อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 8

งานพิมพ์ที่ถูกส่งมอบมา ทำให้ศรุตาก้มหน้าก้มตาทำอย่างตั้งใจจนไม่ทันได้นึกถึง “ชายในฝัน” ที่พอมาถึงที่ทำงานก็เดินผ่านไปเข้าห้องปิดประตูเงียบ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดวงตาคมคู่นั้นมองเธออยู่นานตลอดทางที่เขาเดินเข้ามาจนเดินผ่านไป เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแต่หลังไหล่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวกางเกงสีเทาอ่อนเรียบหรูเพิ่งเดินผ่าน เธอเผลอหันมองตามจนชายหนุ่มเดินถึงประตูแล้วหายเข้าไปในห้อง

“เฮ้อ…” โศภิตแกล้งส่งเสียงถอนใจดังๆ

ศรุตาหันไปค้อน “เป็นอะไรยะ”

“อึดอัด”

“ไปวิ่งรอบตึกซักสองรอบซิ” เสียงตอบโต้หาเรื่อง

“รักเขาข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวนึ่ง น้ำขึ้นไม่ถึงก็แห้งแง๋แก๋…..” เสียงล้อลอยมาเข้าหู หน้าขาวๆ เจือขุ่นเขียวหันขวับ

“ใครรักใคร !”

“ไม่รุ”

ฮึ รัก รู้ได้ยังไงว่ารัก หรือว่าเธอแสดงออกมากเกินไป

หันกลับมาทำทีเป็นตั้งใจทำงาน แล้วเธอก็ทำงานจนลืมเรื่องอื่นไปจริงๆ เวลาผ่านไป ศรุตากำลังทำงานเพลินๆ หันไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ใกล้มือมาดื่ม เงาร่างทึบๆ ก็มายืนที่หน้าโต๊ะทำงาน เธอหันมามองแล้วก็สะดุ้งจนสำลัก

โศภิตหันมา คนที่ยืนตระหง่านอมยิ้มทำให้สาวอั๋นลืมสนใจเพื่อนที่มีอาการสำลักจนหน้าแดงเหมือนคนใกล้ตาย ชำเลืองตาคอยมองแต่ไม่กล้าสอดแทรก ศรุตาคว้ากระดาษเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากไอแค้กๆ อีกฝ่ายก็ช่างใจเย็นยืนรอจนเธอหายใจสะดวก

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ กำลังทำงานยุ่งอยู่หรือ”

เสียงถามช่างอบอุ่น..!

“คะ เอ้อ… คือ… ไม่ยุ่งหรอกค่ะ….. พอดีต้า…..” แค้กๆๆ

“เห็นทำงานง่วนตั้งแต่เช้า” ร่างสูงเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะเธอแล้วนั่งลงด้วยท่าทีเป็นกันเอง สีหน้าอบอุ่น…แม้จะขมวดยิ้มอยู่เพียงนิดเดียวและประกายตาแกร่งกร้าวคมวาบวับก็ตาม

“เอ่อ… คือว่าพอดีวันนี้มีงานแยะ เอ่อ… ไม่อย่างนั้นปรกติก็ไม่ค่อยมีอะไรทำเท่าไหร่หรอกค่ะ”

“เป็นไปได้ยังไง หลานรักของอาเปี่ยมบ่นว่าไม่มีอะไรทำ”

“นั่นซิคะ… เอ่อ… แต่ว่า…”

เธอประหม่าเก้อเขินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จริงซิ เธอไม่เคยเป็นอย่างนี้กับใคร แม้ว่าเพื่อนที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยใกล้ชนิดสนิทสนมกับเพศตรงข้าม แล้วทำไมผู้ชายคนนี้จึงทำให้เธอประหม่าเก้อเขินได้ถึงเพียงนี้

“เอ่อ… คือนี่ต้าแค่มาฝึกให้เคยชินกับการทำงานเท่านั้น เอ่อ… อีกหน่อยลุงเปี่ยมจะให้ต้าย้ายไปช่วยทำงานที่บริษัทราชันย์ค่ะ”

“บริษัทราชันย์….. อ๋อ บริษัทเล็กๆ ที่อาเปี่ยมตั้งขึ้นใหม่…..” น้ำเสียงทุ้มเจือหัวเราะ

“ค่ะ เพราะที่นี่ควรเป็นของลุงฉัตรกับลูกๆ”

ประกายตากระด้างวาบวับ “อาเปี่ยมใจกว้างจริงๆ”

“ลุงเปี่ยมใจดีที่สุดค่ะ ถ้าพี่มรุตยิ่งรู้จักก็จะยิ่งรัก”

“พี่ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น” น้ำเสียงเจือหัวเราะซ่อนกังวานเยาะหยัน ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า “แต่ถ้าต้าไม่ทำงานที่นี่พี่คงเหงาแย่ ก็พี่เป็นคนแปลกหน้ามาใหม่แท้ๆ”

คำพูดนั้นทำให้เธอแทบลอยได้ “โถ พี่มรุตไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอกค่ะ ทุกคนยินดีต้อนรับทั้งนั้น”

“รวมทั้งคนพูดด้วยหรือเปล่า”

“ต้าหรือคะ…” สมองเธอเชื่องช้า ทำสีหน้าเก้อๆ สายตาเขาทำให้เธอบอกตัวเองว่าเขาจะหมายถึงคนอื่นไปได้ยังไงกัน “ก็… ก็ใช่ซิคะ ต้ายินดีต้อนรับพี่มรุต…..”

“แต่พี่มาตั้งหลายวันแล้ว คนยินดีต้อนรับยังทำเฉยๆ อยู่เลย”

“ต้าหรือคะ…” เธอถามซ้ำแล้วก็อยากจะกัดปากตัวเองที่ช่างส่งคำพูดสุดซื่อออกมาประจานตัวเองอยู่ได้ “เอ่อ พอดีต้า… เอ้อ… ยุ่งๆ”

“อะอึ้ม... อะอึ้ม...” เสียงกระแอมกระไอดังจากโต๊ะข้างๆ

ศรุตาทำเป็นไม่สนใจ “คือ… เอ่อ… ตั้งใจไว้ว่า…..”

เธอไม่มีคำพูดจะกล่าว น้ำเสียงทุ้มจึงชวนคุยราบเรื่อย

“คุณทิพาเอาอะไรต่ออะไรมาให้อ่านเต็มโต๊ะเลย บอกว่าถ้าอ่านจบแล้วก็จะเข้าใจงานเอง แต่ยิ่งอ่านพี่ก็ยิ่งเบื่อเลยอยากฟังเสียงใสๆ จากปากสวยๆ คุยเรื่องงานให้ฟังบ้าง”

อะไรนะ…! นี่เธอหูฝาดไปหรือเปล่า… คนหน้าขรึมพูดแบบนี้ก็เป็นด้วยหรือ เอ….. แล้วเธอจะตีความหมายอย่างไรดีละนี่…..

“คะ… เอ้อ ค่ะ…..”

“ว่าแต่ว่ากลางวันนี้พาไปหาอะไรอร่อยๆ ทานหน่อยได้ไหมครับ นึกว่าเอาบุญเถอะ พี่อยู่เมืองนอกนานจนลืมรสชาดอาหารไทยแสนอร่อยไปแล้ว ไม่รู้ว่าแถวนี้มีอะไรทานบ้าง ถ้าน้องต้าไม่รังเกียจ….. ช่วยสงเคราะห์คนยากหน่อยเถิด”

เขาชวนเธอทานกลางวันด้วย…..! อะไรองค์อัปสราจะเมตตาเธอขนาดนี้…..!

ศรุตาพองโตเมื่อร่างสูงลุกเดินจากไป โศภิตทำตาโตมองตามก่อนหันมาตัดพ้อต่อว่า

“ไหนบอกว่าจะแนะนำให้โศรู้จักด้วยไง ทำเป็นลืมเชียวนะ”

ใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “แหม ทำงานอยู่ด้วยกันอีกหน่อยก็ต้องรู้จักกันเองแหละน่า ต้องแนะนงแนะนำอะไรกัน”

“ฮึ นี่แหละน้ำใจเพื่อน… ว่าแต่วันนี้จะไปทานกลางวันกันสองต่อสองหรือ โห ทิ้งโศเฉยเลยนะ”

“เหอะน่า แล้ววันหลังจะให้ไปด้วย”

“ทำไมไม่ไปด้วยกันวันนี้เลยล่ะ”

“แหม ก็วันนี้ต้าจะไปกันเป็นครั้งแรกนะ โศอย่าเพิ่งไปด้วยเลยน่า นะนะ”

“ฮึ ไม่ไปก็ไม่ไป ไม่อยากเป็นกอขอคอ”

ไชโย พี่มรุตเป็นเนื้อคู่เราจริงๆ ด้วย เธอแทบลุกขึ้นเต้นรอบห้อง

หญิงสาววนเวียนมองนาฬิกาอยู่นั่นแล้ว เมื่อไหร่จะเที่ยงซักที องค์อัปสราเจ้าขา ขอบพระคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ…..

ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา หยุดถามหาแล้วตรงมายืนหน้าโต๊ะทำงาน ศรุตานึกว่าเงาทึบๆ ที่เข้ามาหยุดยืนจนรู้สึกอุ่นวูบเป็นคนเมื่อเช้า แต่พอเห็นว่าเป็นใคร รอยยิ้มหวานที่หันมาก็ต้องค้างราอยู่บนใบหน้า “อ้าว คุณหนูปราย”

“หวัดดี” ประกายตาอีกฝ่ายระริกยิ้มทัก

“มาได้ยังไงเนี่ย”

“ที่นี่ไม่ได้อยู่ในป่าจะได้หาไม่ถูก”

“มาถึงก็กวนเชียวนะ ก็ร้อยวันพันปีไม่เคยมา ต้าก๊อต้องงงเป็นธรรมดาแหละ”

“โห ต้าทำงานที่นี่ถึงร้อยวันพันปีแล้วเหรอ แก่แย่ซิ”

“นี่ๆๆ เงียบเลยนะ อยากมีชีวิตกลับออกไปหรือเปล่า”

ปรายเปรมดึงเก้าอี้หน้าโต๊ะเธอหย่อนตัวลงนั่ง เขาทึบกว่าคนเมื่อเช้า ผิวคล้ำจนแดง คนละเรื่องกับผิวขาวจัดเรืองเรื่อ หน้าตาไม่ต้องพูดถึง ยิ่งเสื้อยืดคอปกแขนสั้น กางเกงผ้าเนื้อหนายับๆ กับรองเท้าผ้าใบพื้นหนายิ่งผิดลิบลับกับคนแต่งตัวเนี้ยบที่นั่งตรงนี้เมื่อชั่วโมงที่แล้ว

เขามองไปรอบๆ “ที่นี่ตกแต่งสวยหรูหราดีนะ”

“คนก็สวยค่ะ” คราวนี้นางสาวโศภิต อดแทรกแซงไม่ได้

ศรุตาหันมาแนะนำ “โศ นี่คุณหนูปรายที่ต้าเคยเล่าให้ฟังไง คุณปราย นี่โศภิตเพื่อนรักของต้า”

“เพื่อนรักเลยหรือ” โศภิตไม่แน่ใจเท่าไรนัก

“เหอะ พูดให้ฟังดูดีไว้ก่อน แต่รักมากรักน้อยแค่ไหนค่อยไปดูรายละเอียดทีหลัง”

“ปรายก็เป็นเพื่อนรักของต้าครับ แต่ว่าคงรักมากเพราะว่ารักกันมานานแล้วคงสะสมไว้ได้มากพอสมควร”

ศรุตายิ้มยั่ว “อีกหน่อยโศก็ตามทัน ถึงจะมาทีหลังแต่ว่าได้เปรียบในเรื่องปริมาณ”

“ฮึ อ้วนสวยกว่าผอมย่ะ”

“เอา สวยก็สวย”

เพื่อนทั้งสามพูดคุยยั่วเย้ากันอยู่เป็นครู่ศรุตาก็ถามว่า “ว่าแต่วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงนี่ไม่ทราบยะ คุณปรายเปรม”

“ลมเพชรหึง…..”

หญิงสาวพาซื่อ “ลมเพชรหึงอะไรเหรอ”

อีกฝ่ายหัวเราะ “บังเอิญปรายผ่านมาธุระก็เลยนึกจะเข้ามาทักทายพี่ชายกับน้องสาวสักหน่อย ได้ยินว่าพี่มรุตมาทำงานที่นี่หลายวันแล้ว เมื่อก่อนตอนเล็กๆ คงเคยเห็นกันบ้างแต่ว่าปรายยังเล็กมากเลยจำไม่ได้ มีโอกาสก็เลยจะแวะมาทักทายทำความรู้จักไว้”

“โห หมู่นี้คุณปรายเป็นหนุ่มสังคม รู้จักแวะมาทำความรู้จัก จะฝากเนื้อฝากตัวขายประกันหรือชวนเป็นสมาชิกขายตรงอะไรรึเปล่าอ่ะเนี่ย”

“แหมๆ มองกันดีๆ ไม่เป็นเลยใช่มะ”

ประตูห้องเปิดออกแล้วร่างสูงก็ก้าวออกมา โศภิตกระซิบว่า

“แน่ะ ดร.มรุต ออกมาจากห้องแล้ว”

สีหน้าของศรุตากระจ่างขึ้นทันใด ปรายเปรม อดขุ่นเคืองไม่ได้ หันมองตามแล้วประกายตาก็จุดความสนใจขึ้นวูบ

ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้ฝ่ายนั้นถูกผูกพันด้วยธุระหรือใครอื่น ลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาทันที ดร. มรุตหันมามอง พออีกฝ่ายยกมือไหว้แนะนำตัวเสร็จ เขาก็ยิ้มส่งมือให้จับ เขย่าแล้วพูดคุยกันอยู่นาน

ร่างทั้งสองมีความสูงใกล้เคียงกันยืนพูดคุยทักถามนั่นนี่ราวมิตรสนิท ตาปรายสูงหนากว่าเล็กน้อย ผมยุ่งผิวคล้ำ ชอบใส่เสื้อผ้ายับๆ ที่คงไม่ค่อยได้พบเตารีดเท่าไหร่นัก

“คุณหนูปรายหล่อจังเลย…..”

น้ำเสียงฝันๆ ของโศภิตทำให้ศรุตา คิดว่าฟังผิดไป…..!

ร่างสูงที่เดินตามกันเข้ามาทำให้ศรุตาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ สีหน้า ดร. มรุต ระบายด้วยรอยยิ้มดูกระจ่างกว่าเคย

“ดีจริง พี่เพิ่งรู้ว่าปรายกับต้าสนิทกันมาก”

“ก็เราโตขึ้นมาด้วยกันนี่คะ พี่มรุต”

“จริงซิ พี่ลืมไป” เขาหัวเราะ ทำให้ใบหน้ายิ่งดูกระจ่าง “พี่จำปรายไม่ได้เลย ตอนที่เห็นครั้งสุดท้ายตัวนิดเดียว มีฟันแค่ไม่กี่ซี่เท่านั้น เดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มใหญ่ตัวโตกว่าพี่แล้ว”

“ปรายเค้ากินเก่งที่สุดในบ้านก็เลยตัวโตค่ะ” พอมีปรายเปรม ศรุตาก็กลับเป็นตัวของตัวเอง น้ำเสียงพูดเต็มปากเต็มคำลื่นไหลไม่ประหม่าขัดเขินเช่นเคย

“ทีนี้พี่รู้แล้วว่าทำไมต้าถึงได้ตัวเล็ก”

“ใช่ค่ะ โอ ในที่สุดก็มีคนรับรู้บาปของคุณปราย…..”

“ผมยินดีชดเชยและชดใช้ วันนี้จะมารับต้าไปทานข้าวครับ”

“อ้าว งั้นหรือ”

ศรุตาร้องออกมา “ฮ้า อะไรนะ…..!”

“นานๆ จะมีโอกาสผ่านมาสักครั้ง ปรายเลยตั้งใจจะมารับต้าไปทานข้าวกลางวันไงครับ”

“อุ๊ยไม่ได้หรอกคุณปราย วันนี้ต้ามีนัดแล้ว…..” เธอรีบพูด

“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงทุ้มขัดด้วยสีหน้าเจือยิ้ม “นานๆ ปรายจะแวะมา ต้าไปกับปรายเถอะ เราทำงานด้วยกัน ทานกันเมื่อไหร่ก็ได้”

“แต่… แต่ว่า…..”

น้ำเสียงอีกฝ่ายคล้ายน้อยใจ “อ้าว พี่มรุตกับต้านัดกันไว้หรือครับ ถ้าอย่างนั้นปรายขอโทษด้วย…..”

ศรุตารีบพูดว่า “คุณปรายกับต้าทานกันบ่อยๆ อยู่แล้วค่ะ พี่มรุต”

“ปรายกับต้าไปด้วยกันเถอะ พอดีผมนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ แล้วค่อยทานกันวันหลัง บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้นะครับต้านะ” ดร. มรุต ตัดสิน

ศรุตาแอบแยกเขี้ยวใส่ หน้าคว่ำงอง้ำ ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มยั่วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“คุณโศคนสวยคร้าบ ถ้ายังไม่มีนัดกับหนุ่มคนไหนละก็ เชิญไปด้วยกันนะคร้าบ”

“อุ๊ย ให้โศไปด้วยหรือคะ” โศภิตปลาบปลื้มกระตือรือร้น “ที่จริงธรรมดาโศก็ทานกับต้าทุกวันแหละค่ะ แต่ว่าวันนี้ยัยต้าเค้าคิดจะนอกใจโศ ยินดีที่สุดเลยค่ะคุณปราย”

ลงแบบนี้ศรุตาไม่ยอมตามคงไม่ได้แล้ว ลับหลังมรุต เธอได้แต่ทำสีหน้างอง้ำใส่คนที่กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ……



ร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยตกเป็นเป้าสายตา โศภิตกระซิบอย่างภาคภูมิใจ “ดูสิ ต้า ใครๆ หันมามองเราเป็นแถวเลย”

คนหนึ่งตัวดำสูงปรี๊ด อีกคนอ้วนเตี้ยขาวจั๊ว คนไม่มองก็นับว่าแปลกที่สุดแล้ว

นายตัวดีไม่สนใจสายตาใคร ตั้งกองยั่วเย้าศรุตาที่หน้าคว่ำบอกบุญไม่รับ

“ขอลูกชิ้น……”

“ไม่ให้ !” เธอใช้ช้อนกันตะเกียบที่ยื่นล่วงล้ำทันที

“กินก็ไม่กินแล้วยังจะหวงอีก”

“ไม่กินแต่ก็จะทิ้งไว้ยังงี้แหละ ใครอยากกินก็สั่งใหม่ซิ”

“โห ใจดำ”

“คุณปรายเอาของโศก็ได้” โศภิตพูดอ่อยๆ

“ผมอยากกินของคนใจดำ” เขาพูดยิ้มๆ “คนอารมณ์บูดต้องกินน้อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวอาหารจะเป็นพิษ”

“ต้าก็อารมณ์เสียอยู่ได้”

“ก็หมั่นไส้อีตาคุณปรายนี่ ทำแผนเค้าเสียหมดเลย”

ชายหนุ่มชักเสียงเข้ม “แผนอะไรเสีย กินข้าวกับพี่มรุตกินเมื่อไหร่ก็ได้ ก็ทำงานอยู่ด้วยกันแท้ๆ”

“แต่วันไหนก็ไม่สำคัญเท่าวันนี้ รู้หรือเปล่าว่า…” เธอหยุดพูด ขืนพูดต่อไป ปรายเปรมและโศภิตต้องหัวเราะเยาะเธอแน่ๆ

“ว่าอะไร” ชายหนุ่มถามเมื่อคอยฟังแล้วยังไม่ได้ใจความ

“เปล่าหรอก……”

“บอกมาดีๆ ไม่งั้นปรายจะมาทานข้าวกับต้าทุกวันเลย”

เธอหน้างอ “ก็ต้าอธิษฐานไว้ ใครที่เป็นเนื้อคู่ ขอให้ชวนต้ามาทานข้าวกลางวันนี้ แล้วพี่มรุตก็ชวนแล้วด้วย…..”

“อ้าว…..” ชายหนุ่มอุทานขณะที่โศภิตก็ร้องเสียงแหลม

“โห…..” แล้วโศภิตก็หัวเราะคิกๆ “เป็นเอามากเลยยัยต้า”

ศรุตาหน้างอ “ก็คุณย่าบอกว่าท่านอธิษฐานแล้วได้ผลต้าก็ลองทำบ้าง ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย”

โศภิตพูดว่า “โถ เนื้อคู่คุณหนูต้ามาถึงครึ่งทางแล้วเชียวนะ ก็ด๊อกเตอร์มรุตเค้าชวนแล้วนี่ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้มาด้วยกันเท่านั้น”

“ต้าก็ไม่บอกก่อน ถ้าปรายรู้วันนี้คงไม่เข้ามาขวางทางหรอก” คนตัวสูงโมโหวูบๆ แต่ไม่วายผสมโรงด้วย

“ถ้าโศรู้ จะให้นายเบี้ยวขึ้นมาชวนยัยต้า…..”

“ยัยโศบ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ”

“ต้าก็อธิษฐานใหม่ซิ จะยากอะไร คราวนี้พูดให้ชัดๆ ไปเลยว่าขอให้เป็นพี่มรุตคนเดียวอย่าให้ใครมาแทรกกลาง” ชายหนุ่มประชดประชัน ประกายตาขุ่นขึ้ง

“ดีละ ต้าจะขอ” เธอค้อนขวับ

ค่ำวันนั้น ศรุตา ที่มักอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าก่อนท่านหลับจับจ้องอธิษฐานกับรูปภาพของนางเทพจนถูกสังเกตเห็น “ทำอะไรหือ ต้า”

“เอ่อ คือว่าต้า….. ต้ากำลังอธิษฐานค่ะคุณย่า”

“อ้าว เมื่อวานก็อธิษฐานแล้วไม่ใช่หรือ”

“ค่ะ แต่ว่ายังไม่เห็นผลที่แน่ชัดนี่คะ”

เสียงหัวเราะแผ่วเบามีกังวานปราณี “ต้าตั้งเป้าหมายสูงเกินไปหรือเปล่า จะให้เห็นผลชัดๆ ในวันสองวันเทียวหรือลูก….. อืม….. ความเชื่อนี่เป็นเรื่องของจิตใจนะ รู้ไหมว่าเหตุการณ์ต่างๆ ก็แค่เป็นไปตามวิถีทางของมัน แต่เพราะเรามีใจมุ่งมั่นก็เลยตีความหมายเข้าข้างทางที่ชอบ”

“แต่ว่าต้าอยากจะลองอีกครั้งหนึ่งค่ะ”

“ลองกี่ครั้งก็ได้ แต่อย่าหลงเชื่อจนเดินผิดทางล่ะลูก ที่พึ่งของมนุษย์คือพระรัตนตรัย ไม่ใช่เทพเทวดาหรือว่ารูปภาพนะรู้ไหม”

“ค่ะ คุณย่า” เธอรับอ่อยๆ “แต่ว่าต้ารักอัปสราองค์นี้นี่คะ”

“นี่เป็นเพียงภาพวาดเก่าๆ เท่านั้นลูก… ต้ารัก เพราะว่าเห็นมานาน แล้วย่าก็เคยเล่านิทานเรื่องดีๆ ขององค์อัปสราให้ต้าฟังเพลินๆ เสมอ บางทีพอต้าฝันร้าย ย่าก็บอกให้ต้านึกถึงองค์อัปสราจะได้ฝันดี เป็นย่าเองที่ปลูกฝังความรู้สึกผูกพันให้ต้า เอาอย่างนี้ ย่ายกภาพนี้ให้ต้า ถือว่าเป็นของขวัญที่ย่าให้ต้านะลูกนะ แต่จำไว้ว่านี่เป็นเพียงรูปภาพเท่านั้นไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่ในใจของเราต่างหาก เป็นพลังที่สร้างขึ้นได้สุดแล้วแต่ใครมีบุญมากน้อยแค่ไหน”

หญิงสาวไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ซักถามเพราะเห็นว่าคุณย่าง่วงและเพลียมากแล้ว เธอประคองของขวัญล้ำค่ากลับมาที่ห้อง พอติดตั้งเสร็จก็ลูบคลำพลางตั้งอกตั้งใจอธิษฐาน


“อัปสราขา ต้าขอฝันเห็นเนื้อคู่ของต้านะคะ เพี้ยง…”

ครั้นง่วงจะหลับ เธอยังเผลอเอนเอียงชี้นำ ขอให้ฝันถึงพี่มรุตคนเดียว ศรุตา… มรุต ศรุตา… มรุต

คืนนั้นเธอฝันจริงๆ เป็นความฝันที่ให้ความรู้สึกประหลาด อารมณ์ลอยเลื่อนวาบหวาน บรรยากาศรอบตัวคล้ายห่อหุ้มด้วยไอหมอกควันเมฆและกลิ่นหอมแปลกของดอกไม้…

เงาของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในท่ามกลางกลุ่มควัน เงาร่างสะโอดสะองสวยสง่าราวมีรัศมีสาดส่อง …พี่มรุต…! เงานั้นชัดขึ้นทุกที แล้วศรุตาก็แทบจะกรีดร้องเมื่อเห็นชัด

ปรายเปรมหันมายักคิ้วหลิ่วตาด้วย

ตาปรายบ้า…! เธอผวาตื่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ตาปรายตามก่อกวนถึงในฝันเทียวหรือนี่…….



จบบทที่ 8