ครอบครัวของคุณฉัตร ลากลับไปแล้ว แต่คุณย่ายังอิ่มเอมยินดีครุ่นคิดไม่หาย ส่วนคุณเปี่ยมและคุณสมฉวี ก็คล้ายมีเรื่องกระซิบพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดขณะที่แม่ของศรุตาที่เจ็บป่วยอ่อนแอปลีกตัวไปพักอยู่เงียบๆ ในห้อง ศรุตากำลังนั่งคุยกับคุณย่าเมื่อคุณสมฉวีนำถ้วยน้ำซุบซึ่งเป็นอาหารก่อนนอนเข้ามาให้คุณย่าตามที่เคยทำเสมอ
“ต้า ไปได้แล้ว คุณย่าจะทานซุบแล้วจะนอนละ”
“ซุบอีกแล้ว” คุณย่าร้องอย่างเบื่อหน่าย “แค่เห็นแม่ก็อยากจะอ้วกแล้วแม่หวี”
“แต่ว่ามันดีต่อสุขภาพนะคะ คุณแม่” เธอพูดอย่างอ่อนหวาน
หญิงสาวขยับตัวอย่างว่าง่าย “ต้าไปก่อนนะคะ คุณย่า”
“เดี๋ยวซิ ยังคุยกันค้างอยู่เลย อยู่กับย่าก่อน… เออ… แม่หวีช่วยไปตามเปี่ยมมาที แม่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“แต่ซุบนี่…..”
“ประเดี๋ยวค่อยทานก็ได้ ไปเร็วๆ แม่ฉวี เดี๋ยวแม่ง่วงแล้ว จะคุยกันไม่รู้เรื่อง”
คุณสมฉวียังไม่ยอมวางถ้วยซุบ เปิดประตูมองหาเด็กรับใช้ “เอ๊ะ พวกเด็กๆ ไปไหนกันหมด”
“เรานั่นแหละไปตามมา…..”
คุณย่าเผลอสั่งน้ำเสียงเครียด ท่านไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้เท่าไรนัก แต่เพราะอีกฝ่ายคอยเอาใจใส่ดูแล ท่านจึงใจอ่อน แม้กระนั้นก็ไม่วายลืมตัวหงุดหงิดใส่บ่อยๆ
อีกฝ่ายลังเลแล้วทำท่าจะถือถ้วยซุบกลับออกไป
“อ้าว แล้วจะถือถ้วยไปด้วยทำไม วางลงก่อนก็ได้”
เธอหน้าเจื่อนลังเลก่อนจะวางถ้วยลงบนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ห่างแล้วผลุบออกไปอย่างรวดเร็ว ศรุตา อยากให้คุณย่าหายเครียดจึงลุกมาดู
“ซุบฮ้อมหอมค่ะคุณย่า… คงจะอร่อยด้วย”
“อร่อย แต่ถ้าต้องทานทุกวันก็น่าเบื่อเหมือนกัน” คุณย่าลดเสียงชักชวน
“ต้าช่วยย่าสักครึ่งถ้วยซิลูก”
“จะดีหรือคะ ประเดี๋ยวอาหวีว่าต้า”
“น่า…แล้วไม่ต้องบอกใคร ย่าเองก็ไม่อยากโดนว่าเหมือนกัน”
ศรุตาเคยรู้ว่าอาหารเสริมซ้ำๆ บางอย่างทำให้คุณย่าต้องฝืนใจทนกลืนอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงตักใส่ปากอย่างว่าง่ายตามคำขอของคุณย่าก่อนจะถือมาที่เตียง เธอกำลังป้อนส่วนที่เหลือให้คุณย่าเมื่อคุณฉวีพาคุณเปี่ยมเข้ามาในห้อง
“อ้าว…..” คุณฉวีตาค้างมองถ้วยซุบในมือหญิงสาว
“วันนี้คุณย่าดีใจที่คุณลุงฉัตรมาเลยทานได้แยะค่ะ” ศรุตาพูดยิ้มๆ ส่งถ้วยคืนให้อีกฝ่ายแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มคุณย่า “ต้าไปนะคะ คุณย่า”
“ไปเถอะ”
คุณเปี่ยมมองตามยิ้มๆ จนร่างของหญิงสาวหายออกไปจากห้อง
“แม่มีอะไรอยากคุยกับเปี่ยม” เธอบอก ลูกเลี้ยงที่เธออุ้มมาแต่เล็กแต่น้อยจึงเข้ามานั่งข้างเตียง คุณสมฉวีที่ประคองถ้วยซุบถามว่า
“คุณแม่ทานซุบให้หมดก่อนดีไหมคะหนูจะได้เก็บกลับไปเลย”
“พูดไปทานไปก็ได้ เรื่องที่อยากคุยนี่ แม่ฉวีก็ฟังด้วยได้ในฐานะที่เป็นเมียของพ่อเปรม…..”
คุณสมฉวีชำเลืองสบตาคุณเปี่ยม พอคุณฉัตรพาครอบครัวมา คุณย่าก็มีเรื่องจะพูดซึ่งเกี่ยวพันกับคุณเปี่ยมคุณเปรม จะเป็นเรื่องอะไรได้ถ้าไม่ใช่เรื่องที่คะเนกันไว้ก่อนแล้ว
คุณย่าเกรงอกเกรงใจเมื่อบอกคุณเปี่ยมว่า “เปี่ยม… ถึงแม้ว่าเปี่ยมและพระเปรมจะเป็นลูกของแม่เหมือนฉัตร แต่บ้านนี้เป็นของปู่ชิต มันควรจะตกทอดเป็นของฉัตร แม่ถึงได้อยากให้ฉัตรย้ายเข้ามา”
สีหน้าของคุณสมฉวีหวั่นไหว ขณะที่คุณเปี่ยมยิ้มอย่างสุขุม
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ”
“ที่ดินของเราเยอะแยะ อีกหน่อยเปี่ยมเลือกที่สวยๆ ทำเลดีๆ สักผืน ปลูกบ้านขึ้นใหม่เถอะ จะให้สวยให้หรูยังไงก็ตามใจ แล้วก็ปลูกให้ฉวีด้วย ทุกคนต่างก็มีที่อยู่ของตัวเองคงสบายกว่าอยู่รวมกันหลายครอบครัวอย่างนี้”
คุณสมฉวีทำตาปริบๆ ขณะที่คุณเปี่ยมยิ้มอ่อนน้อม
น้ำเสียงคุณอัปสรอ่อนเบาอย่างคนสูงวัยที่เจ็บป่วย แต่ใบหน้าซูบเซียวกลับระบายยิ้มปิติ “ทรัพย์สมบัติที่มี แบ่งให้ดีๆ ยังไงๆ ก็ใช้ไม่หมด เปี่ยมเป็นผู้จัดการดูแลต้องหนักแน่นและเป็นธรรมนะลูก…..”
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมจะทำหน้าที่ให้ดีสมกับที่คุณแม่ไว้วางใจ ผมเองก็ไม่ได้ทะเยอทะยานอยากได้อะไร แค่ให้ลูกเมียไม่ลำบากก็พอใจแล้ว”
“ ดีแล้วลูก….. แต่ว่าถึงยังไงแม่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครต้องลำบากหรอก….. เออ แล้วทรัพย์สินของฉัตรที่อยู่ในชื่อของเปี่ยม คงใกล้ถึงเวลาโอนให้เจ้าตัวเขาแล้วกระมัง ทำได้เมื่อไหร่ก็รีบๆ ทำเสียนะลูกนะ จะได้หายห่วงไม่ต้องคอยรับภาระแทนอีก”
“ผมจะทำตามที่คุณแม่สั่งทุกอย่างครับ”
คุณย่ายิ้มอย่างวางใจ “ให้ทุกคนมีหลักมีฐาน แม่จะได้เบาใจหายห่วง ถึงเวลาก็ตายตาหลับ เห็นลูกหลานอยู่ดีมีสุขแล้วสบายใจ อืม….. พ่อมรุตตัวสูงใหญ่ ถ้าคุณชิตเห็นคงดีใจ หลานคนนี้คุณชิตรักมาก”
“หลานชายคนแรกและคนเดียว คุณพ่อต้องรักมากอยู่แล้ว” คุณเปี่ยมผสมผสาน
คุณย่าพยักหน้า “เขาเคยพากันมาเยี่ยมแต่ว่าแม่ไม่ค่อยได้เจอเพราะว่ามัวแต่ทำงานเลยสวนกันไปสวนกันมาจนฉัตรพาครอบครัวไปอยู่เมืองนอก…..” ท่านยังแก้ตัวที่เคยไม่ใส่ใจลูกเลี้ยงซึ่งมาเป็นครอบครัวเดียวกันเมื่อคุณฉัตรโตมากแล้วและยังดื้อรั้นอีกด้วย ต่างกับคุณเปี่ยมคุณเปรมลูกติดสามีแรก ที่ท่านเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเดินเตาะแตะ
น้ำเสียงที่พูดต่อเจือหัวเราะสะท้อนความยินดี “มรุตเรียนสูงถึงปริญญาเอก ท่าทางเขาเป็นผู้ใหญ่หนักแน่นภูมิฐานดีจริงๆ”
“เขาหล่อเหมือนคุณพ่อชิตนะครับ”
“ใช่ เหมือนมาก…..” เธอพึมพำเลื่อนลอย บอกอีกฝ่ายว่า “แม่ชวนให้มรุตทำงานที่บริษัทชิตเทวัญด้วยกัน บริษัทของพ่อชิต น่าจะให้ลูกของฉัตรได้มีส่วนเป็นผู้บริหารด้วยนะเปี่ยมนะ”
ดวงตาของคุณเปี่ยมวาววับ แต่รอยยิ้มนอบน้อมยังคงยึดครองใบหน้าไม่เจื่อนจาง “เรื่องนี้ผมก็คิดมานานแล้วครับ ผมถึงได้ตั้งบริษัทเล็กๆ ของผมเองขึ้นใหม่ คิดว่าถ้าคุณฉัตรหรือลูกชายบริหารงานที่บริษัทชิตเทวัญเองได้ ผมจะได้วางมือสักที”
“เปี่ยมไม่ต้องวางมือหรอกลูก ถึงยังไงกรรมสิทธิ์ในส่วนของแม่ส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นของเปี่ยมกับลูกเมียพระเปรม บริษัทใหญ่ทำงานทำเงินมากมายต้องการผู้บริหารที่มีความสามารถหลายคน พี่ๆ น้องๆ ปรองดองช่วยกันทำงานคงทำให้บริษัทยิ่งก้าวหน้า…..”
“ครับ” น้ำเสียงรับเจือหัวเราะคล้ายเห็นด้วย
“ทานซุบอีกช้อนนะคะ คุณแม่” คุณสมฉวีช่วยตักน้ำซุบให้ถึงปาก และคุณย่าก็อ้าปากรับอย่างว่าง่าย
คุณเปี่ยมมองตาม…….
คุณย่าหลับแล้ว คุณนกคนดูแลเข้ามาทำหน้าที่ต่อ แต่ชายหญิงที่ตามกันออกมายังมีเรื่องถกเถียงกันสองต่อสอง ศรุตา รู้สึกไม่สบายเดินออกมาจะขอยาบังเอิญมาได้ยินเข้าพอดี
“คำหนึ่งก็ของพ่อชิต สองคำก็ของพ่อชิต…! พ่อชิตตายไปตั้งนานแล้ว ครอบครัวนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นไม่ได้มาเหลียวมาแลอะไรสักนิด ทำไมเราจะต้องย้ายออกไปแล้วให้คนอื่นเข้ามาเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง…!”
น้ำเสียงของคุณสมฉวีแม้ไม่ดังแต่ก็ตวัดกรุ่นเกรี้ยว สีหน้าของคุณเปี่ยมกระด้างกว่าที่คนอื่นเคยเห็น แม้จะพูดว่า “เราไม่ใช่ลูกจริงๆ ของชิต เทวัญ ทุกอย่างเป็นสิทธิของเขา” แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านคุณสมฉวี
“ไม่ยุติธรรมเลย…..”
“ยุติธรรมซิ ทำไมจะไม่ยุติธรรมล่ะ…!” ประกายตาคุณเปี่ยมวาววาม
สะท้อนเหลี่ยมมุมลึกๆ “จำไม่ได้แล้วหรือว่าใครเป็นคนตัดสินว่าอะไรคือความยุติธรรม แล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก”แม้ไม่ได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ แต่คำบางคำและท่าทีที่ดูแปลกไปทำให้หญิงสาวแปลกใจ
“ลุงเปี่ยมขา…..”
“อ้าว ต้า…!”
“ต้าไม่ค่อยสบายค่ะ เป็นอะไรก็ไม่รู้”
“เป็นยังไง” เขารีบผละจากคุณสมฉวีเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าท่าทางอาทร เก็บเรื่องที่พูดค้างไว้ออกไปได้หมดในทันที
“มึนหัว หมดแรงไปเฉยๆ เลยค่ะ”
คนทั้งสองหันมองหน้ากัน น้ำเสียงคุณสมฉวีคล้ายแตกตื่น
“อุ๊ย…เมื่อกี้นี้…..”
“ตัวร้อนหรือเปล่า” เสียงห้าวดังขัดขึ้นมีผลให้อีกฝ่ายเงียบทันใด คุณเปี่ยมมองคุณสมฉวีดุๆ ก่อนจะทาบมือใหญ่กับแก้มนวลแล้วลูบไล้ไปทั่วใบหน้า “ตัวไม่ร้อนนี่”
“แต่ว่าต้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ ค่ะ”
“มา ไม่สบายก็ไปนอนซะ”
แขนแข็งแรงเลื่อนมาโอบหลังประคองให้เดิน คุณสมฉวีปราดเข้ามาประชิด น้ำเสียงเขียวๆ ฉุนเฉียว ทว่าฟังอีกทีก็คล้ายร้อนรนห่วงใย “ฉันพาไปเองก็ได้! มา…ต้า… อาจะพาไปนอน”
คุณเปี่ยมชะงักก่อนจะปล่อยโดยดี
“ขอบคุณค่ะอาหวี”
ศรุตาโอบตอบคนที่เข้ามาประคองแทน คุณเปี่ยมเดินตาม เทน้ำดื่มใส่แก้วมายื่นให้
“ดื่มน้ำมากๆ แล้วนอนพัก พรุ่งนี้ก็หาย”
“ขอบคุณค่ะ ลุงเปี่ยม” เธอพึมพำอย่างเชื่อถือสนิทใจ
รุ่งเช้า ทั้งลุงเปี่ยมและคุณสมฉวีผลัดกันเปิดประตูเข้ามาดูอาการเธอ ศรุตายังรู้สึกมึนงง เมื่อคืนนี้เธอลืมตาขึ้นทีไรก็รู้สึกว่าเพดานห้องหมุนคว้าง จะลุกขึ้นก็หาสมดุลไม่ได้ จึงได้แต่นอนต่อจนหลับไป ทว่าพอเช้าก็รู้สึกดีขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง ต้า”
“รู้สึกดีขึ้นแล้วค่ะ”
“วันนี้ต้าไม่ต้องไปทำงานก็ได้”
“ค่ะ”
“หน้าตาสดใสแล้วคงไม่เป็นอะไรหรอก ร่างกายคนเราก็อย่างนี้ บางทีมันก็แค่หาเรื่องเรียกร้องความสนใจเท่านั้น” คุณเปี่ยมพูดยิ้มๆ
ห้องว่างในบ้านยังมีเหลือ แต่สองพี่น้องที่ถือกระเป๋าเสื้อผ้าขับรถเข้ามาทีละคนทำให้คุณฉัตรและครอบครัวหมดโอกาสที่จะจับจองพักอาศัย อย่างน้อยก็อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ศรุตาไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างไร แม้ตั้งแต่โตตามกันขึ้นมา อัสนีย์กับรุ่งแสงซึ่งไม่ได้อยู่ประจำที่นี่ มีความเป็นมิตรมากขึ้น แต่ก็คล้ายมีความแปลกแยกที่มองไม่เห็นกางกั้น ไม่เหมือนคุณหนูปราย ที่แม้จะทะเลาะกันบ้างแต่กลับเข้ากันได้อย่างกลมเกลียว
เธอแปลกใจที่ไม่ได้เห็นสมบัติอะไรอื่นของสองพี่น้องจับจองที่ทางอยู่ในห้องเหมือนดังที่คุณเปี่ยมบอกคุณย่าต่อหน้าครอบครัวคุณฉัตร ว่าทั้งสองขนย้ายข้าวของเข้ามาก่อนหน้านั้นแล้ว พอพูดกับแม่ ศรุตาก็เห็นท่าทีเหนื่อยๆ เบื่อหน่าย
“ลุงเปี่ยมพูดไปอย่างนั้นเพราะว่าไม่อยากให้คุณฉัตรย้ายเข้ามา”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ พี่น้องกลับมาอยู่ด้วยกันทำไมคุณลุงถึงจะไม่ดีใจ อีกอย่างหนึ่ง คุณย่าก็จะได้สบายใจด้วย”
“ลุงเปี่ยมคงยังทำใจไม่ได้กระมัง” แม่คาดเดาเรื่อยเปื่อย
เธอนิ่งคิดแล้วพยักหน้า “คุณลุงรักคุณย่ามาก คงกลัวตกกระป๋องเหมือนกัน”
อัสนีย์เป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีและดูภูมิฐานขึ้นกว่าเดิมแต่สีหน้ายังมีเค้ายียวนที่เธอเคยคุ้น ตั้งแต่เป็นหนุ่ม อัสนีย์ก็มีนิสัยเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม มาทีไรก็ได้ยินแต่คำร้องเรียนเรื่องความเจ้าชู้ กับศรุตาที่เคยเป็นคู่อริ เขาก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป
“ไงคุณหนูต้า ไม่ได้พบกันตั้งนาน…นมโตขึ้นเป็นกองเชียวนะ” พูดหยอกเย้า แกล้งเว้นวรรคผิดให้ความหมายเพี้ยนแล้วยังทำตาวาววาม
อีกฝ่ายเดือดปุดๆ ทันที “มาถึงก็ปากเสียเชียวนะ”
เขาตีหน้าซื่อ “อะไร นี่ทักทายดีๆ อุตส่าห์ใช้คำไทยแท้ๆ แล้วนะนี่ ไม่ได้พบกันนานนม… ไม่เคยได้ยินหรือ”
เธอค้อนขวับ “ไม่เคยได้ยินใครพูดได้น่าเกลียดเท่านี้มาก่อนเลย”
เขาแวะเอาข้าวของมาไว้แล้วขับรถกลับไป ส่วนรุ่งแสงที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าศรุตา มาแต่ไหนแต่ไร ก็เป็นสาวสมัยใหม่ที่แต่งตัวสมกับอยู่เมืองร้อน ในวันนี้เธอสวมกระโปรงที่มีขอบเอวต่ำ เสื้อสายเดี่ยวตัวสั้นเปิดหลังไหล่และช่วงท้องขาวผ่อง
ศรุตาที่ยังมึนงงไม่สบาย เดินเข้ามาหวังจะช่วยจัดข้าวของ
“จัดเสร็จแล้ว ไม่ได้เอาอะไรมามากหรอก”
เธอเปิดตู้เสื้อผ้าอีกฝ่าย “แล้วชุดทำงานของรุ่งล่ะ”
“ช่วงนี้ลุงเปี่ยมบอกอนุญาตให้ลาพักร้อนได้หลายวัน”
สองพี่น้องทำงานที่บริษัทใหม่ของคุณเปี่ยม เป็นบริษัทที่คุณเปี่ยมบอกคนอื่นๆ ว่า “เล็กๆ” ที่ท่านเปิดขึ้นใหม่ เพราะตั้งใจว่าสักวันหนึ่งจะวางมือจากบริษัท ชิตเทวัญ เพื่อคืนให้เจ้าของที่แท้จริง
“แล้วงานไม่เสียหายหรือ”
“ไม่เสียหรอก พี่อัสไม่ได้หยุด แล้วรุ่งก็มีผู้ช่วยหลายคนด้วย”
“รุ่งมีผู้ช่วยหลายคนด้วยหรือ” ศรุตากลืนน้ำลาย “แล้ววันๆ หนึ่ง รุ่งทำงานอะไรบ้าง”
เธอยกไหล่ “เยอะแยะ…..”
“ต้าไม่ค่อยได้ทำอะไร ตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้งานเลย”
“ค่อยเป็นค่อยไป อีกหน่อยก็เก่งเองแหละ” พูดคล้ายให้กำลังใจ แต่ประโยคที่ตามมาทำให้คนฟังหน้าเจื่อน “ทำยังไงได้ ก็คนมันต่างกันนี่นา”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่างานของบริษัท ชิตเทวัญ น้อยลงมากแล้วก็ได้ ต้าเลยพลอยว่างไปด้วย” เธอนึกถึงรายงาน “ลับ” ที่ได้อ่าน แล้วก็อดรู้สึกกลัดกลุ้มไม่ได้ “รุ่งรู้ไหมว่าบริษัท ราชันย์ มีงานสนุกๆ ให้ต้าทำบ้างไหม”
“งานน่ะมี แต่ว่าคงไม่ใช่สำหรับต้าหรอก บริษัทราชันย์ต้องการแต่คนเก่งๆ เท่านั้น”
คำตอบทำให้เธออึ้ง รุ่งแสงมักต้อนเธอเข้ามุมเสมอ