อัปสรา

>> ม.ล. กุลรัตน์ เทวกุล

อัปสรา

บทที่ 3

รถยนต์คันใหญ่สวยหรูที่แล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยสีทองสดใส เลียบถนนที่ตัดโค้งเป็นวงขอบรอบสนามหญ้ากว้างเข้ามา ทำให้ทุกคนตื่นเต้น แม้แต่สาวใช้ก็ชะเง้อคอรอคอย ในวันนี้คุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาซึ่งเป็นญาติห่างๆ มารอต้อนรับด้วย ใครๆ ก็อยากเห็นคุณหนูสาลี่ หลานสาวซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวของคุณย่า

“น้องสาลี่เป็นลูกครึ่งฝรั่งคงน่ารักมากๆ เลย” ศรุตาคาดหวัง

“เฮอะ” สารัตถ์กระแทกเสียง

ศรุตาต้องสำทับว่า “เธอต้องดีกับน้องนะนายตุ้ย แม่บอกว่าอยากให้น้องประทับใจ ไม่ใช่กลับไปฝันร้ายแล้วไม่อยากมาที่นี่อีก”

“ดีซิ ไม่มาอีกจะได้ไม่ยุ่ง”

“ขี้อิจฉาหน้าไม่อาย ตัวเองเป็นผู้ชายแท้ๆ” เธอขยี้ผมอีกฝ่ายทั้งๆ ที่เด็กชายอายุสิบปีตัวสูงใหญ่จะเท่าพี่สาวอยู่แล้ว

ฝ่ายนั้นหลบวูบอย่างไม่ยินยอม “กลับไปฝันร้ายแหละดี”

“ลูกฝรั่งจะตัวอ้วนใหญ่เหมือนคุณตุ้ยหรือเปล่า” สาวๆ รับใช้นึกเป็นห่วง “ถ้าอ้วนละก็แย่เลย”

“แย่ยังไง” เสียงถามหาเรื่องเต็มที่

“ผู้หญิงอ้วนไม่สวยหรอกค่ะ ประเดี๋ยวขายไม่ออก” พูดแล้วก็นึกได้จึงรีบประจบว่า “ไม่เหมือนผู้ชายอ้วนยังพอขายได้…..”

“ใช่ ชั่งกิโลขาย อย่างนายตุ้ยนี่ชั่งขายกิโลละบาทก็รวยแล้ว”

น้องชายกระแทกเธอจนเซแซ่ดๆ ถอยหนี ไม่คิดจะต่อสู้ด้วยมานานแล้ว “ไม่เอานะ นี่ไม่ใช่เวลาเล่นนะ…!”

เจ้าตัวใหญ่กำลังอารมณ์เสียเพราะกลัวว่าจะตกกระป๋องไม่ยอมฟังเสียง เห็นท่าไม่ดีศรุตาจึงวิ่งหนี อีกฝ่ายวิ่งตุบตับตาม พี่น้องวิ่งหนีวิ่งตามกันไปทั่วบ้าน สารัตถ์เป็นที่รักของทุกคน ศรุตาเองก็เป็นที่รักเอ็นดู จึงไม่มีใครถือสา

ที่หน้าตึก ร่างสี่ร่างเปิดประตูก้าวออกมาจากรถ

ผู้ชายร่างสูงที่ต่างวัยกันก้าวออกมาจากประตูรถด้านหน้าคนละด้าน ส่วนผู้หญิงสูงวัยจูงเด็กหญิงตัวเล็กผอมบางลงมาจากประตูด้านหลัง ประกายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามที่มองกวาดรวดเร็วไปทั่วบริเวณ วาววาบขึ้น แต่เพราะกลุ่มเจ้าของบ้านกำลังยืนยิ้มรอต้อนรับ รอยยิ้มจึงถูกแต่งปั้นขึ้นในสีหน้าของผู้มาเยือนอย่างรวดเร็ว

ชายสูงวัยเกาะกุมมืออีกข้างหนึ่งของเด็กหญิงขณะที่ร่างสูงใหญ่ หลังไหล่ตั้งตรงของชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ขับรถเดินตามอยู่ท้ายสุด

“พี่ฉัตร” เสียงคุณเปี่ยมร้องเรียกทักทาย

“เปี่ยม” น้ำเสียงเจือหัวเราะทักตอบ มือใหญ่กระชับมือของคุณเปี่ยมที่ยื่นออกมารอคอย “ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ”

“ครับ พบกันครั้งสุดท้ายคงจะตอนงานศพคุณพ่อ”

“คุณพ่อชิตของผม” น้ำเสียงแย้งเจือหัวเราะ

คุณเปี่ยมซ่อนสีหน้าบาดหมาง น้ำเสียงถกเถียงกันในยามเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นดังแว่ว ‘…พ่อชิตของนาย แต่แม่อัปสรของเรา…’

‘…แม่อัปสรของนายที่ไหน นายก็เป็นแค่ลูกเลี้ยงเหมือนกันนั่นแหละ…’

คุณฉัตรยิ้มแย้มกล่าวทักทายญาติมิตรคนอื่นๆ ที่มารอต้อนรับ ก่อนจะหันมาให้โอกาสคนที่มากับเขา “นี่ประไพ แม่บ้านของผมยังไงล่ะครับ แล้วนี่..มรุตลูกชาย…..”

“โอ้ โตเป็นหนุ่มสูงใหญ่ ถ้าเห็นที่อื่นคงจำไม่ได้แน่ๆ”

ชายหนุ่มยกมือไหว้

“นี่นงนิตย์ภรรยาผมครับ ส่วนคนนี้สมฉวี เป็นภรรยาของพระเปรม”

ผู้ใหญ่ทักทายกันกลมเกลียวเพราะไม่ได้พบกันนานมากกว่าสิบปี เสียงพูดคุยหัวเราะดังแว่ว

“นี่คือสาลี่ ลูกสาวของน้องก้อย…” ถึงคุณฉัตรไม่แนะนำ ทุกคนก็วนเวียนมองแม่หนูเป็นตาเดียวกันอยู่แล้ว ทั้งยังอดฉงนใจไม่ได้ น้องสาลี่เป็นลูกครึ่งฝรั่ง แต่ไม่มีตรงไหนบอกว่ามีเชื้อพ่อเจือปน

เด็กหญิงพนมมือไหว้ด้วยท่าทีขลาดๆ ขี้อายระคนไม่แน่ใจในตัวเอง ไม่เหมือนเด็กที่โตเมืองนอกส่วนมาก

“ถอดแบบแม่มาเต็มๆ ทั้งหน้าตาท่าทาง” เสียงวิจารณ์เจือหัวเราะ

“ใช่ครับ แม่เขาก็ขี้อายแบบนี้…..”

น้ำเสียงคุณฉัตรแสดงความรักผู้พันถึงคนที่ถูกกล่าวถึง ทำให้คุณเปี่ยมหน้าเสีย คุณก้อยเติบโตขึ้นในความดูแลของเขา แต่กลับหนีไปอยู่กับคุณฉัตรโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ

“ขึ้นไปกราบคุณแม่กันดีกว่า ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวถ้าหลับละก็จะต้องรออีกนานเชียวกว่าจะตื่น”

คุณฉัตรพูดว่า “ถ้าท่านจะหลับก็ปล่อยตามสบายเถอะ พวกเรารอกันได้”

“ไปเถอะ ท่านรู้แล้วว่าพี่ฉัตรมา ตอนนี้คงจะรออยู่”

กลุ่มคนตามกันขึ้นบันไดกว้างที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบนหายเข้าห้องคุณย่า ศรุตาตามมาไม่ทันจึงหันไปเอ็ดน้องชาย “เห็นไหม เลยไม่ทันเห็นน้องสาลี่”

“ไม่เห็นก็ดีแล้ว” นายตุ้ยยังอารมณ์บูดไม่หาย

เธอย่องตามขึ้นไปเห็นประตูปิดสนิท ได้ยินเสียงพูดคุยทักถามกันแว่วๆ การจะตามเข้าไปคงไม่เหมาะเพราะที่แท้เธอก็ไม่ได้อยู่ตรงจุดไหนในวงศาคณาญาติ แล้วคนก็คงเต็มห้องคุณย่าไปหมดแล้วจึงกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมที่ห้องข้างล่าง

ร่างอ้วนใหญ่กระแทกนั่งเบียด ศรุตาเคยชินจึงได้แต่ขยับหนี น้องชายขยับตาม สีหน้าหายเง้างอแต่คล้ายเจื่อนจางลง

เธอใจอ่อน “เถอะน่า คุณย่ากำลังไม่สบาย ให้น้องสาลี่มาเป็นขวัญใจอีกคนหนึ่งบางทีคุณย่าอาจจะกลับแข็งแรงขึ้นก็ได้ ยังไงๆ ทุกคนก็ยังรักตุ้ยเหมือนเดิมแหละ”

สีหน้าเขาดีขึ้น แต่ไม่พูดไม่จา เอนกายมาทับพี่สาวไว้อันเป็นท่าทีที่เขามักจะทำในเวลาที่มีเรื่องรบกวนจิตใจ

เงาทึบของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ส่วนบนสุดของบันไดแล้วค่อยๆ เคลื่อนลงมา ศรุตามองเห็นแล้วก็รู้สึกสะดุดใจ

ร่างสูงตรงในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินเข้มกางเกงดำสนิทต้องแสงแดดที่ส่องผ่านเกร็ดกระจกตรงช่องบันไดคล้ายเกิดประกายเจิดจ้าขึ้นตามธรรมชาติ สีเสื้อดูจัดจ้านและผิวกายที่โผล่พ้นตั้งแต่ใบหน้าและช่วงแขนที่ดูแข็งแรงได้รูปสวยงามก็ดูคล้ายเรืองเรื่อเป็นสีขาวจัดยิ่งกว่าขาว ชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงกับเด็กชายตัวอ้วนนั่งจับจ้องมองอยู่ ดวงตาที่ประสานกับตาเธอคล้ายทอประกายกล้าอยู่ข้างใน

ศรุตาบอกตัวเองว่าไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนงดงามเท่านี้มาก่อน

ใครกัน…?

สายตาในใบหน้าเฉยเฉียบทำให้เธออึดอัดยิ่งกว่าถูกร่างของน้องชายเบียดทับอยู่ครึ่งร่าง จนจะขยับตัวก็ทำไม่ได้

ชั่วครู่หนึ่งที่ตาสบตา แล้วร่างนั้นก็เดินผ่านออกไปทางประตูหน้า เธอลุกตามไปแอบมองโดยเจ้าตัวใหญ่ตามติด

“ใครน่ะพี่ต้า”

“ไม่รู้ซิ”

“คนขับรถของคุณลุงฉัตรละมัง” สารัตถ์ออกความเห็นเมื่อร่างสูงนั้นเดินตรงไปที่รถ เปิดประตูเข้าไปค้นหาอะไรบางอย่าง

“คงไม่ใช่หรอก หน้าตาท่าทางไม่น่าจะเป็นคนขับรถเลย”

“หน้าตาท่าทางแบบไหนถึงน่าจะเป็นคนขับรถ”

เธอหันมาค้อนน้องชายเบื่อๆ ก่อนจะหันกลับไป

“เฮ่อ พอเห็นคนหล่อหน่อยก็สนใจเชียวนะ”

“บ้าซิ ใครสนใจใครที่ไหน” ปากเถียงแต่ตาจ้องมองอย่างจรดจ่อ สารัตถ์ถอนใจแรง

“ผู้หญิง…!..”

ชายหนุ่มถืออะไรอย่างหนึ่งกลับเข้ามา ถึงเวลานั้นศรุตาฉุดให้น้องชายหลบออกไป แต่เขาก็ยังทันเห็นเงาหลังวูบวาบ

ใบหน้าสีขาวจัดจุดรอยยิ้มเหยียด ประกายตาเยาะหยัน



“นี่ยังไงครับ ภาพถ่ายของน้องก้อย บังเอิญผมหยิบติดมือมาด้วยเผื่อว่าคุณแม่อยากจะได้ไว้”

คุณฉัตร รับสมุดภาพจากมือลูกชายวางลงตรงหน้า คุณย่านั่งอยู่บนเก้าอี้นวมมีหมอนรองทั้งด้านข้างและข้างหลังแวดล้อมด้วยบรรดาวงศาคณาญาติ แม่หนูสาลี่หน้าใส นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ คุณประไพผู้เป็นป้าสะใภ้ด้วยท่าทีเหมือนถูกบังคับ ดวงตากลมโตแต่สีหน้าไม่แจ่มใส ไม่เหมือนที่ทุกคนคาดเดากันไว้

คุณย่าทำท่าเหมือนไม่สนใจ “วางไว้ตรงนั้นก่อน แล้วฉันจะดูทีหลัง”

คุณเปี่ยมยังคงรักษารอยยิ้มสม่ำเสมอ แม้มองสมุดภาพอย่างไม่พอใจ ส่วนคุณนงนิตย์กลับหวั่นใจว่าภาพของคุณก้อย ลูกสาวคนเดียวที่ตายจากไปจะทำให้คุณย่าสะเทือนใจจนเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ

คุณย่าอดถามไม่ได้ “แม่ก้อยเขาเคยมีชีวิตที่สุขสบายดีใช่ไหม…..”

“ใช่ครับ น้องก้อยแจ่มใสมีความสุขเสมอ”

“แล้วทำไมผัวฝรั่งถึงทิ้งไป” ถามพลางจับตามองน้องสาลี่ แม้จะฝืนทำน้ำเสียงเฉียบเฉยแต่ประกายตาน้ำตาวาววาบ

“เป็นความพอใจของน้องก้อยครับ”

“ดีแล้วที่ลูกไม่มีเชื้อพ่อเลย…..”

“เชื้อทางเราคงแรงมากกระมังครับ-คะ” น้ำเสียงขานรับของคนอื่นๆ เจือหัวเราะ

“ทางนั้นไม่ใช่ฝรั่ง เป็นคนเอเชียที่เกิดในอเมริกาครับ”

“อ้อ…” คุณย่าเผลอจ้องมองหลานสาว สีหน้าอ่อน ประกายน้ำตาวาววาบ ท่านรู้ตัว รีบกลบเกลื่อนถามว่า “ว่าแต่พ่อฉัตรกลับมาคราวนี้จะมาอยู่เลยหรือว่าจะมาชั่วคราวล่ะ”

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ คุณแม่ ตอนนี้ผมกำลังจะขายกิจการร้านรวงทางโน้น ถึงยังไงก็ต้องกลับไปจัดการให้เรียบร้อย”

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงจะเลิก” เสียงคุณเปี่ยมเห็นอกเห็นใจ

“ไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่นั่นยังไงๆ ก็ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน ผมคิดจะย้ายกลับมานานแล้ว …ถ้ามีอะไรพอจะทำได้ที่นี่ก็จะไม่กลับไปอีก…” ประโยคสุดท้ายเหมือนจงใจตอกย้ำให้คุณย่าฟังเป็นพิเศษ

“แล้วทำไมไม่จัดการทางโน้นให้เรียบร้อยก่อนถึงค่อยมาล่ะคะ” คุณสมฉวี อดถามไม่ได้ มีผลให้สายตาทุกคู่หันมามองเธอเป็นตาเดียว

เธอรู้ตัว รีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม “ทิ้งมาอย่างนี้ก็น่าเป็นห่วงแย่ซิคะ”

“พี่ฉัตรคงเป็นห่วงคุณแม่มากกว่า” น้ำเสียงคุณเปี่ยมเจือหัวเราะ

สีหน้าคุณฉัตรบอกว่ารู้เท่าทันความคิดของอีกฝ่าย “ใช่ ผมเป็นห่วงคุณแม่มาก”

คุณย่าไม่รับรู้อาการคุมชั้นคุมเชิงของฝ่ายใด ท่าทีห่วงใยอ้อนน้อมยินยอมของคุณฉัตรและลูกเมียทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น ตั้งแต่เจ็บป่วยท่านก็ค่อยๆ สำนึกถึงความผิดพลาดต่างๆ ต่อครอบครัวแล้วปลดปลงละลายทิฐิ ในบัดนี้กำแพงป้อมชิงชังจึงพลันมลายหายไปเฉยๆ โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

“ดีแล้วที่พ่อฉัตรมา ไม่อย่างนั้นหากมาช้ากว่านี้อาจจะไม่ได้เจอกันแล้วก็ได้”

“แหม ไม่อย่างนั้นหรอกค่ะ…..” คนอื่นๆ รีบพูด

“ความจริงเราคิดจะมากันตั้งนานแล้วละครับ อยู่ทางโน้นถึงงานจะดีมีความสุขสบาย แต่ผมก็นึกถึงคุณแม่เสมอ ในที่สุดถึงตัดสินใจได้ อีกอย่างหนึ่งลูกชายก็เรียนจนได้ปริญญาเอกแล้ว คงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ กลับมาดูแลคุณแม่และทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองดีกว่า”

“คิดดี คิดดี ตัดสินใจได้ดีแล้ว” ญาติๆ สนับสนุน

คุณเปี่ยมยิ้มเครียด

ทิฐิของคุณย่าคลายลงมากแล้วจึงมองครอบครัวของลูกเลี้ยงอย่างพอใจ ทั้งยังวนเวียนมองน้องสาลี่ แต่ใจแข็งไม่พูดถึงมากนัก คุณฉัตรเดาออก พยักหน้ากับหลานสาวซึ่งมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรมของตน

“น้องสาลี่มากราบคุณย่าใกล้ๆ ซิลูก”

เด็กหญิงไม่ยอมขยับเขยื้อน

คุณประไพมองยิ้มๆ จับแขนเล็กๆ เป็นเชิงบังคับ ข้อนิ้วเกร็งจนรอยเนื้อบุ๋มลึกแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อนั้นร่างเล็กๆ ที่บอบบางจึงเคลื่อนเข้าไปชิดคุณย่าด้วยอาการเกร็งเล็กน้อย

มือเหี่ยวย่นบอบบางจับศีรษะกลมๆ ที่มีผมสั้นนุ่มลื่นเป็นมัน ประกายน้ำตาวาบทำให้คุณเปี่ยมและคุณสมฉวีสีหน้าเครียด

“คุณแม่ท่าจะเหนื่อย คงอยากพักผ่อนแล้ว”

คุณเปี่ยมขัดจังหวะ คุณย่าไม่ชอบแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นจึงไม่คัดค้าน

“ดีเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลาคุณแม่ละครับ วันหลังจะมาใหม่”

“อย่าเพิ่งรีบไปซิ ไหนแม่หวีจัดข้าวปลาอาหารคอยเลี้ยงต้อนรับไม่ใช่รึ”

“เอ้อ… ใช่ค่ะ… เตรียมอาหารไว้แยะเลย”

“งั้นทานข้าวก่อนซิพ่อฉัตร ประเดี๋ยวค่อยกลับ”

“ถ้าอย่างนั้นคงอยู่ได้อีกครู่เดียวนะครับ ตอนนี้ที่อยู่ก็ยังไม่ค่อยเรียบร้อยเลยทิ้งมานานไม่ได้”

“อ้าว มีปัญหาอะไรหรือ” น้ำเสียงห่วงใยของคุณย่าทำให้คุณเปี่ยมหันขวับแต่ไม่ยอมเอ่ยปากไถ่ถาม

“ความจริงก่อนจะมา เราได้ที่อยู่แล้ว แต่คนที่ตกลงขายให้เกิดผิดสัญญาเราเลยทำอะไรไม่ถูก นี่ไปเช่าอพาร์ตเม้นท์อยู่ชั่วคราวแต่ว่าโชคร้ายไปเจอเพื่อนบ้านไม่ดี ผมกำลังจะหาที่อยู่ใหม่เพราะว่าเป็นห่วงสาลี่กับแม่บ้านที่ต้องอยู่กันตามลำพังเวลาที่พวกผู้ชายออกไปทำธุระนอกบ้าน กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย”

“ตายจริง…” คุณย่ามองหลานสาวอย่างเป็นห่วง

คุณฉัตรหัวเราะเบาๆ เหมือนทำใจได้ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไปอยู่เมืองนอกเสียนานเพิ่งกลับมาก็เลยมีปัญหาอย่างนี้ อีกหน่อยก็คงลงตัว”

“มีอะไรก็ปรึกษาพ่อเปี่ยมซิ พี่น้องกัน ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน”

“ครับคุณแม่ ผมยินดีช่วยพี่ฉัตรเสมอ…” น้ำเสียงคุณเปี่ยมจริงใจอย่างยิ่ง……

จบบทที่ 3