อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 35

คุณฉัตรเสียชีวิต    คุณเปี่ยมเป็นบ้า    ปรายเปรมบาดเจ็บสาหัส   ทุกคนรู้สึกเหมือนโดนมรสุม    แต่คุณย่าที่คล้ายจะรับเรื่องร้ายแรงไม่ไหวกลับสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้นแล้วยังช่วยปลุกปลอบลูกสะใภ้ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์    “นี่คงเป็นเคราะห์กรรมที่หนีไม่พ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด    แม่นิตย์ต้องเข้มแข็งไว้    เธอยังต้องดูแลลูกๆ”

สารัตถ์ยังเด็กและซุกซนเกินกว่าจะรับรู้ลึกถึงเรื่องร้าย    ถึงจะเดือดร้อนบ้างก็ไม่มากเท่าพวกผู้ใหญ่เพราะยังมีแม่และพี่สาวอยู่ข้างๆ    เช่นเดียวกับสาลี่ที่ไม่เศร้าโศกเท่าไรนักกับการเสียชีวิตของลุงผู้เป็นบิดาบุญธรรมตามกฏหมายของเธอ

“ทำไมคุณพ่อถึงเป็นบ้าล่ะครับ”

“คุณพ่อตกใจจนช็อคเสียสติ    แต่อีกหน่อยก็จะหาย”

“คุณพ่อตกใจอะไรครับ”

คำตอบที่ได้รับจากพวกผู้ใหญ่ สะท้อนจากคำบอกเล่าขรึมๆ ของมรุต    “คุณพ่อของตุ้ยเห็นภาพลวงตา    มันน่ากลัวมาก”


มรุตไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เขาได้ยินจากปากคุณเปรมยามตกใจสุดขีด เพราะไม่อยากสร้างความบาดหมางให้ยิ่งรุนแรง    พี่ฉัตร…   ผมสำนึกผิดแล้ว    อโหสิให้ผม    อย่าทำอะไรผมเลย...    ใครได้ยินอย่างนั้นก็ย่อมจะนึกคาดเดาไปต่างๆ    และก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลยนอกจากจะต่อเรื่องต่อราวให้ยิ่งยุ่งเหยิง

คุณนงนิตย์ที่มีลูกสาวคอยประคับประคองให้กำลังใจ ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ ยิ่งเห็นอาการของคุณสมฉวีที่คล้ายจะเสียสติตามคุณเปี่ยมไปด้วยอีกคน เธอก็ยิ่งทำใจได้ เขาสองคนย่ำยีน้ำใจเธอ เธอรู้แต่ทำอะไรไม่ได้ ร่างกายที่เจ็บป่วยอ่อนแอทำให้เธอนึกตำหนิชิงชังตัวเองที่ไม่อาจเป็นภรรยาที่ดี และหากไม่มีคุณเปี่ยม เธอกับลูกๆ คงไม่อาจมีชีวิตที่สุขสบายเช่นที่เป็นอยู่ เพราะอย่างนั้นเธอจึงต้องกล้ำกลืนความตรอมตรมตลอดมา

คุณสมฉวีคล้ายจะเป็นจะตายเสียให้ได้ คร่ำครวญเป็นห่วงเป็นใยคุณเปี่ยมยิ่งกว่าคุณประไพที่เสียสามีไปทั้งคน อัสนีย์ที่ถูกเรียกมาอยู่ข้างๆ คุณสมฉวี ไม่กล้ามองหน้ามองตาใครตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศรุตา เวลาเธอพูดด้วยเขาก็หลบหูหลบตา ตอบโต้ไม่เต็มเสียง

ศรุตาไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร…..

ต่อมาปรายเปรมกลับถูกกันไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม หรืออาการเขาจะสาหัสกว่าที่ใครๆ นึกถึง หลวงพ่อเปรมที่มาโปรดคนที่บ้านรับรู้เรื่องราวต่างๆ ตามไปโรงพยาบาลแล้วนั่งหลับตาที่หน้าห้องผู้ป่วยวิกฤตเป็นนาน รุ่งแสงหน้าช้ำเฝ้าตัดพ้อต่อว่าศรุตาซ้ำๆ

“เขาไม่น่าตามเธอไปเลย ทำไมเธอถึงชอบทำให้เขาเดือดร้อนเสมอ”

หญิงสาวปาดน้ำตา ยอมรับคำกล่าวหาโดยไม่โต้เถียง

คุณย่าตามมาโรงพยาบาลด้วย ปรามหลานสาวนอกไส้ที่ท่านรักเอ็นดูเพราะเห็นมาแต่เล็ก “จะโทษว่ากันทำไม ยังไงๆ มันก็เกิดขึ้นแล้ว ต้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้น”

“คุณย่าเข้าข้างต้าตลอดเวลา ถึงได้เป็นอย่างนี้” เธอพัดพ้อ

คุณย่าไม่ถือสา “พวกเราต้องรักกันไว้ซิ มีอะไรก็ต้องเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือกัน เราญาติพี่น้องเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกันไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน”

เสียงหัวเราะหายไปจากบ้าน ศรุตาต้องคอยดูแลแม่และคุณย่า ได้แต่ส่งความห่วงใยคิดถึงให้เพื่อนรักที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หากไปเยี่ยมก็ดีแต่จะถูกรุ่งแสงที่คอยเฝ้าไม่ห่างตัดพ้อต่อว่าให้เธอรู้สึกว่าเป็นความผิดของเธอคนเดียว

ดอกไม้หน้าภาพวาดองค์อัปสราที่คุณย่ายกให้เธอ สดกระจ่างส่งกลิ่นหอมแปลกชวนให้สูดดม นี่ไม่ใช่ภาพวาดอัปสราของเธอ แต่ศรุตาที่เศร้าสลดหดหู่เงียบเหงาก็ยืนมองภาพนั้นทุกครั้งที่นึกถึง อัปสราของเธอกลับที่อยู่ ณ สรวงสวรรค์ ท่านคงกำลังคร่ำเคร่งปฏิบัติสั่งสมบุญบารมีไม่มีความต้องการเที่ยวเล่นเหมือนก่อน ศรุตาเองก็โตขึ้นกว่าเดิมเป็นคนละคน เธอไม่คิดจะเรียกหา เพราะรู้ว่าจะขัดขวางการบำเพ็ญบุญของท่าน

…ฉันประสาทพรไว้ที่ดอกไม้ในห้องของเธอ อย่าทิ้งจนกว่าดอกจะเหี่ยวกลิ่นจางหาย

…เธอคิดถึงพ่อเธอไม่ใช่หรือ…อยากเห็นเขาไหม…..

ตลอดเวลากว่าสิบห้าปีมานี้ ศรุตายังคิดถึงพ่อผู้บังเกิดเกล้าเสมอ บ่อยครั้งที่เธอซุกตัวอยู่ในห้องเก็บของ เปิดดูอัลบั้มที่มีรูปของพ่อซึ่งแม่เธอยังแอบเก็บไว้ ในภาพเก่าสีซีดจางลงมีผู้ชายตัวสูงใหญ่และเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งคือตัวเธอเอง เธอยังเล็กมากเมื่อพ่อจากไป

หญิงสาวประคองดอกไม้หลับตาตั้งใจขอพบเห็นพ่อชัดๆ สักครั้ง

แล้วเธอก็ได้เห็นจริงๆ ชายวัยหนุ่มใหญ่ร่างงามใจดีปรากฏชัดเจนขึ้นในมโนนึก พ่อจริงๆ แต่ยิ่งงดงามกว่าที่เคยเป็นเมื่อมีชีวิต เธอคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะห้าวๆ ดังแว่ว

“พ่อ… พ่ออยู่ที่ไหนคะ พ่อสบายดีหรือเปล่า”

“พ่อสบายดี…….” เสียงนั้นคล้ายดังอยู่ในความฝัน ความอบอุ่นวาบผ่านมือเหมือนครั้งที่พ่อเคยจับจูงไม่ว่าจะไปที่ไหน…..

น้ำตาเธอซึมไหลผ่านแก้ม พ่อเลื่อนปลายมือปาดเช็ดให้

“พี่ต้า…..” เสียงใสๆ อ่อนโยนทำให้หญิงสาวลืมตา น้องสาลี่กำลังจับมือเธอพลางปาดเช็ดน้ำตาให้ ถามอย่างแปลกใจ “กำลังทำอะไรคะ คุยกับนางฟ้าหรือเปล่า”

หญิงสาวกระพริบตางงๆ พอนึกได้ก็รีบเช็ดน้ำตา

“พี่ไม่ได้คุยกับนางฟ้าหรอกค่ะ ท่านมีธุระคงมาบ่อยๆ ไม่ได้แล้วละค่ะ แต่ว่า… ท่านให้ของขวัญพี่ไว้”

“ของขวัญอะไรคะ”

“ดอกไม้นี้ไงคะ”

“ดอกไม้พี่ต้าซื้อมาเองนี่นา สาลี่เห็นมันอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”

“ค่ะ แต่นางฟ้าบอกว่าถ้าพี่อยากเห็นพ่อ อธิษฐานกับดอกไม้นี้แล้วก็จะได้เห็น พี่กำลังคุยกับพ่อ ท่านบอกว่าท่านสบายดีค่ะ”

“โห จริงหรือคะ” เด็กหญิงตาโตกระตือรือร้น “ถ้าอย่างนั้นน้องสาลีขอดูคุณแม่บ้างได้ไหมคะ”

เธอไม่แน่ใจ “เอ ไม่รู้ซิคะ แต่ว่าลองดูก็ได้”

เด็กหญิงประคองดอกไม้ หลับตาตั้งใจอยู่เป็นครู่ แล้วศรุตาก็เห็นใบหน้าใสๆ เรืองเรื่อขึ้นด้วยความสมหวัง ริมฝีปากคลี่ยิ้ม

เมื่อลืมตา เธอพูดว่า “แม่บอกให้สาลี่เป็นเด็กดี”

“แล้วคุณแม่สบายดีหรือเปล่าคะ”

“แม่สบายดีค่ะ แม่สวยมากด้วย แต่แม่บอกว่าพ่อของสาลี่ต้องไปรับกรรม และอีกหน่อยแม่ไพก็ต้องรับกรรมด้วย”

“พ่อของสาลี่ต้องไปรับกรรม… เอ๊ะ ยังไงกันคะ คุณพ่อของสาลี่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมแม่ไพต้องรับกรรมด้วย”

“สาลี่ไม่รู้ค่ะ”

“งั้นลองอธิษฐานขอเห็นคุณพ่อดูสิคะ”

เด็กหญิงทำตาม กี่ครั้งๆ เธอก็พูดว่า “สาลี่เห็นแต่ลุงฉัตรค่ะ”


มรุตหม่นหมองเคร่งขรึม แม้มีจรัสไขเคียงข้างก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น พิธีศพทำเพียงสามวันก็ทำการเผาแล้วลอยอังคารเรียบร้อย คุณประไพโศกเศร้าแต่ก็ยังคอยเรียกหาเด็กหญิงผู้เป็นบุตรบุญธรรมไม่ยอมให้ห่างตัว ครั้งนี้ดูเธอจะยิ่งดุดันตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม เพราะว่าไม่มีสามีคอยห้ามปราม

“สาลี่ ไปไหนอีกแล้ว บอกให้มาอยู่ข้างๆ ป้า”

เด็กหญิงหน้าเจื่อนตัวลีบ บางครั้งพอลับหลังคุณย่า คุณประไพก็เผลอตีเธอเผียะๆ ต่อหน้าญาติๆ แต่พอนึกได้ก็รีบแก้ตัว

“สาลี่ถือว่ามีแต่คนรักเลยเอาแต่ใจตัว ถ้าไม่มีใครเอาจริงบ้างจะเสียเด็ก ฉันเลยต้องยอมกลายเป็นคนใจร้าย”

คนอื่นๆ ได้แต่มองตาปริบๆ ไม่กล้าสอดแทรก

มรุตดึงเด็กหญิงมานั่งข้างๆ ไม่กล้าปลอบให้แม่บาดใจ

“สาลี่มาอยู่กับพี่ก็ได้”


จรัสไขมองใบหน้าซีดเซียวของชายหนุ่มอย่างเป็นห่วง “พักผ่อนมากๆ นะคะ มรุต เจอเรื่องร้ายๆ แล้วยังต้องทั้งทำงานและจัดการเรื่องต่างๆ จะทำให้ยิ่งเครียดไปใหญ่ เจนนี่กลัวว่าคุณจะไม่สบาย”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ เจนนี่”

ท่าทีเขาไม่เอาอกเอาใจเห็นเธอสำคัญเหมือนเคย จรัสไขขุ่นใจที่เห็นเขาเวียนมองหญิงสาวเยาว์วัยที่คล้ายจะมีอิทธิพลต่อเขาอย่างยิ่งในระยะหลังๆ นี้

ชายหนุ่มมักจะมองศรุตาอย่างครุ่นคิด เมื่อมีโอกาสก็ถามว่า

“ต้ารู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เสียงเธอเศร้า “พี่มรุตคงไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระตอนนี้หรอกค่ะ”

“เล่ามาเถอะ พี่อยากฟังทุกอย่างที่ต้าพูด”

เธอขยับจะเล่า แต่สีหน้าขรึมหม่นหมองทำให้เธอไม่อาจพูดออกมา มันไม่ใช่เรื่องตลกและไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องที่คล้ายไร้สาระในเมื่อทุกคนกำลังตึงเครียดกันอยู่แล้ว

เธอได้แต่ถอนใจ “แล้วต้าจะเล่าทีหลังนะคะ”


เสียงพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมที่ดังติดต่อ น่าจะมีผลต่อคุณประไพไม่มากก็น้อย หลังพิธีศพผ่านพ้น เธอก็ฝันร้ายนอนร้องครวญครางทุรนทุรายกลางดึกจนสาลี่ที่นอนอยู่ข้างๆ ต้องตกใจตื่นลุกขึ้นจ้องมอง มันเป็นอยู่เช่นนั้นหลายคืนติดต่อกัน

เธอบอกศรุตาว่า “สาลี่ไม่อยากนอนกับแม่ไพ สาลี่มานอนกับพี่ต้าได้ไหมคะ”

“ได้ค่ะ แต่แม่ไพจะยอมหรือ”

“ถ้าแม่ไพไม่ยอมให้นอนกับพี่ต้า สาลี่จะไปนอนกับคุณยาย แม่ไพนอนละเมอร้องไห้ทุกคืนเลยค่ะ”

“โถ ก็ท่านเสียลุงฉัตรไปทั้งคนก็ต้องเศร้าโศกเป็นธรรมดาซิคะ ทำไมสาลี่ไม่เป็นเด็กดีปลอบท่านล่ะคะ”

“แม่ไพละเมอร้องไห้เสียงดังพูดกับใครไม่รู้ สาลี่กลัวมาก…”

“แม่ไพละเมอว่ายังไงคะ สาลี่ฟังรู้เรื่องไหม”

“แม่ไพพูดว่า…..” เธอทำเสียงเลียนที่ได้ยินมา “ฉันไม่ได้ตั้งใจ… ฉันไม่ได้ตั้งใจ… เป็นเพราะคุณก่อเรื่องขึ้นเอง… ฉันเกลียดมันทั้งสองคน…….”

หญิงสาวงุนงง “แม่ไพพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือคะ”

“จริงค่ะ สาลี่ได้ยินทุกคืน สาลี่กลัวมาก”


ศรุตาคุยกับมรุตเรื่องที่คุณประไพละเมอร้องไห้ ประสพการณ์มหัศจรรย์ที่เพิ่งผ่านหยกๆ ทำให้ใบหน้าขาวคมสันเคร่งขรึมลง ชายหนุ่มหลับตาถอนใจ ไม่บอกเล่าแม้แต่คำเดียว

…กรรมเวรมีจริงๆ ไม่มีใครหนีพ้นกรรมชั่วที่ทำไว้…..

เขารู้เรื่องราวระหว่างพ่อแม่และอาสาวน้อยซึ่งหลงรักศรัทธาพี่ชายต่างมารดาเป็นอย่างดี..... คุณก้อยรักและไว้ใจคุณฉัตรแต่กลับถูกบังคับข่มเหง แม้เสียใจเศร้าซึมอยากกลับบ้านมาหามารดาที่เคยผิดใจเข้ากันไม่ได้มาก่อน แต่เพราะบาปเคราะห์ที่คุณฉัตรก่อกับเธอทำให้เธอกลับมาไม่ได้

เธอไม่อาจทนสู้หน้า หลอกแม่ว่าใครเป็นพ่อของสาลี่..…!


แล้วปรายเปรมก็ลืมตา ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้ เขาพ้นอันตราย ฟื้นตัวเร็วเกินคาด จึงถูกย้ายออกมายังห้องพักผู้ป่วยทั่วไป พอศรุตารู้ข่าวรีบมาเยี่ยม ก็เห็นชายหนุ่มถูกรายล้อมด้วยผู้คนทำให้เธอไม่อาจเข้าถึงตัวได้นาน รอบตัวเขา ถ้าไม่ใช่ญาติๆ ก็เพื่อนๆ มีสาวๆ ที่ศรุตาไม่เคยพบเห็น เจ้านายและลูกน้องที่ทำงานด้วยกัน รุ่งแสง ทนสมฉวี ที่เอาแต่คร่ำครวญถึงคุณเปี่ยมไม่ไหว จึงอ้างว่าจะมาดูแลปรายเปรมแล้วย้ายกลับบ้านเดิมของตน ทุกวันเธอก็มาเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมไปไหนทำให้เป็นที่เข้าใจกันว่าเธอเป็นคนรักของเขา

ศรุตาเพิ่งรู้ว่ามีคนรักและห่วงใยปรายเปรมมากมาย

ชายหนุ่มเห็นตั้งแต่เธอเปิดประตูเข้ามา สีหน้าเขาเจือยิ้มเมื่อเธอเข้ามายืนข้างเตียง “ไง ต้า” เขาเป็นฝ่ายทักเมื่อเธอลำคอตีบตันพูดไม่ออกได้แต่ยืนน้ำตาซึม

“ยังเจ็บอยู่ไหม คุณปราย”

เขาพูดยิ้มๆ แต่ประกายตาหม่นมัว “เจ็บเสมอละ ถ้าอยู่กับต้า”

“ต้าขอโทษ… จริงๆ นะ ต่อไปจะไม่.....” ลำคอเธอตีบตันด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น

“ไม่เป็นไรหรอก ปรายยินดีรับใช้ต้าเสมอ”

“ต้าเคยมาหาหลายครั้ง แต่ว่าคุณปรายหลับอยู่”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“ต้องเป็นห่วงซิ ก็คุณปรายคอยช่วยต้า...”

“อย่าขี้ตู่ เป็นใครผมก็ช่วยทั้งนั้น”

เธอรู้ว่าถูกกวน ครั้งนี้เธอไม่ตอบโต้ ได้แต่เย้าว่า “มีคนสวยมานั่งเฝ้า คุณปรายก็เลยฝันดีใช่ไหมถึงได้หลับนาน”

“ฝันดีมากจนไม่อยากตื่นเลย” เขาตอบยิ้มๆ

ความกังวลห่วงใยท่วมท้น ทว่าต่อหน้าคนอื่นๆ เธอได้แต่ทักถามเป็นงานเป็นการ เธออยากสัมผัสมือเขาที่เธอเคยจับจูงได้ตามใจ แต่มือขาวๆ เคลือบปลายเล็บสีเขียวสดเจิดจ้าของรุ่งแสงที่คอยจับมือใหญ่ที่แข็งแรงได้รูปสวยของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวหน้าเจื่อน เธอถอยออกมาแล้วได้แต่มองครั้งแล้วครั้งเล่า

ชายหนุ่มเองก็เฝ้ามองเธอผ่านเพื่อนๆ ที่แทรกเข้ามาชวนหัวเราะพูดคุยอยู่ข้างเตียง เห็นเธอปลีกตัวกลับเงียบๆ


คุณย่าดูเหมือนจะแจ่มใสแข็งแรงขึ้นเช่นเดียวกับแม่ของเธอ ทั้งสองกลับกลายมาใกล้ชิดกันและเรียกหาเธอเสมอ คุณย่าถามว่า

“ไปเยี่ยมปรายมาใช่ไหมต้า เขาเป็นยังไงบ้าง”

“แข็งแรงขึ้นแล้วค่ะ มีคนมาเยี่ยมเยอะแยะ มีเพื่อนสาวๆ มาให้กำลังใจมากมาย อีกไม่นานคงลุกขึ้นวิ่งได้เหมือนเดิมละค่ะ”

“ดีจริง นี่แหละนะที่เขาว่าคนดีพระท่านย่อมคุ้มครอง”

พอพูดถึงพระ คุณนงนิตย์ก็เลยถามว่า

“คุณแม่บอกว่าอยากไปหาพระเปรมไม่ใช่หรือคะ”

“ใช่ ฉันแก่แล้วต้องเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมมากๆ จะรบกวนพระเปรมมาที่บ้านบ่อยๆ ก็เกรงใจ…” ท่านหันมาหาศรุตา “พรุ่งนี้ขับรถพาย่ากับแม่ไปวัดหน่อยนะต้า”

“ได้ค่ะ” เธอรับคำเหงาๆ

เธอนึกถึงปรายเปรม ท่าทีเขาเจ็บปวดห่างเหิน เขามีอะไรกับรุ่งแสงขนาดไหน เธอผิดเองที่เอาแต่หลงใหลสนใจมรุตจนมองข้ามชายหนุ่มไป คำพูดและท่าทีของรุ่งแสงในระยะหลังๆ คล้ายคนทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างลึกล้ำถึงขนาดนอนร่วมห้อง

ดอกไม้ที่หน้าภาพวาดโรยราลงทุกวัน กลิ่นหอมค่อยๆ จางหาย ศรุตาที่เศร้าสลดหดหู่ว้าเหว่เงียบเหงาได้แต่ประคองจ้องมอง

…..อัปสราขา ท่านอยู่ที่ไหน…..

หลังจากพร่ำเรียกแล้วอีกฝ่ายเงียบหาย ความรู้สึกใหม่ก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแทนที่

อัปสรา…?

เอ๊ะ นี่เราเป็นอะไร เรียกหาใครกัน…….

เรื่องเล่าไร้สาระทำไมเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังไปได้…!!



จบบทที่ 35