ขึ้นสูง ทำให้พลินทร์ ไม่ได้สติไปถึงสองวันเต็มๆ     การเดินทางเข้าสู่ป่าลึกเพื่อค้นหาพัจนา จึงต้องเลื่อนต่อไปโดยไม่มีกำหนด   ต่อเมื่อในตอนบ่ายของวันที่สาม   พลินทร์จึงได้รู้สึกตัวขึ้นบ้าง   สิ่งที่เขามองเห็นในทันทีที่ลืมตาขึ้นมานั้นก็คือร่างๆ หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง   ด้วยดวงตาที่ยังแดงอยู่เพราะพิษไข้ ทำให้เขามองเห็นร่างนั้นเลือนรางพร่ามัวประดุจถูกกั้นไว้ด้วยกระจกฝ้า   ในครั้งแรก เมื่อเขาพยายามเพ่งมองนานเข้า   กระจกฝ้านั้นก็ค่อยๆ คลายขุ่นมัวลง   แสงส่งภาพนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จนกระทั่งในที่สุดกระจกฝ้าก็สลายตัวหายไปโดยสิ้นเชิง   ภาพนั้นปรากฏอยู่อย่างชัดเจนแก่สายตาของพลินทร์

ภาพนั้น   คือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งหันหน้ามาทางเขา   แต่ขณะนั้นหล่อนหาได้มองมาทางเขาไม่   ในลักษณะที่หล่อนนั่งเอียงหน้าลงแนบกับขอบหน้าต่าง   ดวงตาเหม่อออกไปภายนอกนั้น   ทำให้สีหน้าของหล่อนดูอ่อนโยนละมุนละไมลงอย่างประหลาด   ผมหยักน้อย ๆ ที่ตัดสั้นมองดูดำขลับเป็นเงา และผิวสีนวลคล้ำอมชมพู ดูผุดผาดเปล่งปลั่งประกอบกัน   ส่งให้ภาพของหล่อนช่างงดงามตรึงตาตรึงใจอย่างน่าพิศวงนัก

เขาจ้องมองอยู่นานจึงค่อยๆ ผงกศรีษะ   พยายามจะทรงตัวลุกขึ้นนั่ง   แต่พอศีรษะยกขึ้นพ้นหมอน ความวิงเวียนและปวดร้าวที่ค่อนข้างรุนแรงก็เกิดขึ้นในทันที   ทำให้เขาต้องทิ้งศีรษะลงดังเก่าพร้อมกับ ครางเบาๆ ในคอ ซึ่งทำให้หญิงสาวหันมาโดยเร็ว     อีกอึดใจต่อมา หล่อนก็เข้ามาอยู่ใกล้เขา   ใกล้จนกระทั่งเขาสามารถได้กลิ่นโอเดอโคโลญจ์อ่อนๆ เบาหวิวชื่นใจ ซึ่งทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าโดยไม่รู้สึกตัว     หล่อนมองจ้องดูเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างอย่างดีใจในตอนแรก และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นไม่แน่ใจ   ครู่หนึ่ง อย่างขลาดๆ หล่อนได้วางมือข้างหนึ่งนาบลงที่ซอกคอของเขา   อาการสัมผัสนั้นนำความรู้สึกที่แสนประหลาดอย่างใหม่มาสู่พลินทร์ จนเขาอดที่จะเรียกชื่อ หล่อนออกไปมิได้   ทันใดนั้นหล่อนก็ชักมือกลับ   เพ่งตามองดูเขาอย่างสงสัย

“เอ๊ะ นี่เพ้อหรือเปล่าก็ไม่รู้”   เขาได้ยินหล่อนพูดเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนหันหน้าไปมองทางประตู แล้วหันกลับมามองดูเขาอีกอย่างไม่แน่ใจ   พลินทร์พอจะเดาความคิดของหล่อนออก จึงบอกว่า

“ไม่ต้องเรียกจ้าวดอก   ฉันสบายดีแล้ว”

คราวนี้เขาจึงได้เห็นความปิติฉาย ชัดขึ้นมาในดวงตาของหล่อน   เป็นที่น่าพิศวงนักที่จะได้เห็นความรู้สึกเช่นนั้นในดวงตาคู่ที่เคยมองดูเขาอย่างเกลียดชังเหยียดหยามนี้   แต่ก็เป็นชั่วครู่เดียวเท่านั้น ความเคร่งขรึมระมัดระวังตัวก็เข้ามาแทนที่   หล่อนทรุดกายลงนั่ง... มิได้ใกล้ชิดเช่นเมื่อสักครู่มานี้   แต่เป็นบนเก้าอี้หน้าเตียง   พูดเรียบๆ ว่า

“ดิฉันดีใจที่คุณรู้สึกตัวแล้ว   คุณเป็นไข้ไม่ได้สติไปสองวันเต็มๆ แล้วก็เอาแต่เพ้อตลอดเวลา”

“ถึงกับเพ้อเทียวหรือ”   พลินทร์ถาม   จับตามองดูหญิงสาวอย่างเพ่งพิศ   เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าหล่อนสวมเสวตเตอร์ปิดคอแขนสามส่วนสีฟ้าอ่อน   มีแพรสีฟ้าจุดขาวพันคอ   ความแนบเนียนที่พอเหมาะของเสื้อที่สวมอยู่นั้นส่ง ให้เห็นความงดงามของเรือนร่างอย่างน่าดู   “มิน่าล่ะ   เมื่อกี้นี้พอฉันเรียกชื่อเธอ   เธอจึงได้เข้าใจว่าฉันเพ้อ   บอกหน่อยได้ไหมผดา   ว่าตอนที่ฉันไม่สบายจนไม่รู้สึกตัวน่ะ   ฉันเพ้ออะไรออกมาบ้าง”

ด้วยความพิศวง เขาเห็นผิวหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้น   หล่อนหันหน้าไปทางอื่นครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นยืนบอกว่า   “ดิฉันจะออกไปตามจ้าวศรีธรนะคะ   จ้าวสั่งไว้ว่าถ้าคุณพลินทร์รู้สึกตัวเมื่อไรให้บอกให้จ้าวทราบทันที”

“ไม่ต้อง.. ไม่ต้องหรอก”   พลินทร์ยกมือขึ้นโบกอย่างอ่อนแรง   รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยหาเหตุผลไม่ได้   “อย่าเพิ่งเรียกจ้าวศรีธรเลย   ขอฉันนอนพักสักประเดี๋ยวก่อน”

“ถ้าคุณพลินทร์จะนอนพัก ดิฉันก็จะออกไปข้างนอกนะคะ”

เขาขมวดคิ้ว   “นอนพักไม่ใช่นอนหลับ   เธอไม่ต้องออกไปก็ได้   นอกเสียจากว่า....”   เขาหยุดเว้นระยะเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อไปว่า   “จะเป็นการรบกวนเธอจนเกินไป   ขอบใจที่อุตส่าห์มีใจเมตตาทำหน้าที่พยาบาลมาถึงสองวัน   ตอนนี้ฉันสบายดีแล้ว   เธอไม่จำเป็นต้องมาลำบากลำบนกับฉันอีกหรอก”

ผดาจ้องมองดูเขาอย่างประหลาดใจ จนลืมโกรธ   “ไม่ต้องขอบอกขอบใจดอกค่ะ   มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือกัน   อีกไม่ช้า เมื่อการค้นหาพัจนาเสร็จสิ้นลง เราก็จะไม่ต้องพบกันอีก”

หญิงสาวมองดูเขาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน   นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า   “ความจริงดิฉันไม่ต้องคอยจนถึงเวลานั้นก็ได้   เพราะดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ฉุด พัจนา ลงมาหาดิฉันต่อไปอีก”

“ทำไม”   เขาถามเรียบๆ   “พัจนาน่ะอยู่สูงกว่าเธอนักเทียวรึ ในความรู้สึกของเธอ”

“ดิฉันมิได้พูดถึงความรู้สึกของดิฉัน”   เขาได้รับคำตอบที่รวดเร็วทันใจ   “ดิฉันพูดถึงความรู้สึกของญาติพี่น้องของพัจนา”

หล่อนหมายถึงเขา มิใช่ใครอื่นเลย   พลินทร์ ถอนหายใจเบาๆ   บอกแก่หล่อนว่า   “แต่ถ้าเธอยังไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจที่จะไปค้นหา พัจนาละก็   เธอไม่จำเป็นต้องเลิกล้มความตั้งใจดอก   นอกเสียจากว่าเธอจะเลิกล้มความตั้งใจเสียเพราะเหตุอย่างอื่นเท่านั้น”

คุณพระช่วย   นี่เขาเองหรือ   พลินทร์ พงศ์ราช หรือ ที่พูดออกไปราวกับเด็กที่กำลังพาลเกเรอย่างนั้น!   เขาเห็นม่านขนตาอันงอนช้อยเบิกกว้างออกจากกันอย่างฉงนสนเท่ห์เป็นที่สุด   แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรต่อไปอีก   จ้าวศรีธรก็โผล่เข้ามา   ตามติดมาด้วยภิสัชและจ้าวศรีฟ้า   ผดา ได้ถือโอกาสที่ใครๆ พากันแสดงความยินดีกับพลินทร์ในความทุเลาจากไข้ของเขาอยู่นั้น พาตัวเลี่ยงออกไปจากห้องโดยเร็ว

ผดาเลี่ยงออกมายืนที่ระเบียงด้านหน้า   ความรู้สึกของเธอในขณะนั้นเป็นความพิศวงงงงวยมากเกินกว่าที่จะทำให้เกิดความโกรธขึ้นมาได้   สุ้มเสียงของพลินทร์วันนี้ช่างประหลาดนัก   เขาหมายความอย่างไร ที่พูดออกมาว่าเธอจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะไปค้นหาพัจนาด้วยเหตุอื่น   เหตุอื่นที่เขาพูดถึงนั้นคืออะไรกันเล่าอยากจะรู้นัก

เธอยืนอยู่ตรงนั้นนานสักเพียงใดก็สุดที่จะประมาณได้   ครุ่นคิดอยู่กับคำพูดที่เป็นปริศนา ของ พลินทร์   จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังออกมาจากห้องของเขา   ผดายืนตัวแข็งไปชั่วขณะหนึ่ง   เกิดอะไรกันขึ้น   เสียงนั้น.. เสียงของพลินทร์...   เป็นเสียงที่เขาตะโกนขึ้นมาดังๆ จนกระทั่งเธอซึ่งยืนอยู่ห่างออกมาถึงระเบียงหน้ายังได้ยินถนัดชัดเจน

“ปวดหัว”   เขาตะโกน   “ผมจำไม่ได้   ผมปวดหัว   ปวดหัว.!”

พลินทร์เป็นอะไรไป   เมื่อหายจากตกตะลึง ผดาก็รีบรุดกลับเข้าไปในห้องคนเจ็บอีกโดยเร็ว   และทันเห็นจ้าวศรีธรกำลังจรดปลายเข็มลงบนผิวของพลินทร์พอดี โดย มีพี่ชายและภิสัชเป็นผู้ช่วย   หญิงสาวหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงประตูห้อง   เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ภายในห้องสงบเรียบร้อยดีแล้วจึงค่อยๆ ถอยกลับออกมายังระเบียงหน้าอีกครั้งหนึ่ง   ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย   อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกอ่อนเพลียถึงเช่นนั้นก็สุดที่ผดาจะตอบได้   เธอบอกได้แต่เพียงอย่างเดียวว่าขณะนั้นเธอช่างอ่อนเปลี้ยเพลียไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ

สักครู่หนึ่งก็มีเสียงเดินเบาๆ ออกมา   ผดาหันไปพบภิสัชจึงยิ้มให้   ถามว่า   “คุณพลินทร์เป็นอะไรคะภิสัช   ได้ยินเสียงร้องตะโกนว่าปวดศีรษะ”

นายตำรวจนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง   หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบพ่นควันเป็นทางยาว   ครู่หนึ่งจึงได้พูดขึ้น แต่มิใช่ตอบคำถามของเธอ   เขาพูดว่า   “ผดาครับ   ผมกำลังจะกลับเข้าไปในเมือง   คุณจะไม่กลับไปพักอยู่กับคำรสก่อนหรือ”

ผดาย่นหัวคิ้ว มองดูเขาอย่างแปลกใจ   “เอ๊ะ คุณพูดแปลกเหลือเกินนะคะ ภิสัช   คุณก็ทราบดีแล้วนี่คะว่าที่ดิฉันมานี่ก็เพราะได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาค้นหาพัจนา”

“แต่การค้นหาพัจนายังทำกันในเวลานี้ไม่ได้หรอกครับ ผดา   เชื่อผมเถอะ   แล้วก็ในป่านี่อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับคุณก็ได้”   เขามองหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งอย่างลังเล แล้วจึงตัดสินใจบอกว่า   “ผมอยากให้คุณกลับเข้าไปอยู่ในเมืองเสียก่อน   เพราะผมตัดสินใจแล้วที่จะต้องจัดการอย่างเด็ดขาดในเรื่องสากัน”

“จัดการเรื่องสากัน”   ผดาอุทานออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว   ภิสัชรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากทันที

“จุ๊ๆๆ อย่าดังนัก   นี่เป็นความลับ จะให้รั่วออกไปถึงหูพวกคนงานไม่ได้เป็นอันขาด   หูตาของเขามากมายนัก”   เขาเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้จนเกือบจะชิดตัวผดาที่นั่งอยู่   เมื่อมองดูโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในที่นั้นด้วย แล้ว จึงได้เล่าต่อไปด้วยเสียงเบาๆ พอได้ยินกันเพียงสองคนว่า

“สากัน ประพฤติตัวผิดกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด   ผมตกลงที่จะจัดการกับเขาอย่างเด็ดขาดแล้ว โดยขอกำลังตำรวจจากกรุงเทพฯ มาช่วย   พรุ่งนี้ผมจะเข้าเมืองเพื่อจัดการเรื่องนี้   และจะกลับเข้ามาที่นี่อีกครั้งหนึ่งโดยทำเป็นนำพวกคนงานสมัครมาใหม่   แต่สามส่วนในสี่ส่วนของพวกคนงานก็คือตำรวจ   คุณเทอดจะเข้าเมืองไปกับผมด้วย   คุณพลินทร์อนุญาตแล้ว   เราจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างที่สุด”

“แต่สากันไม่ได้ทำตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าหน้าที่เลยไม่ใช่หรือคะ ภิสัช”   ผดาถาม   ถ้าคุณจะจัดการกับสากัน คุณก็ต้องทำอย่างเดียวกันกับอีกพวกหนึ่งเช่นกัน”

“ถ้าอีกพวกหนึ่งทำเหมือนอย่างที่สากันทำแล้ว ผมก็ต้องจัดการกับเขาในทำนองเดียวกัน   แต่นี่เขาก็ยังไม่มีท่าทางอะไรที่พอจะทำให้เราเอาผิดกับเขาได้เลย   แต่สำหรับสากัน   คุณก็ทราบอยู่แล้วว่าผมถูกเข้าเองอย่างสดๆ ร้อนๆ   ผมเป็นตำรวจ   คุณคิดว่าผมควรจะนิ่งดูดายไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”

ผดาถอนใจ   “ดิฉันเข้าใจค่ะ   แต่ว่าทำไมคุณจึงจะต้องรีบร้อนทำงานนี้ ในเมื่อคุณก็ทราบอยู่แล้วว่าคุณพลินทร์กำลังไม่สบาย   ก็เมื่อที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับดิฉันซึ่งไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรแล้วละก็   ทำไมจึงจะปลอดภัยสำหรับคนเจ็บป่วยเช่นคุณพลินทร์เล่าคะ”

ภิสัชมองดูเธอด้วยสายตาที่ประหลาดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกว่า   “อย่าเป็นห่วงคุณพลินทร์เลยผดา   คุณพลินทร์จะไม่เป็นอัตรายอย่างใดหรอก”

“ดิฉันรู้สึกว่าคุณแน่ใจ เหลือเกินนะคะภิสัช ที่พูดเช่นนี้   ถ้าหากว่าเกิดมีการปะทะกันขึ้นระหว่างสากันและตำรวจ   สากันเป็นคนที่ดุร้ายเด็ดขาดอย่างไรคุณก็คงทราบดีอยู่แล้ว   เช่นนี้คุณยังจะพูดได้หรือคะว่าคุณพลินทร์จะไม่มีอันตราย”

“ผมแน่ใจ”   เสียงของภิสัชหนักแน่น   “คุณลืมเสียแล้วรึผดา   ที่เรารอดชีวิตมาจากมือของสากันเมื่อวันนั้น ก็เพราะคุณพลินทร์   สากันรู้จักคุณพลินทร์   เพราะฉะนั้น ผมถึงได้กล้าพูดว่าถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้น   คุณพลินทร์ ก็จะไม่มีอันตราย”

สากันรู้จักพลินทร์   ภิสัชช่างพูดออกมาอย่างมั่นใจเหลือเกิน   จริงอยู่ ถึงแม้ว่าผดาเองจะมีความกังขาในเรื่องที่พวกเหล่าร้ายรู้จักพลินทร์   แต่เมื่อได้ยินการยืนยันจากปากของภิสัชเองอย่างแน่ใจเช่นนี้ ก็อดที่จะรู้สึกพิกลในใจเสียไม่ได้   พลินทร์ พงศ์ราช   ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ และสูงส่งด้วยสกุลรุนชาตินั้นหรือ   จะรู้จักกับทรชนผู้มีพฤติการณ์อันป่าเถื่อนละเมิดกฎหมายเช่นสากันผู้นี้อย่างไรได้

“โอ เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ภิสัช”   ผดาร้องออกมาเบาๆ อย่างที่ใจคิด   “ดิฉันไม่เชื่อหรอกว่า คุณพลินทร์จะรู้จักกับสากัน”

“ผมไม่ได้ว่าคุณพลินทร์รู้จักกับสากัน”   นายตำรวจกล่าวแก้ด้วยเสียงเรียบๆ   “ผมพูดว่าสากันรู้จักกับพลินทร์   แต่ที่คุณพลินทร์จะรู้จักกับสากันหรือเปล่านั้นผม... ยังไม่แน่ใจ     เมื่อกี้นี้ผมพยายามถามดูว่า เขาจำเสียงที่เรียกได้ไหม... แต่ก็... ”   เขายักไหล่เล็กน้อย   “คุณได้ยินเสียงเขาร้องแล้วไม่ใช่รึ”

ผดานิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด   ภิสัชจ้องมองดูเธออยู่อย่างสงบครู่หนึ่งแล้วจึงถามว่า   “ว่าไงครับผดา   ตกลงใจได้หรือยังว่าพรุ่งนี้จะไปกับผมหรือไม่”

ผดามองสบตาเขาเมื่อบอกว่า   “ดิฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ ภิสัช”

“ขอทราบเหตุผลได้ไหม”

“เพราะดิฉันคิดว่าไม่ควรไป”   ผดาตอบไปตามความคิดและความรู้สึกของเธอในขณะนั้น   “คุณพลินทร์ยังเจ็บอยู่   ดิฉันได้รับปากกับจ้าวศรีธรไว้ว่าจะช่วยดูแลเขา   ดิฉันไม่อยากผิดคำพูดของตัวเองหรอกค่ะ ภิสัช”

ภิสัชเพ่งมองดูเธอ   ดวงตาของเขาทอประกายอย่างหนึ่งคล้ายจะยิ้มอย่างขัน แต่ก็ไม่เชิงนัก   มีอะไรที่แปลกกว่านั้น ซึ่งผดาไม่เข้าใจ   และนอกจากนั้นยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอีกด้วย   ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนช้าๆ   เดินไปที่ลูกกรง ยืนหลังพิงลูกกรงเพ่งมองดูเธออย่างเงียบๆ ค่อนข้างนาน จึงกล่าวออกมาว่า

“ผดา   ผมสงสัยว่าคุณยังจำคำพูดของผมเมื่อคืนที่จ้าวศรีธรผ่าเอากระสุนออกจากบ่าพลินทร์และผมเดินไปส่งคุณที่เรือนหลังโน้นได้ไหม”

ผดาขมวดคิ้วน้อยๆ มองดูเขาอย่างพยายามทบทวนความจำแล้วก็หัวเราะบอกว่า   “คุณเห็นจะต้องช่วยทวนความจำให้ดิฉันเสียแล้วละค่ะ ภิสัช”

“คุณพูดถึงความเกลียดชังที่คุณมีต่อพลินทร์   คุณแสดงความเกลียดชังเขาอย่างมากมายเหลือเกิน”

“ดิฉันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ   ดิฉันพูดไปตามความรู้สึกของดิฉัน”

“ไม่ใช่หรอก”   ภิสัชหัวเราะเบาๆ ในคอ   คราวนี้ผดาสามารถจับความขมขื่นได้อย่างชัดเจนจากน้ำเสียงและดวงตาของเขา   “คุณพยายามพูดเพื่อจูงใจคุณเองให้เชื่อว่าคุณกำลังรู้สึกอย่างนั้นต่างหาก   เดี๋ยวครับ.. อย่าเพิ่งค้านเลย”   เขายกมือข้างหนึ่งห้ามเมื่อเห็นหญิงสาวผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำท่าจะค้าน   “ขอให้ผมพูดให้จบก่อน   ผดา   คุณรู้หรือเปล่าว่าการที่คนเราจะพูดถึงสิ่งใดอย่างมากมายจนผิดปรกตินั้นเพราะอะไร”

“ก็เพราะอะไรเล่าคะ”

“ก็เพราะเขารู้ว่าสิ่งนั้นกำลังจะหลุดลอยหรือเลือนหายไปนั่นเอง   ผดา   จะต้องให้ผมบอกด้วยหรือว่า ทำไมคุณจึงพูดถึงความเกลียดชังที่คุณมีต่อพลินทร์บ่อยๆ”

คำพูดของเขาคล้ายกับ อาวุธอันมีพิษร้ายแรง ที่ยิงมาถูกเธอเข้าอย่างจัง   ภิสัชเพ่งมองดูหญิงสาวผู้ซึ่งยืนตะลึงอยู่ตรงหน้านั้นครู่หนึ่งแล้วก็หมุนตัวเดินลงบันไดไป

จบบทที่ 26