“สวัสดีครับ ใครกันนี่”
ร่างสูงในเสื้อผ้าประณีตก้าวเข้ามาทักทายหยอกเย้า ประกายตาในใบหน้าสีอ่อนสะอ้านระริกแพรวพรายกว่าที่เคย เพราะเขาเป็น “บุคคลพิเศษ” หญิงสาวจึงประหม่าจนทำตัวไม่ถูก
น้องสาลี่ถลาเข้ามาจับมือ พูดอย่างภาคภูมิใจ
“วันนี้สาลี่เลือกชุดให้พี่ต้าค่ะ พี่มรุต”
“สวยมาก สาลี่เข้าใจเลือก”
“อ๋อ ชุดของรุ่งเองแหละ” รุ่งแสงเสียงแปร่ง มองญาติสาวไม่เต็มตา
“ชุดของรุ่งมีมนต์วิเศษ ใครใส่ก็สวย”
คำพูดและสายตาท่าทีของมรุตทำให้ศรุตาตัวลอย ถ้ารู้อย่างนี้เธอคงแปลงโฉมตัวเองเสียนานแล้ว แต่ก่อนแต่ไรเธอไม่เคยสนใจเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันสำคัญสำหรับผู้หญิง
ผู้หญิงที่กำลังมีความรัก…..
น้ำเสียงรุ่งแสงเยาะหยัน “หวังว่าพรุ่งนี้คงไม่กลับไปเป็นนางสาวอบเชยคนเดิมนะต้า”
“ต้าไม่ค่อยมีชุดสวยๆ” เธอพึมพำเขินๆ
เขาแทบไม่ละสายตาจากเธอ “คงเป็นเพราะต้าเพิ่งพ้นเครื่องแบบนักศึกษาหมาดๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังมีเวลาแต่งตัวสวยๆ อีกนาน ยังไงๆ ก็มีคุณโศภิตเป็นคู่หูอยู่ทั้งคน”
“นั่นซิ โศภิต ออกจะเปรี้ยว ทั้งร้องทั้งเต้น ทั้งใส่เสื้อสายเดี่ยวหน้าตาเฉย อีกหน่อยต้าคงพลอยเปรี้ยวไปด้วย”
ศรุตาหันมา เห็นสีหน้าโศภิตแปลกพิกล คุณเธอยกแขนขึ้นสำรวจขณะที่ก้มลงมองตัวเองด้วยสีหน้าเจื่อนจาง ไม่พูดกระไรแต่หันเดินกลับขึ้นบันไดดื้อๆ
“อ้าว โศ จะไปไหน”
โศภิตได้ยินแต่ไม่ยอมหยุดเดินเหมือนกับจะหนีจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด ศรุตาขยับจะวิ่งตาม แต่น้องสาลี่ยึดมือไว้
“น้องสาลี่อยากทานขนมค่ะ พี่ต้า”
เธอลังเลพะวักพะวน ไม่มีโศภิตเป็นเพื่อนแล้วเธอจะอยู่ได้หรือ
“ยัยโศคงเพิ่งนึกได้กระมังว่าลืมใส่เสื้อลงมา” รุ่งแสงพูดเจือหัวเราะ
“พี่ต้า ไปทานขนมกัน” มือเล็กๆ ออกแรงฉุด
ศรุตาเดินตามโดยมีสายตาเจือยิ้มของมรุตหันมอง แล้วยังตาคมวับของคุณเปี่ยม ที่ยืนคู่คุณฉัตร คุยกับกลุ่มเพื่อนและญาติอย่างติดพัน
ร่างสูงหนาของ “คู่หู” ยืนอยู่ในทาง สีหน้าเขาบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจ แต่ศรุตาไม่ได้สนใจ
“คุณปราย โศเป็นอะไรก็ไม่รู้ ช่วยไปดูให้ที”
กับเขา เธอไม่เคยเขินอาย ไม่เคยมีความในใจลึกซึ้ง ไม่เหมือนเมื่ออยู่ต่อหน้ามรุต ซึ่งเธอมักเผลอแสดงความในใจออกมาอย่างซ่อนไว้ไม่มิด
ชายหนุ่มรู้สึกบาดใจ “แล้วทำไมต้าไม่ไปดูเอง”
“ก็น้องสาลี่…..”
ใบหน้าอ่อน นัยน์ตาใสของเด็กหญิงที่จับมือศรุตาไม่ยอมปล่อยทำให้ชายหนุ่มใจอ่อน “ก็ได้ ปรายจะไปดูให้”
“พาโศมาทานข้าวด้วยกันนะ”
เขามองเธอแล้วเมินหน้าหนี
“คุณปราย อย่าบูดกับโศนะ” เธออดเป็นห่วงไม่ได้
ไม่มีคำตอบนอกจากริมฝีปากได้รูปเม้มเป็นเส้น ดวงตาคมในใบหน้าสีเข้มมองเมินเธอไปเหมือนขัดอกขัดใจ บูดกับแม่เลี้ยงอีกกระมัง ศรุตาคาดเดา ในบัดนี้เธอรู้แล้วว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในท่าทีเหินห่างแบ่งกั้นของชายหนุ่มต่อคุณเปี่ยมและสมฉวีจึงไม่อยากตอแยด้วย ดึงน้องสาลี่เดินหนี
ชายหนุ่มมองตามด้วยสายตาขุ่นข้อง ร่างเธอโปร่งบางแต่สมส่วนดูเป็นผู้หญิงสาวและสวยบาดใจในแบบเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยสนใจมาก่อน เขาโกรธเพราะรู้ดีแก่ใจว่าเธอเปลี่ยนตัวเองเพราะใคร…..
ร่างสูงหนาที่มีหลังไหล่บึกบึน มายืนที่หน้าประตูห้อง เคาะสองสามครั้ง โศภิตก็เปิดรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ สวมเสื้อตัวนอกทับ “สายเดี่ยว” ไว้อย่างเรียบร้อย
“คุณปราย…..”
“ทำอะไรอยู่ครับ เห็นเมื่อกี้ลงไปข้างล่างแล้วทำไมกลับขึ้นมา”
“โศ….. เอ่อ รู้สึกไม่สบายค่ะ…..”
“ไม่สบายเป็นอะไร”
“คือ… คือว่า…..” เธอตัวสั่นอธิบายไม่ถูก “โศคงวิปลาสฟั่นเพือนไปแล้ว นี่คงเป็นอาการเริ่มต้นของคนจะเป็นบ้าแน่ๆ เลย”
“เอ ยังไงกันครับ ทำไมโศพูดอย่างนั้น”
“คือ… หมู่นี้โศไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ครั้งแรกก็ตอนที่ขึ้นไปร้องเพลงที่ร้านอาหารวันที่ไปทานข้าวกับคุณมรุต แล้วก็วันนี้… โศไม่รู้ว่าลงไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง”
“โศรู้สึกยังไงหรือฮะ”
“โศไม่รู้ตัว แต่ว่าคล้อยตามเหมือนกับกำลังฝันไปค่ะ พอรู้ตัวก็พบว่าไม่ได้ฝัน แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก งงไปหมด…..” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเจือวิตก “ทีแรกโศเข้าใจว่าคงเผลอทำไปเพราะจิตใต้สำนึก แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีครั้งที่สามสี่ห้าอะไรอีก โศคงบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย”
“อืม… แต่ผมว่าโศ ทำใจให้สบายดีกว่า อย่าวิตกกังวลให้มากไปเลยจะไม่สบายเปล่าๆ”
“โศต้องวิตกสิคะ จะไม่วิตกได้ยังไง ก็เผลอตัวแต่ละทีนี่ดีๆ ทั้งนั้น จู่ๆ ก็ขึ้นไปคว้าไมค์ร้องเพลงต่อหน้าคนเป็นร้อยยังงี้ แล้ววันนี้ยังถอดเสื้อโชว์ชาวประชาซะอีก โธ่….. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้…..” เธอจะร้องไห้เสียให้ได้
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย วันก่อนที่ร้องเพลง โศก็ร้องเพราะมากและเต้นน่ารักด้วย นั่นแหละคือสิ่งที่โศมีและน่าจะแสดงออกมานานแล้ว หรือว่าจริงๆ โศทำไม่ได้อย่างนั้น”
“ทำได้ค่ะ เดี๋ยวนี้โศมั่นใจแล้วเลยทำได้ จะให้ทำตอนนี้หรือตอนไหนๆ ก็ได้ทั้งนั้น”
“เห็นไหม…..”
“แต่ว่าวันนี้โศถอดเสื้อ…..”
“โศใส่สายเดี่ยวเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ ใส่ต่างหาก ลงไปดูข้างล่างกันไหม สาวๆ ใส่แบบนี้กันทั้งนั้น”
“โอ๊ย ไม่หรอกค่ะ โศไม่กล้าลงไปมองหน้าใครแล้ว เค้าคงหัวเราะเยาะกันทั้งงานว่ายัยคนนี้ไม่เจียมสังขาร”
“สังขารเสียหายยังไง”
“ก็โศอ้วน…..”
“โศอ้วน แต่ว่าน่ารักดี ใส่สายเดี่ยวแล้วก็น่ารักไม่น่าเกลียดตรงไหน”
หน้าเธอกระจ่างวูบ “จริงหรือคะ คุณปรายพูดจริงๆ หรือว่าแค่ปลอบใจโศ”
“ผมพูดจริง” สีหน้าอ่อนโยนระบายยิ้ม
สาวอ้วนในชุดเสื้อสายเดี่ยวลงมาปรากฏกายอีกครั้ง คราวนี้ด้วยท่าทีมั่นใจเต็มที่ พลอยให้ศรุตาที่ขัดเขินแต่แรกพลอยมั่นใจไปด้วย……
พวกผู้ใหญ่คุยกันแต่เรื่องธุรกิจ เรื่องคุณฉัตรกลับมาแล้วจะทำอะไร และเรื่องที่คุณเปี่ยมจะเดินทางเพื่อดูลู่ทางทำธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวที่ประเทศเขมร ดร. มรุต ถูกบิดามารดาดึงไปคุยด้วยตรงนั้นตรงนี้ แต่พอว่าง เขาก็จะเดินมาหาหญิงสาวที่เพิ่งเปลี่ยนตัวเองจากเด็กกะโปโลมาเป็นสาวสวยเป็นครั้งแรก
เขาถามเธอเรื่องเรียนและเรื่องเพื่อน
“ต้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสตรี… มีแต่เพื่อนผู้หญิงค่ะ แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยเรียนอักษรศาสตร์และโบราณคดี ก็มีแต่เพื่อนผู้หญิงอีก ถึงจะมีเพื่อนผู้ชายบ้างแต่ก็เป็นผู้ชายประเภทวี๊ดว้ายชั้นๆ เธอๆ พูดไปก็โบกไม้โบกมือไปแบบนั้นแหละค่ะ”
“มิน่าซิ ต้าถึงยังไม่มีแฟน ทั้งๆ ที่สวยออกอย่างนี้” คำชมตรงๆ และดวงตาวาววามจับจ้องทำให้เธอหน้าแดง “ยังไม่มีใครจริงๆ หรือ”
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ”
“เอ….. หรือว่าเพราะอาเปี่ยมหวง”
พอเอ่ยชื่อคุณเปี่ยม สีหน้าเธอก็เจื่อนจาง พูดเสียงอ่อย
“ลุงเปี่ยมไม่อยากให้มีแฟนค่ะ คอยถามคอยเอ็ด บอกว่ายังเรียนหนังสือห้ามคิดเรื่องอื่น”
“เป็นพ่อเลี้ยงที่รักเป็นห่วงลูกสาวมาก…” เสียงพูดเจือเยาะหยันรู้เท่าทัน
ศรุตาไม่เคยคิดระแวงพ่อเลี้ยงในทางอื่นนอกจากที่ได้ยินเขาพูดแว่วๆ กับคุณสมฉวีเรื่องคุณย่า หากเธอสามารถได้ยินความคิดคะเนของ ดร.มรุต คงยิ่งต้องตกใจมากขึ้น…!
หญิงสาวโล่งใจที่คุณเปี่ยมมัวแต่รับแขกไม่ได้เข้ามาพัวพัน หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงกอดเธอ “อย่างพ่อ” ไม่รู้ว่ากี่ครั้ง เธอหายใจไม่สะดวกเมื่อบังเอิญหันไปพบสายตาดุดันคมเฉียบจับมองอยู่ในสีหน้าแสร้งยิ้ม เธอรีบหันหนี แล้วคนที่มาชวนพูดคุยด้วยก็ทำให้เธอลืมเลือนความกังวลไป ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นยังคอยจับจ้องมองเธอทั้งด้วยความระแวงแคลงใจและหวงแหน
ยังมีสายตาอีกสองคู่มองเธออยู่ไกลๆ ปรายเปรมกับรุ่งแสง
“วันนี้คุณหนูต้าสวยเป็นพิเศษ สงสัยว่าจะไม่ได้สวยเพื่อคุณปรายกระมัง” รุ่งแสงจงใจแหย่ตรงที่เจ็บ ปรายเปรมตามใจศรุตามาแต่ไหนแต่ไร โตตามกันขึ้นมา และรุ่งแสงก็รู้ดีแก่ใจว่าชายหนุ่มไม่เคยใยดีใครเท่าหญิงสาวผู้นั้น
เธอเสียอีกที่หลงรักหลงชอบชายหนุ่มและมันฝังลึกอยู่ในใจแม้เธอพยายามทำตัวเปรี้ยวจัดแล้วหาคนรักมาหลอกตัวเองให้ลืมเขาก็ตาม รุ่งแสงเปลี่ยนคู่รักบ่อย ไม่ใช่เพราะเธอถูกทิ้ง แต่เพราะเธอไม่อาจรักใครมากพอต่างหาก
‘…..เมื่อไหร่เราจะควงกันบ้าง…..’ เธอเคยถาม ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะขรึมๆ
,i>รุ่งแสงรู้ว่าเขาเกลียดแม่เลี้ยงซึ่งเป็นน้าแท้ๆ ของเธอ แต่นั่นไม่น่าจะมีน้ำหนักมากพอในเมื่อเขาเป็นผู้ชายที่มีชีวิตจิตใจ มีพลังและมีอารมณ์รัก และเธอก็เป็นผู้หญิง ซ้ำยังเป็นผู้หญิงสวยและกล้า ที่พร้อมจะเสี่ยงกับเขา
‘…ไม่มีอะไรผูกพัน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า…’ คำพูดทีเล่นทีจริงคล้ายติดปาก ปรายเปรมไม่รู้ว่า เธอไม่ได้เสนอเช่นนั้นกับชายอื่น
‘..อย่าเลย ยังไม่อยากหลวมตัว…..’ เขาทำทีเล่นตอบสนอง
แก้วเครื่องดื่มถูกชนเบาๆ “แด่…..” ใบหน้าคมที่ถูกตกแต่งไว้บ้างยิ้มหยาด ซ่อนความเจ็บปวดมิดเม้น เสียงพูดต่อเจือหัวเราะ “แด่ความรัก…ของคนอื่น…..”
ชายหนุ่มชนแก้วด้วย ดื่มเบียร์เย็นขณะที่ฝ่ายหญิงดื่มเหล้า
“คุณหนูต้าไม่เคยใกล้ชิดชายหนุ่ม เลยหลงรักพี่มรุตเต็มที่ ไม่แน่นะ พี่มรุตก็ดูเหมือนจะสนใจต้ามากๆ”
“พี่มรุตมีแฟนอยู่แล้ว” เสียงค้านเคร่งขรึม
“โถ ถ้ายังไม่ได้แต่งงาน อะไรๆ ก็เปลี่ยนได้ บางคนหมั้นกันตั้งสิบกว่าปีจู่ๆ เลิกไปแต่งกับคนอื่นเฉยเลย”
ใบหน้าคมเข้มแม้ในยามขุ่นเคืองก็ยังไม่ทิ้งเหลี่ยมมุมที่น่าดู ปรายเปรมไม่ได้หล่อเหลางดงามอย่างมรุต แต่รูปลักษณ์ของ “ชายแท้” ทำให้รุ่งแสงต้องมองอย่างลุ่มหลง
“คุณปราย… หาสาวคู่ใจได้แล้ว ไม่อย่างนั้นถูกมองว่าเป็นเกย์ไม่รู้ด้วยนะ หนุ่มบึ้ก มาดแมนอย่างนี้ไม่มีแฟนนี่ไม่ปรกติรู้มั้ย”
‘หนุ่มบึ้กมาดแมน’ ส่งสายตาขุ่นๆ มองหา “สาว” ที่เคยเป็นทั้งคู่หูและคู่กัดมาหลายปี   เม้มปากแทบจะเป็นเส้นตรงเมื่อเห็นเธอผู้นั้นกำลังหัวเราะชื่นบานกับ   ‘พระเอกในดวงใจ’   ของเธอ
“เลิกหวังยัยต้าได้แล้ว   เค้าอยู่กับคุณมาตั้งสิบปียังไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร   เดาใจไม่ออกหรือว่าเค้าชอบผู้ชายแบบไหน”
เงาวูบในดวงตาบอกว่ายอมรับ
“ทีคนที่เขารัก ตัวเองกลับไม่สนใจ”   น้ำเสียงของหญิงสาวตัดพ้อเจือหัวเราะ   ยื่นแก้วเครื่องดื่มออกมาข้างหน้า   “เอ้า ดื่ม…..”
เสียงแก้วเครื่องดื่มกระทบกันดังคลิ้ง   ฤทธิ์เหล้าทำให้ใบหน้าของทั้งสองแดงขึ้นทุกที
ดนตรีที่บรรเลงเพลงกล่อมแขก เป็นคีย์บอร์ดที่ใช้นักดนตรีเพียงคนเดียวซึ่งบางครั้งก็ร้องเพลงไปด้วย   หากพอค่ำลง คนอื่นๆ ก็เริ่มสนุกผลัดกันร้องบ้าง โศภิตไปยืนต่อคิวโดยไม่มีใครชักชวน   พอได้ไมโครโฟน   วิญญาณศิลปินก็ตื่นตัวเต็มที่   ร้องเพลงพลางขยับเนื้อขยับตัวตามจังหวะ ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นที่ถูกใจแขกเหรื่อ
จังหวะดนตรีที่คุ้นเคยทำให้นักเต้นชักชวนกันเองจูงกันออกไปลีลาศตรงที่ว่างซึ่งเป็นลานหินที่หน้าบ้านนั่นเอง   รุ่งแสงได้คู่เต้น จึงทิ้งปรายเปรมไว้กับแก้วเครื่องดื่มและความขุ่นมัวที่คุกรุ่น
มรุตถามศรุตาว่า   “ไหนวันก่อนต้าบอกว่าจะเต้นรำกับพี่ไงครับ”
ศรุตาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาชวนเธอ   “แล้วพี่เจนแฟนพี่มรุตล่ะคะ”   เธอถามเรื่องกังวลในใจออกมาจนได้ /p>
ชายหนุ่มแอบหัวเราะดวงตาซื่อๆ ของเธอ   “คุณเจนเป็นเพื่อนที่รู้ใจต่างหาก ไม่ใช่แฟนสักหน่อย”   เขากล่าวแก้   “คุณเจนติดธุระบอกว่าจะมาดึก   แต่ว่าอาจจะไม่มาก็ได้…   ทำไมครับ   จะเต้นรำกับพี่ต้องถามถึงคนอื่นด้วยหรือ”
“จังหวะยากๆ ต้าเต้นไม่ค่อยได้ค่ะ”   เธอพูดเก้อๆ
“งั้นเดี๋ยวรอไว้เต้นจังหวะง่ายๆ   พี่จะไปขอเพลงจังหวะสโลว์ดีมั้ย”
vเธอต้องบังคับตัวเองไม่ให้หน้าบานเกินเหตุ   ถึงจะปิดความรู้สึกไว้ไม่ได้แต่ถึงยังไงก็ต้องสงวนท่าทีไว้บ้าง   “ดีค่ะ… เอ่อ ต้าจะไปที่ห้องแป๊บนึงนะคะ   แล้วจะกลับมาเต้นรำกับพี่มรุต”
“ได้ครับ”
พอพ้นสายตาผู้คน เธอก็จ้ำพรวดๆ กระโจนเข้าห้อง   อยากจะกรี๊ดออกมาเสียจริงๆ   เธอปราดเข้าไปสำรวจตรวจตราหน้าตาผมเผ้าของตนเองที่หน้ากระจก   หยิบแป้งฝุ่นและลิปสติค สีอ่อนแท่งเดียวที่มีขึ้นมาแต่งแต้ม เต้นรำกับมรุต…! โอย   ทำไมเขาเกิดจะขอเธอเต้นรำ   หรือเพราะว่าหากคุณเจนมาถึง เขาก็คงไม่มีเวลาให้เธออีก
หญิงสาวหยิบโลชั่นมาถูทามือไม้แขนแมนจนมั่นใจจึงหันกลับ   ภาพวาดของนางเทพที่ยืนบิดกายแย้มยิ้มให้ทำให้เธอชะงักถลามาเกาะไว้
“อัปสราเจ้าขา   ต้าขออธิษฐาน   เอ   อธิษฐานอะไรดี….   เอ่อ…   ถ้าเนื้อคู่ของต้าอยู่ที่นี่   ขอให้เขาเต้นรำกับต้าเป็นคนแรกนะคะ…..เพี้ยง”
เธอเดินกระหยิ่มยิ้มย่องกลับมา   รู้ตัวว่าอธิษฐานแบบเข้าข้างตัวเองเต็มที่   เถอะน่า…   ก็ยังมีช่องว่างเว้นไว้ ไม่ใช่จะอุดทุกทางเมื่อไหร่กัน
เธอโล่งใจที่คุณเจนยังมาไม่ถึง   ร่างสูงกำลังสนทนากับแขก   ศรุตารั้งรอคุยกับญาติอีกกลุ่มหนึ่งแต่ไม่วายชำเลืองมอง   ชายหนุ่มหันมามองแล้วยิ้มให้   เขาจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านะ
หญิงสาวเห็น “คู่ซี้” ทำตัวเหมือนคนไร้ญาติ นั่งดื่มเบียร์อยู่คนเดียวด้วยสีหน้าขวางโลกจึงเดินเข้าไปหา   “กินอาหารบ้างหรือยัง คุณปราย   ทำไมนั่งคนเดียวไม่คุยกับใครบ้างเลย”
“ก็ไม่มีใครจะคุยด้วย”   เสียงตอบห้วน
“โห คนเยอะแยะพูดออกมาได้ว่าไม่มีใครจะคุยด้วย”
“แล้วต้าทำไมถึงเอาแต่สนใจคนอื่น   อยู่บ้านเดียวกัน   ทำงานก็ทำด้วยกัน   ตอนนี้ยังทำเหมือนไม่มีใจให้ใครอื่นอีกแล้วในโลกนี้”
น้ำเสียงพาลหาเรื่องทำให้ศรุตาหน้าง้ำ   “กินเบียร์มากไปแล้วมั้งคุณปราย   พอเถอะ   ประเดี๋ยวก็เมาอวดผู้ใหญ่ตรงนี้หรอก”
“ผมจะยังไง ต้าก็คงไม่สนใจใช่ไหม”
“ถ้าทำตัวน่ารำคาญแบบนี้ก็ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”   เธอเดินหนีดื้อๆ
ดนตรีทำจังหวะเร็วอยู่อีกชั่วครู่ก็จบลงแล้วเปลี่ยนเป็นจังหวะช้า   นักร้องพูดผ่านไมโครโฟนยิ้มๆ   “เพลงสนุกๆ ผ่านไปแล้ว   ตอนนี้เข้าสู่บรรยากาศโรแมนติคกันบ้างดีกว่านะครับ   สุภาพบุรุษท่านหนึ่ง ขอเพลงนี้ให้ใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ   ผมจะไม่บอกละครับว่าใครขอเพลงให้ใคร เรามาดูกันดีกว่า   คงจะเป็นคู่เต้นรำคู่ใดคู่หนึ่งแหละครับ…”
ทำนองเพลงหวีดหวานเป็นจังหวะช้าเนิบ   คู่เต้นที่ยืนใกล้ฟลอร์จับกันก้าวออกไปทันที   ศรุตาหันมองหาก็เห็นร่างสูงที่แสนจะงามสง่าหันมาหาเธอ ใบหน้าคมสะอ้านส่งยิ้มให้เธออย่างเชิญชวน   เขาเดินผ่านผู้คนเข้ามาหา   เธอใจเต้นแรงยิ้มชื่นบานรอคอย
แล้ว ดร. มรุต ก็มายืนยิ้มอยู่ตรงหน้า   “พี่ขอเพลงนี้เอง”
“เพลงเพราะมากค่ะ   ต้าก็ชอบ”
“เพลงพิเศษ สำหรับโอกาสพิเศษ”   เขาพูดยิ้มๆ
หัวใจเธอพองโต   มือขาวสวยสะอ้านยื่นออกมา   เธอส่งมือออกไปให้เขาเกาะกุมอย่างยินยอม…..
หากแล้วร่างสูงทึบของใครคนหนึ่งก็เข้ามาขวาง   คว้ามือเธอหลุดจากอีกฝ่ายอย่างไม่มีพิธีรีตอง   แรงดึงของคนที่ “ได้ดีกรี”   ทำให้ร่างบางเซเข้าปะทะกับอกหนา   เธอเงยหน้าขึ้นมองงงๆ เห็นใบหน้าสีก่ำประกายตามาดมั่นก้มลงมา
“ปรายอยากเต้นเพลงนี้กับต้า”
เสียงเขาไม่ดังนัก แต่ก็พอจะกระชากเธอหลุดจากความฝันที่แสนหวาน……..