อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 21

“นางฟ้าเจ้าขา    ท่านรักษาคุณย่าให้หายป่วยกลับแข็งแรงดีได้ไหม”    พอเริ่มคุ้นเคยสนิทสนม    ศรุตาก็ออกอาการมนุษย์ขอนั่นขอนี่

อัปสรา เพิ่งจุติไม่นานซ้ำยังถูกองค์เทวตากักขังจึงยังไม่เบื่อคำขอ    แต่กับเรื่องนี้กลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเกรงใจเต็มที

“เกิดแก่เจ็บตายเป็นพลังธรรมชาติ    ร่างกายคุณย่าเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาเหมือนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย    ทั้งยังมีพลังบุญกรรมหนุนนำไม่ควรแทรกแซงเป็นอย่างยิ่ง…..”

ศรุตาเริ่มแคลงใจเพราะคิดว่านางฟ้าน้อยองค์นี้ไร้ความสามารถจึงหาข้อแก้องค์ไปเรื่อยๆ

เสียงหวานๆ ดังแว่ว    “…..แต่ศรุตารู้ไหมว่ามนุษย์มีพลังอยู่ข้างในที่จะรักษาเยียวยาตัวเองได้    แม้ไม่ใช่ถึงกับคงกระพันยืนยง แต่ก็นานเท่าที่ธรรมชาติอำนวยให้…..”

“จริงหรือคะ…!    พลังนั้นอยู่ที่ไหน”

“อยู่ข้างใน”    นิ้วเรียวชี้ที่ข้างขมับ

“ต้าไม่เข้าใจ”

ใบหน้าหยาดหวานงดงาม ที่บางครั้งโปร่งแสง กลับชัดเจนอยู่ตรงหน้าศรุตา เมื่อองค์อรดีตั้งอกตั้งใจอธิบายราวกับคุณครูเยาว์วัยเคร่งวิชา

“พลังวิเศษมีมาพร้อมกับการจุติเป็นชีวิต   พื้นฐานระดับล่างสุดของพลังนี้ก็คือทำให้แต่ละชีวิตมีสัญชาติญาณของการเอาตัวรอดและมีปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งต่างๆ    พลังนี้ในระดับสูงขึ้นมาช่วยกระตุ้นให้มนุษย์รักตัวเอง รู้จักทำนุบำรุงดูแลเลือกใช้ชีวิตในทางที่ไม่เสี่ยง    และในระดับสูงสุด   พลังนี้สามารถรักษาเยียวยาสังขารจากโรคภัยที่คุกคาม ทำให้ยืดระยะเวลาการคงอยู่ให้ยาวนานออกไปได้…”    เธอส่ายหน้าทอดน้ำเสียงเหมือนอ่อนใจ    “น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผ่านไป   พลังนี้กลับถูกปล่อยให้อ่อนกำลังกระจัดกระจายและถูกเบี่ยงเบนเพราะพลังพื้นฐานอีกตัวหนึ่งซึ่งถ่วงดุลย์อยู่    ซึ่งพลังอีกตัวหนึ่งนี้ก็คือกิเลสอย่างไรล่ะ”

“โห……”    อีกฝ่ายครางเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งเป็นงง

“เพราะอย่างนั้นพลังวิเศษนี้จึงอ่อนกำลังลงทุกทีแทนที่จะถูกพัฒนาให้กล้าแข็ง มนุษย์มากมายสูญเสียพลังวิเศษนี้ไป… หมุนไปตามกระแส    ที่สุดก็ทิ้งสังขารอย่างน่าเสียดาย”

“แล้วจะพัฒนาให้กล้าแข็งได้ยังไงล่ะคะ”

“ต้องใช้เวลาและความพยายาม    ไม่ใช่จะทำวันนี้พรุ่งนี้ได้”

“ท่านเสกโอมเพี้ยงให้คุณย่ามีพลังนี้ไม่ได้หรือคะ”

“ไม่ได้    ฉันไม่เก่งอย่างนั้น…..”

“น่าน….. คิดแล้วเชียว…..!”    นางมนุษย์ส่งเสียง

อีกฝ่ายรีบแก้พระองค์    “มนุษย์มีความสลับซับซ้อนทั้งร่างกายและจิตใจไม่เหมือนภูตหรือเทวดา    แม้องค์เทพทรงอิทธิฤทธิ์ที่สุดมาเสกเป่าพ้วงๆ ก็ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงถาวรไม่ได้    ชั่วระยะเวลาไม่นานพลังธรรมชาติของแต่ละคนก็จะกลับคืนมาแล้วพลังเทพที่เสกเป่าให้ก็สูญสลายไป”

“อ้อ    แบบว่ามีผลใช้ชั่วคราวใช่ไหมคะ”

ทรงพยักหน้าพอใจที่อีกฝ่ายเข้าใจ    “ขึ้นอยู่กับคนที่ได้รับพลังนั้นๆ”

“ขึ้นอยู่กับองค์เทพด้วย”    นางมนุษย์รุกไล่

องค์อรดีหลบตา    “ก็ฉันเพิ่งจุติ    จะเก่งเหมือนองค์เทวตาได้ยังไง”

“อย่างนั้นต้าคงต้องขอให้องค์เทวตามาช่วยคุณย่าสิคะ”

“องค์เทวตา มีภาระหน้าที่ต่อบรรดาเทพ   ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์หรอกศรุตา    ถ้าท่านได้ยินเสียงเธอ   ท่านจะตามมาพบฉันและทำโทษที่ฉันหนีมา    บางทีเธออาจโดนด้วยในฐานที่พาฉันหนี”

“อ้าว    ต้าผิดด้วยเหรอคะนี่”

“ไม่รู้ซิ    ก็ฉันเพิ่งเป็นนางฟ้าไม่นานจะรู้ได้ยังไง”

“อย่างนั้นต้าคงต้องรีบพาท่านกลับไปส่งแล้วละ”


น้ำเสียงทางปลายสายขรึมจัดอย่างน้อยใจไม่หายเมื่อศรุตาโทรศัพท์ไปหา   “ฮัลโหล คุณปราย    วันนี้ว่างไหม    มาหาต้าหน่อยได้รึเปล่า”

“ไม่ว่างหรอก    มีอะไรหรือ”

“โห    ถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องมาถามเลยนะว่ามีอะไร”

“ก็ถ้าบอกว่ามาหาได้    อีกประเดี๋ยวต้าก็ต้องโทรมาบอกว่าเปลี่ยนใจแล้วอยู่ดีนั่นแหละ    ปรายขี้เกียจรับโทรศัพท์หลายครั้งให้เสียอารมณ์เปล่าๆ”

“งั้นก็ไม่ต้องพูดมากเลย”

“จะให้มากี่โมง”    เสียงขรึมรีบถาม

อีกฝ่ายยื่นริมฝีปากอย่างคนแสนงอนที่รู้ตัวว่าเป็นต่อ    “ว่างเมื่อไหร่ก็มาแล้วกัน”

“ถ้ามาถึงตีสองล่ะ    จะให้เรียกหรือว่ายังไงดี”

“ตาปรายบ้า   ตกลงว่าไม่ว่างใช่ไหม”

“ปรายนัดลูกค้าไว้… แต่ว่าจะรีบคุยธุระให้เสร็จแล้วมาหาต้าก็แล้วกัน” เขาไม่ปฏิเสธเธอตามเคย


องค์เทพประทับหน้าจอทีวีจับตามองอย่างสนใจนักหนา    ศรุตาถอนใจเพราะดูหนังเรื่อง เทวดาตกสวรรค์ ซ้ำหลายครั้งแล้ว

“ดูมัมมี่รีเทิน ดีกว่าค่ะท่าน”

“ไม่เอา    น่ากลัว”

“โห    ท่านก็   เป็นนางฟ้าทำไมถึงกลัวมัมมี่”

“ฉันกลัวเทพอสูร…..”    เธอพึมพำ

“อะไรนะคะ”

ทรงไม่ตอบซะเฉยๆ

คุณนงนิตย์เปิดประตูเข้ามา    นึกเป็นห่วงที่เมื่อวานนี้ศรุตากรี๊ดลั่นร้องว่าเห็นผีแล้วยังกลัวจนจะไม่ยอมนอนในห้อง   วันนี้กลับปิดประตูเงียบ ท่าทีนั่งเอียงๆ และเสียงที่ดังแว่วเมื่อประตูเปิด คล้ายกำลังมีคนพูดคุยด้วย

“พูดกับใครจ๊ะลูกต้า    โสภิตกลับจากทำงานแล้วหรือ”

“เปล่าค่ะแม่    ต้าพูดกับนางฟ้าค่ะ”

“นางฟ้าที่ไหน”    มารดากวาดตามองไปทั่ว

“องค์อัปสราไงคะ”

คุณนงนิตย์มองภาพวาดบนฝาผนัง    “อ้อ   พูดกันว่ายังไงจ๊ะ”

ศรุตาชำเลืองมองนางฟ้า ก็เห็นนั่งดูทีวีเฉย   “ตอนนี้ท่านเอาแต่ดูทีวีค่ะแม่”

สีหน้าของคุณนงนิตย์ทั้งฉงนสงสัยทั้งหนักใจ    “องค์อัปสรากำลังดูทีวีหรือจ๊ะ”

“ค่ะ    ท่านชอบเรื่องนี้    ต้าจะเปลี่ยนช่องท่านก็ไม่ยอม”

ร่างบางเดินมากอดศีรษะลูกสาวไว้กับอก    “ต้า    แม่รู้ว่าลูกมีเรื่องเครียดหลายเรื่อง    แม่อยากให้หนูค่อยๆ คิดค่อยๆ แก้ทีละเรื่อง ปล่อยๆ วางลงอย่าจริงจังกับอะไรมากนะลูกนะ”

“อะไรคะ    แม่คิดว่าต้าไม่สบายหรือ”

มือบางๆ กดคลึงเบาๆ ที่ศีรษะกลมๆ ของลูกสาว

“ไม่เป็นไรหรอกลูก    มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน    แม่เองครั้งหนึ่งก็เกือบสติแตกเหมือนกัน    ดีแต่ทำใจให้ปลงได้ก็เลยอยู่กับมันอย่างยอมรับ ถึงอย่างไรในภาวะที่เลวร้ายที่สุดก็ยังมีสิ่งดีที่สุดแฝงอยู่ด้วยนะลูก    อย่างแม่ก็มีต้ากับตุ้ยยังไงล่ะจ๊ะ    แม่รักต้านะ”

“โถ   แม่ขา    ต้าก็รักแม่ค่ะ”

นางฟ้า   หันมามอง ทำให้ศรุตารู้สึกเขิน

“เออ   แม่คะ    อัปสราบอกต้าว่ามนุษย์มีพลังรักษาเยียวยาตัวเองได้ ถ้าแม่กับคุณย่าอยากแข็งแรง ก็ต้องช่วยตัวเองด้วยค่ะ”

“แม่ช่วยตัวเองด้วยการไปหาหมอและทานยาตามสั่งอยู่แล้ว”

“แม่ต้องพัฒนาพลังวิเศษในตัวแม่ขึ้นมาช่วยรักษาด้วยค่ะ”

“เอ   ทำยังไงล่ะจ๊ะ   อัปสราบอกหรือเปล่า”

“ท่านบอกว่าต้องใช้เวลาและความพยายามค่ะ…..”

“พยายามยังไงจ๊ะ”

เธอหันมององค์ต้นความคิดอย่างจะขอคำอธิบายแต่กลับทรงหันหน้าหนีแล้วหายวับหนีคำถามไปเฉยๆ    ศรุตาร้องว่า    “อ้าว…   ไปไหนซะแล้ว…..นางฟ้าขาอย่าเพิ่งไป…”    ทำให้คุณนงนิตย์ต้องถอนใจหนักหน่วง

“ไม่เป็นไรหรอกลูก    ให้ท่านไปเถอะ    แต่แม่ว่าต้าควรจะนอนพักสักครู่    เดี๋ยวแม่จะโทรนัดหมอให้นะลูกนะ”

“แม่    ต้าคุยกับนางฟ้าจริงๆ นะคะ”

“จ้ะ    คุยกับนางฟ้ายังดีกว่าคุยกับอย่างอื่น    แม่ดีใจที่ลูกเป็นเพื่อนกับอัปสรา    ท่านคงสวยน่ารัก…..    นอนเถอะลูก”    เธอจับตัวลูกสาวให้เอนลงนอน

ศรุตาไม่ขัดขืน    ปากก็อธิบาย    “เธอตามต้ามาจากวัดเก่าที่ต่างจังหวัด    บอกว่าถูกองค์เทวตาขังไว้”

“จ้ะ…..”    สีหน้าอีกฝ่ายยิ่งวิตกกังวล    ทอดถอนใจหนักหน่วง

จู่ๆ เสียงหวานๆ ก็ดังแว่วข้างหู    “…..แม่ให้นอนก็นอนเถอะ แล้วฉันจะพาไปเที่ยว…..”

ศรุตาตอบในใจว่า    “เย้    ดีเลย    ไปเที่ยวเมืองสวรรค์นะคะ”

มีเสียงตอบ   “ได้ซิ”    แล้วหญิงสาวก็หลับไหลลงในทันที

คุณนงนิตย์มองอย่างกลัดกลุ้มกังวลเป็นที่สุด   นึกโทษตัวเองครามครัน    เธอเอาแต่เจ็บป่วยใจกายจนละเลยลูกไปนาน    พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นผลร้ายขนาดนี้เทียวหรือ…..


สัมผัสอุ่นนุ่มพาเธอล่องไปในโลกต่างมิติ    แดนสวรรค์แห่งนี้มิใช่ตั้งอยู่บนปุยเมฆขาว    ที่มีประสาทราชวังและนางฟ้ารำฟ้อนอย่างที่ศรุตาเคยนึกคิดมาแต่เล็ก    แต่เป็นดินแดนงดงามร่มรื่นที่ไม่ว่าจะนึกอยากเห็นอะไรก็ได้เห็นอย่างนั้น

พันธุ์สัตว์ล้วนแต่รูปร่างหน้าตาน่ารัก    พืชพันธุ์ไม้งดงามแปลกตา ท้องฟ้าสีครามสลับแสดสดสวยพริบพรายด้วยดวงดาวไม่มีความแตกต่างกลางวันกลางคืน เธอหัวเราะรื่น    วาดแขนโบยบินตามฝูงนางมโนราห์ที่โบกปีกกรีดกรายเริงร่าเหมือนร่ายรำ…….


“ต้า….. ต้า…..”

ร่างบางๆ ถูกเขย่าอยู่นานแต่กลับยังนอนเหมือนไม่รู้สึกตัวจนทำให้ทุกคนอ่อนอกอ่อนใจไปตามๆ กัน    สมาชิกในบ้านวนเวียนกันเข้ามาพยายามปลุกให้เธอตื่นแต่ไม่เป็นผล

หากแล้วจู่ๆ ศรุตาก็ลืมตาขึ้นมาต่อว่าหน้าตาเฉย

“เรียกกันอยู่ได้    คนกำลังเที่ยวสนุกอยู่เชียว”

“ยัยต้า…!”    โศภิตร้องลั่น

คนที่วุ่นวาย บางคนกำลังจะเดินออกจากห้องหันขวับ    “รู้ตัวแล้วเหรอ”

“ก็รู้แล้วน่ะซิ    รู้ตั้งนานแล้ว”    แม่ตัวดีตอบหน้าตาเฉย

“อ้าว    แล้วแกล้งนอนเฉยให้ตกใจกันทำไม”

“ก็ยังหนุกไม่อยากกลับนี่”    สีหน้าเธอบอกความไม่สบอารมณ์    “อ้าว แล้วเข้ามาทำไมกันเต็มห้อง”

คนอื่นๆ มองเหมือนเธอเป็นตัวประหลาด

โสภิตกระฟัดกระเฟียด    “ก็เข้ามาปลุกแม่เจ้าประคุณน่ะซียะ โห    นอนเฉยจนวุ่นวายกันทั้งบ้าน    นี่เค้าเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวเธอกันแล้วนะเนี่ย”

“ฮ้า…..”

มีเสียงหวอรถพยาบาลแล่นเข้าประตูบ้านมา    ศรุตาแทบจะลมใส่จริงๆ

“ไปโรงพยาบาลเถอะ”

“ไม่เอ๊า    ไม่เอา”

รู้อย่างนี้รีบกลับซะตั้งแต่ได้ยินเสียงเรียกก็ดีหรอก    นางฟ้าน้อยจะพากลับแต่ เป็นเธอเองที่พูดว่า    “เดี๋ยวเค้าก็เลิกเรียกกันเองแหละค่ะท่าน”

คงจะมีการเจรจากันเพราะอีกชั่วครู่รถพยาบาลก็แล่นกลับออกไป คนอื่นๆ มองเธอเหมือนเป็นตัวเจ้าปัญหาก่อนจะค่อยๆ ถอยหายออกไปจากห้อง แล้วพากันพูดเรื่องที่เธอนอนเฉยใครเรียกไม่ลุกจนรู้กันทั้งบ้าน

คุณนงนิตย์บีบมือลูกสาว    มือเธออุ่นขณะที่คนเป็นแม่มือเย็นเฉียบ    “แน่ใจว่าสบายดีแล้วใช่ไหมลูก”

“ต้าสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรแม่อย่าเป็นห่วงเลยค่ะ    ต้าแค่เที่ยวเมืองสวรรค์เพลินไปหน่อยเดียวเท่านั้นเอง”

คุณนงนิตย์มองหน้าโศภิตเหมือนจะพูดว่า    …..นี่ไง   เขาเป็นอย่างนี้…….

“โศว่าตามรถพยาบาลกลับมาดีกว่า”    โศภิตชักไม่แน่ใจ


คุณนงนิตย์เลี่ยงออกไปเป็นคนสุดท้าย    พออยู่กันสองคน    คำแรกที่ศรุตาถามก็คือ   “พี่มรุตกลับมาหรือยัง   วันนี้เขาถามหาต้าหรือเปล่า”

…นั่นไง    เพื่อนฉันวิปลาสเพราะผิดหวังในรักแรกพบ…!

“เค้ายังไม่กลับ…   แต่ว่า…”    โศภิตลังเล    “เอ่อ… วันนี้เค้าถามหาต้านะ”

“เหรอๆ”    สีหน้าอีกฝ่ายกระตือรือร้น    “ถามว่ายังไงบ้าง”

“ก็ถามว่า….. ถามว่าวันนี้ต้าไม่มาหรือครับ    เป็นอะไรไปไม่สบายหรือเปล่า…..”

“เธอโกหก…”    องค์ดรุณเพิ่งปรากฏร่างเอียงกระซิบบอก

ศรุตาจึงต่อว่าเพื่อน    “เธอโกหก…”

“อ้าว”    โศภิตอุทานอ่อนใจ    “แล้วจะให้พูดความจริงเหรอว่าเขาไม่ได้พูดถึงเธอซักคำ”

“จริงเหรอ    พี่มรุตไม่ได้พูดถึงต้าซักคำเดียว”    เสียงถามผิดหวัง แล้วคนถามก็ตาแดงเหมือนจะร้องไห้

“เฮ้อ…..” โศภิตออกอุทานเหมือนองค์อัปสราไม่ผิดเพี้ยน

“มนุษย์นี่น่าเบื่อจริงๆ” องค์เทวินทร์ส่ายหน้าขณะที่โศภิตพูดว่า

“ตัดใจเถอะน่า เธอกับคุณมรุตไม่เหมาะสมกัน เหมือนอยู่กันคนละโลก ไม่มีวันไปกันได้หรอก”

“อ๋อ ต้องเป็นแบบคุณเจนนี่ใช่ไหมถึงจะไปกับพี่มรุตได้ ดีละ ต้าจะเหมือนคุณเจนนี่ให้ได้เลย”

“ยัยต้าเอ๋ย…..”

“ศรุตาเอ๊ย…..”

ศรุตาหันขวับ “ท่านต้องช่วยต้าซิคะ”

โศภิตหน้าเหรอ “ใคร ฉันน่ะหรือ”

อัปสราถามว่า “จะให้ฉันช่วยยังไง”

“ทำให้พี่มรุตสนใจต้า อ่ะ ทำให้ต้าเหมือนคุณเจนนี่ก็ได้”

โศภิตถามว่า “ทำยังไงล่ะ”

อัปสราพูดว่า “ไม่ว่าศรุตาอยากเป็นอะไรก็ทำได้เองไม่ต้องให้ใครช่วยหรอก”

“จริงหรือคะ”

โศภิตเป็นงง “จริงอะไร เธอพูดกับใคร”

ศรุตามองหน้าโศภิตซึ่งมีองค์อรดีประทับยืนอยู่ข้างๆ “อ้าว เธอไม่เห็นองค์อัปสราหรือเหรอโศ”

“อัปสราเหรอ…..”

“ใช่ นางฟ้าที่ช่วยให้เธอพบตัวเองเรื่องร้องเพลงไงล่ะ”

“เหรอ…” สีหน้าโศภิตงวยงงไม่หาย ศรุตาจึงพยักพเยิด

“นี่ไง ท่านยืนอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นเหรอ”

อีกฝ่ายยิ้มเรี่ยๆ เอาใจเพื่อน “อ่ะ เห็นก็เห็น สวัสดีค่ะท่านอัปสรา” ไม่พูดเปล่ายังหันไปยกมือไหว้ชดช้อย

“เย้ ดีจัง โศก็เห็นไม่ใช่ต้าเห็นคนเดียว”

โศภิตซ่อนความวิตกขณะที่นางฟ้าเหลือบตาขึ้นมองเพดานอย่างเบื่อหน่าย…..



จบบทที่ 21