หญิงสาวโทรศัพท์เรียกปรายเปรม ผู้ซึ่งส่งเสียงตอบท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คน “ปรายกำลังยุ่งเลย ต้ามีอะไรด่วนหรือเปล่า”
“มีซิ ด่วนมากด้วย”
เท่านั้นเขาก็ทิ้งงานมาหาเธอ ศรุตาไม่ได้บอกให้ชายหนุ่มมาที่สำนักงานแต่ทำทีว่าไปเดินห้างกับโศภิตแล้วนัดให้เขาตามมาพบ สีหน้าของเธอทำให้ชายหนุ่มสะดุดใจ ไม่บ่อยหรอกที่จะเห็นหญิงสาวมีสีหน้าเผือดเจื่อนจางเต็มไปด้วยความวิตกทุกข์ร้อนเช่นนี้
“มีเรื่องอะไรหรือ ต้า”
เธอขยับปากจะพูดแต่แล้วก็เงียบชำเลืองมองโศภิตผู้ซึ่งกำลังเลือกซื้อเสื้อผ้า โศภิตเองรู้เพียงว่าศรุตามีเรื่องไม่สบายใจแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่
“มีเรื่อง แต่ว่า….. แต่ว่าไม่รู้จะเล่ายังไง”
“เล่ายังไงก็ได้ เล่าจากข้างหลังไปข้างหน้าหรือข้างหน้ามาข้างหลัง จากข้างบนลงข้างล่างหรือข้างล่างย้อนขึ้นข้างบน เล่าแบบซิกแซ้กซ้ายทีขวาที ยังไงๆ ปรายก็ฟังรู้เรื่อง”
แค่นั้นเธอก็หัวเราะออกมาได้
ชายหนุ่มอมยิ้ม ดีใจที่สีหน้าเธอดูดีขึ้น
โศภิตหันมาเห็นก็กระวีกระวาดยิ้มหน้าบานเข้ามาทักทาย
“คุณปราย สวัสดีค้า…”
เขายิ้มอบอุ่น “สวัสดีครับ คุณโศซื้อได้กี่ชุดแล้ว”
“หลายชุด โศซื้อเสื้อสายเดี่ยวมาด้วยนะ” เธอหยิบเสื้อตัวเล็กออกมาลองทาบโชว์
“ฮ้า…! แล้วปรายจะมีบุญได้เห็นโศใส่ไหมฮะนี่”
“ได้เห็นซีค้า แต่ว่าโศใส่ไว้ข้างในเสื้อสูทนะ”
“เอ๊า อย่างนั้นจะน่าตื่นเต้นอะไรล่ะครับ”
“แหม ถ้าไม่มีเสื้อใส่ทับ ชาวบ้านก็ขวัญกระเจิงกันเท่านั้น” โศภิตพูดพลางหัวเราะ
เพราะเดาออกว่าศรุตายังไม่พร้อมจะเล่า ชายหนุ่มจึงพาหญิงสาวทั้งสองไปทานอาหารที่ร้านหรูแห่งหนึ่ง สถานที่สวยสะอาดไม่อึกทึกแม้ค่อนข้างเต็มไปด้วยลูกค้าที่แต่งตัวดี สาวๆ ในชุดเสื้อผ้าอวดเนื้อหนังมังสาอย่างที่อยู่ในความนิยมก็ดูมีระดับชวนให้เจริญตามากกว่าจะยั่วยุรบกวนจิตใจ ร่างสูงหนา พาสองสาวเคลื่อนผ่านนักดนตรีที่กำลังเล่นคีย์บอร์ด ครวญเพลงอย่างชำนาญไปยังโต๊ะสบายที่มุมหนึ่ง
เขาพลิกเมนูพลางถาม “ทานอะไรดี ที่นี่ทำกุ้งกับปลาอร่อย”
“แล้วที่ไหนทำไม่อร่อย…..” ศรุตาอดกวนไม่ได้
ประกายตาอีกฝ่ายแพรวพราย “กวนแบบนี้แปลว่าไม่เดือดร้อนจริงซิ”
“ใครเดือดใครร้อนคะ” โศภิตยื่นหน้ามาถาม
ชายหนุ่มบุ้ยปากไปที่หญิงสาว “ใครก็ไม่รู้โทรไปลากเรามาจากงาน บอกว่ามีเรื่องด่วนที่สุด ทำให้เป็นห่วงแทบแย่”
ศรุตาหน้ามุ่ย “อยากรู้ว่าคุณหนูปรายรู้จักร้านอาหารที่มีสาวสายเดี่ยวแยะๆ แบบนี้ซักกี่ที่ มิน่าซิถึงไม่ยอมกลับไปนอนบ้านเลย”
“ถ้ารู้ว่าต้ารอ ปรายจะกลับทุกวัน”
“ตาบ๊อง ใครเค้าจะรอเธอไม่ทราบ”
“นั่นไง ไม่มีใครรอปรายเลยไม่กลับไง”
“งั้นโศรอเองค่ะ” โศภิตไกล่เกลี่ย
อาหารที่โปรดปรานถูกสั่งมาวางตรงหน้า ศรุตาแตะต้องน้อยมาก ท่าทีฝืนกลืนฝืดคออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่โศภิตเอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง
“ต้า จะกินกุ้งรึเปล่า” เธอเล็งกุ้งเผาส่วนของเพื่อนสาวอยู่นานแล้ว ไม่เห็นแตะต้องสักทีเหมือนว่าไม่แยแส
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังคิดอย่างอื่น สีหน้าไม่คลายความวิตกกังวล “หือ… ไม่กินหรอก อ่ะ โศกินเถอะ”
“เบียร์ไหม” ปรายเปรมวางแก้วเบียร์เย็นเฉียบลงตรงหน้าเธอ สีหน้าของเขาแดงเรื่อขึ้น แต่ประกายตายังมั่นคง “ลองซิ ประเดี๋ยวกลับถึงบ้านจะได้หลับสนิท”
“จะหลับสนิทได้จริงๆ หรือ”
“จริงซิ อย่าเมาก็แล้วกัน ประเดี๋ยวรถปรายเลอะเทอะ”
เธอยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ โศภิตเองก็คล้อยตาม แล้วทั้งสามก็ชนแก้วเบียร์กันครั้งแล้วครั้งเล่า
พอโศภิตลุกไปห้องน้ำ ชายหนุ่มก็ถามอย่างใยดี
“มีเรื่องอะไร”
ศรุตาขยับปาก “คือว่าต้า…..เอ่อ… แบบว่าต้า…..” จนแล้วจนรอดก็กลับนิ่งทำสีหน้าทุกข์ร้อนต่อไป
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ ปรายรับฟังได้ทุกเรื่อง”
“ต้าไม่รู้ว่าควรพูดให้คุณปรายฟังหรือเปล่า บางทีอาจจะดีกว่าก็ได้ที่คุณปรายไม่รู้ เพราะถึงรู้ก็คงทำอะไรไม่ได้”
“รู้อะไร ทำอะไรไม่ได้?” นัยน์ตาเขาสงสัย
เธอเอาแต่บิดแขนตัวเอง พอโศภิตกลับมาชายหนุ่มก็ทำสีหน้าเริงรื่น “คุณโศไปร้องเพลงกันไหม”
“ฮ้า โศเนี่ยนะคะ ร้องเพลง”
“คุณโศเสียงเพราะ ต้องร้องเพลงเก่งแน่ๆ”
อีกฝ่ายยิ้มทั้งใบหน้า “คุณปรายรู้ได้ยังไง โศแอบร้องอยู่ที่บ้านไม่เคยโชว์ใครเลย”
“งั้นดาวรุ่งแจ้งเกิดซะวันนี้เลย”
หนุ่มร่างสูงหนาผิวคล้ำจูงสาวท้วมเตี้ยขาวจั๊วขึ้นเวทีด้วยท่าทีไม่ขัดเขิน ศรุตาลืมความทุกข์ มองอย่างทึ่งเป็นที่สุด ดูเขามั่นอกมั่นใจในตัวเองขณะที่โศภิตประหม่าขัดเขินในช่วงแรกๆ แต่แล้วมืออบอุ่นที่จับไหล่อย่างให้กำลังใจก็ทำให้เธอมั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่แตกต่างอย่างน่าขัน เสียงร้องของทั้งคู่ไพเราะและเข้ากันได้อย่างดี
ทั้งคู่จูงมือกันเดินกลับมา โศภิตเขินอายแต่ก็มีความสุข
“ทำไมไม่ร้องต่อล่ะ เพราะดีออก”
“อย่าเลย ประเดี๋ยวจะไล่แขกเค้าหมดร้าน ต้าไปร้องบ้างซิจะได้สบายใจ”
“ไม่เอา” สีหน้าท่าทีเธอกลับมาเป็นทุกข์อย่างเดิม
ส่งโศภิตแล้ว รถยนต์ที่ซื้อมือสองจากเพื่อนก็พาศรุตามุ่งหน้ากลับบ้าน หญิงสาวนั่งเงียบแม้ปรายเปรมจะฮัมเพลงครึกครื้นเพื่อทำให้เธอสบายใจขึ้น “ตกลงว่าวันนี้ต้าจะไม่พูดอะไรใช่ไหม ใกล้ถึงบ้านแล้วนะ”
หญิงสาวทอดถอนใจ “คุณปราย คือว่าต้าเพิ่งรู้ว่าคนที่ต้ารักและไว้ใจมาตลอดเวลาไม่ใช่คนดีอย่างที่คิด เขา….. แย่มาก…..”
เท่านี้ชายหนุ่มก็เดาออกว่าเธอหมายถึงใคร “ลุงเปี่ยมหรือ”
เธอพยักหน้า “ใช่”
ชายหนุ่มนิ่งไปเป็นครู่ “ปรายก็เคยรู้สึกอย่างต้า”
เธอหันขวับ “จริงง่ะ? ปรายก็รู้หรือว่าลุงเปี่ยม……”
ชายหนุ่มพยักหน้า “เค้ามีอะไรกันมานานแล้ว พ่อเปรมถึงได้หนีไปบวชไง”
“ฮ้า…!!” อีกฝ่ายออกอุทาน
สีหน้าชายหนุ่มแปลกใจ “อ้าว ต้าไม่ได้จะบอกเรื่องลุงเปี่ยมกับอาหวีหรอกหรือ”
“เปล่า ต้าเพิ่งรู้เรื่องจากคุณปรายเดี๋ยวนี้เองแหละ แต่ว่าลุงเปี่ยมกับอาหวีมีอะไรกันก่อนอาเปรมไปบวชอีกหรือ แล้วลุงเปี่ยมแต่งงานกับแม่ต้าทำไม”
“เค้าคงรักแม่ต้ามั้ง แต่ว่าถึงแม่ต้าเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยแล้วเขาก็ยังมีอะไรกันอยู่ดี”
“โอย โอ๊ยๆ ทำแบบนี้ได้ยังไง”
อีกฝ่ายกระแทกเสียงอยู่ในลำคอ “เพราะอย่างนั้นปรายถึงไม่อยากอยู่ที่นั่น”
เท่าที่ศรุตาเห็นมา ปรายเปรมไม่ยอมใกล้ชิดกับผู้ปกครองทั้งสอง “เพราะอย่างนั้นคุณปรายถึงไม่รักลุงเปี่ยมกับอาหวีใช่ไหม ต้าเข้าใจแล้วละ”
เขาฝืนหัวเราะพูดยั่ว “เพราะอย่างนั้นปรายถึงหันมารักต้ายังไงล่ะ แล้วก็รักป้านิตย์นายตุ้ยกับคุณย่าด้วย”
“โธ่เอ๋ย กรรมเวรอะไรอย่างนี้” เธอโอดครวญ “นี่แม่ต้าก็คงจะรู้เรื่องนี้ เพราะว่าแม่ดูไม่มีความสุขและชอบพูดแปลกๆ แม่ไม่ปลื้มลุงเปี่ยมเลย แม่บอกว่าแม่รักลุงเปี่ยมหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเราสามคนแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันแล้วลูกๆ สุขสบายแม่ก็พอใจแล้ว ไม่คาดหวังอะไรอีก”
“ใช่ ป้านิตย์คงรู้นานแล้ว”
ต่างคนต่างก็นิ่งเงียบ ปรายเปรมเข้าใจว่าเขาคาดเดาเรื่องทุกข์กังวลของเธอถูกต้องแล้ว ขณะเดียวกัน ศรุตาก็ทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าควรหรือไม่ควรที่จะเล่าเรื่องที่เธอบังเอิญได้ยินมา
ปรายเปรมและผู้ใหญ่ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางใจที่ดีต่อกัน จะเกิดอะไรขึ้นหากเขารู้แล้วโวยวายขึ้นมา เรื่องคงยิ่งเลวร้าย… และคนที่ลำบากที่สุดคงจะเป็นแม่…
เธอตัดสินใจที่จะไม่พูด
คนเดียวที่น่าจะช่วยได้คงไม่ใช่ใครอื่น… มรุต…..
เขาเป็นคนหนุ่มรุ่นลูกหลาน จากไปตั้งแต่ยังเด็ก คงไม่บาดหมาง มีหนี้ค้างทางใจกับคุณเปี่ยมและสมฉวีเหมือนปรายเปรม แล้วยังเป็นผู้ใหญ่ที่ดูเยือกเย็น มีความรู้สูงถึงระดับปริญญาเอก เขาน่าจะรับฟังอย่างสุขุมรอบคอบและฉลาดพอที่จะหาวิธีแก้ปัญหา
แต่เธอจะบอกมรุตอย่างไรดี……..
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณเปี่ยมถามด้วยสีหน้าเจือยิ้ม ทว่าประดายตาดุดัน “เมื่อวานใครมาส่ง”
ศรุตาหลบตาสีหน้าเจื่อนจาง “เอ่อ… คุณปรายค่ะ”
“คุยอะไรกับปราย”
“ไม่… ไม่ได้คุยอะไรค่ะ”
ประกายตาเขาวาบวับ ต่างคนต่างนิ่ง เขาลอบมองเธอขณะที่พูดคุยหยอกเย้ากับลูกชาย “พี่สาวตุ้ยเริ่มกลับบ้านค่ำมืด มีหนุ่มๆ มาส่งแล้ว คุมให้ดีนะตุ้ยนะ”
“พี่ต้าเค้าไม่มีใครมาส่งหรอกพ่อ มีแต่พี่ปรายคนเดียวแหละที่หลงผิด”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนศรุตาคงโถมเข้าใส่น้องชาย บัดนี้เธอได้แต่ยิ้มเจื่อนเลี่ยงหนี คุณเปี่ยมและคุณสมฉวีมองตาม พอมีโอกาสก็กระซิบกระซาบคุยกันเงียบๆ
เธอนั่งตัวลีบมาทำงานในรถของคุณเปี่ยมตามเคย
“ลุงฉัตรคงย้ายเข้ามาช่วยดูแลคุณย่าในวันสองวันนี้ คุณย่าคงสบายใจที่ได้อยู่กับน้องสาลี่ แบบนี้ต้าว่าดีไหมลูก”
“ค่ะ… ดีค่ะ”
ยิ้มเขาเหี้ยมเกรียม ขณะที่น้ำเสียงอ่อนเนิบนาบประกายตาวาบวับ
“ลุงเปี่ยมก็ว่าดี มีคนดูแลคุณย่า พวกเราจะได้ไปไหนๆ กันตามประสาครอบครัวบ้าง ลุงว่าจะพาแม่เราไปพักผ่อนที่ที่เขาชอบ นายตุ้ยจะได้เที่ยวสมใจก่อนเปิดเทอม”
‘…..อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดีแล้วที่นายฉัตรกับครอบครัวจะย้ายเข้ามา จะได้ช่วยเป็นพยานยืนยันความบริสุทธิ์ให้เรา เพราะว่าในสายตาของคนอื่นหากว่าเกิดอะไรขึ้น พวกมันก็จะต้องมีส่วนรับผิดชอบเท่าๆ กัน…..’ ศรุตานึกถึงคำพูดประโยคนี้แล้วก็ตัวชาวาบ ดวงตาในสีหน้าที่หันขวับตื่นตระหนก
คุณเปี่ยมหันมามองยิ้มๆ “ต้าเคยคิดอยากจะไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ลุงเปี่ยมจะได้วางแผนถูก”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงกระโดดกอดคอเขา ในบัดนี้เธอได้แต่มีสีหน้าซีดเซียว
คุณทิพาให้งานเธอมากกว่าเคย ซ้ำยังคอยถามว่า “งานที่ให้ทำ เสร็จหรือยังคะ น้องต้า” ทำให้หญิงสาวไม่มีเวลาแม้แต่จะเงยหน้ามองหา มรุต พอเธอเดินไปจะเคาะประตูห้องชายหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งอายุมากกว่าเธอหลายปี คุณทิพาก็สกัดไว้เหมือนคอยจ้องอยู่แล้ว
“น้องต้ามีอะไรกับคุณมรุตหรือคะ”
“เอ่อ คือว่าต้า…..เอ้อ…..”
“ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ ทำงานให้เสร็จก่อนเถอะค่ะ”
เธองวยงงกับงานพิมพ์ที่ดูคล้ายไม่มีความหมายอะไรแต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ โศภิตที่เคยต้องทำงานยุ่งกลับมีเวลาว่างมากกว่า
“ให้โศช่วยไหม…..” เพื่อนเธอมีน้ำใจ
“ดีซิ”
“น้องต้าไม่ต้องให้โศช่วยนะคะ ทำเองจะได้เก่ง” คุณทิพาเหมือนจะคะเนได้รีบพูดดักไว้ก่อน
หญิงสาวกำลังเรียงชุดเอกสารจัดใส่แฟ้มอย่างขะมักเขม้นเมื่อร่างสูงเปิดประตูห้องออกมามองหา ไม่รู้ตัวแม้เขาเดินมายืนมองเป็นครู่ แต่พอหันมาเห็นเธอก็สะดุ้งวาบแล้วสีหน้าก็เรืองเรื่อวางมือไม้ไม่ถูก
ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม เด็กคนนี้คิดยังไงก็แสดงออกมาอย่างนั้น ไม่เคยจะเสแสร้งอะไรสำเร็จ ไม่ยากเลยหากเขาอยากรู้อะไรที่เธอรู้
“วันนี้ทำงานยุ่งแต่เช้าเชียวนะ”
“ค่ะ วันนี้งานยุ่ง…..”
เธอยังเก้อเขินโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกายตาคมขลับเจือยิ้มของเขาจับจ้องมองเธอนิ่ง ใบหน้าขาวสะอ้านเจือชมพูระบายรอยเคราเขียวจางๆ น่าดู ร่างเขาดูสูงเพราะไม่หนาเท่าคนที่เคยยืนทาบรัศมีอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ดูแข็งแกร่งสง่าผ่าเผยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสื้อผ้าที่สวมใส่ เห็นเมื่อไรก็ดูดีไม่มีที่ติ
“คนเก่งก็อย่างนี้”
นี่คงไม่ใช่งานสำหรับคนเก่ง เธอได้แต่คิดแต่ไม่ได้พูดออกมา
“แล้วตกลงว่าวันนี้จะได้ทานข้าวด้วยกันหรือเปล่า”
ทานข้าวด้วยกัน….. เธอยิ้มออกมาได้
“วันนี้หรือคะ ได้ซิคะ”
รุ่งแสงเปิดประตูสำนักงานเข้ามาทำให้สายตาเกือบจะทุกคู่หันมอง ร่างสวยสมส่วนอยู่ในชุดกระโปรงสั้นสีเขียวจัดจ้านเห็นช่วงขาเรียวสล้าง เสื้อสูทเข้ารูปคว้านคอลึกจนเห็นเสื้อลูกไม้บังทรงที่ดูเหมือนทำหน้าที่อย่างเสียไม่ได้เพราะโชว์ร่องลึกมาแต่ไกล
สีหน้าที่จุดประกายสนใจของชายหนุ่มทำให้ศรุตาคาดเดาได้ว่า มื้อกลางวันของเธอคงต้องเลื่อนออกไปอีก……..