อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 33

สีหน้าคุณเปี่ยมเป็นห่วงเป็นใย    รอยยิ้มไม่แตกต่างจากที่เคยเห็น เพียงแต่ลึกลงไปในดวงตาคมวาววาบนั้นคือใครบางคนที่เต็มไปด้วยความลึกลับที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

หญิงสาวตัวเกร็งด้วยความไม่ไว้วางใจ    อีกฝ่ายวางมือลูบไล้ศีรษะน้ำเสียงทักถามอ่อนโยน

“รู้ตัวแล้วหรือต้า    หลับไปนานเชียวนะ”

“ลุงเปี่ยม…..    นี่ต้ากำลังฝันอยู่ใช่ไหมคะ”

“อยากฝันก็ฝัน    ถึงอย่างไรต้าก็ปลอดภัยแล้ว”

“เอ๊ะ    เกิดอะไรขึ้นคะ    ที่นี่ที่ไหน”

“ที่นี่คือโรงพยาบาล”

“โรงพยาบาล……”    เธอทวนคำแล้วก็เริ่มนึกได้    ภาพเด็กน้อยตัวลอยขึ้นเพราะแรงระเบิดติดอยู่ในความทรงจำแม้เธอจะเห็นเพียงชั่ววูบเพราะตนเองก็ได้รับผลของระเบิดอย่างรุนแรงเช่นกัน    “เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างคะ”

“เด็กบาดเจ็บแต่ว่าปลอดภัยแล้ว    แปลกจริงที่รอดมาได้ทั้งสองคน    ต้าเองแทบไม่ได้เป็นอะไรเลย”

ต้องเป็นอัปสราแน่ๆ    แล้วทรงไปอยู่เสียที่ไหน   หรือว่ากำบังร่างหลบเทพอสูร

ไม่มีฝนแต่ฟ้าแลบแปลบปลาบเห็นจากหน้าต่าง    เป็นธรรมชาติหรือฤทธาแห่งเหล่าเทพกันแน่    ที่ร้องเรียนเรื่องที่องค์อรดีกระทำการเหนือธรรมชาติ…!


เธอหันมาหาชายสูงวัยที่เคยโอบอุ้มเลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กด้วยความรักและใส่ใจ    แต่มาห่างเหินกันในระยะหลังเพราะเรื่องที่เธอได้ยินมา    ถามขลาดๆ

“ลุงเปี่ยมหายไปไหนมาคะ    พวกเราเป็นห่วงกันมาก    ลุงฉัตรมาตามแล้วหายไปอีกคนพวกเราเลยพากันตามมา    ลุงเปี่ยมพบทุกคนแล้วใช่ไหมคะ”

“ใช่    พบแล้ว    ขอบใจที่เป็นห่วง”    น้ำเสียงเขาเจือหัวเราะเยาะหยัน

“แล้วลุงเปี่ยมพบลุงฉัตรหรือเปล่าคะ”

อีกฝ่ายสั่นหน้า แต่ในใจนึกถึงเอกสารที่ฝ่ายนั้นถือมา    เอกสารเกี่ยวกับการยินยอมให้กระทำนิติกรรมในเรื่องของทรัพย์สิน    คุณฉัตรอ้างว่ามาตามหาด้วยความเป็นห่วงแต่นำเอกสารนั้นติดตัวมาด้วย

เขาอยากจะหัวเราะ

“ลุงเปี่ยมมาพบต้าได้ยังไงคะ”

“เป็นเรื่องบังเอิญแท้ๆ    ลุงไม่สบายนอนพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ แล้วพวกเขาก็พาต้ามา    ลุงเห็นมรุตก็เลยรู้เรื่อง”

เธอยกมือขึ้นประนมไหว้    “ขอบคุณคุณพระคุณเจ้า    พวกเราตามหาลุงเปี่ยมกันแทบแย่    หวังจะถามหาลุงฉัตรด้วยค่ะ”

“ลุงไม่ได้พบลุงฉัตรของต้า”    เขายังยืนยันคำเดิม

มรุตเดินหน้าเครียดนำกลุ่มเข้ามา    ทุกคนมีสีหน้าวิตกกังวล

“ตื่นแล้วหรือต้า”

ทุกคนล้อมเข้ามาข้างเตียงขณะที่คุณเปี่ยมถอยให้    รุ่งแสงพูดเจือหัวเราะ

“ต้าอีกแล้ว ทำให้วุ่นวายกันไปหมด”

“เป็นยังไงบ้าง    เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”    หนุ่มรุ่นพี่ชายใหญ่ถาม    ใบหน้าสีขาวจัดเคร่งขรึมเห็นไรเคราเขียวจางๆ นัยน์ตาเข้มมองเธออย่างห่วงใย

“ต้าสบายดีแล้ว ไม่เจ็บตรงไหนเลยค่ะ”

รุ่งแสงพูดว่า    “เด็กคนนั้นซิแทบแย่…    เพราะใครกันหนอ”

หญิงสาวหน้าเจื่อน

“แต่โดนระเบิดจังๆ กลับบาดเจ็บเล็กน้อยไม่เสียแขนเสียขาก็นับว่าบุญแล้ว คล้องพระอะไรหรือเปล่าต้า พี่เจนนี่จะได้ขอมาบูชาบ้าง”    จรัสไขพูดยิ้มๆ

“คนดีพระย่อมคุ้มครองซิ”    มรุตปลอบ    “โรงพยาบาลท้องถิ่นไม่สะดวก พอเห็นต้าไม่เป็นอะไรพี่ก็เลยตัดสินใจพามารักษาตัวที่นี่    ต้านอนหลับสบายมาตลอดทางเลย”

หญิงสาวพนมมือไหว้    “ขอบคุณที่พี่มรุตช่วยต้าไว้ค่ะ”

ชายหนุ่มเหลือบมองประตู    พระเอกตัวจริงกำลังติดพันอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ที่ข้างนอกห้อง เขาได้แต่ยิ้มยอมรับ

รุ่งแสงพูดว่า    “ดีนะที่พี่มรุตกับปรายไม่ได้พลอยเจ็บไปด้วย”

ศรุตามองหาปรายเปรมไม่เห็นก็นึกน้อยใจว่าเขาคงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เป็นห่วงเธอ เขาอาจจะสมน้ำหน้าตำหนิต่อว่าเธอก็ได้ ที่เตือนแล้วไม่ยอมฟังแล้วยังทำให้คนอื่นต้องบาดเจ็บ

ศรุตาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พ่อหนุ่มหน้าขรึมนั่งอยู่ข้างๆ เตียง    คอยดูอาการสลับกับการลูบไล้ใบหน้าเธอด้วยความห่วงใย    เขาประคองและจุมพิตมือบางๆ ที่ไร้ความรู้สึกอยู่หลายครั้งหลายหน   ซึ่งแม้ มรุตและรุ่งแสงมองเห็นอยู่ในระยะไกล   ก็ให้เหตุผลแก่กันว่า “เขาเป็นเพื่อนรักกัน ย่อมจะห่วงใยกันเป็นธรรมดา” มรุตเองไม่ลืมภาพที่ชายหนุ่มรีบรุดเข้าไปอุ้มร่างที่ไร้สติของเธอออกมาจากพื้นที่ซึ่งเชื่อกันว่ายังมีระเบิดฝังอยู่ด้วยสีหน้าท่าทีห่วงใยจนไม่สนใจอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัว    จิตวิญญาณของญาติผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายที่มีต่อศรุตา เป็นสิ่งที่มรุตหวั่นเกรง

หลังจากซักไซ้ไถ่ถามทุกข์สุขกันเป็นครู่    มรุตก็พูดเครียดๆ ว่า

“เจ้าหน้าที่ตำรวจพบร่างผู้ชายไทยถูกปล้นทำร้ายเสียชีวิตถูกทิ้งอยู่ เขากำลังจะพามาที่นี่”

ศรุตาตาโต    “คงไม่ใช่ลุงฉัตรนะคะ”

ชายหนุ่มสีหน้าเครียดขรึม    “พี่ก็หวังว่าไม่ใช่”

เธอกอดแขนเขาอย่างปลอบโยน    “ต้องไม่ใช่แน่ๆ ค่ะ ตอนนี้คุณลุงเปี่ยมก็อยู่ที่นี่แล้ว    พรุ่งนี้เราจะตามหาคุณลุงฉัตรกันต่อ”

ร่างสูงใหญ่ของคนหน้าเข้มที่เคร่งขรึมไม่แพ้ใครเข้าประตูมาพอดี    ท่าทีคลอเคลียใกล้ชิดของหญิงสาวผู้เป็นน้องเล็กกับหนุ่มใหญ่รุ่นพี่ชายคนโตทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก    สีหน้าขรึมลงอีก

ศรุตามองอย่างตัดพ้อ    สีหน้าต่อว่าต่อขานของเธอทำให้เขาผิดหวัง    ที่คิดจะถามไถ่พูดคุยด้วยก็เลยได้แต่มองเฉย

ต่างคนต่างก็มองกันโดยไม่มีคำพูดบอกกล่าว

มรุตถามว่า    “ตำรวจพาศพที่สงสัยมาหรือยัง”

“ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายออกจากที่เลยครับ    คงจะอีกนานพอควรกว่าจะมาถึง”

รุ่งแสงถามว่า    “งั้นพวกเรากลับไปโรงแรมกันก่อนดีไหมคะ โรงพยาบาลนี้น่าอึดอัดทำให้รุ่งพลอยจะไม่สบายไปด้วย    พรุ่งนี้จะกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า แต่ว่ารุ่งยังไม่ได้แพ็คกระเป๋าเลย”

“นั่นซิ    พี่ก็เหมือนกัน”    จรัสไขสนับสนุน


สภาพอาคารและสภาพแวดล้อมที่น่าสลดหดหู่เต็มไปด้วยคนเจ็บทำให้มรุตรู้สึกเห็นใจพวกผู้หญิงที่เคยอยู่กันอย่างสะดวกสบายในสถานที่หรูหราสะอาดสะอ้าน    “จะกลับกันก่อนก็ตามใจ    ปรายพาสาวๆ กลับไปที่โรงแรมได้ไหม”

“ต้องได้ซิ    ปรายอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว    หรือว่าลุงเปี่ยมจะให้อยู่คะ” รุ่งแสงหันไปถาม

คุณเปี่ยมสั่นหน้า    “ไม่ต้องหรอก    ไปกันเถอะ    ลุงจะดูแลต้าเอง”

“เอ้อ…    แต่ว่า…..”    คนป่วยขยับตัวอย่างอึดอัดแต่ว่าไม่รู้จะคัดค้านยังไงดี    “แล้วต้าจะเก็บของได้ยังไงล่ะคะ”

รุ่งแสงถามว่า    “อ้าว    ต้าจะกลับกรุงเทพฯ พร้อมกันหรือ    นึกว่าจะอยู่ต่อกับพี่มรุต...    ของๆ ต้า รุ่งเก็บให้ก็ได้ไม่ยากหรอก    เก็บแล้ว จะฝากไว้ที่ห้องพี่มรุตก็แล้วกัน”

“ต้ากลับไปเก็บเองดีกว่า”

ชายสูงวัยหันมายิ้มคมวาบ    “ยังไงๆ คืนนี้ต้าก็ต้องนอนที่นี่    ลุงจะอยู่เป็นเพื่อน”

ปรายเปรม หันมามอง เห็นแต่สีหน้าเธอเจื่อนจางวิตกกังวล    เขาไม่รู้ว่าศรุตามีปัญหากับคุณเปี่ยม    รู้แต่ว่าเธอเป็นลูกรักที่คุณเปี่ยมทะนุถนอมหวงแหน    แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็ตาม

พอเห็นมรุตบีบไหล่บางๆ ของเธอพลางก้มลงมาปลอบ    “ไม่เป็นไรหรอก    พี่ก็อยู่ด้วย”    เขาก็หันหน้าหนี ปลีกตัวออกจากห้องเป็นคนแรก    ไม่ร่ำลาเธอแม้สักคำ

ศรุตามองตามอย่างน้อยใจ

ตาปรายบ้า…!..


ห้องเล็กๆ คล้ายจะว่าง เงียบและตึงเครียด    มีเสียงขรึมๆ ของคุณเปี่ยมและมรุตผลัดกันถามผลัดกันเล่าความเป็นไปและเป็นมาของกันและกัน    ศรุตามึนงงเพราะพิษไข้ นอนฟังเงียบๆ    ไกลออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นแดดขมุกขมัวเพราะใกล้ค่ำ    แต่ประกายท้องฟ้าวับแวบแปลบปลาบ    ลองอย่างนี้องค์อัปสราคงต้องซ่อนตัวเงียบออกมาหาเธอไม่ได้

น่าสงสารจริง    ทรงเดือดร้อนเพราะช่วยเธอไว้แท้ๆ

เธอได้ยินเสียงมรุตถามขรึมๆ เหมือนระแวง

“คุณพ่อยังไม่ได้ติดต่อกับคุณอาเลยหรือครับ    คนที่ไปหาพูดยังกับว่ามีการติดต่อกันแล้วอย่างนั้นแหละ”

“เปล่าเลย    อาไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าพี่ฉัตรมา    ถ้าอารู้คงรีบมาต้อนรับแล้วละ”

“แล้วทำไมคุณอาถึงขาดการติดต่อไปล่ะครับ    ถามหาไม่มีใครรู้สักคนว่าคุณอาอยู่ที่ไหนแม้แต่อานิตย์ก็ไม่รู้    ทุกคนเข้าใจกันไปต่างๆ นานาถึงกับพูดว่าคุณอาถูกลักพาตัว”

“อาไม่สบายนอนไม่รู้เรื่องหลายวัน แล้วโทรศัพท์ก็หล่นหายไปเสียอีก คนไม่สบายไม่มีแก่ใจอยากจะทำอะไรหรอกนะปราย    นี่อาก็เริ่มติดต่อให้รู้กันแล้วว่ายังไม่ตาย ยังอยู่สบายดี” เขาพูดเจือหัวเราะ

ฟ้ามืดจนต้องเปิดไฟกันแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาขัดจังหวะทำให้ชายหนุ่มต้องลุกขึ้น    สีหน้าเขาเผือดเจื่อนจางหันมาบอกเธอ

“เขามากันแล้ว    พี่จะลงไปดู”

หญิงสาวเองก็หวั่นใจ ฝืนยิ้มให้    “ไปดูเสียหน่อย   แต่ยังไงๆ ก็ไม่ใช่ลุงฉัตรหรอกค่ะ”

คุณเปี่ยมถามว่า    “จะให้อาไปด้วยไหม”

“ไม่เป็นไรครับ    ผมไปคนเดียวได้”    เสียงเขาหวั่นไหว

ร่างสูงลุกเดินตามเจ้าหน้าที่ออกไป    คุณเปี่ยมมองตาม สีหน้าที่หันกลับมามองลูกเลี้ยงเจือยิ้มเชือดเฉือน

“ต้าของลุงกลายเป็นหลานรักของลุงฉัตรไปตั้งแต่เมื่อไหร่    ลุงหายไม่มีใครมาตามหา    แต่พอลุงฉัตรหายก็ตามกันมาเป็นฝูง”

“ทุกคนเป็นห่วงลุงเปี่ยมกันทั้งนั้นค่ะ    คุณย่ายิ่งเป็นห่วงมากกินไม่ได้นอนไม่หลับ สุขภาพแย่ลงตั้งแยะ”

“แต่ต้าไม่ได้เป็นห่วงใช่ไหม    หลังๆ นี้ต้าไม่รักลุงแล้วไม่ใช่หรือ”

เธอสีหน้าเจื่อน หลบตาพูดอ่อยๆ    “ต้าเคารพลุงเปี่ยมเสมอค่ะ”

“จริงหรือ”    น้ำเสียงถามหยั่งน้ำใจ    “แล้วทำไมไม่อยู่ข้างลุง    เราคนครอบครัวเดียวกันต้องรักปรองดองกันซิรู้ไหม”

“เอ่อ…    ต้าว่าเราไปดูพี่มรุตกันดีไหมคะ”

เขาหัวเราะเครียดๆ    “คงไม่ต้องกระมัง    มรุตไปเดี๋ยวเดียวก็คงกลับมาในเมื่อยังไงๆ มันก็ไม่ใช่คุณฉัตร”


เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดประตูเข้ามาพูดเป็นภาษาเขมรที่ไม่มีใครฟังออก น้ำเสียงและสีหน้าท่าทีทำให้คุณเปี่ยมต้องเดินตามออกไป

ศรุตารู้สึกสังหรณ์ไม่ดีลุกจากเตียงหยิบเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยนจากชุดคนไข้ที่เธอสวมใส่    ท้องฟ้าภายนอกมืดเหมือนอากาศแปรปรวน    แสงฟ้าแลบแปลบปลาบส่งเสียงครืนๆ จนเธอต้องหันมองหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า    เดือนกลางปีมักจะมีฝนตกฟ้าร้อง    นี่ก็เห็นฟ้าแลบมาก่อนล่วงหน้าเป็นนานแล้ว

เธอถามทางจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแล้วเดินตามคำบอกลงมาจนถึงห้องเก็บศพ    ไม่ใคร่มีผู้คนในระหว่างทาง แต่พอถึงหน้าห้องก็ปรากฏเจ้าหน้าที่หลายนายซึ่งพอฟังออกว่าเธอเกี่ยวข้องเป็นญาติก็เปิดประตูให้    แล้วเธอก็เห็นมรุตนั่งเนื้อตัวสั่นสะท้านท้าวข้อศอกกับเข่ามือปิดหน้าก้มงุดอยู่บนเก้าอี้

เธอเดินไปนั่งข้างๆ จับแขนเขาอย่างถาม    “พี่มรุต…”

ใบหน้าที่หันมามองซีดเซียวชอกช้ำ   ชายหนุ่มสั่นหน้า พยักไปยังม่านที่ปิดกั้น

สีหน้าเธอซีดสลดกระซิบถาม    “ลุงฉัตรจริงๆ หรือคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าส่งเสียงคล้ายร่ำไห้    เธอเองก็หมดแรงเบียดร่างกอดชายหนุ่มไว้

“โธ่    ไม่น่าเลย”

อ้อมแขนชายหนุ่มโอบกอดตอบเหมือนต้องการที่พึ่งปลุกปลอบกำลังใจ ส่งเสียงร่ำไห้ออกมา    ร่างสูงหนาของคุณเปี่ยมก้าวออกมาจากหลังม่าน    สีหน้าเขาเคร่งเครียดเป็นเพราะเห็นลูกเลี้ยงที่เขาหวงแหน กำลังกอดปลอบกับคนที่เธอแสดงให้เห็นแต่แรกว่าชื่นชมหลงใหล   มากกว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่น

“ลุงเปี่ยม    เกิดอะไรขึ้นคะ   ทำไมลุงฉัตรถึงตาย”    เธอถามเสียงสะท้าน

“ปล้นจี้”    เขาตอบสั้นๆ    “ตำรวจคงให้คำตอบได้”

เขาไม่คัดค้านเมื่อเธอพูดเศร้าๆ    “ต้าจะโทรศัพท์บอกให้คนอื่นๆ รู้”

“จะบอกทางบ้านหรือ    คุณย่าจะรับได้หรือเปล่า”

“ต้าจะบอกพวกคุณปรายค่ะ    แล้วจะยังไงก็แล้วแต่เขา”

แล้วเธอก็โทรศัพท์หาปรายเปรม……..


ท้องฟ้ามืดลงจนแสงแลบวูบวาบแปลบปลาบชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ    เจ้าหน้าที่ตำรวจพากันกลับไปบ้าง    คนที่เหลืออยู่ก็อธิบายถึงเรื่องต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นจนต้องอาศัยล่ามจำเป็นที่หาได้ในบริเวณ    สีหน้ามรุตชอกช้ำโศกศัลย์    ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะมารับศพพ่อกลับเร็วเช่นนี้    เขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาค้นหาแต่ยังไงๆ ก็คงได้ตัวเป็นๆ มากกว่าร่างที่ไร้วิญญาณ

“พี่ยังไม่อยากให้แม่รู้ กลัวว่าแม่จะรับไม่ไหว    เรามีกันแค่นี้อยู่ด้วยกันที่เมืองนอกเหมือนไร้ญาติขาดมิตรสิบกว่าปี…”    เสียงของเขาขาดหาย

หญิงสาวบีบมือชายหนุ่ม    น้ำตาคลอตารู้สึกสะเทือนใจไปด้วย    “ต้าเสียใจด้วยค่ะ”

คุณเปี่ยมพุดว่า    “เจ้าหน้าที่จากสถานทูตกำลังมา   พวกเขาจะช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้    พรุ่งนี้ก็คงเคลื่อนย้ายศพกลับกรุงเทพฯ ได้”

“เขาจะชันสูตรศพก่อนหรือเปล่าครับ”

“คงไม่ทำละเอียดกระมัง    แต่ถ้าเราจะทำก็คงต้องขอให้เจ้าหน้าที่สถานทูตดูแลยื่นเรื่องราวให้”

“ผมอยากให้เขาสืบหาตัวคนร้ายให้อย่างเต็มที่    ใครที่ทำกับพ่อผมจะต้องได้รับกรรมตอบสนองอย่างสาสม”

“นั่นซิ”    เสียงตอบรับคล้ายเยาะหยัน

ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง    ลมพายุหวีดหวิวจนบานหน้าต่างลั่นกราว    มีเสียงอุทานตกอกตกใจ จากคนที่อยู่ในบริเวณ

“แหม    พายุฝนที่นี่น่ากลัวจริง”

ไฟในห้องวูบวาบๆ เหมือนกำลังไฟอ่อนลง    ศรุตาเดินออกมาดูก็เห็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิ่งกันวุ่นวาย    ไฟฟ้าดับในโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด

ลมพายุแรงขึ้นเรื่อยๆ

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่”    คุณเปี่ยมร้องมองไปรอบๆ “ทำไมไม่มีใครเตือนว่าจะมีพายุรุนแรงขนาดนี้”

อะไรบางอย่างปลิวกระทบหน้าต่างแตกเปรื่อง    ลมแรงทะลักข้ามาในห้อง ผู้คนที่อยู่ในบริเวณกรีดร้องวิ่งหาที่หลบกันวุ่นวาย

“ศรุตา……”    เธอได้ยินเสียงเรียกที่แตกตื่นของนางเทพ    “เทพอสูรพบฉันจะมาเอาตัวฉันแล้ว    ฉันคงไม่รอดแน่ๆ”



จบบทที่ 33