พอกลับถึงโรงแรมไม่นาน ทุกคนก็ร่ำลากันแยกย้ายเข้าห้อง เพราะปรายเปรมย้ายไปพักห้องมรุต ศรุตาจึงย้ายจากห้องที่แต่แรกพักกับจรัสไขมาอยู่กับรุ่งแสง เตียงใหญ่ที่มีรอยยับทำให้เธอยืนท้าวเอวมองหน้าคว่ำ
ญาติสาวไม่วายแกล้งยั่ว “ต้ามานอนข้างนี้ก็แล้วกัน รุ่งชินกับกลิ่นคุณปรายแล้วจะนอนด้านนั้นเอง”
“กลิ่นตาปรายคงแรงมากซิท่า” เธอออกอาการหงุดหงิด
“เอ้า หอมนะ ไม่เชื่อลองดมดูสิ”
เธอหน้ามุ่ยเดินเข้าห้องน้ำไม่พูดไม่จา เพราะมัวแต่สระผมเผ้าซักชุดชั้นในเลยไม่รู้ว่าคู่กรณีมาเคาะประตูเรียก พอรุ่งแสงมองจาก รูแก้วเห็นว่าเป็นใคร ก็กุลีกุจอเปิดประตูให้
“ต้าล่ะฮะ”
“ก็อยู่ในนี้แหละ เข้ามาก่อนซิ คุณปราย”
ชายหนุ่มลังเลเมื่อไม่เห็นคนที่ถูกถามหาแต่ก็ตามเข้ามาโดยดี
“ต้าเข้าห้องน้ำ ประเดี๋ยวก็คงเสร็จ คุณปรายจะเอาอะไรไหม กาแฟก็มีนะ รุ่งจะชงให้”
เขานั่งลงคุยกับญาติสาวพลางรอศรุตา ผู้ซึ่งพอได้ยินเสียงพูดคุยกันก็หน้าบูดกับเงาในกระจกของตัวเอง
“ตาบ้าปราย ถ้าใจอยู่ที่นี่แล้วฝืนย้ายไปอยู่ห้องพี่มรุตทำไม”
เธอนึกโมโหตัวเองที่เกรงใจจรัสไขซึ่งพูดเปรยเหมือนเรียกร้องขอความเป็นส่วนตัว “ต้าน่าจะไปนอนเป็นเพื่อนรุ่งนะ จะได้คุยกันสนุก พี่มันคนละรุ่นคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก” แล้วเธอก็เออออย้ายออกมาเพื่อที่จะมาพบว่าตัวเองมาขวางกั้นใครบางคนไว้
เสื้อกางเกงชุดนอนสีอ่อนตัวโคร่งแบบที่อัสนีย์เคยเย้าว่า “เห็นแล้วหมดอารมณ์” ทำให้เธอเป็นศรุตาคนเดิมที่เคยแต่งชุดนี้เดินไปทั่วบ้านเพราะมันไม่ได้ล่อแหลมเย้ายวนสายตาใครเลย ยิ่งในเวลานี้ที่มีผ้าเช็ดตัวโพกหัวแทบจะปิดใบหน้าบอกบุญไม่รับทำให้เธอยิ่งเป็นอะไรที่น่าชังเป็นที่สุด
รุ่งแสงนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม ขณะที่เขามองตามร่างในชุดนอนตัวโคร่งที่เดินผ่านไปมา หาโอกาสจะพูดกับคนอารมณ์บูด
“ต้า… เรื่องพรุ่งนี้…..” ชายหนุ่มพูดเมื่อเธอเอาแต่ทำปากยื่นไม่ยอมทักทาย “ต้ารออยู่ที่นี่เถอะนะ อย่าไปเลย มันอันตราย แล้วที่นั่งในรถก็ไม่พอด้วย”
“งั้นคุณปรายก็อยู่ซิ” เสียงเธอออกจะเข้ม
“ผมไปคงช่วยได้มากกว่าต้าไปนะ”
เธอไม่ตอบคำ
“คนแถวนั้นเป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านเราจะได้คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมา กว่าจะพูดกันรู้เรื่องก็แสนจะยาก”
“ต้ารู้น่า ว่ามันไม่ได้สะดวกสบาย” เธอจัดเก็บเสื้อผ้าที่ถือออกมาจากห้องน้ำเข้าตู้ ไม่เสียเวลาหน้ากระจกเสียด้วยซ้ำ ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้เหมือนจะตัดบท
ปรายเปรมมองอย่างอ่อนใจ เสียงรุ่งแสงพูดเจือหัวเราะ
“ต้าเค้าจะไปกับพี่มรุตไม่ยอมฟังใครหรอก”
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นมายืนท้าวเอวมอง เสียงชักจะเข้มขึ้นบ้างเหมือนกัน “จะไปกับพี่มรุตที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่ที่จะไปกันนี่ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น มันทั้งเปลี่ยวและล้าหลังแล้วยังมีกับระเบิดหลงเหลือ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ป้านิตย์จะเสียใจแค่ไหน”
อีกฝ่ายดึงผ้าขนหนูปิดมิดชิดซุกหน้าหนี ชายหนุ่มอยากจะกระชากร่างบางๆ ให้หันมาแล้วจับเขย่าแรงๆ นัก รู้ดีว่าบทจะดื้อก็ไม่มีใครดื้อได้น่าหมั่นไส้เท่าศรุตา
“ทำไมถึงชอบหาเรื่องนัก” เสียงเขาดุเอาเรื่อง “กลัวว่าจะเดือดร้อนกันไม่พอหรือยังไง”
เธอควานหาหมอนขึ้นมาปิดกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วไม่ว่าชายหนุ่มจะพูดอะไร แขนขาวๆ ที่พาดตรึงหมอนให้ปิดศีรษะก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทำให้เขาต้องยอมแพ้อีกครั้ง……
หญิงสาวตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รุ่งแสงยังนอนหลับสนิท พอได้เวลาที่ห้องอาหารของโรงแรมเปิดบริการ เธอก็ลงมาพบมรุตยืนรออยู่
“เราต้องไปกันแต่เช้า”
เธอหันมองหาร่างใหญ่ที่บอกว่าจะไปด้วย ค้อนลมค้อนแล้งที่พบแต่ความว่างเปล่า ก็เมื่อคืนนี้พอเธอเอาแต่นอนใช้หมอนปิดหน้าหันหลังให้ไม่พูดไม่จา เขาก็ยอมแพ้ล่าถอยออกจากห้อง มีรุ่งแสงตามติด กว่าแม่เจ้าประคุณจะกลับเข้ามาศรุตาก็หลับไปแล้วเลยไม่รู้ว่าคุยกันอยู่ถึงกี่โมงกี่ยาม
มืออุ่นๆ แตะหลังเมื่อพาผ่านพนักงานที่ยืนต้อนรับเข้าไปข้างใน ศรุตามัวแต่นึกอยากฆ่าคนบางคนจนลืมปลื้ม เธอเคยใฝ่ฝันถึงสัมผัสของพระเอกในดวงใจคนนี้นัก ครั้งนี้กลับกลายเป็นไม่รู้สึกรู้สม ทั้งๆ ที่เขาก็แตะต้องตัวเธอด้วยความจงใจ ไม่ใช่เพียงเพราะมารยาท
ชายหนุ่มเลือกโต๊ะนั่งก่อนจะเดินตามกันไปยังที่จัดวางอาหาร
“ทานให้อิ่มนะต้า ถึงคนนำทางจะพูดว่าพอมีอาหารท้องถิ่นขาย แต่พี่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ที่นั่นไม่ใช่พื้นที่การค้าแต่ว่าเป็นหมู่บ้านชาวนาชาวไร่ป่าเขา”
“งั้นต้าจะตุนขนมปังติดไปด้วยก็แล้วกัน” พูดแล้วเธอก็หยิบก้อนขนมปังใส่ในย่าม ไม่สนใจว่าใครจะมองทั้งนั้น
มรุตต้องสะกิดกระซิบกระซาบ “จุ๊ๆ พอแล้วต้า ประเดี๋ยวถูกนินทาหรอกว่าคนไทยกินแล้วห่อด้วย”
“แหม ก็มันจำเป็นนี่คะ”
ใบหน้าใสๆ ที่มีตาคมกลมโต คิ้วเรียวและปลายจมูกแหลมๆ ทำให้คนอื่นๆ ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู ศรุตาหยิบเสบียงไปก็นึกคำนวณไป ว่า อีตาคนตัวใหญ่จะต้องกินขนมปังสักกี่ก้อนจึงจะพออยู่ท้อง
พนักงานเสริฟเข้ามาถามว่า “จะเอาเนยไปด้วยไหมครับ”
เธออดเขินไม่ได้ “ไม่ต้องหรอกค่ะ เอ้อ แบบว่ามันอาจจะละลายเพราะว่า…เอ่อ…..”
มรุตกระแอมเบาๆ ทำให้เธอหยุดพูด “ไม่ต้องอธิบายหรอกต้า” เธอก็เลยได้แต่ทำสีหน้าเขินๆ
พอคนนำทางมาถึงก็ทำท่าจะเร่งให้ออกเดินทางโดยให้เหตุผลว่า “ถนนกันดารแล้วบางตอนยังต้องเดินเท้าเพราะรถเข้าไปไม่ได้ ต้องรีบไปจะได้กลับออกมาก่อนค่ำ”
มรุตหันมองหาปรายเปรม “เห็นปรายตื่นก่อนแล้วออกไปวิ่ง ตอนพี่ลงมาเขายังอยู่ในห้องน้ำ”
“แล้วเขาจะทานข้าวเช้าก่อนไปไหมคะนี่”
ทั้งสองตามคนนำทางออกมายังห้องข้างหน้าเมื่อร่างใหญ่ก้าวออกจากลิฟท์พอดี สีหน้าเขาขรึมเมื่อเห็นว่าศรุตาจะเดินทางด้วยจริงๆ เขาเดินเข้ามารวมกลุ่มพูดกันเรื่องเส้นทางและถูกคนนำทางเร่งรัดให้ออกเดินทางเร็วๆ
“ไปทานอาหารเช้าก่อนเถอะปราย ต้องไปอีกไกลกว่าจะถึง”
เขาเห็นสีหน้าคนนำทางจึงพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ”
ศรุตารีบพูดว่า “ไปทานเถอะน๊า… อย่าทำตัวให้คนอื่นต้องเป็นห่วงหน่อยเลยได้ไหม”
“ใครกันที่ชอบทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วง บอกว่าไม่ให้ไปก็ไม่เชื่อ”
“ไม่ทานก็อย่าทาน อยากหิวก็ตามใจ…!”
“ต้องไปไกลนะ ปราย ตัวใหญ่ๆ เดี๋ยวหิวแย่”
“ไม่เป็นไรครับ พี่มรุต” เขายืนยัน
“งั้นเราไปกันเถอะ ถ้าหิวค่อยหาเอาข้างหน้า” มรุตหันไปพยักหน้ากับคนนำทาง แล้วทั้งหมดก็เดินตามกันไปขึ้นรถ
หนทางเป็นไร่นาและหุบเขากันดารกว่าที่ใครๆ คาดคิด ถนนเล็กๆ ขรุขระคดเคี้ยวโยนตัวผู้โดยสารอยู่ในรถคันเก่าที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ พื้นที่บางจุดปักป้ายล้อมรั้วว่าเป็นเขตอันตรายห้ามเข้า…!
“พื้นที่บางแห่งยังสำรวจไม่ทั่ว ยังมีกับระเบิดหลงเหลือ มีคนโดนระเบิดแขนขาขาดกันอยู่เรื่อย” คำบอกเล่าทำให้คนฟังวิตกไปตามๆ กัน
ร่างใหญ่นั่งคู่กับคนขับรถ พอหันมาก็มักจะถามว่า
“เอาน้ำไหม”
“มีแล้ว” เป็นคำตอบที่เขาไม่เคยใส่ใจเพราะอีกไม่นานก็จะถามคำเดิมอีก
เธอส่งถุงขนมปังให้ “เอามาเผื่อ”
ชายหนุ่มรับไปหยิบขึ้นมากัดกินกับน้ำเปล่า ศรุตาโล่งใจที่คนตัวใหญ่กินจุไม่ปฏิเสธความหวังดีของเธอ แม้สีหน้าจะเคร่งขรึมและพูดคุยกันน้อยกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต เธอไม่รู้ว่าท่าทีปั้นปึ่งของเธอทำให้ชายหนุ่มขัดเคืองใจ ร่างสูงของคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายที่เธอพัวพันใกล้ชิดทำให้เขาขุ่นเคืองมาแต่แรก ในครั้งนี้เธอยังตามมรุตมาลำบากโดยไม่ฟังเสียงใครแม้แต่คนเดียว
ตั้งแต่มีมรุต เขาก็หมดความสำคัญ…!
ทางรถยนต์สิ้นสุดแล้วคนทั้งหมดก็ต้องเดินเท้าต่อผ่านพื้นที่ราบที่แทบจะหาเงาไม้ใหญ่ไม่ได้ พอเหนื่อยมากๆ ศรุตาก็ถามออกมา “ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วยคะ” แล้วก็ได้รับคำตอบเดิมที่เธอรับรู้มาก่อนแล้ว
“คนที่จะมาพบคนนี้อยู่กับคุณพ่อตอนท่านมาถึงวันแรกๆ เขาอาจรู้อะไรบ้าง พอแยกกันเขาก็มาทำธุระที่นี่ ติดต่อก็ไม่ได้ และคงอีกหลายวันกว่าเขาจะกลับเสียมเรียบ”
ร่างที่เดินนำไปข้างหน้าหันมาทำท่าทางจริงจังชี้นิ้วกวาดออกไปข้างทาง “พื้นที่แถบนี้เพิ่งมีคนเหยียบกับระเบิด อย่าเดินออกนอกเส้นทางเป็นอันขาดเชียวนะครับ”
หญิงสาวหน้าเสีย “อัปสราขา อัปสราอยู่กับต้าหรือเปล่า” เธอนึกเรียกหาอยู่เป็นครู่ แล้วร่างงามก็กระจ่างวูบ
“อยู่ซิ แต่ฉันกำลังกำบังกาย ที่นี่มีวิญญาณเร่ร่อนทุกข์ทรมานมากมาย เขาทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ก็เลยจะหันมารังแกฉัน ถ้าไม่จำเป็นฉันจะไม่ออกมา ศรุตาระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”
“แล้วท่านสู้พวกเขาไม่ได้หรือคะ”
“สู้ได้แต่เรื่องมันจะมาก ฉันกลัวเทพอสูรจะหาพบ”
“งั้นท่านรีบกำบังกายเถอะค่ะ ต้าจะเดินตามหลังคนอื่นๆ ยั งไงๆ ก็คงไม่โดนจังๆ หรอกค่ะ”
“เดินตามมรุตกับปรายเปรมก็แล้วกัน สองคนนี้มีเทพคุ้มครองคงจะไม่มีอันตรายร้ายแรง”
ร่างใหญ่ใบหน้าเข้มขรึมที่หันมามองเป็นระยะทำให้เธอนึกขยาดจึงขยับเข้าหามรุตซึ่งหันมามองอย่างห่วงใย
“เหนื่อยไหมต้า”
“ไม่เหนื่อยค่ะ ตอนเรียน ต้าปีนเขาเข้าป่ากับเพื่อนๆ โหดกว่านี้หลายเท่า”
“ทำเป็นคุย” เขาเย้ายิ้มๆ ปาดเหงื่อออกจากปลายจมูกเธอ
หนุ่มร่างใหญ่หันมามองพอดี สีหน้าเคร่งขรึมหันกลับ
คนที่มาพบเป็นชายกลางคนใบหน้ากร้านที่ดูมีฐานะดีเมื่อเทียบกับคนในท้องที่ เขาต้อนรับอาคันตุกะในบ้านไม้เก่าๆ “ลุงผมป่วยเลยต้องมาดูแลแกหน่อย แกตัวคนเดียวไม่มีใครนอกจากเมียพิการ ลูกๆ ก็ตายไปหมดแล้ว”
มรุตถามถึงคุณฉัตรและคุณเปี่ยม
“ผมไม่รู้จักเจ้านายฉัตรมาก่อนหรอกครับ มารู้เพราะคนรู้จักจากกรุงเทพฯ โทรศัพท์มาฝากให้ดูแล ท่านมาตามญาติที่เป็นน้องชายคนละพ่อคนละแม่ชื่อคุณเปี่ยม พวกคุณคงจะเป็นญาติกันทั้งหมดซิ ใช่ไหมครับ…….”
สำเนียงเขาเพี้ยนๆ แต่ก็ฟังรู้เรื่องเล่าเรื่องคุณฉัตร
“ผมพาเจ้านายฉัตรไปหลายที่ พอได้ยินว่าน้องชายไปทางไหนไปพบใครบ้างท่านก็ตามไปถามหา”
“แล้วเขาไปที่ไหนกันบ้างล่ะครับ”
คำบอกเล่าถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด คนนำทางชาวเขมรรับปากจะพามรุตตามไปพบทุกคนที่ถูกเอ่ยถึงให้ครบถ้วน
“ขอโทษที่ผมกลับไปด้วยไม่ได้ ผมต้องดูแลทางนี้จนกว่าอาการลุงแกจะดีขึ้น”
กว่าจะกลับออกมาจากบ้านไร่ก็บ่าย แดดจัดและอากาศร้อนทำให้ศรุตารู้สึกไม่สบาย รถจอดที่ตลาดในชุมชนเพื่อทานอาหารที่เธอต้องฝืนใจกลืนกิน พวกผู้ชายยังพูดกันถึงเรื่องที่จะติดตามหากันต่อไป
มรุตถามว่า “นี่คงจะใช้เวลาอีกหลายวัน ปรายพาพวกผู้หญิงกลับกรุงเทพก่อนได้ไหม”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มลังเลเมื่อมองหน้าเซียวๆ ของญาติสาว “ถ้าเขายอมกลับไปด้วย…”
เธอขยับตัวลุกขึ้น “ต้าอึดอัด จะออกไปเดินเล่นข้างนอกค่ะ”
สภาพแวดล้อมและกลิ่นแปลกๆ ของร้านอาหารทำให้มรุตเห็นใจ ทั้งสีหน้าเธอก็ซีดเซียวเต็มทีจึงพยักหน้า ถึงอย่างไรปรายเปรมก็ยังไม่เห็นด้วย
“ทนหน่อย อีกประเดี๋ยวก็จะไปกันแล้ว”
ศรุตาไม่ฟังอยู่แล้ว
มรุตพูดว่า “อย่าไปไหนไกลนะต้า”
“ค่ะ ต้าจะเดินอยู่หน้าร้านนี่แหละไม่ไปไหนหรอก”
ปรายเปรมมองตามอย่างห่วงใยเมื่อเธอเดินออกจากร้าน หากแล้วคำพูดของคนนำทางที่นั่งตรงหน้าทำให้ต้องหันความสนใจกลับมาฟัง
อากาศโล่งๆ ถึงจะเต็มไปด้วยฝุ่นแต่ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น ถนนเล็กๆ มีบ้านเรือนร้านค้าเป็นกระท่อมทรุดโทรมตั้งอยู่ห่างๆ กัน แม้กระนั้นคนที่อยู่ในบริเวณก็มองเธออย่างสนใจ บางคนเริ่มพยายามจะขายของ บางคนขอเงินหน้าตาเฉย
เพราะถูกห้ามไว้ก่อนว่าอย่าให้เงินใครเธอจึงได้แต่ส่ายหน้า แต่พอเด็กตัวดำๆ ยื่นของออกมาเสนอราคาเธอก็อดดูไม่ได้ แถบผ้าปักลูกปัดสวยๆ ทำให้เธอต้องรับมาดู
“เท่าไหร่จ๊ะ”
คำตอบเป็นภาษาเขมรทำให้เธองุนงง ที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว คนพูดภาษาอังกฤษได้ มีอยู่น้อยมาก
เด็กหญิงร่างจ้อยคนหนึ่งยื่นดอกไม้มาให้
“สวยมาก”
เจ้าตัวเล็กชี้มือชี้ไม้เหมือนจะบอกว่าที่ตรงโน้นมีอีกมาก
“งั้นช่วยพาไปที”
มือขาวๆ ปล่อยให้มือดำๆ ที่มอมแมมจับจูง มิใยที่เด็กอื่นๆ จะถกเถียงคัดค้าน ศรุตาไม่เข้าใจจึงเดินตามแล้วก็เผลอเดินตามไกลออกไปจนถึงดงดอกไม้ ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินเลือกเก็บดอกอ่อนๆ ที่ชูช่อสดสะอ้าน เสียงเรียกเอะอะโวยวายของพวกผู้ใหญ่ ทำให้เธอต้องแปลกใจ
แม่เด็กน้อยตกใจเสียงเอ็ดดุด่า หันมาส่งภาษาด้วยสีหน้าเจื่อนจาง ก่อนจะวิ่งกลับ
แล้วก็มีเสียงระเบิดดังลั่นจนแก้วหูแทบปริแตก ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยลอยละล่อง ศรุตารู้สึกว่าร่างถูกโยนขึ้นแล้วลอยกลับสู่พื้น แต่แล้วอะไรบางอย่างที่อ่อนหยุ่นนุ่มนวลก็รับเธอไว้ไม่ให้กระแทกพื้น
เธอหมดสติไปในทันที….!
เสียงระเบิดทำให้พวกผู้ชายไหวตัวรุดออกมา กลุ่มคนรวมตัวยืนส่งเสียงพูดกันเซ็งแซ่พลางชี้มือชี้ไม้เข้าไปในท้องทุ่ง ปรายเปรมตามมรุตออกมามองหาศรุตาไม่พบก็ใจหายวูบ
“ผู้หญิงกรุงเทพฯ โดนระเบิด…! คำพูดนั้นทำให้เขาเข่าอ่อน
พอจะขยับตัวตามเข้าไปก็ถูกยึดแขนไว้ “เดือนก่อนก็มีคนโดนระเบิด มันยังมีหลงเหลืออยู่อีกหลายลูก” คำบอกเล่าแตกตื่นทำให้มรุตลังเล
แต่ปรายเปรมไม่ฟังเสียง สะบัดแขนหลุดลุยหญ้ารกๆ เข้าไปอย่างเร่งรีบ ไม่มีใครตามมาแม้แต่คนเดียว
เด็กน้อยมีสีหน้าซีดเผือดนอนหายใจระรวย เขาหันมาส่งเสียงเรียก พวกผู้ชายใจกล้าบางคนจึงเริ่มเคลื่อนไหวลุยหญ้าตามมา ชายหนุ่มหันไปหาศรุตา เห็นร่างเล็กๆ นอนนิ่ง สีหน้าเผือดซีด
ชายหนุ่มแทบลืมหายใจเมื่อนั่งลงข้างๆ พลิกใบหน้าเธอพลางส่งเสียงเรียกอย่างร้อนรน โล่งใจที่ไม่เห็นบาดแผลนอกจากรอยข่วนตื้นๆ “ต้า…” เขาร้องเรียกซ้ำๆ เปิดเปลือกตาเธอขึ้นดูแล้วสำรวจไปทั่ว นอกจากไม่รู้สึกตัว ทุกอย่างก็ดูเป็นปรกติดี
แขนแข็งแรงโอบอุ้มร่างอ่อนๆ ขึ้นมาแนบอก ลูบหน้าเธอพลางเรียกอย่างร้อนรน
“ตื่นซิต้า เป็นอะไรไปหรือเปล่า ต้าของปราย ตื่นขึ้นมาพูดกับปรายหน่อยเถอะนะ”
ในที่สุดเขาก็อุ้มเธอออกมายังถนน แต่ละย่างก้าวมั่นคง ให้มันรู้ไปว่ายังมีกับระเบิดหลงเหลือ เขานึกสาปแช่งคนที่ทำให้เจ้าอาวุธร้ายเหล่านั้นถูกนำมาใช้เพื่อทำร้ายผู้คน……
ศรุตา ฝันประหลาด ท่ามกลางสายฟ้าแปลบปลาบ เธอเห็นองค์เทพงามสง่ายืนอยู่ตรงหน้ายื่นมือออกมาหา ใบหน้าคมงดงาม ดวงตาเป็นประกายกล้าทว่าเปี่ยมด้วยความเมตตาและความรักห่วงใย
เทพองค์ใดกันนี่……
ฟ้าแลบแปลบปลาบรุนแรงขึ้นทุกที เธอได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไกล เป็นเสียงหัวเราะดุดันที่น่าสะพรึงกลัว
เสียงองค์อัปสราดังแว่ว
“เทพอสูร…! ทรงพบฉันแล้ว…ฉันคงหนีไม่รอดแน่ๆ”
เธอหลับไปอีกนาน พอลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพที่เห็นทำให้งุนงงเป็นครู่ แล้วศรุตาก็สะดุ้งเมื่อเห็นภาพชัดเจนขึ้น
“ลุงเปี่ยม…..!”