หลังจากที่พัจนาไปแล้ว ผดาก็ยังคงนั่งอยู่ ณ ที่เดิม พัจนาทิ้งปัญหาไว้ให้เธอขบคิดและยุ่งยากใจอีกแล้ว คำพูดที่เกี่ยวไปถึงพลินทร์ ดังที่เขาบอกกับเธอนั้น ผดา ทวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ นึกถึงวินาทีอันแสนมหัศจรรย์เมื่อเขาและเธอได้ใกล้ชิดกัน สัมผัสกัน โดยปราศจากความขุ่นข้องหมองใจ รังเกียจเดียดฉันท์เป็นครั้งแรก เนื้อต่อเนื้อ และสายตาต่อสายตา … คุณใหญ่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย ... พัจนาบอกแก่เธออย่างนั้น
เย็นมากแล้วเมื่อผดาละจากที่นั้นมุ่งกลับสู่ที่พัก พอก้าวพ้นแนวไม้แนวสุดท้าย ก็ได้เห็นภิสัชกำลังเดินยิ้มตรงเข้ามาหา เขาร้องทักก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวว่า
“หนีไปนั่งคิดอะไรคนเดียวอีกแล้วซินี่ ทำไมถึงชอบหนีไปนั่งไกลๆ คนเดียวเสมอนะครับ ไม่นึกกลัวบ้างหรือ”
“ไม่กลัวดอกค่ะ” ผดาตอบ คนเราบทจะมีเคราะห์ ถึงนั่งอยู่แต่ในบ้าน เคราะห์ก็ยังเข้าไปหาถึงตัวจนได้”
“เอาอีกแล้ว” เขาร้อง “เริ่มพูดเหมือนเมื่อตอนที่พัจนาตกเครื่องบินใหม่ๆ อีกแล้ว จำได้หรือเปล่าว่าตอนนั้นคุณเคยพูดว่าจะไม่มีความเชื่อมั่นในสิ่งใดอีกแล้ว”
“คุณคิดว่าดิฉันเป็นโรคความจำเสื่อมจนถึงกับจะจำคำพูดของตัวเองไม่ได้เทียวหรือคะ ภิสัช” หญิงสาวย้อนถามยิ้มๆ ภิสัชหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้น คุณคงจะจำได้เหมือนกัน ว่าเมื่อคุณพูดอย่างนั้นแล้ว ผมได้พูดกับคุณว่าอย่างไร... เอ.... ท่าจะต้องพูดกันนานเสียแล้ว เรามาหาที่นั่งกันก่อนดีกว่ากระมัง” เขาว่าแล้วก็เหลียวไปมา เมื่อมองไปเห็นซุงท่อนหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็หันมาพยักหน้ากับผดา ชวนว่า “ไปนั่งที่นั่นกันดีกว่า อยู่ในที่ทำงานป่าไม้นี่ก็ดีไปอย่างหนึ่งตรงที่มีที่นั่งเหลือใช้เหลือเกิน”
ผดาทำตามคำชักชวนของเขา มีความรู้สึกกึ่งขันกึ่งสังเวชตัวเอง เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในคณะ และหลีกไม่พ้นที่จะต้องถูกเอาใจใส่คอยติดตามจากบรรดาสุภาพบุรุษทั้งหลาย จริงอยู่ถึงพวกเขาจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาก็เป็นผู้ชาย อะไรหนอที่ทำให้เธออาจหาญเกินสมควรตัดสินใจมากับเขาด้วยเช่นนี้
“ว่าไงครับ” ภิสัชไม่ลืมคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบนั้น “จำได้ไหมว่าผมพูดกับคุณว่าอย่างไร”
“จำเป็นที่ดิฉันจะต้องทวนความจำให้คุณด้วยหรือคะ ภิสัช”
“ก็จำเป็นอยู่ ผมอยากจะทราบว่าที่คุณบอกว่าจำได้นั้น คุณจำได้จริงๆ หรือว่า...”
“คุณคิดว่าดิฉันเป็นคนที่ชอบพูดแต่ปากหรือคะ”
เขาแก้ในทันทีว่า “มิได้ครับ เป็นแต่ผมเกรงว่าคำพูดของผมจะไม่มีความสำคัญพอที่คุณจะจดจำไว้ต่างหาก”
ผดาอดหัวเราะออกมาเสียมิได้ “ปากคอสำคัญนักนะนายตำรวจคนนี้” เธอว่าเขา “ทำไมดิฉันจะจำไม่ได้ คุณบอกว่า ถึงดิฉันจะไม่มีความมั่นใจในอะไรก็ช่างเถอะ แต่ขอให้มีความมั่นใจในสิ่งหนึ่ง”
“สิ่งนั้นคือ...” เขาถามเธอทั้งวาจาและทั้งดวงตา
“ความหวังดีของคุณค่ะ”
“ผมไม่ได้ใช้คำนั้นะครับ ผดา”
“โอ... ความจำของดิฉันไม่ดีพอถึงขนาดที่จะจำได้คำต่อคำดอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น” เขาพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอให้ผมได้ช่วยทวนความจำให้คุณอีกสักครั้ง ผดาครับ ผมเคยบอกคุณว่า ความสุขและทุกข์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของผม ผมยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณ”
ผดารู้สึกขลาดเกินกว่าที่มองสบตาคู่นั้นได้ เธอได้ยินเสียงอันอ่อนโยนนั้นพูดต่อไปว่า
“ผดาครับ เดี๋ยวนี้หัวใจของคุณเป็นอิสระแล้วใช่ไหม จะเป็นการรวดเร็วไปไหมครับ ถ้าผมจะขอให้คุณ... แต่งงานกับผม”
โธ่... ช่างถามได้ว่ารวดเร็วไปไหม ทำไมจึงจะไม่รวดเร็ว เธอและพัจนาเพิ่งจะตกลงกันยังไม่ทันที่จะข้ามวัน ก็ถูกขอแต่งงานเสียแล้ว เขาช่างรู้เรื่องเร็วทันใจเสียจริงๆ
“ว่าอย่างไรครับผดา” เขาเร่งเร้า “คุณพอจะให้ความหวังแก่ผมได้บ้างไหม”
“ภิสัชคะ” ในที่สุด หญิงสาวก็พูดออกไปอย่างลำบากใจ “นี่ดิฉันจะพูดอย่างไรดี เวลานี้ดิฉันยังไม่มีแก่ใจจะคิดถึงอะไรเลยค่ะ”
“เพราะเหตุใดครับ คุณยังคิดถึงพัจนาอยู่ใช่ไหม”
“โอ ไม่ใช่อย่างนั้นดอกค่ะ แต่... มันยากเกินกว่าที่จะพูดได้ถูก”
ภิสัชนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นอีกด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “นี่เป็นคำปฏิเสธ หรือเป็นเพียงคำผัดผ่อนครับ ผดา”
ผดาถอนใจยาวก่อนที่จะตอบว่า “สุดแท้แต่คุณภิสัชจะเข้าใจเถิดค่ะ”
“สุดแท้แต่ผมจะเข้าใจ” ชายหนุ่มทวนคำแล้วหัวเราะเบาๆ ผดาจับความปวดร้าวในเสียงหัวเราะของเขาได้ถนัด สงสารก็สุดที่จะสงสาร แต่เธอจะต้องไม่ใจอ่อนเป็นอันขาด เรื่องเช่นนี้จะทำเป็นคนใจอ่อนไม่ได้ ผดาจึงนิ่งฟังเขาพูดต่อไปอีกว่า “ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจแล้วเหมือนกัน”
เขาเข้าใจดีทีเดียว ไม่ใช่เพียงแต่พอจะเข้าใจอย่างที่เขาว่า ผดาเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา เธอยิ้มอ่อนๆ เมื่อบอกว่า “คุณเคยขอให้ดิฉันมั่นใจในตัวคุณ ดิฉันก็ได้มั่นใจอยู่เสมอมาว่าคุณจะต้องเข้าใจดิฉันดี”
ภิสัชยิ้ม แม้ว่าจะเป็นยิ้มที่ฝืนเต็มที่ ก้มศรีษะให้เธอเล็กน้อย “ขอบคุณที่ยังอุตสาห์ให้ยาหอมพอหล่อเลี้ยงน้ำใจ เอาละไหนๆ คุณก็พูดแล้วว่าผมเข้าใจคุณดี เพราะฉะนั้นผมคงจะทำไม่ผิดแน่ถ้าผมจะให้สิ่งนี้แก่คุณ”
เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบเอาของสิ่งหนึ่งติดมือขึ้นมา ผดาไม่ทันสังเกตเห็นว่าของสิ่งนั้นคืออะไร ต่อเมื่อเขาวางมันลงกลางฝ่ามือประจักษ์ชัดแก่สายตา ผดาจึงถึงแก่ความงงงันตะลึงไปอย่างคาดไม่ถึง
ของสิ่งนั้นมีสัณฐานแบนและกลม ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ตรงกลางมีรอยดุนเป็นรูปมงกุฎ รอบขอบฝังเพชรลูกเม็ดเล็กๆ แพรวพราว... เหรียญห้อยคำประจำสกุล พงศ์ราช!
“คุณรู้จักของสิ่งนี้ดีไม่ใช่หรือ ผดา” ภิสัชถาม ผดายกมือขึ้นคลำที่คอของเธอทันที เธอเพิ่งจะเอาเหรียญที่ดึงออกมาเพื่อคืนให้พัจนา ร้อยเข้าไปสักครู่ใหญ่ก่อนที่จะออกมานี่เอง และมันก็ยังอยู่ที่นั่น ถ้าอย่างนั้น ภิสัชไปสิ่งนี้มาจากไหน
“เหรียญห้อยคอของ พงศ์ราช ภิสัชเก็บได้หรือคะ ท่าจะของคุณพลินทร์ทำตกกระมัง”
ภิสัชมองดูเธอด้วยสายตาประหลาด ส่ายหน้าช้าๆ บอกว่า “เปล่า ไม่ใช่ของคุณพลินทร์ดอก”
“ไม่ใช่ของคุณพลินทร์” ผดาทวนคำอย่างแปลกใจ “เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้นคุณไปเอามาจากไหนเล่าะ”
ภิสัชยังคงมองดูเธอด้วยสายตาประหลาดเช่นนั้นนิ่งนาน แล้วจึงพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบหนักแน่นชัดเจนว่า “เหรียญอันนี้ผมเอามาจากสากัน”
คุณพระช่วย เอามาจากสากัน ภิสัชบอกเช่นนั้นหรือ หรือว่าหูของเธอฟังผิดไปเอง ภิสัชได้เหรียญนี้มาจากสากัน จะเป็นไปได้อย่างไร พลินทร์เคยพูดกับเธอเองว่า เหรียญอย่างนี้มีอยู่เพียงสามอันเท่านั้น อันหนึ่งอยู่ที่เขา อีกอันหนึ่งอยู่พัจนา ซึ่งพัจนาได้มอบให้เธอไว้ตั้งแต่เมื่อเธอตกลงใจจะแต่งงานกับเขา และอีกอันหนึ่งนั้น อยู่ที่น้องชายของเขาซึ่งหนีหายไปจากบ้านตั้งแต่เมื่อห้าปีมาแล้ว
ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่า ...
“แปลว่า สากัน ฆ่าน้องชายของคุณพลินทร์เสียแล้ว และยึดเอาเหรียญนี้ไว้ใช่ไหมคะ ภิสัช”
ภิสัชถอนใจ ยิ้มขรึมๆ “ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นเหลือเกิน ผดา”
ผดาลืมตาโพลง รู้สึกคล้ายหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง “อยากให้เป็นอย่างนั้น... ภิสัช นี่หมายความว่า...”
“ไม่มีทางที่ผมจะคิดเป็นอย่างอื่นได้เลย ผดา ใครๆ ก็รู้ดีอยู่ว่าสากันไม่เคยฆ่าใครมาก่อน จนกระทั่งถึงลูกชายเถ้าแก่กิม และยิ่งกว่านั้น การที่สากันรู้จักคุณพลินทร์ และช่วยเหลือพัจนาไว้ นั่นยังไม่เป็นการเพียงพออีกหรือที่เราจะเชื่อว่า ...”
“โอ... ร้ายกาจจริงๆ” ผดาครวญคราง “คุณพลินทร์จะรู้สึกอย่างไรถ้าได้รู้ความจริง และถ้าคนอื่นได้รู้ด้วยเล่า เรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อไป”
“พลินทร์ อาจจะต้องฆ่าตัวตายหนีความอับอาย หรือไม่ก็ต้องหลีกลี้หนีหน้าออกนอกประเทศไปกระมัง” ภิสัชว่า “แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่คุณคนเดียว เพราะว่าผมจะมอบเหรียญนี้ให้ไว้แก่คุณ และขอรับรองว่าไม่มีผู้ใด จะได้รู้เรื่องนี้อีก” เขาจับมือผดาแบออก วางเหรียญลงแล้วรวบให้กำไว้ จ้องตาเธอเมื่อกล่าวด้วยเสียงหนักๆ ว่า “ชะตาชีวิตของพลินทร์ พงศ์ราช อยู่ในกำมือของคุณแล้ว ผดา”
“แต่ทำไม... ทำไมคุณจึงไม่เอามันออกแสดงเล่าคะ ภิสัช ถ้าผู้ใหญ่รู้เข้า คุณจะมิถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานปิดบังความจริงหรือ”
“ถ้าหากว่ามีคนพิสูจน์ได้ว่า เหรียญนี้เป็นของสากันจริงโดยมิได้ไปริบมาจากใคร ผมก็มีความผิด แต่ว่าผมก็ยอมผิด เพราะเล็งเห็นแล้วว่าความจริงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย มีแต่จะทำลายคนลงไปอีกคนหนึ่ง คุณพลินทร์มิได้มีความโกรธ แค้น อาฆาตพยาบาทอะไรอยู่กับผม ยิ่งกว่านั้น เพราะความร่วมมือจากเขา ผมจึงได้ตัวสากันครั้งนี้ คุณคิดว่าผมควรจะตอบแทนเขาด้วยการหยิบยื่นความอับอายและหายนะให้เขาอย่างนั้นหรือ ผดา”