อากาศในยามเช้าตรู่ภายในป่า แม้ว่าจะค่อนข้างมืดครึ้ม ไม่สว่างกระจ่างชัดเช่นที่ผดาเคยได้เห็นและได้รู้สึก แต่ก็ยังคงเป็นไปด้วยความสดชื่นไม่น้อยกว่าเวลาเช้าตรู่ที่ไหนๆ เลยแม้แต่น้อย ในตอนเช้าตรู่ทีเดียวนั้น มีแต่หมอกขาวลงอย่างหนักจนเกือบจะมองไม่เห็นหน้ากัน อากาศก็หนาวเยือกเย็นจับใจไม่ต่างกว่าในตอนกลางคืน อากาศช่างเปลี่ยนไปรวดเร็วอย่างน่าพิศวง เมื่อตอนหัวค่ำมานี่เอง ผดายังจำได้ว่าเธอยังใช้เสื้อผ้าเนื้อบางได้อยู่ แต่พอล่วงเข้าตอนดึกเท่านั้น เธอต้องลุกขึ้นเปิดกระเป๋าควานหาเสื้อหนาวใส่แทบไม่ทัน ยังแถมนวมที่อุ่นเรือนจัดหามาไว้ให้ด้วยความรอบคอบอีกถึงสองผืน จึงสามารถนอนต่อไปอย่างสบาย
เกือบ ๐๙.๐๐ น. หมอกที่ลงจนเป็นสีขาวนั้นจึงค่อยจางตัวไป มองเห็นเป็นละอองเม็ดเล็กๆ ปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศ ผดานึกถึงตัวเธอ เมื่อเล็กๆ เธอเคยมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งที่คิดไม่ตก นั่นคือ “อากาศนี่มันสีอะไรกัน” เด็กหญิงผดาเฝ้าตั้งคำถามแก่คนทุกคนที่เธอพอจะถามได้โดยไม่มีละเว้น และทุกคนก็หัวเราะ บางคนไม่ตอบ แต่บางคนก็ตอบอย่างรำคาญเพราะเธอถามเซ้าซี้หนักเข้าว่า “อากาศไม่มีสี” บางคนยังแถมดุให้อีกว่า “อย่ามาถามอะไรที่มันไม่เป็นเรื่องหน่อยเลย”
เผด็จ พี่ชายเธอซึ่งอยู่ชั้นโตกว่าถึงสี่ชั้นและมีอายุมากกว่าเธอถึงหกปีได้พยายามจะทำให้เธอเข้าใจ ด้วยการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เขาได้เรียนมาถึงเรื่องราวของสีทั้งเจ็ด แต่ก็ไม่เป็นผล
“ไหนล่ะ สีเจ็ดสีที่พี่ว่า” เด็กหญิงผดามองไปรอบๆ อย่างจะหาหลักฐานให้ได้ “หนูไม่เห็นมีสักหน่อยเลย” “มีซิ” เผด็จไม่ละความพยายามที่จะคลี่คลายความสงสัยของน้อง “คอยดูเวลาที่ฝนตกใหม่ๆ แล้วเกิดรุ้งกินน้ำซี น้องคอยนับสีที่รุ้งกินน้ำดู จะเห็นว่ามีเจ็ดสีอย่างที่พี่บอกจริงๆ ”
“ก็นั่นมันสีของรุ้งกินน้ำนี่นา” น้องสาวไม่ยอมแพ้ “รุ้งกินน้ำมีสี แต่อากาศไม่มีสี”
บิดาของเด็กทั้งสองซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมที่จะแถลงปัญหานี้แก่เด็กหญิง
“คำถามบางอย่างเราตอบไม่ได้ แม้ว่าเราจะรู้เรื่องเกี่ยวกับมันดีทุกอย่าง” ท่านบอกเช่นนี้ “มันไม่ได้สำคัญที่คำตอบ แต่ทว่าความสำคัญมันอยู่ที่ความเข้าใจของคนที่ตั้งคำถามนั้น เมื่อหนูโตขึ้น หนูก็จะได้เรียนรู้ไปเอง และจะรู้จักวิธีตั้งคำถามให้คนตอบตอบง่ายเข้าด้วย”
ปัญหา “อากาศสีอะไร” มิได้สุดลงง่ายๆ แม้ว่าผดาจะเลื่อนชั้นเรียนสูงขึ้นไปอีกในสองปีต่อมา คราวหนึ่ง เมื่อครูตั้งคำถามแก่เด็กนักเรียนคนหนึ่งในชั้นว่า “อากาศที่บ้านของเธอเป็นอย่างไรบ้าง” แม่หนูผู้นั้นซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคอีสานได้ตอบว่า “เป็นสีแดงค่ะ” เออ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เมื่อเกิดมีเด็กคนใดบอกว่า อากาศมีสีขาวละก็ เธอจะไม่นึกแปลกใจเลย
พอหมอกจางลง ผดาก็ลงบันไดเรือนมาข้างล่าง ตั้งใจว่าจะตามไปหาอุ่นเรือนที่โรงครัวซึ่งอยู่ห่างไป ทางตัวเรือนพักทางด้านหลัง อดมิได้พี่จะมองไปทางเรือนหลังใหญ่ ใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านได้โบกให้เธอแล้วก็ลงบันไดเดินเข้ามาหาโดยเร็ว พร้อมกับร้องทักมาแต่ไกลก่อนที่จะเดินมาถึงตัวว่า
“สวัสดีครับคุณผดา ตื่นแต่เช้าเทียวนะครับ”
“อะไรคะเช้า” ผดาพูดยิ้มๆ ขณะที่มองดูเขา “หมอกเพิ่งจางจ้าวก็เลยเห็นเป็นเช้า แต่ที่แท้ตั้งเกือบเก้าโมงแล้ว”
“งั้นหรือครับ” เจ้าศรีฟ้าหัวเราะ เขาสวมเสวตเต้อร์ แขนยาว คอตลบ สีเทาอมฟ้า และกางเกงสีเข้มกว่าเล็กน้อยสะอาด สะอ้าน สดใส น่าดู ไปทั้งตัว รวมทั้ง สีหน้าที่อ่อนโยนอยู่เป็นนิจนั้นด้วย “ผมนึกว่ายังเช้าอยู่เสียอีก เมื่อคืนนี้คุณผดานอนหลับสบายหรือเปล่า แปลกที่บ้างไหมครับ”
“ก็แปลกเหมือนกันค่ะ แต่พอตอนดึกอากาศมันเย็นจัดเข้า ก็เลยบังคับให้ต้องมุดเข้าโปงไปในตัว ก็เลยหลับไปเอง” ผดาเล่าพลางหัวเราะ “ที่บ้านโน้นตื่นกันหมดแล้วหรือคะจ้าว”
“ศรีธร ยังไม่ตื่นเลยครับ” พี่ชายจ้าวศรีธรบอก “น่ากลัวว่าเมื่อวานนี้แกตื่นเต้นมากเกินไป แต่คุณภิสัชตื่นแล้ว แล้วก็หายตัวไปข้างไหนก็ไม่ทราบแล้วด้วย”
ผดาถอนใจยาว ภิสัชช่างสมเป็นนายตำรวจแท้ ทันใดนั้นคำพูดตอบโต้สนทนากันระหว่างเธอและเขาเมื่อคืนนี้ก็หวนกลับมาสู่ความทรงจำ ผดามองดูมนุษย์ผู้ยืนยิ้มแย้มมองดูเธออยู่ในขณะนั้นอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า
“จ้าวคะ คุณพลินทร์น่ะเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้บ้างหรือเปล่า จ้าวทราบบ้างไหมคะ”
“มาที่นี่” จ้าวศรีฟ้าย้อนคำถามของเธอ “ถ้าคำว่าที่นี่ของคุณผดาจะหมายความถึงในป่านี้ล่ะก็พลินทร์ไม่เคยมาดอกครับ แต่สำหรับที่ตัวเมืองเชียงใหม่แล้ว พลินทร์เคยมาบ่อยครั้งเหมือนกัน ผมคิดว่าคงจะสักสามครั้งเห็นจะได้ คุณผดาถามทำไมหรือครับ”
ผดามองสบตาเขาอย่างครุ่นคิด “เมื่อคืนนี้ดิฉันคุยกับภิสัช ภิสัชบอกว่าที่สากันล่าถอยไปนั้น ก็เพราะว่ามีคนจำคุณพลินทร์ได้”
คิ้วที่โค้งได้รูปสวยราวกับคิ้วหญิงของจ้าวหนุ่มเมืองเหนือขมวดเข้าหากัน ผดาคาดว่าความไม่พึงพอใจกำลังจะเกิดขึ้นแก่เขา จึงรีบพูดต่อไปโดยเร็วว่า “จ้าวคงได้ยินเหมือนกัน ใช่ไหมคะ มีเสียงใครคนหนึ่งร้องเรียกชื่อคุณพลินทร์แล้วสั่งห้ามไม่ให้ยิง พวกนั้นจึงได้หยุดยิงแล้วก็ถอยเข้าป่าหายเงียบไปหมด”
“จริงซี” จ้าวศรีฟ้ารับออกมาในที่สุด “ผมก็ได้ยินอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร แล้วก็ถ้าพวกเราได้ยินกันหมด ตัวพลินทร์เองก็คงจะได้ยินด้วย เขาอาจจะจำได้บ้างกระมังว่าเป็นเสียงของใครที่เคยรู้จักมาบ้างหรือเปล่า”
“ถ้าเรารู้ว่าใครเป็นคนเรียกคุณพลินทร์ ก็คงไม่เป็นการยากไม่ใช่หรือคะ ที่เราจะสืบรู้ได้ต่อไปว่าสากันคือใคร”
“เอ คุณผดา” จ้าวศรีฟ้าอุทาน ก้มลงมองดูเธอด้วยสายตาที่ล้อเลียนระคนอยู่ด้วยความกังขา “นี่คุณกลายเป็นตำรวจไปตั้งแต่เมื่อไรครับนี่ ผมไม่รู้เลย”
“ตายจริงจ้าว” ผดาร้อง สงสัยว่าหน้าเธออาจจะแดงขึ้น เธอเกลียดตัวเองมานานนักหนาที่ชั่งหน้าแดงง่ายเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกอย่างใด ก่อนที่เธอจะพูดอย่างใดต่อไป ชายหนุ่มก็ชิงกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า
“เปล่าน่าครับ ผมพูดเล่นหรอก มาเถอะครับ ไปที่เรีอนกันดีกว่า ผมชักหิวข้าวแล้วละ”
“ตายจริง” ผดาร้องออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเจตจำนงเดิมของเธอ “นี่ดิฉันตั้งใจว่าจะไปช่วยคุณอุ่นเรือนทำอาหารอยู่ทีเดียวนะคะ พอดีพบจ้าว”
“แล้วผมก็เลยชวนคุยเสีย” จ้าวศรีฟ้าดักคอแล้วหัวเราะ “มาเถอะครับ อย่าไปช่วยคุณอุ่นเรือนเลย อาหารเช้าน่ะมาวางคอยอยู่ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะตื่นนอนแล้วละ เราขึ้นเรือนไปช่วยกันจัดการเสียให้เรียบร้อยไปเลยดีกว่า”
“แหม” ผดาอุทานพร้อมๆ กับที่ก้าวขาออกเดินตามเขาไป “พอมาถึงวันแรกดิฉันก็ทำเหลวไหลเกียจคร้านให้คุณอุ่นเรือนหัวเราะเยาะเอาได้เสียแล้วละซีนี่ น่าขายหน้าจริง”
“ไม่เป็นไรดอกครับ คุณไม่ชินกับอากาศที่นี่ คุณอุ่นเรือนคงจะไม่คิดอะไรมากนัก นั่นนายศรีธรยี่นหน้าออกมาหัวเราะอยู่นั่นแล้ว”
จ้าวศรีธรกำลังทำอาการอย่างที่พี่ชายของเขาว่านั้นจริงๆ เขาใช้สองมือยึดพลึงลูกกรงที่ระเบียงเรือน ชะโงกกายออกมาครึ่งตัว และหัวเราะเต็มที่ตามแบบของเขากับผดา เมื่อหญิงสาวก้าวขึ้นบันได เขาก็ทักขึ้นว่า
“จ้าวพี่กับคุณผดา ไปไหนกันมาแต่เช้าเทียวฮะ”
“เช้าอะไรกัน” จ้าวศรีฟ้าซึ่งตามผดาขึ้นมาติดๆ กันนั้นขัดคอ “ตั้งเก้าโมงแล้วกระมัง กินอะไรแล้วหรือยังเล่านี่”
“ยังเลยครับ” ศรีธรตอบ “พอแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมา แล้วก็พบกับจ้าวพี่กับคุณผดานี่แหละ ไข่ดาวของคุณอุ่นเรือนน่ากลัวจะแข็งเป๊กเสียแล้ว อากาศที่นี่เปลี่ยนรวดเร็วเหลือเกินนะครับ เมื่อคืนนี้ผมต้องรีบย่องไปห่มผ้าให้คุณพลินทร์ แหมแกเล่นนอนถอดเสื้อ กว่าจะใส่เสื้อได้เล่นเอาแทบแย่ไปทั้งสองคน”
“เออ เป็นอย่างไรบ้างเล่านี่” จ้าวศรีฟ้าถามอย่างเป็นห่วง น้องชายตอบว่า
“เมื่อคืนนี้มีไข้นิดหน่อยครับ ผมให้รับยาแล้ว นี่ยังไม่ได้ย่องเข้าไปดูเลย ว่าจะเข้าไปดูเดี๋ยวนี้แหละครับ เชิญคุณผดากับจ้าวพี่รับอาหารไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมออกมา”
ทั้งสามคนพากันเดินเลยเข้าไปยังห้องข้างหลัง ซึ่งมีลักษณะคล้ายระเบียงกลายๆ ผิดกัน แต่ว่าแทนที่จะกั้นด้วยลูกกรงโปร่ง กลับใช้ไม้ตีเรียงแผ่นกันทึบตลอด เว้นไว้แต่ทางบันไดที่จะลงไปยังเรือนครัวข้างหลัง มีฝาเป็นแบบบานกระทุ้งคือใช้ไม้ค้ำให้เปิดออกไปเหมือนหน้าต่างได้ตลอดเช่นกัน ทางด้านหนึ่งตั้งโต๊ะอาหารต่อหยาบๆ พร้อมทั้งเก้าอี้ชุดหกตัว บนโต๊ะปูผ้าขาว และตั้งเครื่องใช้ในการบริโภคไว้อย่างพร้อมมูล ขณะนั้นมีเสียงคนขึ้นบันไดมาจากทางหน้าบ้าน อีกอึดใจหนึ่งต่อมาร้อยตำรวจเอกภิสัช นิตินัยบำรุง ก็ก้าวเข้ามาเพิ่มจำนวนคนในห้องนั้นขึ้นอีกคนหนึ่ง จ้าวศรีฟ้าเป็นผู้ร้องทักขึ้นก่อนว่า
“ออกลาดตระเวนแต่เช้าเชียวหรือครับคุณภิสัช” แล้วก็หันไปเลื่อนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารให้ผดา “นั่งสิครับคุณผดา ศรีธรจะเข้าไปดูพลินทร์ก็ไปซี จะได้ออกมารับทานของเช้ากัน” ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับน้องชาย
ภิสัชมองตามจ้าวศรีธรไปแล้วหันกลับมาถามว่า “คุณพลินทร์เป็นอะไรไปหรือครับ”
“คงไม่เป็นอะไรดอก” จ้าวศรีฟ้าตอบ ทรุดกายลงนั่งตรงกันข้ามกับผดา เอื้อมมือออกไปจับพนักเก้าอี้ตัวถัดไปดึงออกมา “นั่งซิครับคุณภิสัช เราลงมือรับทานอาหารเช้ากันได้แล้วละ ประเดี๋ยวศรีธรก็ออกมา”
“แล้วอาหารเช้าสำหรับคุณพลินทร์เล่าคะ” ผดาถาม ภิสัชมองหน้าเธอแวบหนึ่ง จ้าวศรีฟ้าตอบว่า
“ประเดี๋ยวคุณอุ่นเรือนจะเอาอาหารสำหรับคนเจ็บมาให้ต่างหากครับ” เขาหันไปทางภิสัช ถามว่า
“คุณภิสัชไปเดินเล่นถึงไหนมา”
“ผมไปคุยกับพวกคนงานมา” ภิสัชตอบไปตามตรง และอีกฝ่ายหนึ่งก็ย้อนถามกลับมาตรงๆ เช่นกันว่า
“คุยเรื่องสากันหรือครับ”
“ครับ คุยเรื่องสากัน” ภิสัชรับ ตามองดูมือของผดาซึ่งทำหน้าที่จัดจานและช้อนส้อมพร้อมทั้งมีดให้ประจำที่ของแต่ละคน “พวกนี้ไม่มีใครสงสัยเลยว่าผมเป็นตำรวจ การที่เราถูกสากันโจมตีนั้นเป็นเหตุผลที่ดีพอสำหรับการอยากรู้อยากเห็นของผมทีเดียว”
“แล้วได้ความว่าอย่างไรบ้างล่ะคะ” ผดาถาม ขณะนั้น เธอกำลังทำหน้าที่ปรุงกาแฟแจกอยู่ เธอตักน้ำตาลใส่ลงในถ้วยของภิสัชสองช้อนแล้วเลื่อนมาวางให้ตรงหน้าเช่นกัน พูดว่า “ดิฉันใส่น้ำตาลให้สองช้อนค่ะ จะมากไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”
“ไม่มากดอกครับ ขอบคุณ” จ้าวศรีฟ้าตอบ แล้วหันไปทางภิสัช เตือนว่า “ว่าไงครับคุณภิสัช คุณยังไม่ได้เล่าเลยว่าคุยกับคนงานได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“ไม่ได้ผลเท่าไรนัก” ภิสัชตอบ “ไม่มีใครรู้จักสากันดีสักคนเดียว บอกได้แต่ว่าเป็นคนของพ่อเลี้ยงบุญอิน แต่มีประวัติมาอย่างไรไม่มีใครบอกได้ หน้าตาจริงๆ เป็นอย่างไรก็ไม่มีใครเคยเห็น ลักษณะของสากันที่พวกนี้รู้จักเป็นอย่างเดียวกันหมดคือค่อนข้างล่ำสันและไว้หนวดไว้เคราดกดำ”
“เรากำลังปรึกษากันค่ะ ภิสัช ว่าจะถามคุณพลินทร์ว่าจำได้ไหมว่าใครเป็นคนเรียกชื่อเขาเมื่อวานนี้” ผดาบอก มองดูจ้าวศรีฟ้าพร้อมกับยิ้มนิดๆ จ้าวศรีฟ้ายิ้มตอบแต่ย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ภิสัชแสดงความยินดีอย่างออกหน้า
“แหม ดีทีเดียว” เขาว่า “ถ้าคุณพลินทร์จำได้ งานของผมก็คงจะง่ายขึ้นอีกมาก นี่คุณพลินทร์ยังไม่ตื่นหรือครับ แผลเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมทำหน้าอย่างนั้นเล่า ศรีธร”
“ปรอทขึ้นตั้ง ๑๐๓” จ้าวศรีธรบอก หน้าตาเคร่งเครียดอย่างวิตกกังวล “ไม่ยอมพูดยอมจาได้แต่ร้องอือๆ อย่างเดียว”
“ตายละซี” จ้าวศรีฟ้าร้อง ผลุดลุกขึ้นยืนทันทีอย่างร้อนอกร้อนใจยิ่งนัก “ไหน ไปดูกันหน่อยซิ” แล้วก็สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังห้องของพลินทร์ ศรีธรตามไปติดๆ ผดาและภิสัชมองหน้ากัน แล้วโดยมิต้องชักชวน ต่างคนต่างก็ลุกขึ้น เดินตามจ้าวหนุ่มสองพี่น้องไปยังห้องของพลินทร์
เจ้าของห้องนอนตะแคงอยู่บนเตียง มีหมอนวางซ้อนรองร่างกายท่อนบนอยู่หลายใบ มีนวมคลุมขึ้นมาจนถึงคอ ดวงหน้าที่หันมาทางประตูนั่นเป็นสีแดงก่ำ จ้าวศรีฟ้าเดินเข้าไปก้มลงเหนือล่างของสหาย ยื่นมือออกไปจะจับหน้าผากแล้วก็กลับชะงัก หันกลับมามองดูน้องชายอย่างเป็นทุกข์
“ทำไมหน้าตาพลินทร์ถึงได้แดงก่ำอย่างนี้ล่ะ ศรีธร”
“เป็นเพราะความร้อนในตัวขึ้นสูงครับ” น้องชายตอบ จ้าวศรีฟ้าหันกลับไปทางสหายอีกครั้งหนึ่ง นาบหลังมือลงบนหน้าผากที่แดงก่ำนั้นอย่างแผ่วเบา ความรักใคร่ห่วงใยปรากฏอยู่ในอิริยาบถนั้นอย่างแจ้งชัด เขาวางมือลงบนบ่าของพลินทร์ตั้งท่าจะจับเขย่าให้รู้สึกเพราะลืมนึกไปว่าบ่าข้างนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่ พลินทร์สะดุ้งพร้อมกับร้องครางออกมาเบาๆ จ้าวศรีฟ้าก็พลอยสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัว หน้าซีดลงทันที เป็นครู่ จึงได้เลื่อนมือลงมาจับที่ท่อนขาของพลินทร์ สั่นเบาๆ พร้อมกับเรียกชื่อ
พลินทร์ยังคงนอนนิ่งเฉย ต่อเมื่อจ้าวศรีฟ้าสั่นแรงขึ้นอีกเล็กน้อย พร้อมทั้งร้องเรียกชื่อดังขึ้น เขาจึงได้ทำเสียงอือออ คล้ายจะขานอยู่ในลำคอ แต่ยังไม่ยอมลืมตา อาการเช่นนี้ทำให้ผู้เป็นสหายยิ่งทวีความเป็นทุกข์มากขึ้น หันมาทางน้องชาย พูดอย่างร้อนใจว่า
“ขานอือๆ แต่ไม่ยอมลืมตา จะว่าอย่างไรดีล่ะศรีธร จะรักษาพยาบาลกันต่อไปอิท่าไหน”
“ก็ต้องคอยทำความสะอาดแผล ระวังไม่ให้สกปรก แล้วก็ค่อยให้ยากันไว้ไม่ให้ไข้อื่นแทรกได้ ยิ่งอากาศชื้นๆ อย่างนี้ด้วยยิ่งต้องระวังให้มาก”
“รักษาให้ดีให้ถูกวิธีนะ ศรีธร” พี่ชายกำชับ “ดีไม่ดีพลินทร์เกิดเป็นอะไรไปขณะที่อยู่ที่นี่ละก็ พี่แย่เลยทีเดียว”
“เอาเถอะครับ” จ้าวศรีธรว่า “ผมจะพยายามจนสุดความสามารถเลยทีเดียว ความรู้ที่อาจารย์สอนมามีเท่าไรเป็นได้เอาออกใช้มากันจนหมดไส้หมดพุงคราวนี้แหละ” เขาหันมาทางผดา บอกว่า “คุณผดาท่าจะต้องเป็นผู้ช่วยของผมเสียอีกแล้ว”
“ค่ะ ได้ค่ะจ้าว” ผดาตอบรับทันทีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ดิฉันยินดีช่วย จ้าวจะให้ดิฉันทำอะไรบ้างล่ะคะ”
“ช่วยชะแผลกับเช็ดตัวได้ไหมครับ แต่ตอนนี้อากาศยังหนาว ยังไม่ต้องเช็ดตัวก็ได้ แต่เราจะต้องคอยเฝ้าไข้และให้กินยาไปเรื่อยๆ จนกว่าไข้จะลด ผมจะช่วยผลัดด้วย”
“ได้ค่ะ ดิฉันทำได้” ผดารับคำ ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางลงตรงหน้าเตียง ทรุดกายลงนั่งแล้วบอกว่า “ให้ดิฉันลงมือปฏิบัติหน้าที่เสียเลยเดี๋ยวนี้ก็แล้วกัน” หญิงสาวมองดูหน้าบุรุษทั้งสามที่ยืนอยู่นั้น พูดต่อไปว่า “ตอนนี้จ้าวน่าจะนอนเอาแรงก่อน ตอนกลางคืนอาจจะต้องอดนอนก็ได้”
“ครับ” จ้าวศรีธรับคำอย่างว่าง่าย “ประเดี๋ยวผมจะหาโอกาสงีบตามคำแนะนำของคุณผดา ถ้าคุณพลินทร์มีอาการอะไรที่น่าวิตกและก็ปลุกผม ได้เลยทีเดียวนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
อีกครู่หนึ่งพวกผู้ชายก็พากันออกไปจากห้อง ภิสัชเดินออกไปเป็นคนหลังสุด เขาหยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อเดินไปถึงประตู หันมาทางผดา ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็ไม่พูด เป็นแต่ทำริมฝีปากล่างยื่นออกมาเล็กน้อยคล้ายจะยิ้ม แล้วก็หันกลับเดินออกไป ปล่อยผดาไว้กับผู้ชายซึ่งกำลังนอนซมอยู่ด้วยพิษไข้ตามลำพัง
ทุกคนพากันออกไป ผดามองตามเขาเหล่านั้นไปจนกระทั่งบานประตูถูกงับปิดเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยมือของภิสัชผู้ออกไปเป็นคนหลังสุด หญิงสาวหันกลับมาที่เตียง มองดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ใต้นวมอันหนา หนักนั้นอย่างเพ่งพิศ ดวงหน้าที่วางเอียงอยู่บนหมอนนั้นเป็นสีแดงก่ำ ดวงตานั้นเล่าก็ปิดสนิท ผมดกดำหยักปลายน้อยๆ ดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ อา.. นี่หรือคือพลินทร์ พงศ์ราช ผู้แสนจะหยิ่งผยองนัก นี่หรือคือชายที่ได้เคยกระทำตนประดุจศัตรูตัวสำคัญของเธอ นี่หรือคือชายที่เธอเคยรู้สึกเกลียดชังถือว่าเขาเป็นศัตรูหัวใจ และได้เคยตั้งประณิธานไว้ว่าจะต้องแก้แค้นเขาให้จงได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะได้เห็นเขาอยู่ในสภาพเช่นนี้ พลินทร์ พงศ์ราช ที่ปรากฏกายอยู่ต่อหน้าเธอ บัดนี้ไม่มีอะไรเลยสักนิดที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหยิ่งผยอง เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่กำลังได้รับทุกข์ทรมานเพราะพิษบาดแผล บาดแผลที่ได้รับเพราะเจตนาที่จะป้องกันภัยให้เธอ อา.. พลินทร์ พงศ์ราช คุณเกลียดฉัน ! ดูถูกเหยียดหยามฉันเป็นหนักหนา ก็แล้วเหตุใดจึงได้เสี่ยงชีวิตเพื่อป้องกันฉันไว้ให้พ้นจากอันตราย คุณทำเช่นนี้เพื่ออะไร ฉันอยากรู้นัก
อยากรู้นักว่าความรู้สึกที่แท้จริงที่คุณมีต่อฉันนั้นเป็นอย่างไร