อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 9

คนที่มายืนยิ้มกริ่มอยู่ที่ประตูทำให้เธออารมณ์บูดแต่เช้า

“พี่อัส…..”

“ทำไมแต่งตัวช้าจัง เรากำลังจะไปทำงานแล้วนะนี่”

“ต้าไปพร้อมลุงเปี่ยม กว่าจะออกจากบ้านก็ใกล้แปดโมง”

“งั้นก็สายทุกวันซิ”

“ถึงยังไงต้าก็ไม่ค่อยมีงานอะไรทำเท่าไหร่”

“คุณหนูต้าหลานรัก ลุงเปี่ยมถนอมเป็นพิเศษ” น้ำเสียงเขายั่วเย้า ถือวิสาสะเดินเข้ามาทั้งๆ ที่เป็นห้องส่วนตัวของเธอ

“ต้ากำลังแต่งตัวนะพี่อัส”

“ก็แต่งไปซิ ใครห้ามล่ะ” เขาทำทีไม่สนใจน้ำเสียงขุ่นข้อง ห้องเธอเล็กและรกบ้าง แต่คุณนงนิตย์ก็คอยจัดแต่งดูแลให้เป็นระเบียบน่ารัก น้องสาลี่มานอนด้วยแค่ไม่กี่คืนก็ถูกคุณลุงฉัตรรับกลับไป เหตุผลที่บอกคุณย่าก็คือป้าประไพคิดถึงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

“พี่อัสมีอะไรก็พูดมาซิ ต้าจะได้แต่งตัว”

“ทำไม จะไล่หรือ อะไรเดี๋ยวนี้ทำตัวแปลกแยกขนาดนี้ เมื่อก่อนก็เคยกินเคยนอนด้วยกันจำไม่ได้แล้ว?”

“ก็เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนนี่นา”

เขายิ้มยั่ว “งั้นพี่ต้องฟื้นฟูความหลังละซิ”

“พี่อัส มีคนมายืนดูเวลาแต่งตัวแบบนี้แบบนี้ต้าไม่เคยชินนะ”

“ก็ทำให้เคยชินไว้ซิ อีกหน่อยพอแต่งงานก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่ดีไม่ใช่หรือ”

เธอหน้าบูด “ถึงยังไงก็ไม่ใช่กับพี่อัสหรอก”

“อ้าว เรื่องในอนาคตกำหนดได้หรือ ใครจะรู้ พรุ่งนี้ต้าอาจจะหลงรักพี่อัสก็ได้”

“ไม่มีทางหรอก…!”

“งั้นใคร ชายในฝันของต้าคือพี่มรุตหรือเปล่า…..”

อะไรกันอีกละนี่ มาล้อเรื่องพี่มรุตอีกแล้ว หรือว่าเธอแสดงออกจนเป็นที่สังเกตเห็น

“บ้าอีกคนหนึ่งแล้วพี่อัส”

พอถูกสะกิดความในใจ ใบหน้าเธอก็แดงเรื่อจนรู้สึกร้อนวูบวาบ ใช่แล้ว ต่อหน้ามรุตเธอก็รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบแบบนี้ มันคงจะเรื่อสีแดงออกมาฟ้องชาวบ้าน

“ก็ได้ยินว่าเขารูปหล่อนักไม่ใช่หรือ”

“รูปหล่อ ความรู้สูงและเป็นสุภาพบุรุษเต็มร้อย”

“นั่นไง เริ่มพรรณนาสรรพคุณ…..” เขาเดินไปเปิดดูเสื้อผ้าที่แขวนเรียงในตู้ ปากก็พูดเรื่อย “แต่พี่จะบอกให้นะ อย่าหลงคนเพราะรูปภายนอก เห็นว่าหล่อเฉียบขาดอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะเป็นตุ๊ดก็ได้”

“ไม่มีทางหรอก !”

เขายกไหล่ “ไม่เชื่อก็ตามใจ” รูดมือผ่านชุดเสื้อผ้าที่เรียงราย ศรุตาไม่ใช่สาวสมัยช่างแต่งตัว เสื้อแต่ละชิ้นที่ถูกหยิบออกมาจึงทำให้ชายหนุ่มเบ้หน้า “เสื้อผ้าพวกนี้ฝังดินไปได้แล้วคุณหนูต้าเอ๋ย ชั้นเคยเห็นตู้เสื้อผ้าสาวๆ มาเยอะ แต่ก็เพิ่งจะของเธอนี่แหละที่ไม่มีชิ้นไหนน่าประทับใจเลย”

“พี่อัสเป็นผู้ชายทำไมจะเที่ยวสำรวจตู้เสื้อผ้าสาวๆ”

เขายักไหล่ สีหน้ามีนัย “ฝีมือซะอย่าง”

เธอเดินไปฉวยเสื้อจากมืออีกฝ่ายแล้วปิดตู้ด้วยอารมณ์บูดเต็มที่ “ก็ต้าเพิ่งเรียนจบยังหาเงินเองไม่ได้แล้วจะมีชุดสวยๆ ได้ยังไง”

เขายกไหล่ “ถ้าไม่รู้จักแต่งตัว ต่อให้สวยแค่ไหนก็มีสิทธิ์ขึ้นคานเป็นสาวแก่นะจะบอกให้” เขาจับคางเธอ สีหน้ากรุ้มกริ่มหยอกเย้า “แต่หน้าตาอย่างนี้ถ้าไม่ได้แต่งงานละก็น่าเสียดายแย่เลย”

“จะได้แต่งหรือไม่ได้แต่งก็ไม่ใช่เรื่องของพี่อัส”

“อะไรกัน…!”

เสียงห้วนดังจากประตู คุณเปี่ยมยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดทำให้ อัสนีย์ ต้องรีบขยับห่างจากหญิงสาว ยิ้มเจื่อนๆ

“อัสมาเร่งให้ต้าแต่งตัวเร็วๆ ครับลุงเปี่ยม กลัวว่าจะไปทำงานสาย”

ศรุตาไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในระยะหลังๆ คล้ายลุงเปี่ยมขุ่นเคืองไม่พอใจอัสนีย์เสมอจนฝ่ายผู้เยาว์เข้าหน้าไม่ติด แม้เธอไม่ถูกชะตากับอัสนีย์แต่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนและพี่น้องทำให้กล้ำกลืนคำพูดไว้

“ไม่ต้องมาเร่งหรอก ไปทำงานสายหรือไม่ เขาก็ทำของเขาแบบนี้ทุกวัน”

“เอ้อ พอดีผมจะชวนต้าไปงานเลี้ยงด้วยครับ ลูกค้าเชิญมา ก็เลย….. มาดูว่าเขามีชุดใส่หรือเปล่า”

“งานอะไร ใครเชิญ”

เขาเอ่ยชื่อบริษัทใหญ่ที่เป็นลูกค้าของบริษัทราชันย์ สีหน้าคุณเปี่ยมบอกว่ารับรู้

“งานนั้นต้าไม่ไปหรอก แต่ถ้าไปก็จะไปกับลุง”

“เอ้อ ครับ”

อัสนีย์ ยิ้มเจื่อนๆ ถอยออกไปจากห้อง คุณเปี่ยมมองตามดุๆ แม้ไม่เอ่ยปากแต่ศรุตาก็รู้ว่าเขาไม่พอใจ

“นายคนนี้ทำตัวรุ่มร่าม เห็นจะให้อยู่ด้วยไม่ได้แล้ว”

“ช่างเขาเถอะค่ะลุงเปี่ยม”

“ช่างไม่ได้ซิต้า มันเป็นเสือผู้หญิง ใกล้ใครก็ตะครุบคนนั้น”

“แหม ลุงเปี่ยมพูดซะน่ากลัวเลย พี่อัสโตขึ้นมาด้วยกันคงไม่คิดกับต้าอย่างนั้นหรอกค่ะ”

“ก็ลองคิดสิ…..” น้ำเสียงเขาหมายมาดดุดัน



น้องสาลี่มานอนกับศรุตาเพียงสองคืนก็ถูกพากลับไป แล้วคุณฉัตรและคุณประไพก็พากลับมาหาคุณย่าอีก ศรุตาแปลกใจที่เห็นท่าทีของหนูน้อยซุกตัวคล้ายคนแปลกหน้าทั้งๆ ที่ได้สนิทสนมกันเป็นอย่างดีแล้ว

“น้องสาลี่ มากับพี่ต้าเถอะค่ะ ไปเก็บดอกไม้สวยๆ กัน”

เธอพยายามชักชวน แต่อีกฝ่ายบิดตัวพลางมองคุณประไพอย่างกริ่งเกรงแล้วไม่ยอมลุกตาม ศรุตา มาบอกสารัตถ์ พ่อหนุ่มน้อยเบ้หน้า

“เฮ่อ ผู้หญิงก็แบบนี้ทุกคนแหละ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้”

“ทุกคนที่ไหน พูดให้ดีๆ นะ”

“อ่ะ ยกเว้นพี่ต้าไว้คนหนึ่งก็ได้”

“ตุ้ยลองไปชวนน้องสาลี่ออกมาซิ”

“ไม่เอาหรอก ขี้เกียจรำคาญ”

คุณประไพและคุณฉัตรปักหลักคุยกับคุณย่าอยู่นานโดยที่เด็กหญิงนอนรอเบื่อหน่ายจนหลับอยู่ตรงนั้น คุณย่าเองก็สบายอกสบายใจจนไม่ยอมนอนหลับพักผ่อนทั้งที่เคยนอนช่วงกลางวัน วันละหลายครั้ง พูดคุยกันผลัดกันซักถามผลัดกันเล่าถูกปากถูกคอ จนคุณสมฉวีที่ฝืนยิ้มยินดีต้อนรับ เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องคุณย่ารู้สึกร้อนรุ่มอยู่ในใจ

เธอเองก็เป็นลูกสะใภ้ ทั้งยังคอยดูแลรับใช้ใกล้ชิด ทำไมท่าทางคุณย่าจึงเกรงอกเกรงใจทางนั้นมากกว่านะ

“เรื่องข้าวปลาอาหารนี่ ประไพเขาเก่งครับคุณแม่ ทำได้หลายอย่างทั้งอาหารไทย อาหารจีนและอาหารฝรั่ง ตอนอยู่ที่โน่นก็ลงมือทำเองทุกอย่าง” คุณฉัตรบรรยายสรรพคุณภรรยา

สีหน้าคุณอัปสรชื่นชม “งั้นหรือ……”

“ถ้าคุณแม่ไม่ว่า วันหลังประไพจะขอมาทำให้คุณแม่รับทานบ้างนะคะ”

“โอย ฉันจะว่าได้ยังไง คงรีบต้อนรับเลยละ ความจริงคนที่นี่ก็ทำอาหารพอใช้ได้ แต่ที่แม่ฉวีให้ฉันทานนี่มันซ้ำๆ จนเอียนจะแย่แล้ว”

คุณสมฉวีหน้าเสีย “โธ่ ก็คุณแม่ต้องระวังจำกัดอาหารนี่คะ ทานเผ็ดทานมันไม่ได้ เนื้อสัตว์ก็ไม่เอา จะทานปลาก็กลัวก้าง ทานผักก็ต้องเลือกไม่งั้นจะเคี้ยวไม่สะดวกแล้วกลืนยากอีก”

“อ้าว ก็ฟันฉันเหมือนฟันหนุ่มๆ สาวๆ รึ”

“ประไพจะทำอาหารอ่อนๆ ไม่ใส่เนื้อหมูเนื้อวัว เคี้ยวกลืนง่ายๆ ให้คุณแม่รับทานค่ะ จะเปลี่ยนทุกวันไม่ให้ซ้ำกันเลย” อีกฝ่ายรีบพูด

คุณสมฉวียิ้มหวาน ขุ่นเคืองอยู่ข้างใน

“ถ้าจะช่วย ขอตำราให้ฉวีก็ได้ค่ะ”

“ตำราอยู่ในนี้ค่ะ” คุณประไพชี้เคาะปลายนิ้วที่ศีรษะตัวเอง ยิ้มกระด้างไม่หวานเท่าคุณสมฉวี แต่เป็นยิ้มที่เป็นต่อ

คุณย่านึกถึงอาหารที่คุณสมฉวีปรนเปรอแล้วก็เลยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ

“เรื่องทำอาหารนี่ ถึงเปิดตำราแต่ถ้าไม่มีพรสวรรค์มันก็ทำอร่อยออกมาไม่ได้ บางคนไม่ต้องใช้ตำรา หยิบเครื่องปรุงอะไรได้ก็เทๆ เขย่าๆ ใส่ลงไป มันกลับอร่อยถูกใจคนกิน….. แม่หวีคงเป็นประเภทแรกมากกว่า……”

คุณสมฉวี ฝืนยิ้มขณะที่นึกสาปแช่งอยู่ในใจ…!


พอได้โอกาสเธอก็เล่าให้คุณเปี่ยมฟัง เพราะเหตุนั้นคุณเปี่ยมจึงไม่แปลกใจที่ในวันต่อมา คุณย่าก็ทวงถาม

“เรื่องที่จะให้ฉัตรย้ายเข้ามา เปี่ยมว่ายังไงลูก”

“ผมจะให้อัสนีย์ย้ายออกไปครับ ส่วนรุ่งแสงก็จะย้ายมานอนกับสมฉวี พี่ฉัตรพร้อมเมื่อไหร่ก็เข้ามาได้เลยครับ”

“แม่หวีไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

คุณสมฉวีรีบยิ้ม “ไม่ว่าหรอกค่ะ หวีก็ดีใจที่ครอบครัวคุณฉัตรจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน อยู่กันหลายๆ คนอบอุ่นดีไม่เงียบเหงา”

“ที่นี่เป็นบ้านของปู่ชิต เป็นสิทธิ์ของฉัตรกับลูกๆ เขา” คุณย่าพูดเสียงอ่อน

ประกายตาคุณเปี่ยมวาบวับอยู่ในสีหน้าประดับรอยยิ้ม

“ครับ คุณแม่ ผมเองก็นึกอย่างนั้นเสมอ”

“เปี่ยมเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ ต้องจัดการเรื่องฉัตรให้เป็นธรรมนะลูก ทรัพย์สินส่วนที่เป็นของฉัตรมีอะไรบ้างเปี่ยมก็รู้อยู่แล้ว เรื่องที่ดินต่างๆ ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน สงสัยก็ถามแม่ แม่พอจะจำได้ถึงแม้ว่าไม่ได้ไปดูที่ทางนานแล้วก็ตาม”

คุณสมฉวีหันมาสบตา คุณย่ามีโฉนดที่ดินเป็นปึกในชื่อของตัวเองบ้างและในชื่อของคุณเปี่ยมบ้าง ที่ดินบางแปลงเพิ่งถูกขายไปโดยที่คุณย่าไม่รู้ นอกจากคุณเปี่ยมเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ได้รับสิทธิอำนาจเต็มที่แล้ว ตลอดเวลาหลายปีมานี้ยังรับโอนทรัพย์สินต่างๆ รวมทั้งที่ดินไว้ในชื่อของตน “แทนคุณย่า” และ “แทนคุณฉัตร” อีกมากมาย

“แม่แก่ไม่สบายเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ถึงเวลาแล้วกระมังที่จะแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกๆ หลานๆ สักที ลูกหลานทางพี่ๆ น้องๆ ของแม่หลายคนยังตกระกำลำบาก บางคนก็ไปมาหาสู่ บางคนก็เงียบหาย แต่แม่ก็นึกถึงพวกเขาเสมอ”


คุณสมฉวีหันขวับ อะไร นี่จะแบ่งไปถึงลูกหลานญาติพี่น้องอีกกี่สิบคน แม่เลี้ยงของคุณเปี่ยมคุณเปรมท่าจะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่แล้ว…!

สีหน้าเธอบูดบึ้งเมื่อออกมาจากห้องคุณย่า

คุณเปี่ยมเองก็อารมณ์ไม่ดี แต่พอสารัถต์กระโดดเข้าหา….. “จะเปิดเทอมแล้ว ตุ้ยยังไม่ได้ซื้อชุดนักเรียนใหม่เลย” เขาก็ปิดกั้นเรื่องขุ่นมัวออกไปทันที

ลูกชายอายุสิบขวบตัวสูงกว่าไหล่เขาทั้งยังอ้วนใหญ่ ใบหน้าคมสวยปากแดงแก้มเรื่อผิวขาวจัดคล้ายตุ๊กตาน่ารัก เขาคล้องแขนกับคอลูก พูดพลางพาเดินมาที่ห้องนั่งเล่น

“ทำไมไม่บอกแม่ล่ะลูก”

“บอกทีไรแม่ก็พูดว่า… เอา ไว้พรุ่งนี้นะลูก…” เขาทำสุ้มทำเสียง

“งั้นให้อาหวีพาไปซื้อ”

“ม่ายอาว ตุ้ยอยากไปกับพ่ออ่ะ”

“พ่องานยุ่งไม่ว่างพาตุ้ยไปนี่ เอาอย่างนี้ ให้พี่ต้าพาไปซื้อดีไหม แล้วถ้าตุ้ยอยากได้ของเล่นอะไรอีกก็ซื้อได้ตามสบายเลย พ่อจะให้ตังค์ไปเยอะๆ”

“โอ จริงนะครับ ตุ้ยอยากได้รถสามล้อเครื่องคันใหญ่ๆ แต่ว่ามันแพงนะครับพ่อ ตุ้ยว่าพี่ต้าต้องไม่ยอมให้ซื้อแน่เลย”

“ต้องยอมซิ แล้วพ่อจะบอกพี่ต้าเอง”

“งั้นตุ้ยไปตามพี่ต้ามานะครับ”

“ไปซิลูก”

นายตุ้ยหน้าบานวิ่งไปตามหาพี่สาว หารู้ไม่ว่าศรุตากำลังนั่งเพลินดูรูปพ่อของเธอจากอัลบั้มเก่าของแม่อยู่ในห้องเก็บของติดๆ กันนั่นเอง เธอได้ยินเสียงพ่อเลี้ยงกับน้องชาย แล้วก็ได้แต่แอบยิ้ม… ดีแล้ว แกล้งให้ตามหาซะบ้าง คงอีกนานหรอกกว่าจะเจอ

ห้องนี้เคยเป็นที่แอบเวลาเล่นซ่อนหากัน เครื่องประดับเครื่องใช้และของเล่นเก่าๆ วางโดดเด่นบ้างถูกจัดใส่กล่องบ้างเรียงอยู่เต็มชั้น

เธอเพิ่งคุยกับแม่ซึ่งบอกเธอว่า “วันครบรอบปีที่คุณพ่อหนูเสียครั้งนี้แม่คงไม่ทำอะไรมาก แค่ซื้อของไปถวายสังฆทานก็พอแล้ว ไว้แม่รู้สึกแข็งแรงอีกนิดค่อยไปทำบุญใหญ่กัน”

พ่อตายจากไปกว่าสิบปีแล้ว แม้ตอนนั้นยังเป็นเด็กเล็กๆ ศรุตาก็จำได้ว่าชีวิตช่วงที่มีพ่อเต็มไปด้วยความสุขและอบอุ่น เธอคิดถึงพ่อขึ้นมาก็เลยมานั่งดูอัลบั้มภาพซึ่งแม่นำมาเก็บไว้ที่นี่นานแล้ว เพื่อรักษาน้ำใจคุณเปี่ยม ที่นอกจากเป็นสามีคนปัจจุบันแล้ว ยังรักและดูแลศรุตาเหมือนปฏิบัติต่อลูกแท้ๆ

พอลูกชายคล้อยหลัง เรื่องรบกวนจิตใจทำให้สีหน้าคุณเปี่ยมกลับเครียดขรึม ส่วนคุณสมฉวีที่รอคอยอย่างกระวนกระวายก็เข้าประชิดกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าขุ่นข้องเช่นกัน

“ดูเถอะ คุณแม่จะเที่ยวยกสมบัติให้คนนั้นคนนี้ นี่พอคุณฉัตรย้ายเข้ามาก็คงต้องรู้แน่ๆ เลยว่าคุณแม่มีอะไรอยู่ที่ไหนจะยกให้ใครบ้าง แล้วคุณจะทำยังไงคะ คุณเปี่ยม จะยอมให้คุณฉัตรเข้ามาจริงๆ หรือ”

ศรุตานึกว่าเธอหูฝาดได้ยินคลาดเคลื่อน…..!

เสียงพูดต่อทำให้เธอต้องยืดตัวขึ้นฟัง น้ำเสียงของคุณเปี่ยมขุ่นเข้มหมายมาด

“จะทำยังไงได้ คุณแม่พูดแล้วพูดอีกว่าจะให้ฉัตรย้ายเข้ามาเราก็ต้องจัดการให้… หึ… ดีเสียอีกซิ… ”

แม้กำลังบีบเสียงกระซิบกระซาบแต่คุณสมฉวีก็แสดงความขุ่นข้องออกมาได้อย่างเต็มที่ “อ๊าว จะดีได้ยังไง ขืนทางนั้นรู้ว่าคุณแม่มีสมบัติอะไรและตั้งใจจะยกให้ใครบ้างละก็ เขาต้องป่าวประกาศออกไปแน่ๆ เลย คงไม่ปล่อยให้เราเก็บไว้หรอก”

เสียงคุณเปี่ยมเข้มเครียด “ก็อย่าให้คุณย่ามีเวลาบอกนายฉัตรซิ”

“จะให้ใช้ยาอีกหรือ”

!!!… ???…

“ไม่ต้อง ขืนใช้ยาตอนนี้คงทิ้งหลักฐานไว้ให้พิสูจน์ได้ นายฉัตรไม่ปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ แน่ๆ”

“งั้นจะทำยังไงล่ะ”

“อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดีแล้วที่นายฉัตรกับครอบครัวจะย้ายเข้ามา จะได้ช่วยเป็นพยานยืนยันความบริสุทธิ์ให้เรา เพราะว่าในสายตาของคนอื่นหากว่าเกิดอะไรขึ้น พวกมันก็จะต้องมีส่วนรับผิดชอบเท่าๆ กัน”

ตอนนี้คนที่แอบได้ยินตัวชาวาบ เย็นเยียบไปทั้งร่างแล้ว กัดแขนตัวเองเพื่อย้ำเตือนว่าเธอไม่ได้ฝัน เธอได้ยินเสียงอาฆาตมาดร้ายกับหูจริงๆ


คุณลุงเปี่ยมกับอาหวี…..!

เธอนึกถึงซุบถ้วยที่คุณสมฉวีประคองเข้ามาให้คุณย่าด้วยท่าทีแปลกๆ ในตอนค่ำวันก่อน เธอช่วยทานไปครึ่งหนึ่งตามที่คุณย่าชักชวน แล้วก็ไม่สบายทั้งคืน


คุณย่าถูกวางยามานานเท่าไหร่แล้ว……!



จบบทที่ 9