พลินทร์ พงศ์ราชยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าต่างเมื่อผดาเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาจับตามองดูเธอเงียบๆ จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่กลางห้อง ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ และหน้าตาเฉยเมยว่า
“ฉันอยากทราบว่า ที่เธอพูดเมื่อกี้นี้น่ะ เธอหมายความจริงจังสักแค่ไหน เรื่องที่เธออยากจะเข้าป่าไปหาพัจนาด้วยกัน”
ผดามองสบตาเขา ตอบด้วยเสียงอย่างเดียวกันว่า “ดิฉันไม่เคยพูดเล่นกับคนที่ดิฉันไม่คุ้นเคยด้วย”
หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาเดินมากดก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย จับเก้าอี้ตัวหนึ่งขยับ บอกว่า “เชิญนั่ง” แล้วตัวเองก็หย่อนร่างลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง โดยมิได้รอดูผลของการเชื้อเชิญนั้นว่าจะถูกนำพาหรือไม่ ผดาเม้มริมฝีปาก ยืนนิ่งอยู่อึดใจใหญ่แล้วจึงเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ห่างจากเขาที่สุด แต่ดูเหมือนพลินทร์จะไม่สนใจในการกระทำและเจตนาของเธอ เขาพูดต่อไปอย่างเคร่งขรึมว่า
“ฉันอยากจะบอกให้เธอเข้าใจให้แจ่มแจ้งเสียก่อน ว่าการเข้าป่าไปค้นหาพัจนาครั้งนี้มีอันตรายมาก เพราะขณะนี้ พวกป่าไม้สองพวกกำลังทำสงครามกันอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าเคราะห์ของเราไม่ดี ก็อาจจะถูกพวกใดพวกหนึ่งเล่นงานเอาเพราะความเข้าใจผิดก็ได้”
“นั่นก็สุดแท้แต่บุญแต่กรรม เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายเถอะค่ะ” ผดาบอก
“ดีละ” พลินทร์มองดูเธอ ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว “อีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะเตือนเธอไว้ก็คือว่า การเดินป่านั้นไม่เหมือนกับการเดินซื้อผ้าแถวพาหุรัด”
“ดิฉันไม่ค่อยถนัดในการเดินแถวพาหุรัดดอกค่ะ” ผดาพยายามบังคับเสียงให้เรียบเป็นปรกติ ทั้งๆที่รู้สึกว่าหน้าของตนเริ่มจะร้อนขึ้นอีกแล้ว “แต่ดิฉันก็คิดว่าการเดินป่าคงจะง่ายกว่ามาก ดิฉันเชื่อว่าการผจญกับสัตว์ป่านั้นสะดวกใจกว่าที่จะผจญกับคนกรุงมากมายนัก”
“นี่เธอพูดด้วยสำนวนโวหาร” พลินทร์ติง และผดาก็ตอบสวนออกไปในทันทีว่า “แต่ก็พูดออกมาจากใจจริง ดิฉันขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าดิฉันอยากจะไปค้นหาพัจนาด้วยจริงๆ แต่คุณจะยอมให้ดิฉันไปด้วยหรือไม่นั้นก็สุดแท้แต่คุณ”
ชายหนุ่มมองดูเธอนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมาว่า “เธอทำให้ฉันลำบากใจจริงๆ”
และก่อนที่ผดาจะทันตอบเขาว่ากระไร ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ จ้าวศรีฟ้าเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง ตามติดด้วยจ้าวศรีธรน้องชาย ชายหนุ่มคนหลังนี้ยกมือขึ้นทักทายผดาอย่างเป็นกันเอง พร้อมกันเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ถามว่า
“คุณผดามานานแล้วหรือครับ”
“ศรีธรเขาได้ข่าวเพิ่มเติมมาอีกแล้วพลินทร์” จ้าวศรีฟ้าแจ้งให้สหายรู้ เมื่อพลินทร์หันมาทางชายหนุ่มที่ถูกกล่าวนาม เขาผู้นี้ก็กล่าวขึ้นทันทีโดยมิต้องรอให้ถามว่า
“เขาพิสูจน์ศพลูกชายเถ้าแก่กิมดูแล้วครับคุณพลินทร์ ประหลาดเหลือเกินที่นายคนนั้นไม่ได้ตายเพราะพิษบาดแผลหรอกครับ แต่ตายเพราะถูกยิง”
“ตายเพราะถูกยิง” พลินทร์ทวนคำพลางขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือนี่”
“เป็นความจริงครับ” ศรีธรยืนยัน “กระสุนเจาะขมับพอดี เขาพิสูจน์ได้ว่ารอยถูกยิงนี้ได้รับหลังจากที่เครื่องบินตกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น พัจนาของเราก็ออกจะตกที่นั่งลำบากมากทีเดียว” พลินทร์พูดอย่างเคร่งขรึม “เพราะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดอยู่”
“โอ เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ” ผดาร้อง
ชายหนุ่มทั้งสามหันมามองดูเธอเป็นตาเดียวกัน หญิงสาวพูดต่อไปตามความคิดของตนในขณะนั้นว่า “ถ้าคุณจะคิดว่าพัจนาเห็นคนยิงนายอะไรนั่นละก็ไม่จริงดอกค่ะ ดิฉันทราบดีว่าพัจนาฆ่าใครไม่ได้”
พลินทร์มองดูเธอเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เราจะคิดอย่างไร แต่มันอยู่ที่ว่าตำรวจเขาจะคิดอย่างไรต่างหากเล่า”
“แต่ดิฉันเชื่อว่าพัจนาต้องไม่ได้เป็นคนฆ่า” ผดายังคงยืนยันตามความเข้าใจของเธออย่างแน่นแฟ้น “พัจนาใจคอไม่โหดร้ายถึงเพียงนั้น คุณพลินทร์ คุณต้องรู้จักเลือดเนื้อพงศ์ราชของคุณดี คุณคิดว่าคนหนึ่งในพงศ์ราชของคุณจะสามารถฆ่าคนได้ลงคอเทียวหรือคะ”
ดวงตาของพลินทร์ทอแสงประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าดาวตก เขาแย้งคำพูดของหญิงสาวด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“ก็ไม่แน่นัก อาจจะเป็นได้ ถ้าจะเป็นการฆ่าด้วยความกรุณา”
“ฆ่าด้วยความกรุณา” ผดาพึมพำ มองดูผู้พูดอย่างงงงวย พลินทร์ ก้มศีรษะรับช้าๆ รับว่า
“ถูกแล้ว ฆ่าด้วยความกรุณา ลองสมมุติว่าเป็นตัวเธอเองสิ ถ้าตกอยู่ในที่นั่งอย่างพัจนา เพื่อนมนุษย์คนหนึ่งกำลังได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสจากพิษบาดแผล คนคนนั้นไม่มีหวังที่จะรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้ในเมื่อแขนทั้งสองข้างของเขาหักละเอียด ขาก็เหลือเพียงข้างเดียว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานรอความตายอยู่ ไม่มีใครจะช่วยได้ เธอจะทนฟังเสียงเขาร้องครวญครางอยู่ตลอดวันตลอดคืนจนกว่าเขาจะตายไปเองงั้นรึ หรือว่ารีบหนีไปเสียจากที่นั่น ปล่อยให้เขานอนรอความตายอยู่เพียงคนเดียว หรือไม่ก็ปล่อยให้สัตว์ป่ามาช่วยทำให้เขาตายอย่างทรมานยิ่งขึ้น”
“โอ พอทีค่ะ โปรดหยุดที” ผดาร้องออกมา ช ายหนุ่มทั้งสามเห็นดวงหน้าซีดเผือด พลินทร์จึงบอกว่า
“เสียใจที่ฉันพูดมากไป ทำให้เธอใจคอไม่ดี” เขาหันไปทางศรีธร ถามว่า “จ้าวได้ข่าวมาเท่านี้เองหรือ”
“เท่านี้น่ะยังไม่พออีกหรือ” จ้าวศรีฟ้าว่า พร้อมๆกับที่น้องชายตอบพลินทร์ว่า
“ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วนี่ครับ มีแต่คนเขาเตือนว่าให้เตรียมอาวุธไปให้พร้อม เพราะอาจจะไปเจอเอาพวกของสากันเข้าก็ได้”
“ใครคือสากันคนนี้” พลินทร์ถามอย่างสนใจ
“เขาว่ากันว่าเป็นลูกเลี้ยงของพ่อเลี้ยงบุญอินครับ” จ้าวศรีธรอธิบาย “เวลานี้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าคอยคุมสมัครพรรคพวกอาละวาดพวกของเถ้าแก่กิมอยู่”
พลินทร์หันมาทางสหายของเขา ถามว่า “จ้าวไม่กลัวนายสากันคนนี้ไม่ใช่หรือ”
จ้าวศรีฟ้าหัวเราะ ตอบว่า “ถ้าคุณไม่กลัว ผมจะไปกลัวได้รึ เราตกลงจะกอดคอกันแล้วนี่นา”
พลินทร์หันมาทางผดา ดวงหน้าของเขาเคร่งเหมือนอย่างทุกครั้งที่เขามองดูเธอ “เธอได้ยินที่เราพูดกันนี่แล้วนะ คิดดูให้ดีเสียก่อนอีกที แล้วจึงค่อยบอกว่าตกลงใจอย่างไร” รอยยิ้มบางๆ เกิดขึ้นแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็วตามเคย “ไม่ต้องอายหรอก ถึงเธอจะเลิกล้มความตั้งใจ ฉันก็จะไม่หัวเราะเยาะเธอ เธอเป็นผู้หญิงจะเอาอย่างผู้ชายน่ะไม่ได้”
ผดาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองสบตาเขาเมื่อกล่าวอย่างชาเย็นว่า “ดิฉันตั้งใจอะไรแล้วไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจ”
“เธอนี่ก็พอๆกับนายพัจนาเหมือนกัน” พลินทร์ว่า ผดามองดูเขา แต่ก็ไม่อาจจะจับความรู้สึกในเสียงนั้นได้ “เมื่อเธอยังอยากจะไปให้ได้ก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวกลับไปเตรียมตัวเสีย พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้ามืด”
ทั้งจ้าวศรีฟ้าและจ้าวศรีธรร้องคัดค้านออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
“คุณผดา” จ้าวศรีฟ้าหันมาอ้อนวอนอย่างเป็นห่วงด้วยใจจริง “อย่าไปเลยครับเชื่อผมเถอะ คุณเป็นผู้หญิง ไม่สมควรที่จะไปเสี่ยงอันตรายอย่างนั้น”
“แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทฟองน้ำฟองสบู่นะจ้าว” พลินทร์ขัดขึ้นโดยเอาคำพูดของเธอมาอ้าง” เธอเคยบอกอย่างนั้น จ้าวจำไม่ได้หรอกหรือ”
“แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง” จ้าวศรีฟ้าค้าน “คุณไม่น่าจะยอมให้เธอไป”
“ผมไม่อยากจะริดรอนสิทธิของคนอื่น” พลินทร์ตอบ “ถ้าจะพูดไปแล้ว ในการไปค้นหาพัจนาครั้งนี้ คู่หมั้นของเขาสิที่สมควรจะไปยิ่งกว่าเราทุกคน”
แปลกใจเป็นที่สุดในคำที่เขาใช้ กล่าวถึงเธอ ผดาจ้องมองดูพลินทร์อย่างไม่เข้าใจในความคิดของเขา แต่เธอก็ไม่มีเวลาพอที่จะขบคิด เพราะจ้าวศรีฟ้าได้หันมา ถามย้ำเอากับเธออีกครั้งหนึ่งด้วยดวงหน้าที่มาแสดงความสบายใจเสียเลยว่า
“นี่แปลว่าคุณจะไปให้ได้จริงๆหรือ คุณผดา”
“ดิฉันไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอกค่ะจ้าว” ผดาตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่เด็ดเดี่ยว
“ผมเชื่อว่าคงจะไม่มีอันตรายอย่างใดเกิดขึ้นแก่เธอหรอก” เธอได้ยินพลินทร์กล่าวแก่สหายของเขา “เพราะอย่างน้อยก็ยังมีสุภาพบุรุษเป็นหลายคนเต็มใจที่จะอุทิศชีวิตเพื่อรักษาความปลอดภัยให้เธอได้ เธอไปด้วย ก็ดีเหมือนกัน เพราะบางที อาจจะเป็นแม่เหล็กช่วยดึงดูดให้นายพัจนาออกจากป่ามาหาเราเร็วเข้าก็ได้”
ผดาอยากจะได้เห็นสีหน้าของเขานัก เมื่อเขากล่าวถ้อยคำเหล่านั้น แต่พลินทร์มิได้หันหน้ามาทางเธอ เขาหันหลังมาทางเธอในขณะที่พูด และเมื่อพูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้องเสียในทันที
จ้าวศรีธรเป็นผู้ขับรถพาเธอและคำรสมาส่งบ้าน แม้ว่าตลอดทางที่นั่งรถมานั้น ทั้งคำรสและจ้าวศรีธรจะพยายามพูดให้เธอเปลี่ยนใจ ผดาก็ยังคงปฏิเสธอยู่ตามเดิม ในที่สุด เธอก็หัวเราะบอกว่า
“ไหนเธอว่าเธอรู้จักใจฉันดีอย่างไรล่ะ คำรส เธอว่าลงฉันตั้งใจจะไปแล้ว ต่อให้เอาอะไรมาฉุดก็ไม่ยอมอยู่ อย่างนี้แล้วเธอยังจะทนเกลี้ยกล่อมฉันให้แสบคอทำไมเปล่าๆ จ๊ะ”
เท่านี้ คำรสก็ค้อนให้ขวับใหญ่แล้วไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปจนคำเดียวจนกระทั่งถึงบ้าน
จ้าวศรีธรจอดรถเข้าเทียบเกือบชิดประตูบ้านที่ทำด้วยไม้ระแนงตีโปร่งๆ ดับเครื่องยนตร์มองเลยเข้าไปในบ้าน แล้วบอกว่า
“นั่นสุภาพบุรุษที่ไหนกำลังอู้อยู่กับแม่เฒ่าของเธอแน่ะ คำรส”
หญิงสาวทั้งสองมองตามสายตาของเขาไปบ้าง ก็ได้แลเห็นส่วนหลังของบุรุษหนึ่งที่นั่งอยู่ที่แคร่ใต้ต้นลำไยหน้าเรือน เขาผู้นั้นแต่งตัวเรียบร้อยด้วยกางเกงขายาวสีเทาอ่อน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเกือบจะเหมือนกางเกงรีดเรียบ ผดารู้สึกสะดุดใจในลักษณะของเขาผู้นั้นขึ้นมาในฉับพลัน พอดีกับแม่เฒ่ามองออกไปทางหน้าบ้านและเห็นหนุ่มสาวทั้งสามเข้า จึงหันไปบอกกับอาคันตุกะ ยังผลให้เขาผู้นั้นหันมาโดยเร็วแล้วก็ผลุดลุกขึ้นยืน ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใสและยินดีอย่างเห็นได้ชัด พร้อมๆ กันกับที่ผดาอดมิได้ที่จะร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นและประหลาดใจเป็นที่สุดว่า
“อุ๊ย คุณภิสัชนั่นเอง”