อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 22

กว่าศรุตาจะรู้ว่าปรายเปรมมาถึงแล้ว เขาก็รับฟังเรื่องของเธอจากรุ่งแสงและคนในบ้านครบรอบไม่มีขาดตกบกพร่อง    ตั้งแต่ที่เธอร้องว่าเห็นผีเมื่อคืนวานจนสาวใช้ต้องปูที่นอนหน้าเตียงนอนเป็นเพื่อน มาถึงเรื่องที่เธอนอนหลับทั้งวันเรียกไม่ขยับจนวุ่นวายกันทั้งบ้าน ถึงกับเรียกรถพยาบาลจะให้มารับ    แล้วจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาอ้างว่าไปเที่ยวเมืองสวรรค์กับนางฟ้า    คำบอกเล่ายังเสริมแทรกสีสันหลากหลาย    สีหน้าของชายหนุ่มที่มองเธอจึงออกจะดูแปลกๆ


“อ้าว    คุณปราย    มาถึงแล้วไม่เรียกเลยนะ    เนี่ย    ต้ากำลังจะเข้านอนแล้วเชียว”

รุ่งแสงเย้าว่า   “แค่สองทุ่มเองจะนอนละหรือ    ไปเที่ยวสวรรค์ไกลเลยเหนื่อยหรือไง”    “คนดีมีบุญไปเที่ยวสวรรค์กี่ครั้งก็ไม่เหนื่อยหรอกย่ะ”


“วันหลังจัดทัวร์ซะเลยซิ”

เสียงยั่วเย้าระคนเยาะหยันทำให้นึกรำคาญ    เธอตรงเข้าฉุดแขนชายหนุ่มดื้อๆ    “คุณปรายมานี่เถอะ    ต้ามีธุระจะคุยด้วย”


ร่างสูงใหญ่ที่ลุกตามอย่างว่าง่ายทำให้หญิงสาวที่นั่งข้างๆ อดมองค้อนไม่ได้ กับศรุตาแล้ว แทบไม่มีใครเคยได้ยินปรายเปรมพูดว่าไม่    ในยามเป็นเด็กแม้เคยทะเลาะแง่งอนบ่อยครั้ง   แต่ก็ไม่เคยจะห่างกันได้    ไม่ฝ่ายชายก็ฝ่ายหญิงจะผลัดกันสมานไมตรีไม่เคยขุ่นเคืองกันนาน

ทีกับเธอ    ถ้าขัดใจกัน หากเธอไม่โอนอ่อนเข้าหา เขาก็ทำเฉย


ศรุตาดึงร่างใหญ่ให้เดินตาม    บ้านใหญ่อยู่กันหลายครอบครัวพอมีที่ทางให้นั่งคุยกันโดยไม่ถูกรบกวนแต่   ก็ไม่แน่ว่าใครจะมาขัดจังหวะเมื่อใด    พอห่างออกมาจากคนที่คอยยั่วเย้าให้เสียเรื่อง เธอก็พูดเรื่องที่ตั้งใจออกมาทันที

“คุณปรายจำวัดที่เราไปกันได้ไหม    เราไหว้พระที่โบสถ์    พอจะกลับ รถยางแตกแล้วตอนคุณปรายเอายางไปปะ ต้าก็ไปรอที่ข้างในวิหารเก่าที่หลวงอาบอกว่าเข้าไปนั่งสมาธิแล้วจิตสงบดียังไงล่ะ    องค์อัปสราอยู่ที่นั่น   ท่านตามต้ามาที่นี่”

ดวงตาคมในใบหน้าสะอ้านที่เป็นสีเข้มเพราะแดดลมจ้องมองเธอเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง    เมื่อก่อนศรุตาเคยเล่าเรื่องเกินจริงบ้าง    แต่ในเวลานี้ เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระออกมาอย่างจริงจังเป็นที่สุด

“อะไรนะ    ใครตามต้ามา พูดอีกทีซิ”

“องค์อัปสรา    ท่านเป็นนางฟ้าเพิ่งจุติ    ท่านทำผิดอะไรก็ไม่รู้เลยถูกองค์เทวตาขังไว้    องค์เทวตาดุมาก    เราต้องพาอัปสรากลับไปส่งก่อนที่องค์เทวตาจะรู้ว่าท่านหนีมา   ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกทำโทษ”

“แล้วทำไมท่านไม่รีบกลับไปเองล่ะ”

“ท่านบอกว่ากลับไม่ถูก”

“อ้าว…!”

“แล้วระหว่างทางก็มีพวกวิญญาณเร่ร่อนคอยจ้องจะรังควาน    แต่เพราะคุณปรายมีอะไรดีก็ไม่รู้   เลยพาผ่านมาถึงที่นี่    เพราะอย่างนั้นคุณปรายเลยจะต้องเป็นคนพากลับไป”

“ผมนี่นะ   มีดีขนาดนั้น”

สีหน้าเธอคล้อยตาม    “อืม    ไม่เชื่อใช่ไหม   ต้าเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน”


ชายหนุ่มขยับตัว    “เอาเถอะๆ    ไม่ว่าต้าอยากให้พาไปไหนผมก็จะพาไปไม่มีปัญหาหรอก    ความจริงผมดีใจนะที่ลึกๆ ในใจต้าคิดว่าผมมีดีขนาดนั้น…..”

“ไม่ใช่ต้านึก    แต่ว่าองค์อัปสราท่านบอกต้า”    เธอยืนยัน

ชายหนุ่มถอนใจ    “องค์อัปสราหน้าตาเป็นยังไง”

“เป็นผู้หญิงสาวสวย   สวยกว่าทุกคนที่เคยเห็นมา    ผิวท่านเกลี้ยงสนิท    ตาดำสนิทวาววับเหมือนประกายเพชร   ผมสวยกว่านางแบบที่โฆษณาแชมพูทุกยี่ห้อ    รูปร่างก็แสนจะเพอเฝ็ค    มืองี้สวยยังกับปั้น แล้วก็…”

“เอาละๆ พอแล้ว    เชื่อแล้วว่าสวย    แล้วต้าเห็นท่านตั้งแต่เมื่อไหร่    เราไปวัดกันตั้งหลายวันแล้วทำไมถึงเพิ่งมาเห็น”

“ทีแรกท่านไม่ได้คิดว่าจะมาไกลถึงที่นี่แล้วไม่รู้ว่าด้วยว่าจะสื่อสารกันยังไง ถ้าท่านเข้ามาในร่างต้าก็รู้สึกเคลิ้มๆ เหมือนกำลังฝัน    แต่พอท่านมาให้เห็นด้วยตาแม้เพียงแว้บๆ ต้าก็ตกอกตกใจกระโดดหนีบ้าง ร้องกรี๊ดๆ บ้าง    กว่าจะได้พูดกันก็เล่นเอาแทบหัวใจวายเหมือนกัน…    อือ…    ท่านตามต้าไปที่ออฟฟิศด้วยนะ    แล้วท่านก็บอกว่าพวกเทพไร้ระดับกับวิญญาณเร่ร่อนคอยตามตอแย เรียกท่านว่าน้องสาวคนสวย    ท่านเลยต้องหนีเข้าไปแอบในร่างพวกพนักงานที่อู้งานแอบหลับ    พอรอดไปได้เรื่อยๆ    แล้วก็…..”

เสียงเล่าหยุดชะงักเพราะสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องมองเธอเหมือนอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด

เธอหน้ามุ่ย    ถามแง่งอน    “คุณปรายไม่เชื่อใช่ไหม”

“ที่เล่ามานี่จะให้เชื่อจริงๆ หรือ”

“อ้าว    นี่เรื่องจริงนะ”

สีหน้าอีกฝ่ายยังแคลงใจเต็มที่    ร่างตุ้ยนุ้ยเดินออกมาพอดี ศรุตาร้องอย่างดีใจ    “งั้นถามโศดูก็ได้    โศก็เห็น”

โศภิตเห็นปรายเปรมก็ยิ้มชื่นเข้ามาหา    “สวัสดีค่ะคุณปราย”

“สวัสดีครับคุณโศ”

“โศ    คุณปรายไม่เชื่อว่าเราเห็นอัปสรา”

สีหน้ายิ้มชื่นเจื่อนจางลงทันที    ยิ่งศรุตาคะยั้นคะยอ    “โศบอกคุณปรายทีซิว่าโศก็เห็น”    เธอก็ยิ่งวางสีหน้าไม่สนิท

“เอ่อ    คือว่า… เรื่องนี้…”

“องค์อัปสราท่านทำให้โศกล้าร้องเพลงต่อหน้าผู้คนยังไงล่ะ คุณปราย…    ท่านเข้าถึงโศก่อนต้าซะอีก    จริงไหม โศ”

“ค่ะ    คุณปราย    เอ่อ… คือว่า…”    โศภิตเหลือบมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างทำตัวไม่ถูก    ศรุตานั้นกระตือรือร้นอยากให้เธอช่วยรับรองตัวตนองค์อัปสราเสียจริง    ข้างฝ่ายปรายเปรมก็จับจ้องเหมือนอยากรู้ว่าเธอเพี้ยนตามเพื่อนไปด้วยหรือเปล่า

ปรายเปรมเข้าใจ    “เอาเถอะครับ ผมเชื่อแล้ว”    เขาเออออคล้อยตาม แต่ศรุตายังไม่พอใจอยู่ดี

“เชื่อจริงหรือว่าแกล้งพูด    แหม    จะทำยังไงดีน๊า    ฮื้อ   ทำไมอัปสราไม่ปรากฏกายให้คุณปรายเห็นซะก็ไม่รู้จะได้หมดสงสัย”

“นั่นซิ    โศก็อยากเห็นเหมือนกัน”

“อ้าว…!    เอ๊ะ…..”    ศรุตาอุทานลั่นชี้หน้าเพื่อน    “ไหนโศบอกว่าเห็นแล้วไง”

“คือ    เอ่อ    ที่เห็นน่ะมันลางๆ เลือนๆ    โศอยากเห็นชัดๆ นะ”    โศภิตพูดเจื่อนๆ


องค์อรดีวูบมายืนข้างๆ    “ฉันสื่อสารกับพวกเขาไม่ได้   บอกแล้วว่าเห็นคนมาที่วัดมากมายแต่เพิ่งมีศรุตาเป็นคนแรกที่เชื่อมโยงกันได้”

ศรุตาหันไปยกมือพนม ถามเสียงใส    “อ้าว    หรือคะ”

“ใช่…คะ…”    โศภิต “คะ” ตอบพลางรีบรับไหว้

อีกฝ่ายค้อนวาบ    “ต้าไม่ได้พูดกับโศ”

“อ้าว งั้นหวัดดีค่ะท่านอัปสรา”    โศภิตไหวทันหันไปไหว้กราด

ศรุตาขยับจะต่อว่าเพื่อน    องค์อรดีก็รีบปรามเสียก่อน

“เราจะได้กลับวัดกันเมื่อไหร่”

เธอจึงหันมาถามชายหนุ่ม    “เราจะไปวัดนั้นกันเมื่อไหร่คะ    คุณปราย”

สีหน้าเขาขรึม    มองเธออย่างเป็นกังวล    “รอให้ลุงเปี่ยมเดินทางก่อนดีไหม   แล้วจะให้พาไปไหนก็ตามใจต้า”

“ทำไมต้องรอให้ลุงเปี่ยมไปก่อนด้วย”

“เขาจะได้ไม่ระแวงซักถามว่าผมพาต้าไปไหนบ่อยๆ”

“อ้าว    ลุงเปี่ยมว่าคุณปรายหรือ”

สีหน้าชายหนุ่มตอบรับ    หญิงสาวจึงหันไปหาองค์อัปสรา    “ท่านรอได้ไหมคะ”

“ได้ซิ”

เธอหันกลับมา    “ท่านบอกว่ารอได้”


คุณเปี่ยมเตรียมตัวอยู่ไม่กี่วันก็ถึงกำหนดเดินทาง    หิ้วกระเป๋าใบย่อมลงมาที่ห้องข้างหน้าแล้วเข้าไปร่ำลาคุณย่าซึ่งอำนวยอวยพรให้ปลอดภัยแม้จะรับรู้ว่าเขาจะไปเพียงไม่กี่วันยังประเทศเพื่อนบ้านนี่เอง

คุณฉัตรเย้าว่า    “ถ้ามีอะไรดีละก็ช่วยบอกให้ผมรู้บ้างนะ เปี่ยม เผื่อบางทีจะเข้าไปขุดทองด้วยคน”

คุณเปี่ยมรู้ว่าถูกเยาะแต่ก็ยิ้มตอบ    “ได้ซิครับ    แล้วผมจะบอกพี่ฉัตรเป็นคนแรก”


นายตุ้ยรู้ว่าพ่อจะเดินทางก็งอแงวันละเล็กวันละน้อยล่วงหน้า เขาอายุแค่สิบปีแต่สูงใหญ่เกือบเท่าชายวัยกลางคนที่คล้องแขนกับไหล่อ้วนๆ โอบกอดร่ำลาออกปากฝากฝังหลายครั้งหลายหนว่า    “ดูแลแม่กับพี่ต้าให้ดีนะตุ้ย    ทำหน้าที่พ่อบ้านแทนพ่อให้ดีเชียวนะ”

“สงสัยพ่อไปคราวนี้คงไม่มีที่ซื้ออะไรฝากตุ้ยแน่ๆ เลยใช่ไหมครับ    ที่นั่นคงไม่มีห้างใหญ่ๆ ขายของเล่นใช่ไหมครับ”

“เอาเด็กเขมรซักคนไหมล่ะคะ    คุณตุ้ย”    แม่แจ๋วว่า   เคยค่อนขอดอยู่ก่อนแล้วว่าของเล่นของคุณตุ้ยเกะกะเต็มบ้าน    ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรกันนักหนา


คุณเปี่ยมหันมองหาศรุตาซึ่งหลบอยู่ห่างๆ    ถ้าเป็นแต่ก่อนเธอคงพัวพันแข่งกับน้องชายไม่แบ่งแยกว่าเป็นลูกตัวหรือว่าลูกเลี้ยง    เดี๋ยวนี้คล้ายเธอเจียมตัวเจียมใจอย่างยิ่ง    ก้มหน้าก้มตา ทำตัวลีบเมื่อเขาเข้าใกล้

เขาเดินเข้าหาเธอ    “ดูแลแม่กับน้องด้วยนะ ต้า”

“ค่ะ”

“ลุงเป็นห่วง    หวังว่าต้าไม่ทำให้ลุงผิดหวังนะ”    น้ำเสียงเน้นหนักย้ำเตือน

เสียงตอบรับยิ่งแผ่ว    “ค่ะ    ลุงเปี่ยม…..”

อ้อมแขนกอดกระชับคล้ายรักห่วงใยนักหนา    หญิงสาวกลับต้องกลั้นหายใจอยู่นานกว่าร่างหนาด้วยวัยของคนที่เคยโอบอุ้มเลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กแต่น้อยและเคยทำให้เธอรักไว้ใจเป็นที่สุดจะคลายจากไป


พอไม่มีคุณเปี่ยม    คุณฉัตรและคุณประไพก็ทำหน้าที่ “ลูกรัก” เต็มที่    แต่ก่อนทั้งสองก็ผลัดกันเข้ามาดูแลพูดคุยกับคุณย่าในช่วงเวลาที่ท่านไม่ได้หลับพักผ่อนตอนกลางวันอยู่แล้ว    และยังเป็นธุระพาไปหาหมอตามกำหนดอีกด้วย   ตั้งแต่คุณสมฉวีถูกลดความสำคัญลง    ก็ยอมถอยออกมาเป็นเพียงผู้ดูแต่โดยดี

“ดีแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เราจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบคนเดียว”

ในบทบาทที่กลายเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์นี้    คุณสมฉวีได้ให้ความใส่ใจจับตามองแล้วรายงานกับคุณเปี่ยมเสมอ

เธอเคยบอกคุณเปี่ยมว่า   ‘..ยัยประไพทำเป็นรักสาลี่อวดคุณย่า แต่หวีว่ายัยประไพไม่ได้รักสาลี่หรอกค่ะ   ต่อหน้าคนอื่นละก็ทำเหมือนรัก แต่จริงๆ แล้วหวีว่าเขาเกลียดสาลี่    ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน…..’

คุณเปี่ยมไม่ได้แปลกใจ แต่ก็พูดว่า    ‘…..เขาจะเกลียดลาภชิ้นเอกของเขาได้ยังไง…..’

‘…..ถ้าสาลี่ไม่ใช่คนที่จะมารอรับมรดกจากคุณย่า    ยัยประไพคงไม่คอยดูแลทำเหมือนรักเหลือเกินอย่างนี้หรอกค่ะ    เขาเฝ้าเด็กยังกับหมาหวงเนื้อจนแทบไม่ยอมให้คลาดสายตา    คงกลัวว่าถ้าสาลี่เป็นอะไรไปแล้วคุณย่าจะเอาสมบัติไปยกให้คนอื่นกระมัง…..’

‘…..ก็ให้เฝ้าไปเถอะ    คงจะได้อะไรไปบ้างหรอก…..’ คุณเปี่ยม  แค่นหัวเราะลึกๆ


ศรุตาไม่เคยได้ยินสิ่งที่คุณสมฉวีบอกคุณเปี่ยม    แต่เธอก็เคยแปลกใจที่คุณประไพมักแยกสาลี่ไปจากเธอ    บางครั้งกำลังเล่นกันเพลินๆ ก็ถูกดึงตัวไปเสียเฉยๆ    หากไม่เช่นนั้น มรุตก็จะเข้ามาอยู่ด้วย

“แม่ไพไม่รักสาลี่” เวลาอยู่กันตามลำพัง ศรุตาได้ยินคำนั้นจากปากเด็กหญิงมากกว่าหนึ่งครั้ง    เด็กหญิงเรียกคุณประไพว่าแม่   ตามที่ได้รับการสั่งสอนเพราะคุณประไพเป็นแม่บุญธรรมตามกฎหมาย

“ทำไมจะไม่รักคะ    ทุกคนรักน้องสาลี่กันทั้งนั้น”

“แต่แม่ไพไม่รัก    ชอบตีสาลี่แรงๆ”

“แม่ไพตีน้องสาลี่ที่ไหนคะ”

“ทุกที่    ตรงนี้    ตรงนี้    ตรงนี้”

ศรุตางุนงงเป็นอย่างยิ่ง    “น้องสาลี่ทำอะไรทำไมแม่ไพถึงตี”

“น้องสาลี่ไม่ทำอะไรแม่ไพก็ตี”    น้ำเสียงเธอละห้อย


คงเพราะกลัวน้องสาลี่จะพูดจะเล่าอย่างนั้นกระมังคุณประไพถึงคอยเรียกเธอไปจากศรุตา    มีบางครั้งน้องสาลี่ดื้อเงียบไม่ยอมขยับเขยื้อน    อีกฝ่ายหลอกล่อแต่ไม่ได้ผล จึงระเบิดโทสะออกมา

“อย่าดื้อนะ สาลี่    อยากโดนอีกหรือยังไง…..!”

ศรุตาพลอยหน้าเจื่อนไปด้วย

คุณประไพรู้ตัวรีบฉีกยิ้ม    “โบราณว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี สาลี่รู้ตัวว่าทุกคนรักเลยชักดื้อ   เดี๋ยวนี้ยิ่งเอาใหญ่    ถ้าไม่มีคนคอยดุคอยปรามบ้างอีกหน่อยจะเสียคน…..”

ตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครดุว่าทุบตีศรุตาเลย    แม่รักเธอมาก พอแม่แต่งงานกับคุณเปี่ยม   เขาก็รักเธอเหมือนลูก    เธอไม่รู้ว่าตัวเอง “เสียคน” หรือเปล่า


หากมรุตเห็นท่าทีของมารดา ที่พยายามจะแยกเด็กหญิงจากศรุตา    ก็จะเข้ามาแทรก    “ไม่เป็นไรครับแม่    ผมจะดูแลสาลี่เอง”

เพราะอย่างนั้นศรุตาจึงกลับมาใกล้ชิดชายหนุ่มโดยปริยาย

เธอนึกปลื้ม เข้าใจว่าเขาเข้ามาหาเพราะเธอ

“ทำอะไรกัน    ตรงนี้มีที่พอให้พี่ร่วมด้วยหรือเปล่า”    เสียงถามคล้ายพูดกับสาลี่แต่ตาคมๆ วาววามกลับมองศรุตายิ้มๆ    สาลี่เองก็รักมรุต    มือหนึ่งจับมือขาวใหญ่ได้รูป    อีกมือหนึ่งจับมือศรุตา

“สาลี่กำลังคุยเรื่องนางฟ้ากับพี่ต้า”

เขามองเธอยิ้มๆ    ได้ยินได้ฟังเรื่องของศรุตามาบ้าง    เขาไม่อยู่บ้านแต่ก็ได้รับฟังจากคุณประไพซึ่งระแวงไปไกล    ‘…ยัยเด็กคนนั้นเพี้ยนหนักจริงๆ    ฉันไม่อยากให้สาลี่ยุ่งเกี่ยวด้วย    ไม่รู้ว่าต่อไปจะยังไงอีกและจะมีอันตรายหรือเปล่า…’

“คุยกันว่ายังไงครับ”

“สาลี่อยากเห็นนางฟ้าบ้าง    อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง”

“พี่ว่านางฟ้าคงเหมือนพี่ต้านะ    หรือไม่อย่างนั้น พี่ต้าก็คงเหมือนนางฟ้า” คำพูดหยอกเย้านั้นทำให้หญิงสาวหน้าแดง    หัวใจพองโต..



จบบทที่ 22