หนี้หัวใจ

>> สุภาว์ เทวกุลฯ

หนี้หัวใจ

บทที่ 18

พลินทร์ พงศ์ราชยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าต่างเมื่อผดาเปิดประตูเข้าไปในห้อง   เขาจับตามองดูเธอเงียบๆ  จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่กลางห้อง ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ และหน้าตาเฉยเมยว่า

“ฉันอยากทราบว่า ที่เธอพูดเมื่อกี้นี้น่ะ  เธอหมายความจริงจังสักแค่ไหน  เรื่องที่เธออยากจะเข้าป่าไปหาพัจนาด้วยกัน”

ผดามองสบตาเขา   ตอบด้วยเสียงอย่างเดียวกันว่า     “ดิฉันไม่เคยพูดเล่นกับคนที่ดิฉันไม่คุ้นเคยด้วย”

หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย   เขาเดินมากดก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย   จับเก้าอี้ตัวหนึ่งขยับ   บอกว่า   “เชิญนั่ง”     แล้วตัวเองก็หย่อนร่างลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง โดยมิได้รอดูผลของการเชื้อเชิญนั้นว่าจะถูกนำพาหรือไม่   ผดาเม้มริมฝีปาก  ยืนนิ่งอยู่อึดใจใหญ่แล้วจึงเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ห่างจากเขาที่สุด   แต่ดูเหมือนพลินทร์จะไม่สนใจในการกระทำและเจตนาของเธอ  เขาพูดต่อไปอย่างเคร่งขรึมว่า

“ฉันอยากจะบอกให้เธอเข้าใจให้แจ่มแจ้งเสียก่อน   ว่าการเข้าป่าไปค้นหาพัจนาครั้งนี้มีอันตรายมาก  เพราะขณะนี้ พวกป่าไม้สองพวกกำลังทำสงครามกันอยู่   เพราะฉะนั้น  ถ้าเคราะห์ของเราไม่ดี ก็อาจจะถูกพวกใดพวกหนึ่งเล่นงานเอาเพราะความเข้าใจผิดก็ได้”

“นั่นก็สุดแท้แต่บุญแต่กรรม เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายเถอะค่ะ”     ผดาบอก

“ดีละ”     พลินทร์มองดูเธอ ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก   แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว     “อีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะเตือนเธอไว้ก็คือว่า  การเดินป่านั้นไม่เหมือนกับการเดินซื้อผ้าแถวพาหุรัด”

“ดิฉันไม่ค่อยถนัดในการเดินแถวพาหุรัดดอกค่ะ”     ผดาพยายามบังคับเสียงให้เรียบเป็นปรกติ  ทั้งๆที่รู้สึกว่าหน้าของตนเริ่มจะร้อนขึ้นอีกแล้ว    “แต่ดิฉันก็คิดว่าการเดินป่าคงจะง่ายกว่ามาก ดิฉันเชื่อว่าการผจญกับสัตว์ป่านั้นสะดวกใจกว่าที่จะผจญกับคนกรุงมากมายนัก”

“นี่เธอพูดด้วยสำนวนโวหาร”     พลินทร์ติง และผดาก็ตอบสวนออกไปในทันทีว่า     “แต่ก็พูดออกมาจากใจจริง   ดิฉันขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าดิฉันอยากจะไปค้นหาพัจนาด้วยจริงๆ     แต่คุณจะยอมให้ดิฉันไปด้วยหรือไม่นั้นก็สุดแท้แต่คุณ”

ชายหนุ่มมองดูเธอนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมาว่า     “เธอทำให้ฉันลำบากใจจริงๆ”

และก่อนที่ผดาจะทันตอบเขาว่ากระไร ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ   จ้าวศรีฟ้าเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง ตามติดด้วยจ้าวศรีธรน้องชาย   ชายหนุ่มคนหลังนี้ยกมือขึ้นทักทายผดาอย่างเป็นกันเอง พร้อมกันเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ  ถามว่า

“คุณผดามานานแล้วหรือครับ”

“ศรีธรเขาได้ข่าวเพิ่มเติมมาอีกแล้วพลินทร์”     จ้าวศรีฟ้าแจ้งให้สหายรู้ เมื่อพลินทร์หันมาทางชายหนุ่มที่ถูกกล่าวนาม เขาผู้นี้ก็กล่าวขึ้นทันทีโดยมิต้องรอให้ถามว่า

“เขาพิสูจน์ศพลูกชายเถ้าแก่กิมดูแล้วครับคุณพลินทร์   ประหลาดเหลือเกินที่นายคนนั้นไม่ได้ตายเพราะพิษบาดแผลหรอกครับ   แต่ตายเพราะถูกยิง”

“ตายเพราะถูกยิง”     พลินทร์ทวนคำพลางขมวดคิ้ว    “เป็นไปได้หรือนี่”

“เป็นความจริงครับ”     ศรีธรยืนยัน “กระสุนเจาะขมับพอดี   เขาพิสูจน์ได้ว่ารอยถูกยิงนี้ได้รับหลังจากที่เครื่องบินตกแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น พัจนาของเราก็ออกจะตกที่นั่งลำบากมากทีเดียว”     พลินทร์พูดอย่างเคร่งขรึม “เพราะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดอยู่”

“โอ เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”     ผดาร้อง

ชายหนุ่มทั้งสามหันมามองดูเธอเป็นตาเดียวกัน   หญิงสาวพูดต่อไปตามความคิดของตนในขณะนั้นว่า     “ถ้าคุณจะคิดว่าพัจนาเห็นคนยิงนายอะไรนั่นละก็ไม่จริงดอกค่ะ   ดิฉันทราบดีว่าพัจนาฆ่าใครไม่ได้”

พลินทร์มองดูเธอเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า     “ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เราจะคิดอย่างไร แต่มันอยู่ที่ว่าตำรวจเขาจะคิดอย่างไรต่างหากเล่า”

“แต่ดิฉันเชื่อว่าพัจนาต้องไม่ได้เป็นคนฆ่า”     ผดายังคงยืนยันตามความเข้าใจของเธออย่างแน่นแฟ้น     “พัจนาใจคอไม่โหดร้ายถึงเพียงนั้น  คุณพลินทร์ คุณต้องรู้จักเลือดเนื้อพงศ์ราชของคุณดี  คุณคิดว่าคนหนึ่งในพงศ์ราชของคุณจะสามารถฆ่าคนได้ลงคอเทียวหรือคะ”

ดวงตาของพลินทร์ทอแสงประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าดาวตก เขาแย้งคำพูดของหญิงสาวด้วยเสียงเรียบๆ ว่า

“ก็ไม่แน่นัก  อาจจะเป็นได้   ถ้าจะเป็นการฆ่าด้วยความกรุณา”

“ฆ่าด้วยความกรุณา”     ผดาพึมพำ   มองดูผู้พูดอย่างงงงวย  พลินทร์ ก้มศีรษะรับช้าๆ รับว่า

“ถูกแล้ว  ฆ่าด้วยความกรุณา  ลองสมมุติว่าเป็นตัวเธอเองสิ  ถ้าตกอยู่ในที่นั่งอย่างพัจนา เพื่อนมนุษย์คนหนึ่งกำลังได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสจากพิษบาดแผล คนคนนั้นไม่มีหวังที่จะรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้ในเมื่อแขนทั้งสองข้างของเขาหักละเอียด   ขาก็เหลือเพียงข้างเดียว เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานรอความตายอยู่ ไม่มีใครจะช่วยได้   เธอจะทนฟังเสียงเขาร้องครวญครางอยู่ตลอดวันตลอดคืนจนกว่าเขาจะตายไปเองงั้นรึ   หรือว่ารีบหนีไปเสียจากที่นั่น ปล่อยให้เขานอนรอความตายอยู่เพียงคนเดียว หรือไม่ก็ปล่อยให้สัตว์ป่ามาช่วยทำให้เขาตายอย่างทรมานยิ่งขึ้น”

“โอ พอทีค่ะ โปรดหยุดที”     ผดาร้องออกมา ช ายหนุ่มทั้งสามเห็นดวงหน้าซีดเผือด พลินทร์จึงบอกว่า

“เสียใจที่ฉันพูดมากไป ทำให้เธอใจคอไม่ดี”     เขาหันไปทางศรีธร ถามว่า     “จ้าวได้ข่าวมาเท่านี้เองหรือ”

“เท่านี้น่ะยังไม่พออีกหรือ”     จ้าวศรีฟ้าว่า  พร้อมๆกับที่น้องชายตอบพลินทร์ว่า

“ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วนี่ครับ  มีแต่คนเขาเตือนว่าให้เตรียมอาวุธไปให้พร้อม  เพราะอาจจะไปเจอเอาพวกของสากันเข้าก็ได้”

“ใครคือสากันคนนี้”     พลินทร์ถามอย่างสนใจ

“เขาว่ากันว่าเป็นลูกเลี้ยงของพ่อเลี้ยงบุญอินครับ”     จ้าวศรีธรอธิบาย     “เวลานี้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าคอยคุมสมัครพรรคพวกอาละวาดพวกของเถ้าแก่กิมอยู่”

พลินทร์หันมาทางสหายของเขา  ถามว่า     “จ้าวไม่กลัวนายสากันคนนี้ไม่ใช่หรือ”

จ้าวศรีฟ้าหัวเราะ  ตอบว่า     “ถ้าคุณไม่กลัว ผมจะไปกลัวได้รึ เราตกลงจะกอดคอกันแล้วนี่นา”

พลินทร์หันมาทางผดา  ดวงหน้าของเขาเคร่งเหมือนอย่างทุกครั้งที่เขามองดูเธอ “เธอได้ยินที่เราพูดกันนี่แล้วนะ   คิดดูให้ดีเสียก่อนอีกที แล้วจึงค่อยบอกว่าตกลงใจอย่างไร” รอยยิ้มบางๆ เกิดขึ้นแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็วตามเคย     “ไม่ต้องอายหรอก  ถึงเธอจะเลิกล้มความตั้งใจ   ฉันก็จะไม่หัวเราะเยาะเธอ   เธอเป็นผู้หญิงจะเอาอย่างผู้ชายน่ะไม่ได้”

ผดาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย   มองสบตาเขาเมื่อกล่าวอย่างชาเย็นว่า     “ดิฉันตั้งใจอะไรแล้วไม่เคยเลิกล้มความตั้งใจ”

“เธอนี่ก็พอๆกับนายพัจนาเหมือนกัน”     พลินทร์ว่า   ผดามองดูเขา  แต่ก็ไม่อาจจะจับความรู้สึกในเสียงนั้นได้     “เมื่อเธอยังอยากจะไปให้ได้ก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวกลับไปเตรียมตัวเสีย   พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้ามืด”

ทั้งจ้าวศรีฟ้าและจ้าวศรีธรร้องคัดค้านออกมาอย่างไม่เห็นด้วย

“คุณผดา”     จ้าวศรีฟ้าหันมาอ้อนวอนอย่างเป็นห่วงด้วยใจจริง    “อย่าไปเลยครับเชื่อผมเถอะ คุณเป็นผู้หญิง ไม่สมควรที่จะไปเสี่ยงอันตรายอย่างนั้น”

“แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทฟองน้ำฟองสบู่นะจ้าว”     พลินทร์ขัดขึ้นโดยเอาคำพูดของเธอมาอ้าง”     เธอเคยบอกอย่างนั้น จ้าวจำไม่ได้หรอกหรือ”

“แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง”     จ้าวศรีฟ้าค้าน     “คุณไม่น่าจะยอมให้เธอไป”

“ผมไม่อยากจะริดรอนสิทธิของคนอื่น”     พลินทร์ตอบ     “ถ้าจะพูดไปแล้ว ในการไปค้นหาพัจนาครั้งนี้ คู่หมั้นของเขาสิที่สมควรจะไปยิ่งกว่าเราทุกคน”

แปลกใจเป็นที่สุดในคำที่เขาใช้ กล่าวถึงเธอ   ผดาจ้องมองดูพลินทร์อย่างไม่เข้าใจในความคิดของเขา   แต่เธอก็ไม่มีเวลาพอที่จะขบคิด   เพราะจ้าวศรีฟ้าได้หันมา ถามย้ำเอากับเธออีกครั้งหนึ่งด้วยดวงหน้าที่มาแสดงความสบายใจเสียเลยว่า

“นี่แปลว่าคุณจะไปให้ได้จริงๆหรือ คุณผดา”

“ดิฉันไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอกค่ะจ้าว”     ผดาตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่เด็ดเดี่ยว

“ผมเชื่อว่าคงจะไม่มีอันตรายอย่างใดเกิดขึ้นแก่เธอหรอก”     เธอได้ยินพลินทร์กล่าวแก่สหายของเขา     “เพราะอย่างน้อยก็ยังมีสุภาพบุรุษเป็นหลายคนเต็มใจที่จะอุทิศชีวิตเพื่อรักษาความปลอดภัยให้เธอได้   เธอไปด้วย ก็ดีเหมือนกัน  เพราะบางที อาจจะเป็นแม่เหล็กช่วยดึงดูดให้นายพัจนาออกจากป่ามาหาเราเร็วเข้าก็ได้”

ผดาอยากจะได้เห็นสีหน้าของเขานัก เมื่อเขากล่าวถ้อยคำเหล่านั้น   แต่พลินทร์มิได้หันหน้ามาทางเธอ   เขาหันหลังมาทางเธอในขณะที่พูด และเมื่อพูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้องเสียในทันที


จ้าวศรีธรเป็นผู้ขับรถพาเธอและคำรสมาส่งบ้าน แม้ว่าตลอดทางที่นั่งรถมานั้น ทั้งคำรสและจ้าวศรีธรจะพยายามพูดให้เธอเปลี่ยนใจ  ผดาก็ยังคงปฏิเสธอยู่ตามเดิม  ในที่สุด เธอก็หัวเราะบอกว่า

“ไหนเธอว่าเธอรู้จักใจฉันดีอย่างไรล่ะ คำรส   เธอว่าลงฉันตั้งใจจะไปแล้ว   ต่อให้เอาอะไรมาฉุดก็ไม่ยอมอยู่   อย่างนี้แล้วเธอยังจะทนเกลี้ยกล่อมฉันให้แสบคอทำไมเปล่าๆ จ๊ะ”

เท่านี้ คำรสก็ค้อนให้ขวับใหญ่แล้วไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปจนคำเดียวจนกระทั่งถึงบ้าน

จ้าวศรีธรจอดรถเข้าเทียบเกือบชิดประตูบ้านที่ทำด้วยไม้ระแนงตีโปร่งๆ   ดับเครื่องยนตร์มองเลยเข้าไปในบ้าน แล้วบอกว่า

“นั่นสุภาพบุรุษที่ไหนกำลังอู้อยู่กับแม่เฒ่าของเธอแน่ะ คำรส”

หญิงสาวทั้งสองมองตามสายตาของเขาไปบ้าง  ก็ได้แลเห็นส่วนหลังของบุรุษหนึ่งที่นั่งอยู่ที่แคร่ใต้ต้นลำไยหน้าเรือน   เขาผู้นั้นแต่งตัวเรียบร้อยด้วยกางเกงขายาวสีเทาอ่อน   เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเกือบจะเหมือนกางเกงรีดเรียบ  ผดารู้สึกสะดุดใจในลักษณะของเขาผู้นั้นขึ้นมาในฉับพลัน  พอดีกับแม่เฒ่ามองออกไปทางหน้าบ้านและเห็นหนุ่มสาวทั้งสามเข้า  จึงหันไปบอกกับอาคันตุกะ  ยังผลให้เขาผู้นั้นหันมาโดยเร็วแล้วก็ผลุดลุกขึ้นยืน   ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใสและยินดีอย่างเห็นได้ชัด  พร้อมๆ กันกับที่ผดาอดมิได้ที่จะร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นและประหลาดใจเป็นที่สุดว่า

“อุ๊ย คุณภิสัชนั่นเอง”

จบบทที่ 18