คุณย่า อัปสร มีลูกหลานแวดล้อมหลายคน แต่กลับไม่มีคนไหนใกล้ตัวเป็นลูกหลานในไส้ ที่ข้างฝาในห้องนอนของท่านมีรูปติดมากมาย ไล่ไปไล่มายังไงๆ ก็หาลูกหลานตัวจริงไม่พบ
ศรุตา รู้ว่าท่านแต่งงานสองครั้ง แต่ละครั้ง สามีก็จูงลูกติดมาให้ท่านเลี้ยงดูก่อนจะตายจากไป คุณลุงเปี่ยม กับ คุณลุงเปรม เป็นลูกเลี้ยงซึ่งติดมากับสามีคนแรก ส่วน คุณลุงฉัตร เป็นลูกติดของสามีคนที่สอง เพราะเข้ากับแม่เลี้ยงน้องๆ ต่างสายเลือดไม่ได้ คุณลุงฉัตรจึงแยกตัวไปพักอาศัยอยู่ที่อื่น แม้ว่าพ่อของคุณลุงฉัตร จะเป็นคนปลูก “บ้านเทวัญ” ที่ทุกคนนอกจากคุณลุงฉัตรได้อยู่อาศัยกันมาจนบัดนี้
“อาก้อย” เป็นลูกสาวและลูกแท้ๆ คนเดียว เกิดจากคุณปู่คนที่สอง แต่ขณะนั้นคุณย่ายังเต็มไปด้วยพลังจึงได้แต่ยุ่งอยู่กับการบริหารงานการซึ่งใหญ่โตขึ้นทุกที ไม่มีเวลาสนใจดูแลครอบครัว แม่ลูกจึงไม่เข้าใจกันเท่าไรนัก “อาก้อย” รักใคร่สนิทสนมกับคุณลุงฉัตรมากกว่าพี่ๆ บุญธรรมซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน ครั้นคุณลุงฉัตรพาครอบครัวย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ อาก้อยก็ตามไปโดยอ้างว่าจะไปศึกษาต่อ
แต่แล้วก็แต่งงาน มีลูก และเสียชีวิตที่ต่างประเทศนั่นเอง
“คุณย่าโกรธที่คุณก้อยดื้อ เลยแทบไม่ได้ติดต่อกัน”
เพราะอย่างนั้นถึงไม่มีรูปอาก้อยบนผนังห้อง คุณย่าเพิ่งสั่งให้นำรูปเหล่านี้มาติดเมื่อท่านเจ็บป่วยมากขึ้นจนต้องนอนอยู่แต่บนเตียง
“ทำไมล่ะคะ ทำไมอาก้อยไม่กลับมาหาคุณย่า” ศรุตาแปลกใจเป็นที่สุด เป็นเธอคงเมินเฉยกับแม่อย่างนั้นไม่ได้
“แม่ก็ไม่รู้” แม่อับจนคำตอบ
แม่แต่งงานกับคุณลุงเปี่ยมร่วมสิบปีแล้ว พา ศรุตา มาเป็นลูกบุญธรรมที่คุณลุงรักเอ็นดู แม่มีลูกชายกับลุงเปี่ยม แต่ก็ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขโดยสายเลือดของคุณย่า และเพราะถูกกันจากเรื่องของครอบครัวแม่จึงไม่รู้เรื่องของคุณลุงฉัตร และ คุณก้อย มากนัก
แม่รู้แต่ว่าคุณก้อยที่เคยอยู่คนละมุมโลกยังเป็นสาวน้อยเมื่อมีลูกสาวหนึ่งคนแล้วก็เลิกร้างกับสามีอย่างรวดเร็ว ไม่นานต่อมาคุณก้อยผู้อ่อนเยาว์ ก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับเพราะอุบัติเหตุ ทิ้งลูกสาวตัวน้อยไว้ให้คุณลุงฉัตรดูแล
ในวันนี้ทุกคนในบ้านเทวัญกำลังไหวตัว ตื่นเต้นกับข่าวที่ว่า คุณลุงฉัตร กลับมาจากต่างประเทศและจะพาหลานในไส้มากราบคุณย่า ...ทีนี้สารัตถ์คงตกกระป๋องละ น้องสาลี่หลานตัวจริงจะมาเป็นขวัญใจคุณย่า… เสียงล้อเลียนทำให้น้องชายตัวอ้วนใหญ่ของเธอหน้าคว่ำ
ศรุตาเองก็ตื่นเต้นกับการจะได้พบกับญาติ แม้จะไม่ใช่ญาติจริงๆ ของเธอก็ตาม
“คุณลุงฉัตรหน้าตาเป็นยังไงคะ ใจดีเหมือนลุงเปี่ยมหรือเปล่า”
“หน้าตาคงไม่เหมือนเพราะว่าไม่ใช่พี่น้องพ่อแม่เดียวกัน แต่เรื่องนิสัย….. คงไม่เหมือนกระมัง” น้ำเสียงแม่ครุ่นคิด
“ถ้าคุณลุงฉัตรน่ารักเหมือนลุงเปี่ยม คุณย่าคงมีความสุขมาก”
แม่หลบตา สีหน้ามีความในใจ ศรุตา ไม่เห็นผิดสังเกต แม่เจ็บออดแอดมานานแล้ว ชีวิตขาดหยูกยาไม่ได้ทั้งยารักษาร่างกายและยาบำรุงสารพัด หน้าตาจึงซีดเซียวไม่แจ่มใส บางครั้งอารมณ์ปรวนแปร ประเดี๋ยวอารมณ์ดี ประเดี๋ยวอารมณ์เสีย ประเดี๋ยวซึมเศร้าจนเป็นเรื่องปรกติ
ดูแม่อ่อนแอและแก่กว่าวัยทั้งๆ ที่เคยสวยใสแข็งแรงมาก่อน
คุณลุงเปี่ยมยังดูเป็นหนุ่มแน่นแข็งแรง แม้อายุขึ้นเลขห้าแต่กระฉับกระเฉงแพรวพรายเหมือนหนุ่มๆ ตรงกันข้ามกับคุณลุงเปรมซึ่งไปบวชเป็นพระตั้งแต่ก่อนศรุตาจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยจนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมสึก ทิ้ง “ปรายเปรม” ลูกชายคนเดียว กับ “สมฉวี” ภรรยาคนที่สองไว้ให้เป็นบริวารของบ้านเทวัญ
ปรายเปรมอายุมากกว่าศรุตากว่าปี เป็นหลานนอกไส้ที่คุณย่ารักเพราะว่าอุ้มมาแต่อ้อนแต่ออก เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงเกรงใจเขารวมถึงคุณสมฉวีซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของเขา
ศรุตาไม่เรียกเขาว่าพี่เพราะเหตุว่าโดนยียวนกวนโมโหตั้งแต่แรกรู้จักกัน แม้ต่อมากลับเข้ากันได้กลายเป็นคู่เกาะคู่กัดที่ขาดกันไม่ได้ เธอกลับติดคำเรียกขานตามคนรับใช้ว่า “คุณปราย” หรือไม่ก็ “คุณหนูปราย” มากกว่า
“คุณหนูปราย” บัดนี้เป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ชอบเล่นกีฬาเป็นที่สุด คิ้วเข้มและดวงตาคมระยับ ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย “คุณหนูปราย” ก็ออกจากบ้านไปอยู่ที่หอพักจึงห่างกันไปบ้าง แต่พบกันทีไรแม้ว่าเขาจะดูตัวใหญ่ตัวโตขึ้นทุกที แต่ความสนิทสนมไม่เคยลดคลายลงเลย
เรียนจบแล้วเขาก็ยังไม่ยอมกลับเข้าบ้าน ถามเหตุผลก็ไม่ยอมตอบ นอกจาก
“เบื่อบ้านที่มีคนมากๆ”
“พูดอย่างนี้แปลว่าเบื่อต้าด้วยละซิ” เธอหาเรื่องทุกโอกาสที่ทำได้ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ไม่ใช่ขุ่นเคือง แต่เขามักถูกรบกวนด้วยเรื่องที่นานๆ จึงจะเผลอหลุดออกมาสักที
“รำคาญแม่หวี” คำพูดนั้นไม่ใช่แปลกใหม่เลย
“อีกละ…! รำคาญทำไม อาหวี ใจดีจะตาย”
“เฮ่อ…..”
“ทุกวันนี้ก็มีแต่อาหวีคนเดียวที่คอยดูแลคุณย่า คนอื่นๆ ล้วนแต่มีเหตุผลดีๆ กันทั้งนั้นที่จะทิ้งไป แม้แต่หลานชายสุดสวาทขาดใจก็หนีไปอยู่ที่อื่น”
“แล้วต้ามัวทำอะไรอยู่ล่ะ”
“ชั้นไม่ใช่หลานรัก” เธอเถียง
ถึงไม่ใช่หลานรักแต่ศรุตาก็รักคุณย่า ขณะที่แม่ของเธอมักจะเก็บตัวอยู่ห่างๆ โดยที่คุณย่าก็ไม่ได้เรียกหาทำให้ไม่สนิทสนมกัน พลอยให้ศรุตา แม้จะใกล้ชิดคุณย่า แต่ก็เป็นหลานรักแซงหน้าคุณหนูปราย ไม่ได้สักที
“เหตุผลฟังไม่ขึ้น” ฝ่ายนั้นว่า
ศรุตาไม่ยอมแพ้ “ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่มีเหตุผลอะไร แต่ว่าหนีไปอยู่คอนโดฯ หน้าตาเฉย จะได้วิ่งตามสาวๆ ได้ตามสบายไม่ใช่หรือ”
“ถ้าจะวิ่งตามสาวๆ อยู่ที่ไหนก็วิ่งได้”
“ถ้ามาวิ่งให้เห็นที่นี่ อาหวีไม่ตีก้นลายก็ให้รู้ไป”
“ใครจะกล้ามาตี” สีหน้าเขาบูดบึ้งทันที
ในสายตาของศรุตา สมฉวีช่างอ่อนหวานใจดี แม้บางครั้งจะแปลกๆ บ้างแต่ก็ไม่เคยทำให้เธอเกิดความรู้สึกในทางลบ แม่เธอเสียอีกที่อารมณ์ปรวนแปรบ่อยๆ จนบางครั้งลูกๆ ต้องหลบหน้า
ตั้งแต่เล็กๆ จนโตด้วยกันมา ปรายเปรม ปลีกหนีแม่เลี้ยงทั้งยังเผลอแสดงความไม่พอใจออกมาบ่อยครั้งทำให้ศรุตาแปลกใจ ‘เด็กผู้ชายก็มักจะดื้ออย่างนี้ ยิ่งคุณย่าเอาใจให้ท้ายยิ่งไปกันใหญ่’ ใครๆ มักพูดกันเช่นนั้น
เขาเป็นหลานรัก แต่คุณสมฉวีผู้เป็นแม่เลี้ยงเพียงเป็นคล้ายบริวารผู้อาศัยพักพิงคนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อสามีทิ้งไปบวชพระไม่ยอมสึกและเธอไม่มีที่อื่นจะไป เธอก็ได้แต่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
ในวันนี้ “คุณหนูปราย” มายืนลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตูห้องของแม่เธอ ศรุตาหันมาเห็นจึงเดินออกมาหา
“เฮ้ มานานรึยัง” เธอผลักไหล่เขา
ไหล่ของ “คู่หู” สูงหนาล่ำสัน กล้ามเนื้อภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนสั้นแน่นแข็งขึ้นทุกทีเช่นเดียวกับความสูงของเขาที่นับวันก็หนีห่างเธอ
เมื่อก่อนเธอเคยเขย่งปลายเท้าขึ้นเพื่อให้เทียบเทียมเมื่อระดับไหล่ของฝ่ายชายเริ่มหนีห่าง หากแล้วก็เลิกล้มความพยายาม กีฬางัดข้อที่โปรดปรานกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในเมื่อเธอไม่อาจเอาชนะได้อีกต่อไป
แข่งกำลังไม่ได้ แข่งปัญญาดีกว่า
เธอคิดหาเกมส์อื่นขึ้นมาเล่น ผลปรากฏว่าพอสูสี
วันนี้เขายิ้มแจ่มใส “หลวงพ่อบอกว่าจะมาหาคุณย่า เลยนัดมาพบกันที่นี่ ดีที่ไม่ต้องไปที่วัด ขี้เกียจนั่งพับเพียบดมกลิ่นขี้แมว”
คนชอบเอาหมาแมวไปทิ้งให้พระเลี้ยง พระและฆราวาสผู้แสวงหาแสงสว่างแห่งพระธรรมจึงต้องทนนั่งเจริญสมาธิท่ามกลางกลิ่นขี้แมว และเมื่อเดินในบริเวณวัดก็ต้องหลบหลีกกองขี้หมาเป็นพัลวัน
“คนไม่รู้จักอดทน นิดก็บ่นหน่อยก็บ่น ทีเวลาอยู่กับสาวๆ ลำบากแค่ไหนก็ทนได้”
“ต้นกระแนะกระแหนยังงอกงามดีนะ”
“เก็บดอกผลไว้ให้คุณหนูปราย…..”
แม่ตามออกมาดู ชายหนุ่มยกมือไหว้
“อ้าวปราย….. มาหาคุณย่าหรือ…..”
สายตาของชายหนุ่มบอกความห่วงใย “ครับ ป้านิตย์” เขาเรียกแม่ของศรุตาว่าป้า ตามลำดับญาติ แม้ในความเป็นจริงคุณนงนิตย์อายุน้อยกว่าทั้งแม่ของเขาที่ตายจากไป และ คุณสมฉวี ที่เป็นแม่เลี้ยง
“คุณย่ากำลังหลับกระมัง หมู่นี้เห็นบ่นว่ายิ่งเพลียลงกว่าเดิม”
เมื่อเดินมาด้วยกัน ชายหนุ่มกระซิบบอกเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ป้านิตย์ผอมลงเรื่อยๆ จนเนื้อตัวแทบไม่เหลืออะไรแล้วนะ”
“ฮื่อ ไม่รู้จะทำยังไงดี แม่เบื่ออาหาร เอาแต่นั่งซึมนอนซึม”
“พาไปเที่ยวบ้างดีไหม ไปชายทะเล ขึ้นภูเขา หรือว่าจะไปเมืองนอกก็ยังได้นะ”
“ลุงเปี่ยมก็ว่าจะพาไป แต่รอให้คุณย่าแข็งแรงอีกนิดหนึ่งก่อน”
“ไม่เห็นต้องรออะไรเลย ปรายพาไปเองก็ได้”
“จริงหรือ คุณหนูปรายจะพาคุณนายนงนิตย์ไปเมืองนอก” เธอหัวเราะกิ๊กๆ
“ขำอะไร นึกว่าผมไม่มีปัญญาหรือ” พอเป็นหนุ่ม คำว่า “ผม” ก็ชักติดปาก
“ผมมีปัญญา แต่ว่าไม่มีกะตังค์”
“เหอะ เดี๋ยวจะเอามากองให้ดูตรงหน้า”
“ไปเอามาจากไหนเป็นกองๆ”
“คุณย่าให้…..”
เสียงห้าวที่ตอบ ประสานกับเสียงเล็กๆ ดักคอล้อเลียน เป็นผลให้ชายหนุ่มหน้ามุ่ย “แล้วสองปีมานี้ปรายเรียนหนังสือไปก็ทำงานไปด้วย ตอนนี้มีเก็บหลายแล้ว”
“โห งกมาแต่เล็ก ยังไม่หายอีกนะ”
“เค้าเรียกว่ารู้ค่าของเงิน รู้จักเก็บหอมรอมริบต่างหาก”
“ระวังเถอะ เก็บๆ ไปจะโดนริบ….. ว่าแต่ ตั้งหน้าตั้งตาเก็บตังค์นี่จะเอาไว้ทำอะไรหรือคุณหนูปราย”
“จะเอาไว้…..” เขาทำประกายตาระริก “ขอหมั้นสาว”
“หมั้นใครฮึ”
อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นจนเห็นฟันขาวเรียบ ประกายตาวาววามมีนัยทำให้ศรุตากำมือกระแทกไหล่หนาโดยแรง นึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดซ้ำๆ มาแต่เล็ก ตั้งแต่..… ‘พอโตแล้วมาแต่งงานกันนะ’ มาจนถึง….. ‘พอเรียนจบแล้วแต่งงานกันเลยนะ’
“ไม่มีทางหรอก อย่าหวังเลย…!”
คุณย่าลุกขึ้นนั่งบนที่นอน ลูบหลังลูบไหล่พ่อหลานชายคนโปรดที่นั่งคุกเข่าชิดเตียง ยืดลำตัวยาวๆ เข้าไปกอดรัดเอวบางๆ ไว้อย่างเอาใจ แม่สาวคนดูแลหัวเราะท่าทางประจบเก้ๆ กังๆ ของชายหนุ่ม ดีใจที่เขามาเพราะหมายความว่าคุณย่าจะอารมณ์ดี ไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียอย่างเคย
คุณย่ายิ้มซูบเซียว “หมู่นี้ทำไมรู้จักกอดย่า หรือรู้ว่าจะอยู่ด้วยกันอีกไม่นาน”
“แหม ปรายไม่ได้อยู่กับคุณย่าก็ต้องคิดถึงมากเป็นธรรมดาซิครับ”
“ตอนนี้คุณปรายรู้จักกอดสาวแล้ว ก็เลยมากอดคุณย่าไงคะ”
ชายหนุ่มค้อนวาบ
คุณย่าหัวเราะ “อ้อ สงสัยจะจริงของต้า มาทีไรก็เป็นหนุ่มรูปหล่อขึ้นกว่าเดิม ถ้ายังไม่รู้จักกอดสาวก็เห็นจะมีปัญหาละ… มีแฟนหรือยังฮึลูก”
สีหน้าเขาขัดเขิน “ยังครับ”
“สงสัยว่าแฟนคุณปรายจะยังไม่เกิดค่ะ คุณย่า”
“เราก็ดีแต่ยั่วพี่เขา แล้วแฟนเราล่ะ เกิดหรือยัง”
ฝ่ายนั้นทำท่าตัวงอหัวเราะไม่มีเสียง ศรุตา ค้อนบ้าง
“เราทั้งคู่อายุไม่ใช่น้อยแล้วนะ สมัยย่าเป็นสาวถ้าอายุแค่นี้ยังไม่ได้แต่งงานถือว่าน่าเป็นห่วงแล้ว รักชอบใครก็อย่ารีรอเลย ย่ากลัวว่าจะไม่ได้อุ้มเหลน”
“คุณย่าก็.... ได้อุ้มซิครับ ดีละ งั้นปรายจะเชื่อคุณย่าแต่งงานมีลูกเร็วๆ”
“โอ ใครหนอต้องรับกรรม”
ข้อศอกอีกฝ่ายวูบผ่านคางไปอย่างเฉี่ยวฉิว คนหลบ หัวเราะคิกคัก
เสียงพูดคุยหัวเราะหัวใคร่ดังแว่วจนคุณสมฉวีต้องโผล่เข้ามาดู “อ้าว ปราย”
ชายหนุ่มหันมาไหว้ สีหน้าระรื่นกลับเคร่งขรึมลง
“ปรายก็รู้ข่าวคุณลุงฉัตรเหมือนกันหรือ”
เขางุนงง “ข่าวอะไรครับ”
คุณสมฉวีเดินเข้ามาคุกเข่าข้างเตียงคนละด้าน “คุณลุงฉัตรกลับมาจากเมืองนอกแล้ว เห็นว่าจะพาน้องสาลี่มากราบคุณย่า”
“ผมไม่ทราบหรอกครับ” สุ้มเสียงที่พูดด้วย คล้ายมีกำแพงความแบ่งแยกที่มองไม่เห็นกางกั้น ไม่ใกล้แม้เมื่อเขาพูดกับแม่ของศรุตาซึ่งเข้ามาสู่ครอบครัวทีหลังแท้ๆ “ผมมาเพราะว่าหลวงพ่อบอกว่าจะมา”
“เอ๊ะ หลวงพี่จะมาหรือ” เสียงถามแปลกใจ
คุณย่าหันมามอง “อ้าว เธอไม่รู้หรอกหรือแม่หวี”
สีหน้าเธอเจื่อนจางลง “เอ้อ… หวีลืมไปค่ะ คุณแม่ คือมัวแต่ตื่นเต้นที่คุณฉัตรจะพาหลานมา ข้าวของก็ยังจัดเตรียมไม่ครบเลยค่ะ”
“จะต้องจัดเตรียมอะไรกันนักหนา”
“คุณเปี่ยมบอกให้ทำของว่างและอาหารไว้ต้อนรับค่ะ”
สีหน้าของคุณย่าขุ่นมัว ความน้อยใจและขุ่นเคืองทำให้เธอสร้างกำแพงกีดกั้นลูกเลี้ยงซึ่งเป็นลูกติดของสามีคนที่สอง ยิ่งเขาอ้างความเป็น “พี่ชายที่แท้จริง” ครอบงำลูกสาวเธอ ความรู้สึกบาดหมางก็ยิ่งเพิ่มพูน
“ไม่เห็นจะต้องเตรียมอะไร..!”
“คุณเปี่ยมตั้งใจจะต้อนรับอย่างดีค่ะ บอกว่าพี่น้องกัน ไหนๆ ก็ไม่ได้พบกันมาตั้งนานแล้ว” คุณสมฉวีพูดเสียงหวานแต่ประกายตา กลับเข้มจัดอย่างที่ปรายเปรมไม่เคยชอบเลย
“ตามใจ แล้วแต่จะจัดการกันก็แล้วกัน แต่ว่าไม่ใช่เป็นฉันนะ ที่ต้องการแบบนั้น”
คล้ายมีรอยยิ้มพอใจผุดขึ้นในใบหน้าสวยคมเข้มที่พอยามเผลอก็ปรากฏเงาดุดันของสาวสวยสูงวัย หนุ่มสาวที่นั่งคนละฟากเตียงไม่ทันสังเกตเพราะว่ามัวแต่หน้าเจื่อนสบตากันเอง คุณลุงฉัตรจะพาลูกสาวของอาก้อยมา ศรุตาและปรายเปรม ต่างก็ตื่นเต้นยินดี คิดว่าเป็นข่าวดีสำหรับคุณย่าที่กำลังเจ็บป่วย ไม่คิดว่าจะทำให้ท่านเครียดขึ้งกระทบกระเทือนใจ
ห้องนอนใหญ่ประตูหน้าต่างกระจกหนาติดเครื่องปรับอากาศทำให้ไม่ได้ยินเสียงรถที่พาพระภิกษุสูงวัยมาถึง สาวใช้ต้องขึ้นมารายงาน ท่าที “คุณปราย” กระตือรือร้น ขณะที่คุณสมฉวี สีหน้าเจื่อนจางลง
“พอดีหวีจะต้องออกไปซื้อของเพิ่มเติมด้วย คุณแม่ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ้าว จะออกไปไหน นานๆ พระจะมาสักที”
เธอรีบปั้นยิ้ม “หวีจะนิมนต์ขอพรหลวงพี่ที่ห้องรับแขกแล้วถึงจะไปค่ะ”
“ตามใจ… ฉันไม่เอาอะไรหรอก มีทุกอย่างมากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ…..” น้ำเสียงตอนท้ายเหนื่อยหน่ายปลดปลง
คนที่เคยเป็นภรรยา ไม่ได้ใช้เวลาในการ “นิมนต์ขอพรหลวงพี่” นานนัก เพราะเพียงชั่วครู่ สาวใช้ก็ขึ้นมาตาม “คุณปราย” ซึ่งถ่วงเวลาจัดอาสนะอยู่ในห้องนอนของคุณย่าเพื่อหลีกเลี่ยงฉากสนทนาระหว่างบิดาและมารดาเลี้ยง
ร่างสูงค้อมตัวผ่านคุณย่าออกไปจากห้องเพื่อนิมนต์พระหลวงพ่อ อีกครู่หนึ่งต่อมา เงาสีเหลืองแก่ของจีวรพระสงฆ์ก็ทำให้ห้องสว่างไสว
สีหน้าของคุณย่าไม่ได้แสดงความดีอกดีใจนักหนา ยกมือไหว้ กล่าวนิมนต์ให้นั่ง ทุกวันนี้คุณย่ารักไว้ใจและยึดถือคุณเปี่ยมอยู่เพียงคนเดียว แล้วยังเคยโกรธที่คุณเปรมหนีไปบวชทิ้งครอบครัวไว้ให้ท่านดูแล เมื่อก่อนท่านพูดเสมอว่า ...ผู้ชายถ้าไม่รับผิดชอบครอบครัวของตัวเองแล้วจะถือว่าเป็นคนดีได้ยังไง... แต่ศรุตาไม่เคยรู้สึกในทางลบกับหลวงอาคนนี้เลย เธอก้มกราบ ฟังท่านสนทนากับคุณย่าได้นานๆ ไม่เคยเบื่อ
สูงขึ้นไปบนผนังด้านหนึ่ง ภาพวาดนางฟ้าสวยสคราญในกรอบไม้เก่าๆ ประดับอยู่ที่นั่นนานแล้ว ใบหน้างดงามสมกับจะเป็นนางสวรรค์แย้มยิ้มเหมือนอำนวยอวยพรให้ เรือนร่างครึ่งกายในเครื่องทรงสีทอง ดูสมส่วนเย้ายวนตามจินตนาการของนายช่าง ภาพนี้เป็นสมบัติเก่าแก่ของคุณย่า เมื่อเธอยังเล็ก ท่านเคยเล่าตำนานนิทานสนุกๆ เกี่ยวกับนางฟ้าให้เธอฟัง เมื่อไม่นานมานี้เอง ศรุตาที่ชอบมองภาพนี้นานๆ ต่อเก้าอี้ขึ้นไปเช็ดคราบหมองที่กรอบภาพให้
ในขณะนี้เมื่อนั่งเพลินๆ ฟังคุณย่าและหลวงลุงเปรมสนทนากันโดยมี “คุณหนูปราย” อยู่ตรงกลางวง ศรุตามองเรื่อยเปื่อยแล้วก็สะดุดหยุดมองภาพที่ว่า
ภาพขององค์อัปสรา
คงจะเป็นแสงแดดจ้าของเวลาบ่ายจัดที่ส่องผ่านหน้าต่างทำมุมมาอย่างพอดิบพอดี เธอคล้ายเห็นองค์อัปสราเคลื่อนไหวได้……..!