หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 32

เป็นเวลาเช้าตรู่ เมื่อนายร้อยตำรวจเอกภิสัช และนายสิบตำรวจอีกหนึ่งนายมาถึงกระท่อมหลังนั้น   เสียงไก่ป่าขันมาไกลๆ และเสียงนกที่ร้องจู๋จี๋กัน   ประกอบทั้งภาพของกระท่อมปีกไม้ที่ยืนโดดเด่นสงบอยู่ ณ ดงไม้ที่สูงละลิ่วนั้น   ดูราว เป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากความโกลาหลยุ่งยากทั้งมวล   แต่ด้วยความรอบคอบระมัดระวังที่ฝึกหัดมาจนเป็นนิสัย ทำให้ภิสัชไม่ยอมวางใจในความสงบที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า   เขาโบกมือให้ตำรวจที่มาด้วยหาที่กำบัง   พร้อมกันนั้นตนเองก็หลบเข้าไปบังหลังต้นไม้ แล้วป้องปากตะโกนเข้าไปยังกระท่อม

“ใครอยู่ในกระท่อม ขอให้ออกมาเร็ว   นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ในกระท่อมเงียบสนิท นายตำรวจจึงตะโกนซ้ำไปอีก   คราวนี้เขาได้ยินเสียงผิดปรกติดังออกมาจากในบ้าน ฟังดูคล้ายเสียงคนพูดกัน   ภิสัชทำสัญญาณให้ตำรวจที่ไปด้วยยกปืนขึ้นเล็งไปที่ประตูกระท่อม   ร้องตะโกนสำทับต่อไปอีกว่า

“ผู้ใดอยู่ในกระท่อมขอให้ออกมาเสียดีๆ   นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ   เราจะนับหนึ่งถึงสิบ จงออกมาก่อนที่เราจะยิงเข้าไป.... หนึ่ง….”

เขาเริ่มลงมือนับและนับต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง

“เจ็ด”

ในกระท่อมยังคงเงียบกริบ

“แปด” เขานับต่อไป

“เก้า”

พอจบคำว่าเก้า ประตูกระท่อมก็เปิดออกโดยแรง   ร่างๆ หนึ่งวิ่งถลาออกมายืนกลางลานดินหน้ากระท่อมนั้นอย่างตื่นตระหนกตกใจ   มือทั้งสองเหยียดตรงออกมาข้างหน้า ในท่าห้ามและขอร้อง พร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ว่า

“ช้าก่อน นาย... อย่ายิง..”

ปืนในมือของภิสัช ลดลงอย่างไม่รู้สึกตัวเมื่อเขาเห็นประจักษ์แก่ตา   ว่า ร่างที่ยืนโดดเด่นอยู่หน้ากระท่อม ท่ามกลางแสงอันสลัวลางของดวงอาทิตย์แรกขึ้นนั้นเป็นผู้หญิง

ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวไปหาหล่อน   มือยังจับปืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะยกขึ้นยิงได้ทุกโอกาสในทันทีที่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น   พร้อมกันนั้นก็ได้ใช้ความสังเกตพิจารณาดูหล่อนไปด้วย

หล่อนเป็นหญิงชาวบ้านป่า   มิได้เป็นคนในเมืองแน่ๆ   สังเกตเห็นได้จากผิวกายที่ค่อนข้างคล้ำกว่าสาวชาวเหนือที่อยู่ในเมืองทั่วไป   ทั้งนี้ก็เพราะหล่อนต้องใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรตลอดเวลานั่นเอง   หล่อนสวมซิ่นค่อนข้างสั้น พื้นสีดำมีลายขวางเป็นทางๆ และสวมเสื้อคอกลมแขนกระบอกค่อนข้างฟิต   ผมรวบเกล้าตึง แต่ทว่ามีบางเส้นที่หลุดลุ่ยลงมา   ดวงหน้าที่คมเข้มและดวงตาของหล่อนในเวลานั้นทำให้ภิสัช นึกถึงภาพของนางเสือดาวที่กำลังจนมุมและพรั่นพรึงเมื่อเผชิญอันตราย

“ทำไมถึงได้ตัดสินใจช้านักล่ะ น้องสาว”   ภิสัชกล่าวแก่หล่อนหลังจากที่ได้เดินมาหยุดยืนอยู่ห่างจากหล่อนประมาณสามก้าว   “ถ้าเรานับถึงสิบแล้วยิงเข้าไป เธอมิต้องตายเปล่าหรือ”

“ก็ข้าเจ้ากลัว   ข้าเจ้าบ่กล้าเปิดประตู”

“อ้อดี”   นายตำรวจว่า   “กลัวไม่กล้าเปิดประตูออกมา   แต่ที่พวกฉันจะยิงเข้าไปเธอไม่ยักกลัว   ไหนบอกมาซิว่าเธออยู่ในนั้นคนเดียวหรือว่ามีใครอยู่ด้วยอีก”

คราวนี้แม่สาวชาวป่าเหลียวหน้ามองเข้าไปในกระท่อมอย่างวิตกกังวล บอกว่า   “ยังมีอีกคนหนึ่งเจ้า   เขาเป็นคนเจ็บ”

คำว่า เขาเป็นคนเจ็บ ทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งสองต้องสบตากัน   แล้วภิสัชจึงหันไปออกคำสั่งด้วยเสียงขรึมๆ แก่สาวชาวป่าผู้นั้นว่า   “ไหน พาฉันเข้าไปดูซิ   เอ้าเธอเดินหน้าซีน้องสาว”

หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันเดินนำไปตามคำสั่งเงียบๆ   ภิสัชก้าวตามหล่อนไป   เมื่อถึงประตู   เขาสั่งแก่นายสิบตำรวจผู้ติดตามไปนั้นว่า   “ลื้อเฝ้าอยู่หน้าประตูนี่แหละ   อั๊วจะเข้าไปคนเดียว”

เขายกปืนขึ้นในท่าประทับยิง เมื่อก้าวตามหญิงสาวเข้าไปในกระท่อม

ภายในกระท่อมไม่มีอะไรมากนัก นอกจากชั้นวางของที่ต่อขึ้นเองอย่างหยาบๆ   ที่เพดานห้อยเนื้อตากแห้งและพวกของป่าไว้พะรุงพะรัง   และที่แคร่หนึ่งในจำนวนสองแคร่ที่อยู่สุดสองมุมห้องนั้น มีร่างของคนๆ หนึ่งนั่งพิงฝาจ้องมองมาที่เขา   เพียงวินาทีแรกที่มองเห็นคนๆ นั้น ภิสัชก็ลดปืนลงทันที   อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจและตกใจระคนกันว่า

“คุณพัจนา..!”

ถูกแล้ว   ผู้ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขานั้นคือ พัจนา พงศ์ราช อย่างแน่นอน ไม่ต้องมีข้อสงสัย   แม้ว่าพัจนาในขณะนี้จะมิใช่พัจนาคนเดิมที่มีดวงหน้าอันคมคายแจ่มใสอย่างคนหนุ่มทั้งหลาย   หากเป็น พัจนาที่ เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนพิการ   ด้วยเหตุว่าแขนข้างขวาของเขานั้น ผูกพันไว้ด้วยผ้าสีตุ่นๆ หนาเทอะทะโยงขึ้นไปแขวนไว้รอบคอ   ที่ดวงหน้าแถบซ้ายถูกปิดไว้ทั้งแถบ   คงเหลือแต่ดวงหน้าแถบขวาเท่านั้นที่ยังคงเป็นปรกติดีอยู่   เสื้อผ้าชุดเดินทางที่เขาสวมอยู่นั้น ขาดวิ่น แม้ว่าจะไม่สกปรก   ดูผิดไปจาก พัจนาที่เขาเคยเห็นอย่างน่าตกใจ   แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นพัจนาอยู่ดี   พัจนาที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่..!

“แปลกใจมากหรือครับที่เห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่”   พัจนาพูดขึ้น   ขยับจะลุกขึ้นจากท่าที่นั่งพิงอยู่นั้น   แต่แล้วก็กลับทรุดลงไปอีกพร้อมกับขมวดคิ้วและสูดปากเบาๆ   เขายกมือขึ้นลูบคลำขาข้างหนึ่ง   เมื่อภิสัชมองตามจึงได้เห็นว่าขากางเกงข้างนั้นถูกตัดออกไปจนสูงเกินเข่า และมีผ้าสีเดียวกับที่พันแขน พันอยู่หนาเตอะเช่นกัน   พัจนาเงยหน้าขึ้นมองดูภิสัช   บอกว่า   “ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต   แต่มันก็ยังอุตส่าห์ไม่ตาย   ยังมีชีวิตรอดมาจนได้”

“ควรจะขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณไม่ตาย”   ภิสัชว่า   “คุณจะบอกผมได้ไหมว่าใครเป็นผู้ช่วยชีวิตของคุณไว้”

พัจนานิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วก็หันไปทางหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ใกล้นายตำรวจ บอกว่า   “นั่นไงครับ   ที่ยืนอยู่ใกล้คุณนั่นแหละ   หล่อนชื่อ สีสิ่น  เป็นลูกสาวชาวบ้านป่าแถบนี้”

ภิสัชหันไปมองดูผู้ที่ถูกอ้างชื่อนั้น อย่างพิจารณา   “แม่สาวน้อยคนนี้น่ะหรือที่เป็นผู้พาคุณมาที่นี่   ระยะทางจากที่เครื่องบินตกมายังที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ เลยนะ คุณพัจนา   คุณก็เดินไม่ได้ด้วยไม่ใช่หรือ   มันออกจะยากอยู่สักหน่อยที่จะให้ผมเชื่อว่าแม่สาวน้อยคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้พาคุณมาที่นี่”

“เขาส่งให้คุณมาสอบสวนเรื่องเครื่องบินตกหรือ”   พัจนาย้อนถามอย่างไม่พอใจ   ภิสัชตอบอย่างใจเย็นว่า

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ   แต่ว่าถ้าผมจะได้เรื่องนี้ไปรายงานด้วย ก็คงจะไม่มีท่านผู้ใหญ่คนใดว่ากล่าวติเตียนเป็นแน่   ดูเหมือนคุณจะไม่แปลกใจเลยนะคุณพัจนา   ที่จู่ๆ ผมก็โผล่พรวดพราดเข้ามาในนี้”

“ผมจำเสียงของคุณได้”   พัจนาตอบ   “แต่ก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูไม่ไหว   เอาเถอะผมจะบอกความจริงแก่คุณก็ได้ว่า สีสิ่นไม่ได้พาผมมาที่นี่คนเดียวหรอก   พ่อของหล่อนช่วยด้วยอีกคนหนึ่ง   แกเป็นพรานอยู่ที่นี่ชื่อพรานส่วย   คราวนี้พอใจแล้วหรือยังเล่าครับ”

“พอใจมากทีเดียว”   ภิสัชยิ้มพราย   “ขอบคุณมากที่บอกความจริง   และจะขอบคุณมากยิ่งขึ้นอีก ถ้าคุณจะบอกผมว่าผมจะพบพ่อของแม่สาวน้อยคนนี้ได้ที่ไหน และเมื่อไร”

“จำเป็นที่คุณจะต้องพบกับพรานส่วยด้วยหรือครับ”

“จำเป็นที่สุด”   ภิสัชรับคำอย่างหนักแน่น   “ถ้าไม่อย่างนั้นคุณเองจะต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากมากทีเดียว   เพราะทางเจ้าพนักงานเขาตรวจพบว่าลูกชายของเถ้าแก่กิม มิได้ตายเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตก   ถ้าในขณะที่เขาพาคุณมานั้น ลูกชายเถ้าแก่กิมยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็   คุณจะต้องตกเป็นผู้ต้องหากระทำการฆาตกรรมรายนี้อย่างไม่มีปัญหาเลย คุณพัจนา”

พัจนามิได้มีอาการตกใจมากมายอย่างที่ควรจะเป็น   เขาเพียงแต่แสดงออกมาเล็กน้อยทางดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น   แต่แล้วก็สงบลงอย่างใช้ความคิด   แม่สาวชาวป่าผู้นั้นต่างหากเล่าที่กลับเป็นผู้ตระหนก อกสั่นเสียเอง   หล่อนหันขวับมาจับแขนนายตำรวจ   ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ละล่ำละลักบอกว่า

“นาย นายอย่าจับนายพัจนาเลย   นายพัจนาไม่ได้ยิงคนนั้นหรอก   สากันต่างหากเล่าที่เป็นคนยิง”

คำว่าสากันกระทบใจภิสัชอย่างจัง   การที่ได้มาพบกับพัจนาเข้าโดยมิได้คาดฝันเช่นนี้ เกือบจะทำให้เขาลืมเสียแล้วว่าเขากำลังตามล่าจอมโจรผู้นั้นอยู่   เขาเห็นพัจนาถลึงตามองดูสีสิ่น อย่างจะห้ามมิให้พูดอะไรต่อไป   เพียงแค่นั้นก็พอเหลือหลายแล้วสำหรับนายตำรวจที่ช่ำชองอย่างภิสัช   เขาเลิกเอาใจใส่พัจนา แต่หันมาหาแม่สาวชาวป่าในทันที

“เธอชื่อสีสิ่นใช่ไหม ที่คุณพัจนาบอกเมื่อกี้นี้”   เขาถาม   “ดีแล้ว   เธอว่าสากันเป็นคนยิงลูกชายเถ้าแก่กิม   ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยน่ะซี   ใช่หรือเปล่า”

“บ่ หันดอกเจ้า”   สีสิ่นตอบ   “ข้าเจ้าบ่ได้อยู่ที่นั่นด้วย”

“ไม่ได้อยู่ที่นั่น”   ภิสัชทวนคำ   “อ้าวเธอไม่ได้เป็นคนพาคุณพัจนามาที่นี่หรอกหรือ”

“ข้าเจ้าบ่ได้พามา   สากันต่างหากเป็นคนพานายพัจนามาที่นี่กับพ่อ   ข้าเจ้ารู้ว่าสากันเป็นคนยิง เพราะได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องนี้   แล้วสากันก็สั่งให้ข้าเจ้าคอยพยาบาลนายพัจนา”

“ถ้าอย่างนั้นเธอกับสากันก็รู้จักกันดีน่ะซี”   ภิสัชป้อนคำถามที่ต้องการเข้าไปในทันที   สีสิ่น นิ่งอึ้ง ตาเบิ่งโพลงจ้องมองดูเขาอย่างตกใจ   ภิสัชถามซ้ำว่า   “ว่าไง เธอรู้จักกับสากันดีใช่ไหม   บอกฉันมาตามตรงดีกว่าสีสิ่น   เธอไม่ควรจะพูดเท็จกับเจ้าหน้าที่ เพราะจะทำให้ตัวเธอลำบากทีหลัง”

สีสิ่นพยักหน้ารับออกมาว่า   “แม่นแล้ว ข้าเจ้ารู้จักกับสากันดี   สากันเคยช่วยข้าเจ้าไว้ไม่ให้โดนพวกเถ้าแก่กิมมันรังแก   แล้วยังช่วยพ่อเฒ่าไว้อีกคนหนึ่งด้วย   บุญคุณของเขามากนัก   ข้าเจ้าจะไม่มีวันลืมเลย”

“แต่เธอรู้หรือเปล่าว่าสากันเป็นคนที่ตำรวจต้องการตัว”   ภิสัชถามรุก   “เธอจะมีความผิด ถ้าหากว่าเธอช่วยเหลือสากัน ด้วยการปิดบังเขาไว้   สีสิ่น   บอกมาตามตรงซิว่าเวลานี้สากันอยู่ที่ไหน”

สาวชาวป่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองดูนายตำรวจอย่างตกใจ   พูดอึกอักว่า   “ข้าเจ้าบ่ฮู้ว่าสากันอยู่ที่ใด   เปิ้นบ่ ได้...”

“อย่านะ สีสิ่น”   เขาดักคอขึ้นเสียก่อนที่หล่อนจะทันพูดจบ พร้อมกับยกนิ้วขึ้นชี้สำทับ   “อย่าพูดเป็นอันขาดว่าสากันไม่ได้มาที่นี่เมื่อคืนนี้   ฉันบอกเธอแล้วว่าการพูดเท็จกับเจ้าหน้าที่นั้นจะทำให้เธอลำบาก”

“คุณภิสัช”   พัจนาขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ   “คุณไม่ควรจะขู่ขวัญผู้หญิงอย่างนั้น”

“เปล่าเลยครับ คุณพัจนา”   ภิสัชหันไปพูดกับพัจนาอย่างใจเย็น   ดวงตาจับอยู่ที่ใบหน้าของผู้ที่เขาพูดด้วยอย่างเพ่งพิศ   “ผมไม่ได้ขู่หล่อนเลย   ผมเพียงแต่ชี้แจงให้หล่อนเข้าใจสถานการณ์และแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องแก่หล่อนเท่านั้นเอง... แล้วก็...”

คำพูดของเขาขาดหายไปเมื่อเมื่อเขาเหลือบตาไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนแคร่ใกล้ร่างพัจนา   ภิสัชสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว   ก้มลงเหนือร่างของพัจนาเพื่อจะได้พิจารณาดูสิ่งนั้นให้ชัดเจนแก่ตา   ครู่หนึ่งก็เงยขึ้น   คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเขามองสบตาพัจนา   ถามว่า

“นี่เลือดอะไรไม่ทราบครับ   คุณพัจนา”

พัจนามองตามสายตาของนายตำรวจ แล้วก็ตอบด้วยเสียงเรียบๆว่า   “อ๋อ เลือดนี่นะหรือ   มันออกมาจากแผลของผมเอง   ผมมีบาดแผลอยู่”   เขาตบขาข้างเจ็บเบาๆ   “คุณไม่เห็นดอกหรือ”

ภิสัชหรี่ตาลงข้างหนึ่งแล้วก็ยิ้ม ส่ายหน้าช้าๆ   “อย่าเลยนะ คุณพัจนา   คิดดูเสียใหม่ดีกว่า ว่าจะตอบผมว่าอย่างไร   ผมไม่อยากให้คุณต้องตกเป็นผู้ต้องหา ฐานให้ความเท็จแก่ตำรวจ   คุณไม่มีบาดแผลถึงกับจะเสียเลือดมากมายถึงขนาดนี้   บอกผมมาตามตรงดีกว่าว่าเมื่อคืนนี้มีใครมาที่นี่”

เขาหยุดพูด มองดูหน้าของคนทั้งสองอย่างจะขอคำตอบ   สีสิ่นก้มหน้านิ่งเฉยเสีย และพัจนาก็เบือนหน้าไปเสียทางอื่นโดยไม่ยอมปริปากว่าอะไร   ภิสัชนิ่งมองดูกิริยาอาการของคนทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง   เมื่อเห็นว่า ไม่มีใครยอมปริปากพูดจริงๆ แล้ว เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ   บอกว่า

“คุณไม่ยอมบอกก็ ไม่เป็นไร ผมจะจัดการของผมเอง   ผมไปละ   ประเดี๋ยวผมจะกลับมาใหม่”

เมื่อพูดจบ เขาก็หันกลับเดินออกประตูไป   พัจนาทรงกายลุกขึ้นจากแคร่ เดินมาที่ประตูด้วยความลำบาก

สีสิ่นตามมาด้วย   คนทั้งสองเห็นภิสัชและลูกน้องช่วยกันก้มๆ มองๆ ดูตามบริเวณนั้น   สักครู่ ก็เห็นเขาก้มลงมองดูที่หนึ่งอย่างพิจารณา แล้วเรียกนายสิบมาดูด้วย   ทั้งสองตรวจดูบริเวณนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนครู่หนึ่ง แล้วก็ออกเดินพลาง ก้มมองดูพื้นดิน พลางมุ่งหน้าจะเข้าไปในป่าทางหนึ่ง

สีสิ่นผละจากที่ยื่นอยู่ วิ่งกลับเข้าไปข้างใน   สักครู่ก็กลับออกมาพร้อมด้วยปืนกระบอกยาวของบิดา   หล่อนยกมันขึ้นประทับกับบ่าเล็งไปที่ร่างของตำรวจทั้งสองที่หันหลังให้   พัจนารีบจับปากกระบอกปืนกดลงเสียทันที

“ห้ามข้าเจ้าทำไม”   สีสิ่นแสดงท่าฮึดฮัด   “นายจะปล่อยให้เขาตามไปฆ่าสากันหรือ   เขาตามไปถูกทางแล้วเห็นไหม   ประเดี๋ยวเขาก็ยิงสากันตายเท่านั้น   ปล่อยข้าเจ้าซี   ข้าเจ้าจะได้ฆ่าเขาเสียก่อนที่เขาจะทันฆ่าสากัน”

“ไม่มีประโยชน์หรอก สีสิ่น ที่จะทำอย่างนั้น”   พัจนาบอก จับตามองดูร่างที่เดินลับเข้าไปในป่า   “การฆ่าคนเป็นการผิด   ไม่ว่าจะฆ่าใคร และฆ่าเพื่ออะไรก็ตาม   จงปล่อยสากันไปตามทางของเขาเถิด   อย่าลืมว่าสากันไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครจับตัวเขาได้ง่ายๆ ถ้าเขาไม่ต้องการให้ใครจับ   แล้วอีกอย่างหนึ่ง เขาก็ออกจากที่นี่ล่วงหน้าไปนานแล้ว ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงเป็นเวลาหลายชั่วโมง   ถ้าเขาต้องการจะหนี เขาก็ต้องหนีพ้น”

สีสิ่นลดปืนลง มองไปยังชายป่าด้านที่ตำรวจทั้งสองหายลับไปนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและวิตกคละเคล้ากัน   แล้วจึงได้หันกลับ เดินเอาปืนไปแขวนไว้ ณ ที่เดิมของมัน   พัจนาพยุงกายกลับมานั่งลงบนแคร่   สีสิ่นเดินมาหย่อนกายลงนั่งข้างๆ   ทั้งสองต่างก็มิได้พูดอะไรต่อกัน เพราะต่างก็คอยฟังอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เวลาค่อยผ่านไปอย่างเชื่องช้า   พัจนารู้สึกนานราวกับสักสิบปีนับตั้งแต่นายตำรวจแกะรอยสากันไป   และเมื่อเขารู้สึกว่าสากันคงจะไปได้รอดแล้ว   ชายหนุ่มก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอก พูดว่า

“คงจะไม่พบดอก   สากันคงจะหนีไปพ้นแล้ว”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดขาดคำลง ก็ปรากฏเสียงปืนดังลั่นขึ้นนัดหนึ่ง   เสียงนั้นมีอำนาจพอที่จะทำให้ พัจนาสะดุ้งขึ้นทั้งตัว และสีสิ่นผวาขึ้นจากที่ที่นั่งอยู่ทั้งร่าง   หล่อนหันมามองดูพัจนาอย่างจะขอความเห็น   และเมื่อมองเห็นหน้าที่ซีดเผือดนั้นก็เข้าใจได้ในทันที

“โอย ไม่จริง”   หล่อนร้องกรีดเสียงแหลม   “สากันยังไม่ตาย   เสียงปืนนั้นเป็นเสียงปืนที่สากันยิงต่างหาก   ใช่ไหมนาย   เป็นเสียงปืนของสากัน”

“ไม่ใช่ดอก สีสิ่น”   พัจนาส่ายหน้าช้าๆ   ความรู้สึกในใจในขณะนั้นยากเกินกว่าที่จะบรรยายได้   “ถ้าเป็นเสียงปืนจากสากัน มันจะไม่นัดเพียงนัดเดียว   ต้องไม่ใช่เป็นเสียงปืนจากสากันแน่ๆ”

“แต่นายบอกว่าสากันหนีไปพ้นแล้ว”   สีสิ่นแย้ง   “แต่นี่เสียงปืนมันไม่ห่างไปจากนี่เท่าไรเลยนี่นาย”

“ฉันไม่ได้บอกว่า สากันหนีไปพ้นแล้ว”   พัจนากล่าวด้วยเสียงแหบเครือ   “ฉันพูดว่า ถ้าสากันอยากหนี เขาก็คงจะหนีไปพ้นแล้ว”

สีสิ่นนิ่งงันไป   หล่อนอาจจะเข้าใจหรือไม่ เข้าใจคำพูดของเขาก็ได้   แต่จากเสียงปืนที่ดังขึ้นนัดเดียวแล้วเงียบหายไปนั้น ประกอบทั้งสีหน้าอันเผือดซีดหม่นหมองลงในทันใด ของชายที่อยู่กับหล่อนในเวลานั้น   ทำให้แม่สาวชาวป่างงงันไป   ทั้งสองจึงต่างนั่งนิ่งอยู่ดุจรูปปั้น   นานเท่านาน จวบจนประตูกระท่อมถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง   ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูโดยมิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ร่างที่ยืนอยู่ตรงช่องประตู มีสีหน้าซีดเผือด   มือที่ถือปืนตกลงอย่างอ่อนแรง

นั่นคือร่างของ นายร้อยตำรวจเอก ภิสัช   นิตินัยบำรุง

จบบทที่ 32