อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 7

เรื่องที่คุณลุงฉัตรพาลูกชาย และน้องสาลี่ กลับจากอเมริกามาหาคุณย่าถูกถ่ายทอดให้โศภิตฟัง แต่ที่ศรุตาไม่ยอมเล่าก็คือ ดร. มรุต ทำเหมือนเธอเป็นโต๊ะเก้าอี้ หรือไม่ก็เด็กในบ้านที่ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด เธอกลับพูดเหมือนสนิทชิดเชื้อเต็มประดา

“เขาหล่อมาก ต้าเห็นครั้งแรกก็ตะลึงเลยละ”

“โห ถึงขนาดนั้นเลยหรือ”

“คุณย่าอยากให้เขามาทำงานที่นี่และ ลุงเปี่ยมก็รับปากแล้ว”

“ถ้างั้นอีกหน่อยโศก็ต้องได้เห็นซิ แล้วต้าอย่าลืมแนะนำนะ”

“ได้ ต้าจะแนะนำให้โศรู้จักก่อนใครเลย”

แต่ครั้นเมื่อร่างสูงผึ่งผายเดินเข้ามา ศรุตาที่ไม่รู้ตัวมาก่อน ก็ได้แต่จ้องมองงงงัน สาวๆ ตรงประตูทางเข้าเคลื่อนไหว แล้วคุณทิพาก็ให้การต้อนรับอย่างกระฉับกระเฉง ร่างที่ยืนพูดคุยกัน ร่างหนึ่งสูงสง่า อีกร่างหนึ่งเล็กเปรียวสมส่วนแต่งกายทันสมัย ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน จนกระทั่งคุณทิพา พาชายหนุ่มเดินผ่านไปยังห้องที่เพิ่งถูกจัดไว้ให้หมาดๆ

โศภิตมองตามจนตาค้าง “คนนี้เหรอพี่ชายคนใหม่ของต้า โห หล่อจริงๆ ด้วย แล้วทำไมต้าไม่ทักเขาล่ะ”

“ก็…” อีกฝ่ายหาข้อแก้ตัว “คุณทิพากำลังคุยอยู่นี่”

“แต่เราเป็นญาติสนิทนี่นา”

“ให้เขาคุยเรื่องงานกันไปก่อน” เธอทำท่าทีเอาการเอางาน

คุณเปี่ยมทำงานหลายที่จึงมักจะทิ้งที่ทำงานไปนานๆ “เจ้านายคนใหม่” จึงติดอยู่กับคุณทิพา ซึ่งได้รับการฝากฝังให้ดูแล ดร. มรุตได้ห้องทำงานส่วนตัวที่มีประตูปิดมิดชิดไม่มีใครรบกวน มีแต่คุณทิพาที่ถือแฟ้มเอกสารเดินเข้าเดินออกด้วยสีหน้าฉาบรอยยิ้ม

เธอหยุดจัดเสื้อผ้าผมเผ้าทุกครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้าไป คงจะกลัวไม่สวย

พอคุณทิพากลับมานั่งที่โต๊ะทิ้งชายหนุ่มไว้คนเดียว โศภิตก็พยักพเยิดกับศรุตา “จะพาไปแนะนำให้รู้จักพี่ชายเธอได้รึยัง”

ศรุตาลุกขึ้นพาให้เพื่อนสาวลุกตาม แต่แล้วหญิงสาวก็กลับนั่งลงเสียเฉยๆ “อย่าเพิ่งเลย”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“ก็… แหม ยังไงๆ เขาก็ทำงานที่นี่ ยังมีเวลาได้คุยกันอีกนานหรอกน่า”

“งั้นโศจะไปชงกาแฟให้พี่ชายต้าดีไหม”

“เยี่ยม…!” เธอยิ้มออกมา “ต้าไปชงให้เองก็ได้”

ใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อบรรจงชงกาแฟ หวังว่ามันจะอร่อยที่สุด ...เถอะน่า ยังไงๆ ก็เป็นหลานคุณย่าเหมือนกัน ทำความรู้จักคุ้นเคยด้วยการต้อนรับตามประสาคนมาอยู่ก่อนไม่น่าจะเป็นผลเสีย… เธอประคองถ้วยกาแฟจะผ่านไป แต่คุณทิพากลับกระวีกระวาดลุกขึ้น

“กาแฟของคุณมรุตหรือคะน้องต้า ดีจัง พี่จะยกเข้าไปเอง”

มือเรียวๆ ที่เคลือบปลายเล็บยาวๆ สีสด ฉวยถ้วยไปจากมือเธอ ร่างสมส่วนในเครื่องแต่งกายทันสมัยหันหลังให้ หยุดแตะเสื้อผ้าเผ้าผมอยู่เป็นครู่กว่าจะเคาะประตูแล้วเปิดหายเข้าไป

แล้วคุณทิพาก็ขลุกอยู่ข้างในห้องนั้นอีกนาน

พอคุณเปี่ยมมาถึง หนุ่มต่างวัยทั้งสองก็ปิดประตูคุยกันเงียบ เป็นนานกว่าจะพากันออกมาปรากฏตัวต่อหน้าพนักงาน

“นี่คือ ดร. มรุต เทวัญ หลานชายคนโตที่จะมาช่วยผมทำงาน” คุณเปี่ยมพาไปแนะนำตรงนั้นตรงนี้ ด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม

ชื่อ “มรุต เทวัญ” ถูกกล่าวขวัญถึง ตั้งแต่คุณย่าวางมือจากงานก็ไม่มีใครในบริษัท ชิตเทวัญ คนไหนเลยที่ใช้นามสกุล “เทวัญ” แม้แต่คุณเปี่ยม และคนแรกที่ปรากฏตัวก็ช่างดูไม่ธรรมดาเสียเลย

“เป็นด๊อกเตอร์เชียวหรือ หล่อเท่เด็ดขาดไปเลยเนอะ”

ศรุตากลับเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมเอ่ยปาก เงี่ยหูฟังแต่ทำทีไม่สนอกสนใจ

“น้องต้ารู้จัก ด๊อกเตอร์มรุต ดีใช่ไหมคะ”

เธอสะดุ้ง “เอ่อ… อ้า… คือว่าต้า….”

“ต้าบอกว่าสนิทกันเพราะว่าพบกันหลายครั้งแล้วค่ะ” โศภิตหลงเชื่อจึงอวดอ้างอย่างเต็มปากเต็มคำ สายตาสาวๆ หันมาจับมองศรุตาอย่างตื่นเต้น

“หรือคะ ดร. มรุต เป็นยังไง ชอบหรือไม่ชอบอะไรคะ”

“เอ้อ….. อ้า…..”

“คุยอะไรกันบ้างคะ”

“ความจริงเรายังไม่ได้คุยกันเท่าไหร่…..” เธอนึกอะไรไม่ออก พูดเจื่อนๆ โศภิตที่ยิ้มฟังรอคอยมีสีหน้าผิดหวัง

“อ้าว ไหนต้าบอกว่าสนิทกันแล้วไง…..”

เธอพูดไม่เต็มเสียง “ก็สนิทกันแต่ว่ายังไม่ได้คุยกันมาก พี่มรุตเพิ่งกลับมา แล้วพวกญาติๆ ก็มารอรับเยอะแยะ”

โสภิตหมดความเชื่อถือเธอไปเลย

เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจที่ไม่เห็น ดร. มรุตคุยกับศรุตา ทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นหลานของคุณเปี่ยมเหมือนๆ กัน เขาได้แต่มองเธอแล้วเดินผ่านไป แปลกใจกับชุดเครื่องแบบสุดเชยที่เธอสวมใส่ ในออฟฟิศแห่งนี้มีแต่สาวแก่อายุคราวคุณป้าเท่านั้นที่แต่งตัวอย่างศรุตา

เขาคิดว่าเธอเงอะเงิ่นน่ารำคาญ…..!

ในวันที่สองที่มาทำงาน ดร. มรุตก็รู้จักใครต่อใครเกือบทั้งสำนักงาน ทุกคนเต็มอกเต็มใจตอบคำถามและพูดคุยด้วย ประตูห้องทำงานของเขาเปิดปิดพาผู้คนเข้าๆ ออกๆ ไม่ว่างเว้น ศรุตาดีใจที่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาและเธอไม่ได้พูดกัน เขาแค่มองเธอแล้วเดินผ่านไป และทั้งๆ ที่เธอรอโอกาสที่จะพูดด้วย แต่พอเขาเดินผ่านมา เธอกลับหันไปก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองเสียเฉยๆ

โศภิตเยาะว่า “เนี่ยเหรอ ญาติสนิท…..”

เธอรีบแก้ตัว “ก็ญาติน่ะซิ อีกหน่อยก็สนิทกันเองแหละ น้องสาลี่มานอนค้างกับต้า ยังไงๆ พอกลับบ้านก็ต้องพูดถึงต้าบ้าง”

“อ้อ ใช้เด็กเป็นสื่อ”

“แล้วอีกหน่อยเขาก็ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเพราะคุณย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น”

“อ้อ หวังใช้คุณย่าเป็นเครื่องมืออีกด้วย”

หญิงสาวหน้าบูด

“ทำไมตัวเองไม่เข้าไปคุยด้วยซะเลยล่ะฮึ ต้า”

ศรุตาเองก็ตอบไม่ได้ ทำไมเธอไม่กล้าเดินเข้าไปพูดกับเขา เธอคงกลัวสายตาคมจัดคู่นั้นกระมัง………



ในเวลาค่ำหลังจากคุณย่ารับประทานอาหารบำรุงเบาๆ ก่อนนอน คุณเปี่ยมคุยกับคุณย่าเรื่อยเปื่อย ศรุตาที่มักเข้ามานั่งเป็นเพื่อนคุยกับคุณย่าหูผึ่งตั้งใจฟังเมื่อได้ยินเสียงคุณย่าถามว่า

“มรุตไปทำงานด้วยแล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ดูตั้งใจดีครับ คิดว่าคงไปได้ดี อีกหน่อยผมคงวางมือได้”

“คนหนุ่ม…มีทั้งสติปัญญาวิชาความรู้ คงไม่มีอะไรเหนือบ่ากว่าแรง แต่ความจริงแม่ก็ไม่อยากให้เปี่ยมวางมือทางนี้นะลูก ถึงเปี่ยมจะมีบริษัทของตัวเองแต่ที่นี่ก็มีส่วนเป็นของเปี่ยม”

“บริษัท ชิตเทวัญ ควรจะเป็นของพี่ฉัตรกับลูกมากกว่าครับ” คุณเปี่ยมพูดยิ้มๆ

“แล้วต้าทำงานกับพี่มรุตสนุกหรือเปล่า”

คุณย่าหันมาถาม พลอยให้คุณเปี่ยมมองยิ้มๆ ศรุตาวางสีหน้าไม่ถูก

“ก็สนุกดีค่ะ”

“อีกหน่อยผมคงต้องให้ต้ามาช่วยที่บริษัท ราชันย์ของผมครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ อย่าแยกบริษัทเขาบริษัทเราเลยนะเปี่ยมนะ มันก็ของเปี่ยมทั้งสองบริษัทนั่นแหละ”

คุณเปี่ยมหัวเราะเสียงอ่อน “ต้าเป็นลูกผมก็ต้องมาช่วยผมทำงานซิครับคุณแม่ อีกอย่างหนึ่งทางพี่ฉัตรจะได้บริหารงานอย่างสบายใจไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบกระเทือนใจกัน”

“บริษัทราชันย์มีงานให้ต้าทำหรือคะ” เธอกระตือรือร้น

“มีซิ มีแน่ๆ อยู่แล้ว” เสียงตอบรับอบอุ่น

พอเริ่มง่วงคุณย่าก็เอนกายลงนอน คุณเปี่ยมเลี่ยงออกไปจากห้องและคุณนก ซึ่งเป็นนางพยาบาลก็ปลีกตัวไปทำงานจุกจิกเงียบๆ ศรุตาซบหน้ากับหมอนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ คุณย่า จับจ้องมองรูปองค์อัปสราพลางนึกถึงนิยายที่คุณย่าเคยเล่า

‘…..องค์อัปสราเป็นเทพธิดา ถ้าต้าเป็นเด็กดี ท่านจะได้ยินคำอธิษฐานของต้าแล้วดลบันดาลให้ตามที่ต้องการ…..’

“คุณย่าเคยเห็นองค์อัปสราไหมคะ”

“หือ….. เคยซิ เคยเห็นในใจของย่าบ่อยๆ ไป”

“ไม่เคยเห็นองค์จริงๆ หรือคะ”

“จะเคยเห็นได้ยังไง ท่านเป็นเทพชั้นสูงแต่เราเป็นมนุษย์กายหยาบคลื่นความคิดสับสน แต่ถ้าย่าตั้งใจมั่นย่าก็รู้สึกถึงท่านได้นะ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตน แต่ก็มีความรู้สึกสัมผัสได้เหมือนท่านมายืนอยู่ตรงหน้าเลย”

“โอ ทำยังไงคะ ต้าอยากทำได้บ้างจังเลย”

“ต้าจะทำทำไม ถ้าทำใจมั่นได้อย่างนั้น ไปสวดมนต์ไหว้พระดีกว่าลูก”

เธอเงียบไปนิดหนึ่ง “คุณย่าเคยบอกต้าว่าถ้าต้าเป็นคนดีและตั้งใจอธิษฐาน องค์อัปสราจะช่วยให้สมหวังใช่ไหมคะ”

“ทำไม อยากได้อะไรหรือ บอกลุงเปี่ยมซิ ไม่ต้องลำบากถึงองค์อัปสราหรอก”

“แหม เรื่องนี้ต้าขอใครไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า”

คุณย่าหัวเราะหึๆ มองท่าทีเอียงอายอึดอัดใจของหญิงสาวที่เคลียคลอประจบประแจงมาตั้งแต่เธอยังตัวเล็กๆ อย่างเอ็นดู “พูดอย่างนี้แปลว่ามีปัญหาหัวใจใช่หรือเปล่า บอกย่ามาซิ”

“แหม….. คุณย่าอ่ะ…..”

“องค์อัปสราของย่าเป็นเทพแห่งความรักด้วยเช่นกันรู้ไหม” เสียงเล่าอ่อนสะท้อนกังวานปิติ ความทรงจำในหนหลังย้อนกลับคืนมา “ตอนยังสาว ความจริงก็แค่ยี่สิบเท่านั้น แต่ย่าก็โดนญาติๆ พูดให้ร้อนใจว่าอายุมากแล้วไม่มีใครมาชอบท่าจะขึ้นคานเป็นสาวแก่ ย่าเลยอธิษฐานกับองค์อัปสราว่าหากใครเป็นเนื้อคู่ขอให้มาทำความรู้จักเร็วๆ แล้วปู่ปลื้มที่เพิ่งเป็นหม้ายก็อุ้มเปี่ยมกับเปรมเข้ามาหาย่าทันที…..”

“โห ถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ”

ใบหน้าประดับริ้วรอยระบายยิ้ม เสียงหัวเราะแผ่วแต่ปลาบปลื้ม

“ย่ามีความสุขมาก แต่สิบปีต่อมา ปู่ปลื้มก็หมดบุญ ย่าเงียบเหงาสับสนและเหน็ดเหนื่อยกับภาระที่ต้องเผชิญคนเดียว วันหนึ่งย่าก็ตั้งจิตอธิษฐานอีก หากยังมีคู่บุพเพสันนิวาส ขอให้ได้พบอย่าให้อะไรมากีดกั้น แล้วหลังจากนั้นคุณปู่ชิตก็เข้ามาทำความรู้จัก ถึงเขาจะมีลูกติดที่โตจะเป็นหนุ่มแล้วแต่ย่าก็มีความสุขสบายดี……”

“พอคุณปู่ชิตเสีย ทำไมคุณย่าไม่อธิษฐานอีกคะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ตอนนั้นย่าอายุมากแล้ว มีงานมีเงิน ย่าไม่ต้องการใครอีก นอกจากนี้ช่วงที่มีความสุข ย่าก็ลืมองค์อัปสราไปเลย ท่านคงไม่ได้ยินคำอธิษฐานของย่าอีกแล้วละ”

เธอนิ่งไปนิดหนึ่ง “ทำไมคุณย่าไม่อธิษฐานให้แข็งแรงลุกขึ้นเดินเหินได้เหมือนเคยล่ะคะ”

“ย่าอธิษฐานเสมอ แต่อย่างที่ย่าบอก องค์อัปสราคงไม่ได้ยินคำอธิษฐานของย่าอีกแล้ว อีกอย่างหนึ่ง…..ที่พึ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์คือพระธรรมนะลูก มนุษย์หนีไม่พ้นกรรม เกิดแก่เจ็บตายเป็นความจริงของชีวิตไม่มีใครหนีพ้น ไม่มีคำอธิษฐานใดจะพาเราพ้นจากธรรมชาติซึ่งเป็นพลังแรงที่สุดได้หรอกลูก”

เสียงพูดเงียบหาย ศรุตารับรู้ว่าคุณย่าคงง่วงแล้วเพราะมือที่ลูบศีรษะเธอเป็นระยะเลื่อนกลับไป หญิงสาวยังคงตะแคงมองภาพนางเทพที่เอียงกายยิ้มให้เธอ ชำเลืองตามองคุณย่า…หลับแล้ว… หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง หลับตาพนมมือ

“โอม….. ถ้าองค์อัปสราได้ยินต้า ขอช่วยดลบันดาลให้ต้าพบคู่ครองที่แท้จริงด้วยเถิด…..”

อืม แต่ถ้าพบแล้วล่ะ จริงซิ ก็เธอพบมรุตแล้วนี่นา…..

“แต่ถ้าพบแล้ว ขอให้ส่งสัญญาณให้รู้ด้วยว่าเป็นใครนะคะ…” ยังไงดีนะ “ขอให้….. ขอให้เขาชวนต้าทานข้าวก็ได้ค่ะ…..”

แต่ เอ….. เมื่อไหร่ดีล่ะ “ขอให้เขาพาไปภายในวันสองวันนี้เลยนะคะ….. เพี้ยง…..”



..................

“…..นายเปี่ยมใจกว้างทำทีต้อนรับพวกเราขนาดนี้ จะต้องมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ พ่อไม่เคยไว้ใจเลยจริงๆ…..”

สีหน้าคุณฉัตรเคร่งเครียดฟังลูกชายเล่าถึงความเป็นไปที่เขาพบเห็นมาเมื่อพาน้องสาลี่ไปส่งและยังเรื่องความเป็นไปในบริษัทชิตเทวัญ ดร. มรุต บอกเล่าเรื่องต่างๆ ออกมาตรงๆ โดยไม่ลดละเพิ่มเติม แม้มันฟังคล้ายไม่มีปัญหา แต่ทั้งบิดาและมารดาเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด

คุณประไพพูดว่า “ฉันก็ไม่ไว้ใจ เมื่อก่อนพวกมันเมินหมางห่างเหิน ไม่เคยติดต่อเราเลยตลอดเวลาสิบปีมานี้เหมือนอยากให้ขาดจากกัน พอเรากลับมา แค่นจะมาทำเป็นยินดีต้อนรับ ยังไงๆ ฉันก็ไม่เชื่อว่าจริงใจ”

“นายเปี่ยมยึดครองทรัพย์สินของเราไว้มากมาย คงยากที่จะคืนให้ดีๆ”

“ถ้ามันคิดจะฮุบทั้งหมด คุณจะทำยังไง”

“ฮุบไม่ได้หรอก คุณย่าคงไม่ยอมแน่ๆ”

“คุณย่านอนเจ็บทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปเมื่อไหร่”

“ถ้าไม่มีทางอื่นก็ต้องฟ้องร้องกันให้ถึงที่สุด”

“คงง่ายหรอก…” คุณประไพกระแทกเสียง “แล้วคุณยังจะทิ้งสาลี่ไว้ในมือพวกนั้น ถ้าสาลี่เป็นอะไรไปจะทำยังไง”

“สาลี่เป็นลูกบุญธรรมของเรา นิติกรรมต่างๆ ทำไว้เรียบร้อย ถึงเป็นอะไรไปเราก็เป็นทายาทตามกฎหมาย อีกอย่างหนึ่ง… ใครที่กล้าทำร้ายสาลี่คงต้องเสี่ยงอย่างมากเพราะทั้งคุณย่าและกฎหมายคงเล่นงานมันตายแน่”


ดร. มรุต นั่งนิ่ง ฟังผู้บังเกิดเกล้าพูดกันด้วยสีหน้าอ่อนขรึม ตั้งแต่จำความได้เขาก็ได้ยินได้ฟังเรื่องราวขัดแย้งของพ่อแม่กับคนในบ้านของปู่ชิตเสมอ จนแม้ไม่ได้ใกล้ชิดพบเห็นตัวตนจริงๆ ภาพของคนทั้งหมดก็ถูกแต่งปั้นชัดเจนอยู่ในความรู้สึกของเขาราวกับเรื่องราวของคนเหล่านั้นเกิดขึ้นตรงหน้า คุณย่าอัปสรไม่ใช่ย่าแท้ๆ มีปัญหาเข้ากันไม่ได้กับพ่อมาแต่ต้น คุณเปี่ยมและคุณเปรมซึ่งอายุใกล้เคียงก็ไม่เคยจะลงรอยกลมเกลียวกัน ถึงจะไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งแต่ก็มีกำแพงของอคติกางกั้น

เมื่อเขายังเล็ก พ่อเคยพาไปหาคุณปู่ บางครั้งคุณปู่ก็จูงอาก้อยซึ่งมีอายุมากว่าเขาไม่ถึงสิบปีมาหาพ่อที่บ้าน พอคุณปู่เสียชีวิตก็คล้ายครอบครัวจะถูกตัดจากกัน แต่อาก้อยที่เพิ่งโตเป็นสาว ยังคอยไปมาหาสู่ด้วยความไม่พอใจของคุณย่า พอพ่อย้ายไปอเมริกาอาก้อยก็ติดตามไปโดยอ้างว่าจะไปเรียนหนังสือ

คุณย่าไม่พอใจแต่ก็ส่งเสียเงินทองและฝากฝังให้คุณฉัตรพ่อเขาดูแลน้อง หวังว่าเมื่ออาก้อยเรียนจบจะกลับมาสู่อก แต่อาก้อยไม่กลับเมืองไทยอีกเลย การเสียชีวิตของอาก้อย ทำให้หัวใจคุณย่าแตกสลายแล้วครอบครัวก็คล้ายขาดจากกัน

‘…บ้านนั้นเป็นของเรา ทรัพย์สินของพ่อเราอยู่ในมือคนพวกนั้น…’ พ่อแม่เขามักพูดอย่างนี้ให้ได้ยินเสมอ ‘…ถึงเวลาแล้วที่เราจะเอาของเราคืนมา…’

คุณฉัตรกล่อมว่า “ตอนนี้เราไหลตามน้ำไปก่อน ตัวพ่อเองคงยังเข้าไปคลุกคลีไม่ได้ มรุตเป็นรุ่นหลานไม่มีความบาดหมางกันต้องทำตัวให้กลมกลืนกับพวกเขาให้ได้ ทำให้พวกเขาวางใจแล้วอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น”

อาการนิ่งเงียบรับฟังของชายหนุ่มก็คือการตอบรับนั่นเอง

เพราะอย่างนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อพบกันในที่ทำงาน ศรุตาจึงต้องแปลกใจอย่างที่สุด เมื่อร่างสูงมายืนตรงหน้าโต๊ะ ใบหน้าคมเข้มที่เธอคิดว่ายิ่งกว่าสวยและยิ่งกว่าหล่อระบายยิ้มอย่างมีไมตรี เธอยังทำอะไรไม่ถูกเมื่อเขานั่งลงตรงหน้าชวนพูดคุยด้วย

และโอ….. เขาพูดออกมาจริงๆ “กลางวันนี้ไปทานข้าวด้วยกันดีกว่า จะได้แนะนำเรื่องงานให้พี่ด้วย”

องค์อัปสราของคุณย่าช่างศักดิ์สิทธิ์จริงๆ…..!



จบบทที่ 7