เมื่อผดาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และออกมาที่หน้าเรือนนั้น ยังไม่ทันจะสว่างดี แต่ถึงกระนั้นก็ปรากฏว่าภิสัชได้เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาเดินไปที่รถจิ๊ปแล้วปีนขึ้นนั่งในที่คนขับ ผดา จึงพาตัวขึ้นไปนั่งเคียงข้างเขาเงียบๆ โดยไม่พูดว่ากระไร จิ๊ปคันนั้นพาเธอออกมาจากบริเวณค่ายป่าไม้ “พงศ์ราช” และแทนที่จะเลี้ยวออกไปยังทางที่จะกลับเข้าสู่ตัวเมือง ภิสัชกลับหักเลี้ยวเข้าไปยังทางที่เข้าสู่ป่าลึก ผดาได้แต่คิดพิศวงอยู่ในใจ แต่เธอก็เชื่อในภิสัช เชื่อในความเป็นสุภาพบุรุษของเขา และเชื่อว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่หวังดีต่อเธออย่างแท้จริง ผดาจึงนิ่งเฉย มิได้ปริปากซักถามแต่อย่างหนึ่งอย่าใด คงได้แต่เฝ้าคอยดูอยู่ด้วยความพิศวงว่าเขาจะพาเธอไปยังที่ใด
รถแล่นโขยกเขยกมานาน ถนนเริ่มแคบเข้า พื้นถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมากขึ้น และทางก็รก วกเลี้ยวขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งในที่สุดก็หมดทางที่จะไปได้ต่อไป ภิสัชดับเครื่องกระโดดลง แล้วบอกแก่เธอว่า
“เราจะต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ในราวสักยี่สิบนาที เดินไหวไหม ผดา”
“ไหวหรือไม่ไหว เมื่อมาถึงแค่นี้แล้วฉันก็ไม่ยอมถอยหรอกค่ะ” ผดาว่า ลงจากรถ เธอมองดูภิสัชซึ่งตบดูปืนพกที่คาดไว้ที่เอวอย่างจะสำรวจดูให้แน่ใจว่าอยู่เรียบร้อยดีแล้ว บ่นว่า “คุณทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักขุดค้นหาทรัพย์สมบัติโบราณหรืออะไรทำนองนั้นแหละค่ะ”
ภิสัชชำเลืองมองดูเธอแวบหนึ่ง บอกว่า “จะคิดอย่างนั้นก็ได้ เพราะผมก็กำลังจะพาคุณไปหาทรัพย์สมบัติของคุณเหมือนกัน”
ผดา กำลังจะออกปากถาม แต่เมื่อเห็นว่าพอพูดแล้ว เขาก็ออกเดินนำหน้าไปดุ่มๆ ก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการที่จะให้เธอซักถามอะไรอีกต่อไป หญิงสาวจึงเฉยเสีย ประเดี๋ยวก็คงจะรู้เองดอกว่า “สมบัติของเธอ” ที่ภิสัชพูดนั้นคืออะไร
ภิสัชเดินดุ่มๆ ไปข้างหน้า เขาแวะดูอะไรต่ออะไรไปเกือบตลอดทาง ผดาก็ตามไปเงียบๆ มิได้ปริปากซักถามแต่อย่างหนึ่งอย่างใด จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงทางน้ำแคบๆ สายหนึ่ง
“เมื่อยหรือยัง” เขาหันมาถาม “ข้ามลำธารนี้ไปอีกประเดี๋ยวเดียวก็ถึง พอจะลุยข้ามไปได้ไหมล่ะครับ ถ้าไม่ไหวก็…” เขาก้มลงมองดูแขนของเขาพลางยกขึ้นแทนคำพูด ผดาจึงรีบตอบว่า
“ไหวค่ะ ดิฉัยลุยไปเองได้”
ภิสัชมิได้พูดอย่างใดต่อไปอีก เขาถอดรองเท้าออก และพอหญิงสาวถอดออกด้วยแล้วเขาก็ฉวยรองเท้าของเธอไปถือไว้ ก้าวลงน้ำทันทีโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากเธอ ผดาจึงจำใจต้องก้าวตามเขาลงไปบ้าง กางเกงขายาวปลายแคบทำให้เธอไม่อาจที่จะถลกมันขึ้นมาเหนือเข่าให้พ้นน้ำได้ มันทำให้เธอต้องเปียกโชกไปถึงครึ่งตัว ภิสัชมองดู ทำหน้าคล้ายจะยิ้มเมื่อบอกว่า
“ผมลืมไป ควรจะบอกให้คุณนุ่งกางเกงขาสั้นมา”
เขาจับแขนเธอช่วยในการพยุงตัวมิให้เซซวนไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว อีกครู่หนึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ก้าวขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้งหนึ่ง ผดาก้มลงบิดน้ำออกจากขากางเกงเท่าที่จะทำได้ เมื่อนั่งพักกันอยู่สักประเดี๋ยวก็ออกเดินต่อไป ในที่สุดก่อนที่จะทันรู้สึกตัว เธอก็มาโผล่ในที่โล่งแห่งหนึ่ง ข้างหน้าออกไปนั้นเป็นกระท่อมปีกไม้มองดูแน่นหนา ผดาจับแขนเสื้อภิสัชกระตุกเบาๆ ถามว่า
“นั่นบ้านใครคะ ภิสัช ทำไมถึงมาปลูกอยู่กลางป่ากลางดงอย่างนี้”
“ประเดี๋ยวคุณก็จะได้รู้” ภิสัชตอบ “เราไปที่กระท่อมหลังนั้นกันเถอะครับ”
อย่างงุนงงและไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ผดาเดินตามเขาไปยังกระท่อมที่เห็นนั้น ภิสัชหยุดยืนอยู่หน้าประตู ยกมือเคาะลงไปอย่างหนักแน่นและตั้งใจแน่วแน่
ผดาได้ยินเสียงคล้ายคนเดินลากขามาที่ประตู อีกอึดใจเดียวต่อมาประตูบานนั้นก็เปิดออกและเธอได้เห็น....
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวินาทีต่อมานั้นราวกับความฝันมากกว่าที่จะเป็นจริง..! ผดาเต็มไปด้วยความพิศวงงงงวย แม้กระทั่งเมื่อเธอได้นั่งลงที่แคร่แล้ว และพัจนาก็นั่งอยู่ด้วยกันกับเธอ..! พัจนา... พัจนา... นี่คือพัจนา ชายที่เธอได้มอบอนาคตของเธอให้ไว้จริงๆ หรือ นี่หรือคือพัจนาที่ต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนกระทั่งทุกคนแม้กระทั่งเธอเองได้คิดว่าพัจนาตายไปแล้ว เปล่าไม่ใช่ทุกคนดอกที่คิดว่าพัจนาตายไปแล้ว ยังมีอยู่คนหนึ่งที่เชื่อมั่นตลอดมาว่าพัจนายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะเป็นพัจนาที่ต้องเดินลากขา แขนถูกใส่เฝือกไว้แข็งทื่อ และดวงหน้าเป็นแผลเหวอะหวะไปแถบหนึ่ง แต่ก็คงเป็นพัจนาอยู่ดี พัจนาที่รักและคิดถึงเธออยู่ทุกลมหายใจ
เธอนั่งนิ่ง งงงวยและตื่นเต้นจนพูดไม่ออก คงมีแต่พัจนาผู้เดียวที่เป็นฝ่ายเพ้อ พร่ำ รำพัน ถึงความคิดถึง ความรัก ความสุข และความตื่นเต้นของเขาที่เกิดจากเธอ เขาเกาะกุมมือของเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าถ้าปล่อยแล้ว เธอก็จะเลยหายวับไปจากเขา เธอปล่อยให้เขากุมมือเธอไว้ และมองศรีษะที่ก้มต่ำเมื่อเขาแนบหน้าลงเคล้าเคลียกับมือข้างนั้นอย่างสงสารและเวทนา จนกระทั่งไม่ทันสังเกตว่าได้ยินเสียงภิสัช ผู้ซึ่งออกไปนั่งคอยอยู่ที่หน้ากระท่อมนั้นเจรจากับผู้ใด มารู้สึกตัวเอาก็ต่อเมื่อประตูกระท่อมถูกเปิดผางออก
ผดามองไปที่ประตูอย่างงงๆ พร้อมกันกับที่พัจนาเงยหน้าขึ้นและเหลียวหลังไปมองดูบ้าง ดวงตาของพัจนาวาวโรจน์ และดวงหน้าเล่าก็สดชื่นแจ่มใสเต็มไปด้วยความสุข เขากล่าวแก่ผู้ที่เข้ามาใหม่ซึ่งยืนแข็งอยู่กลางประตูนั้นว่า
“เข้ามาซิ สีสิ่น มารู้จักคุณผดาไว้” แล้วก็หันมาบอกแก่คู่หมั้นว่า “ผดาครับ นี่สีสิ่น คนที่ช่วยรักษาพยาบาลผมตลอดเวลาที่ผมมาเจ็บอยู่ที่นี่”
ผดาจึงยิ้มให้แก่แม่สาวตาคมคนนั้นอย่างเต็มใจ บอกว่า “ยินดีที่ได้รู้จักกับเธอจ๊ะ สีสิ่น ขอบใจเธอมากที่ช่วยพยาบาลคุณพัจนา”
แทนที่จะได้รับยิ้มอย่างมีไมตรีจิตตอบ จากแม่สาวคนนั้น ผดารู้สึกแปลกใจที่เห็นหล่อนทำตาดุเข้าใส่ พูดด้วยเสียงห้วนๆ ตวัดๆ ว่า
“ข้าเจ้าพยาบาลนายพัจนา ข้าเจ้าบ่ได้พยาบาลคุณ ทำไมคุณจะต้องมาขอบใจข้าเจ้าด้วยเล่า”
คำถามของหล่อน ทำให้ผดาต้องยิ้มออกมาอย่างรู้สึกขัน หันไปกล่าวกับพัจนาว่า “เอ แกพูดแปลกดีนะคะ พัจนา”
แต่ดูเหมือนพัจนาจะมิได้พลอยเห็นเป็นเรื่องขันไปกับเธอ เขาพูดว่า “อย่าถือสาอะไรกับสีสิ่นเลยครับ ผดา สีสิ่นเป็นเด็กซื่อ คิดยังไงก็พูดออกไปอย่างนั้น”
ภิสัชโผล่เข้ามาขัดจังหวะด้วยการตั้งคำถามแก่ผดาว่า “จะกลับกันเสียทีได้หรือยังครับ ผดา เราหายมานานแล้ว ประเดี๋ยวคนทางโน้นจะเป็นห่วง”
ผดาจึงพยักหน้ากับพัจนา ชวนว่า “ไปกันเถอะค่ะ พัจนา คุณพลินทร์คอยคุณอยู่ คงจะดีใจมากทีเดียวที่คุณยังมีชีวิตอยู่”
แต่แล้วเธอก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อพัจนาส่ายหน้าช้าๆ ตอบว่า “ผมยังไปในวันนี้ไม่ได้หรอก ผดา ต้องคอยให้พรานส่วย พ่อของสีสิ่นกลับมาเสียก่อน ไม่มีใครอยู่กับสีสิ่น” และเมื่อเห็นผดานิ่งไป เขาก็พูดต่อไปโดยเร็วว่า “ผมคิดว่าพรุ่งนี้พ่อของสีสิ่นก็คงจะกลับ”
ผดานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ตามใจค่ะ พรุ่งนี้พบกันใหม่นะคะ พัจนา”
“ครับ” พัจนารับ ดวงตาของเขากลับเป็นเศร้าสร้อยไปอย่างน่าประหลาด “พรุ่งนี้พบกันใหม่ ผดา” แล้วเขาก็หันไปทางภิสัช บอกว่า “ขอบใจคุณภิสัชเป็นอย่างยิ่งครับ ที่กรุณาพาผดามาหาผมในวันนี้”
ภิสัชยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นการตอบรับคำขอบใจนั้น แล้วก็เดินออกจากห้องไป ผดาจึงตามเขาออกมาบ้าง ขณะที่จะผ่านแม่สาวชาวป่าออกมานั้น เธอได้หยุดยืน ยิ้มอย่างมีไมตรีจิตกับหล่อนอีกครั้งหนึ่ง แต่หล่อนกลับทำหน้าบึ้งหันหนีไปทางอื่นเสีย ผดาเลิกคิ้วมองดูพัจนาอย่างแปลกใจ แล้วก็เดินออกมาโดยไม่พูดอะไร
ก่อนที่จะออกจากที่โล่งนั้นเข้าสู่ดงไม้ทึบ ผดาได้หันกลับไปมองที่กระท่อมหลังนั้นอีกครั้งหนึ่ง เธอได้เห็นพัจนายืนพิงประตูแล้วมองดูเธออยู่ ใกล้กับพัจนา คือแม่สาวตาดุคนนั้น หล่อนก็กำลังมองตามเช่นเดียวกัน แล้วหล่อนก็หันไปมองดูพัจนา ทันใดนั้นผดาก็เห็นหล่อนกระทืบเท้า สะบัดหน้า ผละวิ่งออกไปทางหลังกระท่อม ผดาขมวดคิ้ว ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ก็รู้สึกว่าภิสัชเอื้อมมือมาจับข้อศอกออกแรงเบาๆ ดึงให้เธอก้าวเดินทางไป พร้อมกับบอกว่า
“รีบเดินเร็วเข้าเถอะครับ เดี๋ยวพวกโน้นก็ต้องออกค้นป่าหาเรากันเท่านั้น”
ผดาก้าวเดินตามเขา แต่ก็ยังไม่วายที่จะเหลียวกลับไปมองดูที่กระท่อมอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้เห็นว่า พัจนาไม่ได้ยืนอยู่ที่ประตูกระท่อมแล้วในขณะนั้น